Share

Chapter 2

ฉันเข้าไปในวิทยาเขตของวิทยาลัย และได้ยินนักเรียนโห่ใส่ฉันแล้ว ฉันก้าวขึ้นบันไดโดยไม่สนใจพวกเขาให้มากที่สุด ฉันหยุดหลังจากไปถึงบันได มันยากที่เดินผ่านคนยี่สิบกว่าคนที่โห่ไล่คุณ แต่อย่างน้อยฉันก็ได้ไปตามทางของฉัน และหลังจากวิ่งให้เร็วที่สุดเท่าที่ฉันจะทำได้ ตอนนี้ฉันก็เหนื่อยจนหายใจไม่ออก ฉันก้มดูสอบนาฬิกาข้อมือและเหลือเวลาเพียงสิบห้านาทีเท่านั้น สำหรับการบรรยายครั้งแรก และส่วนที่แย่ที่สุดคือลิฟต์ดันมาเสียตอนนี้ และห้องเรียนของฉันอยู่บนชั้นสี่ ฉันต้องรีบถ้าไม่อยากพลาดการบรรยาย ฉันหันไปอีกทางเพื่อขึ้นบันไดและ

“โครม...!!!! “

ฉันล้มกระแทกกระพื้นอย่างจัง รอบนี้ฉันเจ็บมากจนต้องใช้เวลาสองสามนาที กว่าจะทำใจกับเสียงหัวเราะของคนที่อยู่ตรงนั้น - มาร์คัส แมคกราธ ตัวร้ายที่สุดในมหาลัย คุณจะสามารถพูดได้ว่าเขาเป็นคนพาลที่สุด ฉันยืนขึ้นและเริ่มเดินผ่านเขา แต่ความโหดร้ายขวางทางฉันไว้อีก

“ออกไปให้พ้นทางของฉัน” ฉันสั่งและผลักเขาอย่างแรง

“ฉันเดาว่า การเดินชนเข้ากับคนอื่น คงเป็นงานอดิเรกของเธอ” เสียงนั้นกล่าว แต่นั่น ไม่ใช่เสียงของ มาร์คัส

เสียงที่คุ้นเคยแต่ไม่คุ้นเคยซะงั้น ฉันหันไปมองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าฉัน เจ้าคนหยาบคาย มาร์คัส ไปแล้ว และมีเพียงคนเดียวที่ยืนอยู่ตรงหน้าฉัน ฉันประหลาดใจที่เห็นเขาที่นี่ในวิทยาลัยของฉัน เพราะฉันไม่เคยเห็นเขาในวิทยาลัยนี้มาก่อน เขาคงเป็นนักเรียนใหม่ซินะ

“การไปชนคนอื่นเป็นงานอดิเรกของคุณเหรอ?”

“ก็ถ้าเธอไม่ได้ตาบอด เธอก็คงจะเห็นว่าฉันตั้งใจผลัก” ถึงเวลาที่ฉันจะต้องทำตัวหยาบคายแล้ว เขาเดินจากไปโดยไม่พูดอะไรเลย อีกแล้ว!

เขาเป็นคนแบบไหนกันนะ?

“ฉันขออนุญาตเข้าไปข้างในได้ไหม” ฉันมาสายสำหรับชั้นเรียนนี้อีกครั้ง และแฮร์รี่ จะไม่ละเว้นฉัน

“อา คุณแบลร์ เราทุกคนอดทนรอการมาถึงของคุณ หวังว่าคุณจะไม่มีปัญหากับการหาทางไปห้องเรียน คุณต้องการเครื่องดื่มอะไรไหม” และทั้งชั้นเรียนก็หัวเราะออกมา แน่นอนว่าพวกเขาจะสนุก เพราะเป็นฉันเองที่โดนเยาะเย้ยและดุด่ามาตลอด

“ฉันขอโทษค่ะ ครั้งหน้าฉันจะไม่มาสาย”

“ออกไป!!!!” เขาตะโกนดังพอที่จะทำให้ทุกคนนิ่งเฉย

“ออกไปจากชั้นเรียนของฉัน!” ฉันได้ยินเสียงกระซิบและหัวเราะคิกคัก เมื่อเดินออกไป เขาไม่อนุญาตให้ฉันนั่งในชั้นเรียนของเขา เขาเป็นผู้อำนวยการหลักสูตร และเขาไล่ฉันทั้งวัน คำพูดของเขาด้วยเปล่งออกมาด้วยน้ำเสียงที่น่าสยดสยอง เป็นความน่าอับอายอย่างมาก ฉันถูกไล่ออกทั้งวัน แต่ไม่ได้หมายความว่าฉันจะกลับบ้านได้ ไม่มีเหตุผลอะไร

ฉันสาปแช่งชะตากรรมของ ฉันนั่งอยู่บนม้านั่งแห่งหนึ่งในวิทยาเขตของเรา ไม่มีใครในวิทยาเขตยกเว้นฉัน ดังนั้นฉันจึงตัดสินใจปล่อยความหงุดหงิดออกไป ฉันอารมณ์เสียและโกรธในเวลาเดียวกัน ฉันเอามือซุกหน้าตัวเองและนร้องไห้สะอื้น จนคนรอบตัวน่าจะได้ยิน .. ถ้ามีใครข้างๆฉันนะ

