Masukยามเย็นในเรือนไทยนั้นเงียบสงบกว่าทุกเวลาที่เมษาเคยสัมผัส ไม่มีเสียงรถ ไม่มีข่าวในทีวี ไม่มีแจ้งเตือนจากมือถือ มีเพียงเสียงลมพัด เสียงนกร้อง และแสงอาทิตย์ที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีส้มทอง
เมษานั่งบนชานเรือน ใกล้ศาลาเล็กใต้ร่มไม้
ขุนเทวัญนั่งอีกฝั่งของตั่งไม้ เตรียมเอกสารบางอย่างไว้ในมือ แต่ยังไม่ลงมืออ่านเมษาหันไปมองเขา ก่อนจะถามขึ้นอย่างลังเล “คุณพี่ขุนเทวัญคะ ขอถามอะไรหน่อยได้มั้ย”
ขุนเทวัญเงยหน้าขึ้น มองเธอนิ่ง ๆ ก่อนพยักหน้า “ว่ามาเถิด หากตอบได้ ก็จะตอบ”
“ตอนนี้ปีอะไรเหรอคะ”
ขุนเทวัญนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบช้า ๆ “ก็จุลศักราชหนึ่งพันสองร้อยสามสิบห้า”
“จุลศักราช” เมษากระพริบตา ขอโทษนะคะ เอาเป็นพุทธศักราชได้มั้ย”
ขุนเทวัญยิ้มบาง ๆ “พุทธศักราชสองพันสี่ร้อยสิบหก”
“แล้วตอนนี้เป็นแผ่นดินของพระมหากษัตริย์พระองค์ใด”
“พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าน่ะ ทำไมหรือ”
เมษาถึงกับนิ่งไป มือน้อย ๆ ยกขึ้นนับนิ้วเงียบ ๆ ในใจ ก่อนจะอุทานเบา ๆ
“นี่มันสมัยรัชกาลที่ห้า”
ขุนเทวัญพยักหน้าอย่างนุ่มนวล “ใช่แล้ว สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงทศพิธราชธรรมยิ่งนัก”
เมษาหันหน้าไปมองท้องฟ้าสีส้ม เสียงลมหายใจของเธอแผ่วเบา “รัชกาลที่ห้าที่มีการเลิกทาสใช่ไหมคะ”
คำพูดนั้นทำให้ขุนเทวัญชะงัก เขาหันมามองเธอทันที ดวงตานิ่งเรียบแต่ลึก
“เรื่องนั้นยังไม่มีประกาศใดออกสู่ภายนอก แต่ก็ใช่ เธอรู้ได้อย่างไร”
เมษาเม้มปากแน่น หัวใจเต้นแรงจนน่ากลัวว่าเขาจะได้ยิน เธอรีบหันหน้ากลับไปทางสวน ทำทีเหมือนไม่ใส่ใจ แต่ในใจเหมือนมีลมพัดกรูเข้าใส่เต็มหน้า
“เอ่อ ฉันก็แค่ อาจจะฝันไปก็ได้มั้งคะ”
ขุนเทวัญไม่ตอบทันที เขายังคงมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างใช้ความคิด เธอไม่ใช่หญิงธรรมดาแน่นอน คนแปลกหน้าที่รู้เรื่องสำคัญ เรื่องที่รู้กันเป็นการภายในของขุนนางระดับสูง
เขาหลุบตาลงช้า ๆ แต่ไม่อาจห้ามใจไม่ให้ถามออกมาในที่สุด
“แม่เมษา เธอเป็นใครกันแน่”
เมษาหัวเราะแห้ง “ฉันก็เป็นฉันนี่แหละค่ะ แม่เมษา ที่ยังหาที่มาของตัวเองไม่เจอเหมือนกัน คนความจำเสื่อม”
