อันธิกาได้เจอนฤบดินทร์อีกครั้งตอนจะขึ้นเครื่อง หญิงสาวกำลังจะถามเขาว่าไปไหนมา แต่คำถามนั้นก็ไม่ได้พูดออกไปเพราะรู้ว่าชายหนุ่มคงไม่ชอบให้ใครมาเซ้าซี้เป็นแน่
เธอเห็นนฤบดินทร์ขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อนั่งลงแล้ว เขามองไปยังแถวที่นั่งอีกฝั่งแล้วหันกลับมามองขาของตัวเองซึ่งอีกนิดก็จะชนกับเบาะแถวหน้าแล้วจึงพูดขึ้นว่า “ลำนี้จะแคบกว่าน่ะ คงต้องทนนั่งไปก่อน”
“ถึงว่าสิ” ชายหนุ่มพูดมาสั้น ๆ ก่อนจะหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกจากกระเป๋ามาเปิดอ่าน อันธิกาจึงนั่งหลับตาไปเงียบ ๆ ไม่ชวนเขาคุยอีกเพราะเธอต้องใช้ความคิดในการเอาชนะใจคนข้างตัว
ผ่านไปหลายชั่วโมงจนกระทั่งอันธิกาหลับไปจริง ๆ แต่นฤบดินทร์ไม่สามารถข่มตาให้หลับลงได้ ภาวนาให้ถึงที่หมายเร็ว ๆ เพราะอึดอัดเต็มทีกับการนั่งอยู่กับที่อย่างนี้เป็นวัน ๆ อยากยืดขาก็ทำไม่ได้ อยากลุกขึ้นบิดขี้เกียจก็เกรงใจผู้โดยสารคนอื่น ครั้งนี้เขาคิดผิดจริง ๆ ที่โดยสารชั้นธรรมดา คราวหน้าตอนบินกลับเมืองไทย เขายอมจ่ายเพิ่มเพื่อนั่ง Business Class ดีกว่า
นึกถึงตรงนี้ชายหนุ่มก็อดเหลือบมองอันธิกาไม่ได้ เขาหวังว่าตอนเรียนจบและกลับประเท
“อาทิตย์หน้าพราวเปิดเทอมแล้วใช่ไหม” ชายหนุ่มเปลี่ยนโหมดโทรศัพท์มาใช้กล้องหน้าตามเดิม“ใช่ พราวอยากให้เปิดเร็ว ๆ เพราะอยู่บ้านก็ไม่มีอะไรทำ อยากจบม.หกเร็ว ๆ อยากให้สามปีผ่านไปเร็ว ๆ” ประโยคหลังเธอพูดเสียงเบาแต่นฤบดินทร์ก็ยังได้ยินอยู่ดีเพราะเสียงของเธอเข้าลำโพงมา“ตอนนี้ก็บอกว่าอยากจบม.ปลายเร็ว ๆ แต่พอถึงเวลาเข้าจริง ๆ ก็ใจหายนะ” ชายหนุ่มหย่อนตัวนั่งบนเตียง“ก็ใช่ อีกแค่แป๊บเดียวพราวก็จะได้เป็นนักศึกษา เท่ากับว่าพี่ดินจะกลับเมืองไทยตอนพราวอยู่ปีสองพอดีเลยสิ”“ปีสามสิ แต่ถ้ามีโอกาสได้ฝึกงานกับบริษัทดี ๆ ก็อาจจะอยู่ต่ออีกสักปีแล้วค่อยกลับไทย” เขาพูดไปตามที่คิด เพราะความตั้งใจที่มาเรียน MIT นั้นก็เพื่อปูทางสำหรับการทำงานในอนาคตโดยเฉพาะ และถ้าได้ฝึกงานกับบริษัทซอฟต์แวร์ชั้นนำของโลกก็ยิ่งเป็นโอกาสดีที่เขาไม่ควรปล่อยผ่าน“โหย...พูดมาแบบนี้แสดงว่าคิดเอาไว้แล้วใช่ไหมว่าน่าจะเกินสามปีอย่างที่บอก” พราวนภาพูดเสียงอ่อย“ก็พูดเผื่อไว้ไง จะว่าไปแล้ว ไม่ว่าจะสามปีหรือห้าปีมันก็ไม่
นฤบดินทร์ยืนมองอาคารสูงสามชั้นตรงหน้าด้วยสายตาเรียบเฉย นี่คืออพาร์ตเมนต์ที่เขาต้องอาศัยอยู่ชั่วคราวระหว่างศึกษาต่อที่นี่ เขาทำสัญญาเอาไว้แค่สามเดือนเพราะคิดว่าหากไม่พอใจค่อยหาทางขยับขยายย้ายไปเช่าที่อื่น ชายหนุ่มหันมองสองสาวที่ยืนอยู่ข้างรถแล้วพูดว่า“ขอบคุณที่มาส่งนะครับ” พูดจบเขาก็ลากกระเป๋าเดินเข้าไปด้านในโดยไม่มีท่าทางประหม่าเหมือนคนที่เพิ่งเคยมาครั้งแรกเลยแม้แต่น้อยอันธิกาได้แต่มองตามหลังนฤบดินทร์ไปด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ ก่อนจะเปิดประตูแล้วขึ้นไปนั่งบนรถ ส่วนกิฟต์ก็นั่งประจำที่ฝั่งคนขับเช่นเคย“พี่ว่าเขาแปลก ๆ นะแอน เป็นพวก introvert หรือ” กิฟต์ถามขึ้นหลังจากที่ขับรถมาได้สักพัก“ก็ไม่เชิงนะพี่ จะเรียกว่าอะไรดีล่ะ แอนก็ไม่รู้จะใช้คำอะไรมานิยามคนแบบนี้ เขาเป็นคนที่มีโลกส่วนตัวค่อนข้างสูง แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่เอาใครเลยเพราะเพื่อนเขาก็เยอะอยู่ เขาไม่เคยจีบผู้หญิงก่อนเลยนะ ไม่เคยมีท่าทีสนใจผู้หญิงที่ไหนด้วยแต่เปลี่ยนแฟนได้ทุกเทอมน่ะพี่คิดดูละกัน” อันธิกาเล่าไปตามที่ตนรู้“ก็แปลว่ามีแต่ผู้หญิงเข
ส่วนใจของเขาเองนั้นเขาค่อนข้างมั่นใจว่าจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เขาเป็นคนที่ยึดติดกับสิ่งที่ตัวเองชอบหรือรักไม่ว่าจะเป็นคนหรือสิ่งของ แม้กระทั่งอาหารอย่างข้าวผัดไส้กรอก เขาก็ยังสามารถกินได้ตลอดทั้งอาทิตย์โดยไม่เบื่อ ยิ่งกับพราวนภาด้วยแล้วเขายิ่งยึดติด เพราะเท่าที่จำได้ เขายังไม่เคยรู้สึกลึกซึ้งทางใจกับผู้หญิงคนไหนเหมือนที่รู้สึกกับพราวนภาเลยสักคน แต่ถ้าถามว่าความรู้สึกแบบนี้เริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไรเขาก็ตอบไม่ได้เช่นกัน รู้ตัวอีกทีพราวนภาก็มานั่งอยู่ในใจของเขาแล้ว และเขาก็ไม่สามารถมองเธอเป็นหลานหรือน้องสาวได้อีกเลยแต่กระนั้นเขาก็ยังอยากเปิดโอกาสให้เธอได้ค้นหาหัวใจตัวเองดูว่าช่วงระยะเวลาที่ห่างกัน เธอยังรู้สึกกับเขาเหมือนเดิมไหม หรือมันค่อย ๆ เลือนหายไปตามกาลเวลา เธอจะได้รู้ใจตัวเองว่าความรู้สึกที่มีต่อเขานั้นเป็นความรักจริง ๆ หรือแค่ความผูกพันตามประสาคนที่เติบโตมาด้วยกันDin : เตรียมตัวเอาไว้เถอะ เธอได้จ่ายหนักแน่ชายหนุ่มยิ้มมุมปาก รอยยิ้มของเขาดูกรุ้มกริ่มและร้ายกาจจนคนที่แอบมองอย่างอันธิกาเห็นแล้วแทบละสายตาออกมาไม่ได้ ขณะเดียวกันก็รู้สึกอิจฉาคนที่กำลังแชตอยู
เพราะหากบอกให้เอาเด็กไว้ทั้งที่ปวันรัตน์ไม่มีความพร้อมในการเป็นแม่คน เด็กที่ลืมตาดูโลกมาจะถูกเลี้ยงดูอย่างไรในเมื่อเจ้าตัวก็ยืนยันเสียงแข็งว่าจะไม่เอาไว้อย่างเด็ดขาด แต่ถ้าหากเธอสนับสนุนให้เพื่อนทำแท้งก็ไม่มีเงินให้ยืมอยู่ดี และไม่รู้ด้วยว่าเขาทำกันที่ไหนในเมื่อการทำแท้งยังเป็นเรื่องผิดกฎหมายในประเทศนี้“แล้วฉันจะทำยังไงดีวะพราว แกช่วยฉันคิดหน่อยสิ” ปวันรัตน์พูดไปสะอื้นไปจนฟังแทบไม่ได้ศัพท์พราวนภาอยากต่อว่าเพื่อนเรื่องที่ไม่ยอมคุมกำเนิด แต่พอคิดอีกที ต่อว่าไปก็เท่านั้นเพราะเรื่องเกิดขึ้นมาแล้ว ย้อนกลับไปแก้ไขไม่ได้ ทำได้เพียงตั้งรับปัญหาที่เกิดขึ้นมาอย่างมีสติ“ฉันว่าแกลองสารภาพกับพ่อแม่ดูดีไหมวะเพื่อน