"ทำไมพระเจ้าทำไม? ทำไมถึงมีแค่ฉันที่ต้องโดนอะไรแบบนี้” ฉันตะโกนออกไปด้วยความเจ็บปวด แหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า

“ทุกคนเกลียดฉัน ฉันทำอะไรผิดมากนักหรือ ถึงสมควรได้รับความเกลียดชังเช่นนี้? ทำไมทุกคนพูดกับฉันอย่างน่ารังเกียจ” “ทั้งชั้นเรียนหัวเราะเยาะฉัน ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่ไม่หัวเราะเยาะฉัน รวมถึง มาร์คัสคนนั้น ฉันเกลียดเขา!”

“แบลร์” ฉันรู้สึกมีมือมาแตะที่ไหล่แน และรู้สึกสับสนกับการสัมผัสนั้น “แต่ฉันไม่ได้หัวเราะนะ” รูดท์ พูดอย่างไม่เสแสร้ง แต่ฉันก็ยังไม่เชื่อคำพูดของเขา

“ฉันว่านายอาจจะเป็นคนแรกที่หัวเราะออกมาก็ได้” ฉันพูดโดยไม่สบตา เพราะฉันเขินเกินกว่าจะมองเขา

“เธอคิดผิด” เขาจับมือฉัน “ฉันอยู่ข้างๆเธอนะ” ฉันดึงมือออก

“อย่ามาแตะต้องตัวฉัน” ฉันตวาด “จะไปสนใจทำไม? ปล่อยฉันไว้คนเดียวเถอะ”

ฉันนั่งอยู่คนเดียวในห้องของฉัน เปิดไดอารี่และเริ่มเขียน

วันนี้ที่วิทยาลัยช่างน่ากลัว ฉันรู้สึกไร้ค่า วันนี้ ฉันบังเอิญไปเจอ รูดท์ ซึ่งเขาหยาบคายกับฉันในตอนแรก แม้ว่าฉันจะขอโทษแล้วก็ตาม จากนั้นนักเรียนทั้งหมดก็โห่ใส่ฉันทั้งมหาวิทยาลันนั่น แล้วเหตุการณ์นั้นกับมาร์คัส แฮรี่ ยังล้อฉันเล่นต่อหน้าคนทั้งชั้นด้วย ทำไมล่ะ? เพราะฉันมาสาย แค่สามนาทีเท่านั้น! ไม่เพียงแค่นี้ ตอนที่ฉันนั่งร้องไห้อยู่คนเดียวในมหาวิทยาลัย รูดท์เดินเข้ามาหาฉันและพูดว่า 'ฉันอยู่ข้างเธอ' ทั้งหมดนี้ไม่เพียงพอสำหรับวันที่เขาใช้เกลือทาแผลของฉันใช่ไหม เขาได้ยินคำพูดของฉันในมหาวิทยาลัย และน่าจะล้อเลียนเรื่องนั้น ฉันเคยได้ยินมาหลายครั้งกว่านี้แล้ว ผู้คนพูดได้หมด แต่ไม่มีใครหมายความอย่างนั้นจริงๆหรอก ฉันอารมณ์เสีย หน้าเสีย และจิตใจหมองเศร้ามาก ฉันอยากจะตายหรือฉันหวังว่าฉันจะตื่นขึ้นมาสักวัน และตระหนักว่าทั้งชีวิตของฉันเป็นเพียงความฝัน และอนาคตจะดีขึ้น อยากจะออกไปทุกข์แบบนี้เสียที

กริ๊ง ... กริ๊ง ... กริ๊ง ...

ฉันไม่มีอารมณ์จะคุยกับใครทั้งนั้น เลยไม่ได้สนใจที่จะมองว่าใครเป็นคนโทรมา เสียงโทรศัพท์ดังอยู่แบบนั้น และฉันไม่สนใจ แต่ผู้โทรดูเหมือนจะดื้อรั้น และฉันรู้สึกหงุดหงิดกับความดื้อรั้นของมัน โทรศัพท์ของฉันไม่ได้บันทึกหมายเลขไว้ ฉันรับสายและถาม "นี่ใคร"

“อะไรทำให้เธอต้องใช้เวลานานขนาดนั้น!” เราทั้งคู่โพล่งออกมาพร้อมกัน

“ว้าว. ใจเย็นๆที่รัก ฉันเอง” ได้ยินเสียงแล้วรู้สึกอยากร้องไห้มากขึ้นไปอีก

“แบลร์? เธอรับสายสักที?... เธอกำลังร้องไห้อยู่เหรอ?” เธอจะรู้จักฉันดีขนาดนี้ได้อย่างไร ว่าแม้ในขณะที่เราอยู่ในสาย เธอก็สามารถบอกได้ว่าฉันกำลังทำอะไรอยู่ เวลาที่ฉันอารมณ์เสีย หรือฉันกำลังร้องไห้อยู่หรือไม่