ขุนเทวัญไม่ได้ถามอะไรต่อ แต่ในแววตานั้นดูเหมือนจะเริ่มจับสังเกตบางอย่าง บางอย่างที่เขายังหาคำอธิบายไม่ได้จากหญิงสาวคนนี้
บ่ายคล้อย เสียงรถยนต์คันหรูแล่นเข้ามาจอดหน้าเรือนของพระยาภูบดินทร์ แสงแดดยามบ่ายสะท้อนเงาช่อมะม่วงพาดผ่านชานเรือนอย่างนุ่มนวล
จังหวะที่แม่หญิงรำเพย บุตรสาวของพระยาพิทักษ์ราชกิจ เสนาบดีประจำกระทรวงนครบาล ก้าวเข้ามาในเขตเรือนด้วยท่วงท่าสง่างามดั่งนางในนิยาย เธอสวมผ้าไหมพับจีบยาวสีฟ้าอ่อน กับเสื้อห่มสไบผืนบางปักดิ้นทอง ในมือนั้นถือถาดทองเหลืองรองผลมะม่วงน้ำดอกไม้สีเหลืองนวลวางเรียงเป็นระเบียบ
“กราบคุณป้าเจ้าค่ะ คุณพ่อให้รำเพยนำมะม่วงมาฝากคุณป้าเจ้าค่ะ บอกว่าเพิ่งได้จากสวนในวังมาใหม่”
คุณหญิงจันทร์วาดมารดาของขุนเทวัญ หันมายิ้มรับอย่างอ่อนโยน
“ขอบใจมากจ้ะหนูรำเพย”
รำเพยนั่งลงข้างคุณหญิงอย่างเรียบร้อย แต่สายตากลับปัดไปยัง หญิงสาวแปลกหน้าที่กำลังนั่งพับผ้าอยู่กับแม่พลอยอีกฟากเรือน
หญิงสาวผู้นั้นไม่ได้แต่งกายเฉกเช่นบ่าวคนอื่น ผ้าซิ่นไหมเรียบแต่สวย เสื้อแขนกระบอกพอดีตัว ผมรวบเรียบแต่ไม่มียศใดในเรือน
“คุณป้าเจ้าขา แม่หญิงแปลกหน้าผู้นั้นคือใครกันเจ้าคะ บ่าวใหม่ในเรือนหรือ แต่ดูจะแต่งตัวไม่ค่อยเหมือนบ่าวเลย”
คุณหญิงจันทร์วาดนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยเบา ๆ พร้อมรอยยิ้มกลบเกลื่อน
“หล่อนชื่อเมษา เรื่องของนางมันยาวหน่อยจ้ะ อย่าใส่ใจมากเลย ไม่สลักสำคัญใดหรอก”
รำเพยยิ้มบาง ๆ แต่อะไรในดวงตาเหมือนไม่เชื่อว่าจะไม่สำคัญ
เสียงฝีเท้าหนักแน่นดังขึ้นจากหน้าชาน ขุนภัทรนิติธรรม ข้าราชการหนุ่มแห่งกรมอาลักษณ์ เดินขึ้นมาด้วยท่าทางมั่นใจ ในมือถือแฟ้มเอกสาร หันไปโค้งให้คุณหญิงจันทร์วาดอย่างสุภาพก่อนจะเดินตรงไปยังห้องทำงานของขุนเทวัญ
ภายในห้องทำงานของขุนเทวัญ บรรยากาศต่างจากชานเรือนโดยสิ้นเชิง ผนังไม้สักประดับตู้หนังสือแน่นทึบ โต๊ะไม้ขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางห้อง มีแผนที่สยามและดินแดนใกล้เคียงปักหมุดไว้ด้วยหมุดทองเหลือง ขุนภัทรนั่งลงตรงข้ามเพื่อนสนิท ขณะขุนเทวัญเปิดแฟ้มเอกสารราชการ
