พยายามแล้วนะ พยายามที่จะลืมเรื่องของเด็กคนนั้นแล้วหายใจเข้าออกลึกๆ เพื่อไปดูตัวให้จบๆ ไป แต่พอมานั่งอยู่ในรถ มองวิวรอบข้างที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามเส้นทาง หัวใจที่ว้าวุ่นก็ทำให้มะเหมียวแทบจะไม่อยากไปแล้ว
หรือว่าจะโทร.ไปยกเลิกเลยดี เธอควรจะไปเจอเขาจริงๆ ไหม เกิดว่าไปเจอแล้วถูกเขาปฏิเสธอีกรอบมันจะเป็นอะไรที่กระอักกระอ่วนเกินไปหรือเปล่า
เฮ้อ...มีแต่เรื่องให้คิดมากเกินไปหมด
“ฉันส่งแค่นี้นะ ระหว่างนี้ก็ถ่ายรูปรายงานด้วย โอเคไหม?”
รู้ตัวอีกทีรถก็มาจอดที่ริมฟุตบาทหน้าคาเฟ่น่ารักๆ ร้านหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากร้านของคะนิ้งมากนัด แต่แทนที่มะเหมียวจะรีบลงจากรถ กลับเอาแต่นั่งนิ่งจนเพื่อนอดถามไม่ได้
“มีอะไรไหมวะ”
“มี...แก ฉันไม่อยากไปแล้วอะ โทรไปบอกเขาว่าไม่ว่างแล้วดีไหม”
ทั้งที่เตรียมตัวมาถึงขนาดนี้แต่กลับมาป๊อดเอาหน้างานเสียได้ ทำไงได้ก็เธอไม่อยากเป็นคนทำลายครอบครัวเขานี่นา ต่อให้พวกเขาอาจจะเลิกกันไปแล้วก็เถอะ แล้วคิดดูนะว่าชมมุกน่ะโปรไฟล์ดีขนาดไหน ตอนที่มะเหมียวยังเรียนม.ต้นอยู่ทางนั้นก็เรียนป.โทแล้ว หน้าที่การงานก็ดี เป็นถึง CEO สาวที่บริหารค่ายในเครือของภาคินทร์อีกต่างหาก เทียบกับเด็กที่จบนิเทศน์ทั้งยังจบช้ากว่าเพื่อนถึง 2 ปี ไม่มีอะไรเทียบกันได้เลย
“แกจะบ้าเหรอ มาถึงนี่แล้ว แต่งหน้าทำผมหมดไปหลายพันเลยนะเนี่ย”
ถึงหล่อนจะไม่ได้จ่ายสักแดงเดียวก็เถอะ
“ไปเลย ไปให้เขารู้ว่าแกในวัย 25 ปีมันสวยแซ่บแค่ไหน อย่าให้ใครเขาว่าเอาได้ว่าเป็นเด็กไม่รู้จักโต ไปเร็ว”
ยิ่งคะนิ้งคะยั้นคะยอมากเท่าไรมะเหมียวก็ยิ่งไม่อยากไปมากเท่านั้น กดดันจังเลย ถ้าไปแล้วจะพูดอะไรกันก่อน จะทักทายด้วยคำว่าอะไรดี เมื่อก่อนอาจจะสนิทกัน แต่ตอนนี้ไม่แล้ว ทั้งยังไม่เจอกันมานานถึง 10 ปี ไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายจะมีท่าทียังไง
แค่คิดก็อยากจะร้องไห้แล้ว
“เอาอย่างนั้นเหรอ”
“เออ แล้วถ้าจะกลับกับพี่เขาหรือจะให้ฉันมารับก็บอก จะไปรอที่คาเฟ่ใกล้ๆ โอเค๊?”