“เอเลน่า… ฉันคิดถึงเธอ” ในที่สุดฉันก็พูดได้ “ฉันก็คิดถึงเธอเหมือนกัน แบลร์ ใครทำให้อะไรให้เธอช้ำใจจนร้องไห้แบบนี้? บอกมาเถอะว่ามีอะไรกวนใจเธอหรือเปล่า”

ฉันเล่าเรื่องทั้งหมดให้เธอฟัง ว่าฉันไปชน รูดท์ ได้อย่างไร ฉันเล่าเกี่ยวกับความหยาบคายของเขา และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับ มาร์คัส และพฤติกรรมของ แฮร์รี่ เซอร์ ที่มีต่อฉันด้วย เธอคอยรับฟัง คำพูดและฟังการร้องไห้ของฉัน

“แบลร์ ทำไมคุณปล่อยให้พวกเขารังแกเธออยู่นั่น” เธอพูดหลังจากที่ฉันพูดจบ

“เอเลน่า ฉันไม่รู้ว่าจะหยุดคนพวกนี้ทั้งหมดได้อย่างไร ฉันไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว” ฉันร้องไห้

“ฉันอยากอยู่เคียงข้างเธอในตอนนี้”

“ฉันก็ปรารถนาเช่นเดียวกัน ฉันคิดถึงเธอเหลือเกิน ไม่มีใครอยู่ข้างฉันเลย ตั้งแต่เธอจากไป”

“ถึงฉันอยู่ไกล ฉันอยากให้เธอรู้ว่าฉันยังอยู่เคียงข้างเธอเสมอนะ ระยะทางไม่สามารถแยกพวกเราได้”

“แน่นอน” ฉันพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

“อย่ากังวลไปเลยที่รัก อีกไม่นานฉันจะกลับไปที่ลอนดอน... เร็วๆ นี้”

"จริงๆหรือ?" ฉันดีใจกับข่าวนี้ แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะร้องไห้

"ใช่จริงๆ. แต่ตอนนี้ฉันต้องไปแล้ว ดูแลตัวเองดีๆนะ หยุดร้องไห้ได้แล้ว” เราวางสายหลังจากโบกมือลากัน

เอเลน่าเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉัน และยังเป็นเพื่อนคนเดียวของฉันด้วย เราเป็นเพื่อนกันตั้งแต่เราอยู่ในโรงเรียนอนุบาล และฉันดีใจที่มีเพื่อนแบบเธอ เธอเป็นผู้หญิงคนเดียวที่เข้าใจฉันอย่างถ่องแท้ รักและห่วงใยฉันอย่างแท้จริง เธอเป็นคนที่ทำให้ฉันมีความสุขในนรกนี้

ฉันนอนลงบนเตียงและเอาหมอนมาคลุมหน้า วันนี้มันช่างน่าเบื่อและเหนื่อยมาก ฉันจึงหลับยาวตั้งแต่เย็น พอฉันตื่นมาดูนาฬิกาแล้วพบว่า...

ห๊า...อะไร!? ตอนนี้ ตี 1 นี่หมายความว่าฉันนอนทั้งวันและข้ามมื้อเย็นไปด้วยซ้ำ ทำไมไม่มีใครมาปลุกฉันเพื่อทานอาหารเย็นเลยล่ะ

ตี 1 แล้ว ตอนนี้ฉันนอนไม่หลับแล้วซิ ฉันนั่งใกล้หน้าต่างและมองออกไปข้างนอก นี่เป็นเวลากลางคืนและข้างนอกมืดไปหมด เสียงจิ้งหรีดดังไปทั่ว ฉันมองดูดวงจันทร์ และรู้สึกอยากจะออกไปข้างนอก

พระจันทร์ก็สวยเหมือนเดิม ฉันจำคืนที่ฉันร่ายคาถาแวมไพร์นั้นได้ จริงๆ ตอนนี้ฉันควรจะเป็นแวมไพร์แล้วใช่ไหม? ฮ่า ๆ.

รู้สึกดีมากที่ได้ออกมาในช่วงเวลานี้ เมื่อไม่ผู้คน ก็ไม่มีปัญหา. ไม่มีเรื่องไร้สาระมากวนใจ มีเพียงดวงจันทร์และดวงดาว ท้องฟ้าที่เปิดโล่ง และความสงบสุข มันเงียบสงบดีจัง

ใบไม้ที่ร่วงหล่น พาฉันกลับมายังดินแดนแห่งนี้ ฉันสงสัยเพราะไม่มีลมทำให้เกิดเสียงนั้นได้ ทันใดนั้น ฉันก็เห็นใครบางคนกำลังวิ่งอยู่หลังพุ่มไม้ ตอนนี้ตี 1 กว่าแล้ว ใครกันนะ ฉันจ้องไปที่พุ่มไม้ประมาณสิบนาที แต่ไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรอีก

Related chapter

Latest chapter

DMCA.com Protection Status