“เรื่องภาษีอากร ฉันตรวจบัญชีการเข้าออกของเรือสินค้าจากเดนมาร์กเมื่อเดือนก่อน พบว่ามีการขอลดอัตราภาษีมากกว่าที่ตกลงไว้ในสนธิสัญญา”
ขุนเทวัญพยักหน้าช้า ๆ พลางหยิบสมุดรายงานอีกเล่ม “รายงานจากกรมศุลกากร เรือจากโคเปนเฮเกน ขนสินค้ามาเต็มลำ แต่ขอเว้นภาษีโดยอ้างสิทธิพิเศษ”
ขุนภัทรขมวดคิ้ว “นั่นน่ะสิ พวกฝรั่งชอบตีความสัญญาเข้าข้างตัวเอง ยิ่งเป็นเรือจากชาติที่มีทูตประจำอยู่แล้ว ยิ่งแทรกแซงง่าย”
ขุนเทวัญหลุบตามองแผ่นรายงาน “ปัญหาคือ จะรายงานขึ้นเสนาบดีได้ก็ต่อเมื่อมีหลักฐานว่าจงใจเลี่ยงภาษี ไม่ใช่แค่เข้าใจผิด”
ขุนภัทรพยักหน้า “นายว่าเราควรทำอย่างไรต่อ”
ขุนเทวัญลุกขึ้น เดินไปยังแผนที่ กรีดปลายนิ้วตามเส้นแม่น้ำเจ้าพระยาที่ลากไปถึงด่านปากน้ำ
“ฉันอยากให้นายช่วยเรียบเรียงรายงานฉบับใหม่ เสนอแนะแนวทางแก้ไข ทั้งในเชิงกฎหมาย และในเชิงความสัมพันธ์กับทูตเดนมาร์กเขียนให้กระชับ และเด็ดขาด”
“ไม่มีปัญหา”
ก่อนเดินออกจากห้อง ขุนภัทรหันมามองอีกครั้ง “ว่าแต่แม่หญิงที่นั่งพับผ้าอยู่บนเรือนที่ฉันเห็นเมื่อครู่ใช่บ่าวหรือ”
ขุนเทวัญชะงัก “ไม่ใช่บ่าว แต่ก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าคือใคร”
ขุนภัทรยิ้มเจ้าเล่ห์ “หรือจะเป็นว่าที่เมียของนาย เทวัญ”
ขุนเทวัญไม่ตอบ ได้แต่ปรายตามานิ่ง ๆ ก่อนจะพูดเพียงสั้น ๆ “ไปทำรายงานมาให้เสร็จเถอะไอ้ภัทร พูดอะไรไม่ได้ความ”
เสียงเปิดประตูไม้ดังกึกเบา ๆ ก่อนที่ขุนเทวัญจะก้าวออกมาจากห้องทำงาน ขุนภัทรตามออกมาติด ๆ สีหน้าไม่ได้จริงจังเหมือนก่อนหน้าแล้ว แต่แฝงรอยยิ้มจาง ๆ
“เรื่องที่นายให้ฉันดู ฉันจะเร่งเขียนให้ทันวันพรุ่งนี้”
“ดี ขอบใจนายมาก”
ทั้งสองเดินออกสู่ชานเรือน คุณหญิงจันทร์วาดนั่งอยู่มุมหนึ่งของเรือน ล้อมด้วยหมอนอิงลายคราม และกระเช้ามะม่วงที่รำเพยเพิ่งนำมาฝาก
ขุนภัทรยกมือไหว้อย่างนอบน้อม “สวัสดีขอรับคุณป้าจันทร์วาด กระผมต้องขออภัยที่เมื่อครู่ไม่ได้แวะมากราบ พอดีมีเรื่องด่วนกับพ่อเทวัญขอรับ”
คุณหญิงยิ้มเอ็นดู “ไม่เป็นไรหรอก อย่าคิดให้มากความ”
ขุนภัทรเหลือบตาไปทางรำเพยที่นั่งอยู่อีกฟาก รำเพยหันมาท่าทางสะโอดสะอง มือยังคงพัดเบา ๆ พัดกลิ่นน้ำอบลอยละมุน