เธอตอบกลับเพื่อนด้วยการยกมือขึ้นทำเป็นโอเค แต่จริงๆ แล้วไม่โอเคเลยสักนิด แต่ก็ต้องฮึบ สูดหายใจเข้าลึกๆ ทำเรื่องนี้ให้มันจบๆ ไป
สุดท้ายเธอก็เดินเข้าไปในร้านด้วยท่าทางที่แสร้งทำเป็นมั่นใจ รองเท้าส้นสูงสี่นิ้วที่เพื่อนเลือกมาให้ทำให้เธอสั่นเล็กน้อยในทุกจังหวะการก้าวเดิน ขณะที่กำลังจะถึงประตูของร้านที่มีกระดิ่งแขวนอยู่ด้านหน้า สายตาก็ดันเหลือบไปเห็นลูกค้าคนเดียวของร้านที่นั่งอยู่โต๊ะด้านในสุดติดกับกระจก เขากำลังก้มหน้าเล่นมือถือด้วยท่าทีสงบนิ่ง แต่เธอนี่สิ...
แม่เจ้าโว้ย หัวใจนี่เต้นรัวเป็นกลองเพลเลย เธอไม่คิดว่าตัวเองจะยังจำเขาได้ทั้งที่ผ่านมานานขนาดนี้แล้ว เขาก็ยังเป็นเขา ใบหน้าหล่อเหลาแม้ว่าจะมีกระจกกั้นก็ยังแผ่ออร่าออกมาให้คนได้ทรมานใจเล่น ยิ่งเมื่ออยู่ในชุดดำทั้งตัวแบบนั้น ไม่ต้องเข้าไปมองใกล้ๆ ก็แทบจะทำให้คนตรงนี้เป็นลมตายได้เลย
เอาไงดี กลับบ้านเลยดีไหม หรือว่าจะทำใจกล้าแล้วเข้าไปเจอหน้าดี ไม่รู้ว่าทำไมอยู่ดีๆ ความรู้สึกเมื่อ 10 ปีก่อนมันกลับมาจนหมด ทั้งที่คิดว่าไม่ชอบเขาแล้วแท้ๆ ทั้งที่พยายามตัดใจอย่างหนักมาตลอด
ในใจเธอพยายามท่องยุบหนอพองหนอ หายใจเข้าออกพยายามคิดถึงหน้านัททิวที่รัก ลูกจ๋าช่วยหมั่มหมีด้วย ช่วยให้มี้ผ่านเรื่องนี้ไปได้ด้วยดีทีเถอะ
กริ๊ง~
เสียงกระดิ่งที่ประตูดังขึ้นแม้ว่าคนเปิดจะพยายามเบามือที่สุดแล้วก็ตาม เธอเกร็งเล็กน้อยพยายามก้าวเข้าไปโดยทำเป็นยังมองไม่เห็นคนที่นั่งอยู่ในร้านนี้ก่อนแล้ว
สถานที่นัดวันนี้คือคาเฟ่เล็กๆ ที่ตกแต่งด้วยต้นไม้จิ๋วในเรือนกระจก บรรยากาศภายในร้านมีความสดใสผ่อนคลายรับกับอากาศที่มีความเย็นอยู่หน่อยๆ เพลงแจซที่เปิดคลอเบาๆ ชวนให้อารมณ์ไหลไปกับเพลงพร้อมรับกลิ่นเนยที่ตลบอบอวลไปทั่วร้าน
ฮือ มันคงดีกว่านี้ถ้าเกิดว่าเขาไม่อยู่ที่นี่ด้วย คนสวยอยากจะบ้าตาย แม้ว่าจะพยายามทำเป็นมองไม่เห็นเขา แต่ในร้านก็ไม่ได้มีคนอื่นนอกจากพนักงานที่อยู่หน้าเคาน์เตอร์ ซึ่งพวกเธอก็ทำเหมือนรู้อยู่แล้วว่าจะมีหญิงสาวอีกคนมาที่นี่เลยแค่ยิ้มให้แล้วทำงานของตัวเองต่อ ด้านมะเหมียวเผลอกวาดสายตาไปมองคนที่อยู่มุมร้าน แล้วความรู้สึกบางอย่างก็เกิดขึ้นมาอีกครั้ง