ยังไงแกก็เป็นลูกนะ ท่านคงไม่ใจร้ายไล่แกออกจากบ้านหรือทำโทษแกโหด ๆ หรอก เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วยังไงก็ต้องช่วยกันหาทางออกนั่นแหละวะ”เธอคิดว่านี่คือทางออกที่ดีที่สุดแล้ว เพราะปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องเล็กที่จะสามารถจัดการกันเองได้ ปวันรัตน์ยังไม่บรรลุนิติภาวะ การทำแท้งหรือเอาเด็กไว้คงต้องให้ผู้ใหญ่เป็นฝ่ายตัดสินใจดีกว่า เพราะอย่างน้อยหากเก
หลังจากล็อกประตูรั้วเรียบร้อยแล้วพราวนภาจึงเดินเข้าบ้าน ไม่สนใจอีกฝ่ายอีก และไม่คิดจะยกมือไหว้ลาด้วยเพราะเธอก็ไม่พอใจเช่นกันที่ถูกกล่าวหาด่าทออย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยแต่คนที่เธอไม่พอใจที่สุดก็เห็นจะเป็นแม่เพื่อนตัวดีที่เอาชื่อของเธอไปอ้างทุกครั้งที่หนีไปอยู่กับแฟนเมื่อเข้ามาในห้องรับแขก พราวนภาก็เห็นสองพี่น้องผลัดกันนวดขานวดไหล่ให้ผู้เป็นย่าอย่างเอาอกเอาใจ ส่วนคุณย่านั้นก็นั่งดมยาดมพลางหลับตานิ่ง เธอจึงเดินไปนั่งพับเพียบกับพื้นแล้วกอดขาท่าน“หนูพราวขอโทษด้วยนะคะคุณย่าที่เอาเรื่องปวดหัวมาให้”ภคินีลืมตาขึ้นแล้วโบกมือไปมา “โอ๊ย มันใช่ความผิดเราที่ไหนกัน ยายคนนั้นมันไม่อยากยอมรับว่าลูกตัวเองเสียคนน่ะสิถึงได้พยายามยัดเยียดให้หลานย่าเป็นฝ่ายพาลูกสาวเสียคน คนแบบนี้แย่มากที่เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางจักรวาล ว่าแต่คนอื่นทุกคนผิดหมดยกเว้นตัวเอง ขนาดหนูเอาหลักฐานมายืนยันเขาก็ยังมาโทษหนูได้เลย เฮอะ!”พราวนภาพยักหน้าขึ้นลงช้า ๆ สายตามองเหม่อไปตรงหน้าอย่างไร้จุดหมาย ภคินีจึงพูดต่อ“เพื่อนเราคนนี้ก็แย่พอกัน ตัวเองไปก่อเรื่องเอาไว้ก
“ฉันมาตามลูกสาวกลับบ้าน ช่วยไปเรียกยายเปิ้ลลงมาที” น้ำเสียงและประโยควางอำนาจของแขกผู้มาเยือน ทำให้เจ้าของบ้านอย่างภคินีหน้าตึงขึ้นมาทันทีด้วยความไม่พอใจ เธอไม่สนหรอกว่าผู้หญิงคนนี้จะใหญ่โตคับฟ้ามาจากไหน แต่ที่นี่เป็นบ้านของเธอ เพราะฉะนั้นจะมาเสียมารยาทที่นี่ไม่ได้เด็ดขาด!“นี่คุณ! มาผิดบ้านแล้ว คุณจะตามหาลูกสาวที่ไหนก็เรื่องของคุณแต่ไม่ใช่ที่นี่ ลูกสาวคุณคือใครฉันยังไม่รู้จักเลย”“อย่ามาโกหก!” อีกฝ่ายขึ้นเสียงใส่อย่างไม่เกรงใจ ภคินีจึงลุกขึ้นยืนกอดอกแล้วจ้องคนตรงหน้าเขม็ง ขณะที่พราวนภาก็รู้สึกไม่ดีเช่นกันที่มีคนมาทำกิริยาแย่ ๆ ใส่ผู้เป็นย่าของตน“เปิ้ลไม่ได้มาที่นี่หรอกค่ะ ตั้งแต่สอบเสร็จจนปิดเทอมก็ไม่เคยเจอกันเลย” พราวนภาตอบไปตามความจริง“ไม่จริง ยายเปิ้ลบอกฉันว่ามานอนเป็นเพื่อนเธอที่บ้านเพราะเพิ่งอกหักจากแฟน นี่ก็มานอนที่นี่ได้อาทิตย์กว่าแล้ว เธอยังมาพูดอีกหรือว่าไม่เคยเจอกัน” คนพูดปรายตามองพราวนภาอย่างดูถูก“คุณป้าเข้าใจผิดแล้วค่ะ หรือไม่ก็คงจำชื่อผิดเพราะ