“สวัสดีค่ะพี่เทวัญ” น้ำเสียงอ่อนหวานไม่ตกหล่นแม้ครึ่งพยางค์
ดวงตาใต้แพขนตางอนทอดมองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยแววที่พยายามไม่แสดงออกว่าพึงใจ ขุนเทวัญพยักหน้ารับเบา ๆ
“อ้าว ยืนอยู่ด้วยกันตั้งสองคน เหตุใดจึงเอ่ยทักทายเพียงคนเดียว” ขุนภัทรพูดจาค่อนขอดแม่หญิงรำเพย
รำเพยยิ้มนิด ๆ อย่างนางในวัง ก่อนลุกขึ้น “ฉันจะทักคนที่อยากทักเจ้าค่ะ”
ขุนภัทรยักคิ้ว พลางยกมือไหว้อย่างประชด “โอ้ แม่หญิงผู้งามเลิศเลือกได้เฉพาะเจาะจง ควรค่าแก่การทักทายเพียงหนึ่งเดียว บุญของข้าอยู่ต่ำกว่าระดับกลิ่นน้ำอบกระมัง ถึงได้ไม่คู่ควรแม้แต่คำว่าสวัสดี”
รำเพยเชิดคางขึ้นเล็กน้อย มือขวายังพัดช้า ๆ อย่างไม่สะทกสะท้าน
“ท่านจะอยากได้คำสวัสดีจากฉันไปทำไมหรือขุนภัทร หรือเพราะไม่ได้ยินบ่อย ก็เลยอยากเก็บไว้ฟังเล่นก่อนนอน” น้ำเสียงนุ่ม แต่ท่าทีกวนประสาทแบบแนบเนียน
“เปล่า” ขุนภัทรตอบหน้าตาย “ฉันแค่หวังว่าคนที่ชอบเรียกตัวเองว่ากุลสตรีน่ะ จะมีมารยาทพื้นฐานหรือไม่เท่านั้นเอง”
รำเพยหลุบตาลงครู่หนึ่ง แล้วแกล้งถอนหายใจระคนหัวเราะเบา ๆ “กุลสตรีจะมีมารยาทกับทุกคนเจ้าค่ะ ยกเว้นคนที่รู้จักกันตั้งแต่ยังซน คนที่ชอบแกล้งเอาตุ๊กตาของเด็กผู้หญิงไว้วาดหนวดวาดเคราจนหมดสิ้นความน่ารัก”
ขุนภัทรหัวเราะพรืด “นั่นมันเรื่องสมัยเด็ก เหตุใดเธอยังจำ”
“ความจำของฉันมันแม่นยำและฝังใจ” รำเพยพูดพลางปิดพัดเบา ๆ “โดยเฉพาะเรื่องที่พี่ภัทรแกล้งหลอกผีจนฉันวิ่งหกล้มหน้าศาลพระภูมิของกรมเสนาบดี”
เสียงคุณหญิงจันทร์วาดที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ หลุดหัวเราะอย่างขบขัน
“เอาล่ะ พอเถอะสองคนนี้ ทะเลาะกันมาตั้งแต่เด็กจนโต”
แม่หญิงรำเพยก้มหน้าเล็กน้อยเมื่อรู้ตัวว่าทำกิริยาไม่งาม ก่อนจะหันมาหาคุณหญิงจันทร์วาดอีกครั้ง
“หลานคงต้องขอตัวแล้วเจ้าค่ะคุณป้า คุณพ่อท่านนัดทานข้าวไว้ หากช้าเกินไป คงจะถูกตำหนิเอาได้”
คุณหญิงจันทร์วาดพยักหน้าอย่างเมตตา “ขอบใจที่มาหาแม่นะลูก ฝากขอบคุณคุณพระยาด้วยนะจ๊ะ”
“เจ้าค่ะ” รำเพยยกมือไหว้ แล้วเดินก้าวจากชานเรือนลง
รถยนต์โบราณคันงามจอดอยู่ใต้ต้นพิกุลริมเรือน บ่าวชายในชุดไทยแบบเรียบเปิดประตูให้อย่างคล่องแคล่ว รำเพยก้าวขึ้นรถสไบปลิวเบา ๆ ตามลมยามเย็น
เธอเหลียวกลับไปมองเรือนอีกครั้ง เพียงครู่เดียว ก่อนจะปิดประตูลงช้า ๆ เครื่องยนต์คำรามแผ่ว รถค่อย ๆ เคลื่อนตัวหายไปจากลานบ้าน ทิ้งไว้เพียงกลิ่นน้ำอบที่ยังคลุ้งอยู่ในลม และแววตาเหนื่อยใจของชายสองคนที่ยืนอยู่ตรงบันได
ขุนเทวัญหันมามองขุนภัทรแล้วถอนหายใจช้า ๆ “นายนี่มัน น่าจะเป็นคนเดียวในพระนคร ที่กล้ายั่วโมโหรำเพยได้แล้วยังรอดมาได้ทุกครั้ง”
ขุนภัทรหัวเราะพรืด “ก็มันอดไม่ได้ ฉันเห็นหน้าเธอทีไร หมั่นไส้ขึ้นมาทุกที แค่มันเคยชิน ตั้งแต่พวกเรายังวิ่งเล่นกันริมคลอง ทะเลาะกันทุกวัน แต่เอาเถอะ อย่างน้อย เธอก็ยังกลับบ้านด้วยรอยยิ้ม ถึงจะเป็นเพราะฉันไปยั่วให้โมโหก็ตาม”
ที่หลังม่านไม้ใกล้ศาลาเล็กเงาเงียบ ๆ ของหญิงสาวคนหนึ่ง ที่ไม่ได้อยู่ในวงสนทนาแอบฟังเงียบ ๆ จนถึงคำสุดท้าย
เมษายิ้มกรุ้มกริ่ม พลางพึมพำเบา ๆ
“แรก ๆ ก็ตีกัน หลัง ๆ ก็ได้กัน ใช่มั้ยแม่พลอย”
แม่พลอยที่เดินตามหลังมาแค่ครึ่งก้าวกลั้นหัวเราะแทบไม่ทัน
“พูดจาอะไรน่าเกลียดแม่เมษา แต่ดู ๆ ไปสองคนนี่ก็เข้ากันดีอยู่นะ”
เมษาทำตาโต ประสานนิ้วเข้าหากันแกล้งทำท่าหัวใจ “แบบนี้ในยุคฉันเขาเรียกว่าคู่จิ้น จิ้นได้เลยไหมแม่พลอย ฉันจะลงโพสต์ให้นะ ถ้ามีโทรศัพท์อ่ะ”
แม่พลอยหัวเราะพรืดจนต้องเอามือปิดปาก “พูดจาอะไรพิลึกพิลั่นอีกแล้ว”
ตั้งแต่แม่เมษาหล่นตุ๊บเข้ามาสู่ยุครัตนโกสินทร์ตอนกลางและมาอยู่ในเรือนขุนเทวัญได้หลายวันคุณหญิงจันทร์วาดก็มองอยู่ห่าง ๆ ยังไม่ได้สืบสาวเล่าความอันใดให้เป็นแก่นสาร นั่นเพราะด้วยเหตุยังไม่มีเวลาว่างจะจัดการ และด้วยเพราะเมษาพูดจาไม่รู้ความเป็นภาษามนุษย์เลย และในเช้าวันนี้คุณหญิงก็อดไม่ได้อีกต่อไป“แม่พลอย ไปตามแม่เมษามาพบฉันแต่เช้า อย่าให้ต้องรอนาน”แม่พลอยวิ่งแจ้นไปถึงครัว เมษาที่กำลังลองทอดไข่ดาวด้วยเตาถ่านก็สะดุ้ง“ไปเร็วเถอะเมษา คุณหญิงท่านเรียกหา แล้วก็ระวังกริยามารยาทให้ดีด้วยนะคุณหญิงท่านเป็นคนเจ้าระเบียบ”เมษาสะบัดผ้าซิ่น พูดหน้าระรื่น “เอาน่า เดี๋ยวฉันจัดให้ คนอย่างเมษามีทักษะการเจรจาดีเริ่ด”ที่ห้องโถงในเรือนหลังใหญ่ คุณหญิงจันทร์วาดนั่งอยู่ตรงกลางห้องบนตั่งไม้สูง สวมผ้าไหมสีกรมปักดิ้นทอง แววตาสงบนิ่งเมษาค่อย ๆ ย่อตัวนั่งลงตรงหน้า ยิ้มแหย ๆ “กราบสวัสดีเจ้าค่ะคุณหญิงแม่ กราบสวัสดีค่ะคุณพี่ขุนเทวัญ”ขุนเทวัญนั่งอยู่ข้างแม่ สีหน้าเรียบนิ่งคล้ายจะสงบ แต่ในใจคงไม่สงบเพราะไม่รู้ว่าแม่เมษาจะแผลงฤทธิ์พูดจาโฉ่งฉ่างต่อหน้าผู้เป็นแม่ของเขาเมื่อใดเมษานั่งอยู่ตรงหน้าเพื่อบทสนทนาจากอีกฝ่าย
ยามเย็นในเรือนไทยนั้นเงียบสงบกว่าทุกเวลาที่เมษาเคยสัมผัส ไม่มีเสียงรถ ไม่มีข่าวในทีวี ไม่มีแจ้งเตือนจากมือถือ มีเพียงเสียงลมพัด เสียงนกร้อง และแสงอาทิตย์ที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีส้มทองเมษานั่งบนชานเรือน ใกล้ศาลาเล็กใต้ร่มไม้ ขุนเทวัญนั่งอีกฝั่งของตั่งไม้ เตรียมเอกสารบางอย่างไว้ในมือ แต่ยังไม่ลงมืออ่านเมษาหันไปมองเขา ก่อนจะถามขึ้นอย่างลังเล “คุณพี่ขุนเทวัญคะ ขอถามอะไรหน่อยได้มั้ย”ขุนเทวัญเงยหน้าขึ้น มองเธอนิ่ง ๆ ก่อนพยักหน้า “ว่ามาเถิด หากตอบได้ ก็จะตอบ”“ตอนนี้ปีอะไรเหรอคะ”ขุนเทวัญนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบช้า ๆ “ก็จุลศักราชหนึ่งพันสองร้อยสามสิบห้า”“จุลศักราช” เมษากระพริบตา ขอโทษนะคะ เอาเป็นพุทธศักราชได้มั้ย”ขุนเทวัญยิ้มบาง ๆ “พุทธศักราชสองพันสี่ร้อยสิบหก”“แล้วตอนนี้เป็นแผ่นดินของพระมหากษัตริย์พระองค์ใด”“พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าน่ะ ทำไมหรือ”เมษาถึงกับนิ่งไป มือน้อย ๆ ยกขึ้นนับนิ้วเงียบ ๆ ในใจ ก่อนจะอุทานเบา ๆ“นี่มันสมัยรัชกาลที่ห้า”ขุนเทวัญพยักหน้าอย่างนุ่มนวล “ใช่แล้ว สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงทศพิธราชธรรมยิ่งนัก”เมษาหันหน้าไปมองท้องฟ้าสีส้ม เสียงลมหายใจของเธอแผ
บ่ายวันต่อมาในเรือนใหญ่ ขุนเทวัญนั่งพินิจเอกสารอยู่ในศาลาเล็กหน้าบ้าน แสงแดดลอดผ่านต้นพิกุลเป็นลายเงาบนโต๊ะไม้ เสียงฝีเท้าของแม่พลอยกับเสียงบ่นของใครบางคนก็ดังมาพร้อมกัน“แม่พลอย นี่เธอแน่ใจเหรอว่าผ้าถุงมันต้องรัดแน่นขนาดนี้อะ ฉันว่าฉันกำลังจะขาดอากาศหายใจตายไปซะก่อน”แม่พลอยหัวเราะคิก “อดทนหน่อยน่า กระโดกกระเดกแบบเธอ ต้องรัดแน่น ๆ เดี๋ยวผ้าผ่อนไปหลุดเอาต่อหน้าพวกคุณท่าน จะอายเอา”ขุนเทวัญเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวผู้ที่กำลังหมุนตัวเองดูชุดผ้าถุงสีสดราวกับนางแบบเดินแฟชั่นโชว์เขาถอนหายใจเบา ๆ“แม่เมษา” เสียงนิ่ง เรียบ แต่ดักสติเธอให้หยุดหมุนในพริบตา “ฉันเห็นเธอสวมชุดของคนในเรือนแล้ว ยังแลดูพิลึกอยู่มาก”เมษาหันมายิ้มแห้ง ๆ “ก็ฉันพยายามแล้วนี่คะคุณพี่ขุน แต่ยังไงมันก็ใส่ไม่สบายอยู่ดี ขอกลับไปใส่ชุดแบบที่ฉันเคยใส่มาตอนวันแรกได้ไหม”“ชุดแปลกประหลาดแบบนั้น มันจะไปหาซื้อได้ที่ไหนกันล่ะ” เขาหันไปทางแม่พลอย “เอาเงินนี่ไป พาแม่เมษาไปเลือกซื้อผ้าเสียที ให้ได้ชุดที่เหมาะกับหญิงไทย อย่าให้ต้องใส่สิ่งแปลกประหลาดอีก บอกให้ไอ้เฟื่องขับรถไปส่ง”แม่พลอยรับคำทันที “ได้เลยเจ้าค่ะท่านขุน”เมษายกมือไหว้แบบลวก
เช้าวันถัดมา แสงแดดอุ่นยามสายลอดผ่านบานหน้าต่างไม้เข้ามาในเรือนบ่าว กลิ่นน้ำอบอ่อน ๆ ลอยเคล้ากับกลิ่นขนมไทยที่แม่พลอยทำไว้แต่เช้าเมษานั่งกอดหมอนใบเล็กอยู่บนฟูก สวมผ้าถุงที่เกือบหลุด ข้างตัวมีสมุดกับดินสอที่แม่พลอยเตรียมไว้ให้ตามที่เธอขอ แต่สิ่งที่เธอจดไม่ใช่สูตรกับข้าวหรือบทกลอน“สิ่งที่ควรรู้เพื่ออยู่รอดในยุคที่ไม่มีกูเกิ้ล”แม่พลอยเดินเข้ามาพร้อมขันน้ำใบเล็ก “วันนี้ฉันจะสอนเธอนุ่งผ้าใหม่อีกทีนะ ไม่ใช่เดินแล้วชายหลุดเหมือนเมื่อวาน” “แล้วก็คำพูด อย่าเผลอพูดอะไรแปลก ๆ ต่อหน้าท่านขุนอีกนะ”เมษายิ้มเจื่อน “ยอมแล้วจ้ะ วันนี้จะเป็นเด็กดีของเรือนไทย แบบเท่าที่ฉันจะทำได้”ภารกิจที่ 1 นุ่งผ้าถุงแบบหน้านางแม่พลอยนั่งพับเพียบอย่างคล่องมือ มือซ้ายจับชายผ้า มือขวาพับจีบแนบต้นขาเมษาทำตามอย่างตั้งใจสุดฤทธิ์ แต่ทุกทีที่ลุกขึ้น ชายผ้าก็เบี้ยว บางทีก็หลุดลงมาตุงอยู่ตรงหน้าขาอย่างน่าอับอาย“เอ่อ แม่พลอย มีเวอร์ชั่นสำเร็จรูปแบบซิปมั้ยอะ แบบที่ดึงปุ๊บแล้วจบเลย เหมือนกางเกงน่ะ เข้าใจป้ะ”แม่พลอยเงยหน้าขึ้นมามองอย่างงง ๆ “ซิปอะไรอีกล่ะนั่น”“ซิปไง ซิป ตัวล็อกผ้าที่รูดขึ้นลงปื๊ด ๆ ไม่ใช่เชือก ไม่ใช่กระดุ
“โอ๊ย เดินจากเรือนนู้นมานี่ทุกวันคือไม่ต้องเข้ายิมแล้วมั้งเนี่ย” เมษาบ่นเสียงดังพลางย่อตัวลงนั่งพักตรงชานเรือนด้านล่าง ผ้าถุงที่แม่พลอยจัดให้ยังพับไม่เป็นระเบียบ เดินไม่คล่อง นั่งก็ไม่สบาย“ไหนไวไฟ อยู่ตรงไหนคะ ใครมีพาสเวิร์ดบ้าง แล้วมือถือฉันไปไหนเนี่ย” เสียงของเธอดังลั่นเรือนแม่พลอยที่เดินถือถาดใบตองมาถึงหน้าชานจำต้องทำคิ้วขมวดอีกครั้ง“ไว อะไรนะ”ยังไม่ทันได้ตอบ เสียงฝีเท้าแน่นหนักก็ดังขึ้นทางระเบียงไม้ ขุนเทวัญที่เพิ่งเดินมาจากเรือนด้านในหยุดยืนอย่างสงบ มองลงมายังหญิงสาวผู้แปลกประหลาดเบื้องล่าง คิ้วเข้มของเขาขมวดเข้าหากันช้า ๆ ราวกับต้องใช้แรงในการแปลภาษา“แม่เมษา เธอโวยวายสิ่งใด ฉันให้ไปอยู่กับเรือนแม่พลอย เธอติดขัดอะไรหรือเปล่า”เมษาหันขวับ ยกมือเท้าเอวทันทีแบบไม่ยอมแพ้ นี่ตกลงจะยังคอสเพลย์เป็นท่านขุนไม่เลิกอีกหรือไง ช่วงแรก ๆ มันก็สนุกดีอยู่แหละ แต่ตอนนี้เมษาชักเริ่มอารมณ์ไม่ค่อยจะดีแล้ว แม้เธอจะคิดว่านี่อาจเป็นการซ่อนกล้องเพื่อถ่ายอะไรบางอย่าง เธอก็เลยเออออตามน้ำไปแค่นั้นเอง“โอเค...งั้นถามตรง ๆ เลยค่ะ ไม่มีไวไฟใช่มั้ย ไม่มีอินเทอร์เน็ต ไม่มีสัญญาณมือถือเลย”ท่านขุนเลิกคิ้วขึ
กล้องมือถือบนขาตั้งวางอย่างมั่นคงในห้องนอนคอนโดสไตล์ลอฟต์ แสงไฟริงสะท้อนใบหน้าเรียวคมของหญิงสาวที่ชื่อว่าเมษากานต์ หรือที่ใคร ๆ ในโลกออนไลน์รู้จักในชื่อเมษาพาแซ่บ บิวตี้บล็อกเกอร์สาววัยยี่สิบห้า ผู้มากับวาจาปรอทแตกและแหกคอนเทนต์รีวิวตัวแม่ตัวมารดาไม่ไหว“สวัสดีค่า เมษามาแล้วค่ะทุกคน วันนี้เรามาในลุคพิธีกรสารคดีแห่งชาติ เพราะของที่อยู่ในมือเมษาตอนนี้ ไม่ใช่ของเล่นนะคะทุก ๆ คน แต่มันคือ สร้อยโบราณของจริง”เธอพูดพร้อมหมุนสร้อยในมือเล่นไปมา ตัวสร้อยดูเก่าแก่แต่มีพลังบางอย่าง มันเป็นทองคำสลักลายประณีต พร้อมจี้กลมเล็กที่มีลายไทยวิจิตร ดูไปแล้วก็แอบหรูแบบคลาสสิกมากกว่าน่ากลัว“ทุกคน ดูสร้อยที่เมษาเพิ่งซื้อมาสิ เมษาไปเจอที่ร้านขายของเก่า แล้วเมษาก็ เอ่อ...แอบตื่นเต้นค่ะ เพราะเขาบอกว่าสร้อยเส้นนี้น่ะ เคยเป็นของคุณหญิงคนหนึ่งในสมัยรัตนโกสินทร์เลยทีเดียว ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่ ใช่หรือมั่ว ของเก่าขนาดนั้นจะยอมขายให้เมษาถูก ๆ เหรอ ก็ไม่รู้สินะ” เธอยักไหล่พลางยิ้มกรุ้มกริ่ม มองสร้อยเหมือนของเล่นใหม่“อย่าหาว่าเวอร์วังนะ เมษาว่าสร้อยเส้นนี้มันแบบ มีพลังลึกลับอะ แค่จับก็เหมือนใจสั่นเบา ๆ แล้ว ถ้าเป็นข