ราวกับมีกระแสไฟฟ้าเล็กๆ แล่นผ่านปลายเท้าขึ้นมาที่หัวใจ แค่แวบเดียวเท่านั้นที่เธอสบสายตาที่คุ้นเคยก่อนจะเบนสายตาหนีทำเป็นมองไม่เห็น ลมหายใจเริ่มติดขัดหัวใจเต้นถี่ รู้สึกเหมือนตัวเองจะเป็นลมจนต้องเดินไปเกาะเคาน์เตอร์เอาไว้แกล้งทำเป็นมาสั่งน้ำในส่วนของตัวเอง
ไม่ไหว เธอคงไปนั่งมองหน้าเขาตรงๆ ไม่ได้หรอก ไหนบอกว่าตัวเองไม่ได้ชอบเขาแล้วไง ทำไมมันอ่อนระทวยไปทั้งตัวขนาดนี้ แล้วนี่เขาจะจำเธอได้ไหม ขนาดชมมุกที่ทะเลาะกันบ่อยขนาดนั้นยังจำไม่ได้ เขาเองก็คงเหมือนกันใช่หรือเปล่า
“สวัสดีค่ะ รับอะไรดีคะ”
พนักงานในร้านทักทายเสียงใส ที่นี่พนักงานจะสวมเสื้อโปโลสีชมพูอ่อนและผ้ากันเปื้อนลายหมีสีน้ำตาลพร้อมผูกโบสีชมพูเข้าธีม น่ารักจนอยากเข้ามาเป็นพนักงานอีกคนเลยทีเดียว
ฮือ...แต่เธอมีเวลามาชื่นชมชุดพนักงานที่ไหนกัน
“ขอดูก่อนนะคะ”
มะเหมียวแกล้งทำเป็นดูเมนู นิ้วชี้วางลงที่เคาน์เตอร์พลางเคาะเบาๆ ด้วยความประหม่า เธอมีความคิดวุ่นวายเต็มหัวไปหมด จนไม่ทันรู้ตัวเลยว่ามีคนมายืนอยู่ข้างหลังตั้งแต่เมื่อไร
“อะแฮ่ม”
“ตาเถร!!!”
เสียงกระแอมเบาๆ ของเขาทำให้หญิงสาวตกใจหันหลังพร้อมร้องเสียงดังลั่น แต่นั่นคงไม่เป็นไรหากว่ามือของเธอไม่เผลอไปปัดใส่แก้วตกแต่งที่วางอยู่ใกล้มือจนมันตกพื้น
มันคงจะตกแตกจนกลายเป็นความวุ่นวายเล็กๆ หากว่าคนที่ทำเธอตกใจไม่ก้มไปรับมันเอาไว้ก่อนที่จะหล่นถึงพื้นทำให้แก้วใบนั้นไม่ต้องแตกไป ซ้ำเธอก็ไม่ต้องได้รับบาดเจ็บจากเศษแก้วพวกนั้นอีกด้วย
ตกใจหมดเลย!
คนตัวสูงยืดตัวขึ้นตามเดิมก่อนจะวางมันกลับลงที่เคาน์เตอร์ เสียงก้นแก้วกระแทกไม้เบาๆ ดังก้องอยู่ในใจของมะเหมียว ในจังหวะที่เขายืดตัวขึ้นมาสายตาประสานกันราวกับจงใจจ้องเธออยู่ก่อนแล้ว ราวกับว่าโลกใบนี้มีเพียงแค่เราสอง เธอถูกสะกดให้ตกหลุมรักคนตรงหน้าอีกครั้งทั้งที่พยายามตัดใจนานถึง 10 ปี
เป็นเขา...ภาคินทร์ คัลเลน คนเดิมที่เธอเคยรู้จัก
แต่ว่า...เฮียต่างจากที่มะเหมียวคิดเอาไว้มาก ก่อนที่เราจะจากกันเขาเป็นผู้ชายที่ติดมองเธอด้วยสายตาเย็นชา ชอบกอดอกหรือไม่ก็เอามือล้วงกระเป๋าเหมือนไม่อยากจะมาวุ่นวายกับเธอเท่าไร ซ้ำยังรักษาระยะห่างจนคนน้องหน้าเสียอยู่บ่อยครั้ง แต่ตอนนี้เขากลับเข้ามาใกล้มากจนใบหน้าจะแนบกันอยู่แล้ว ยิ่งเมื่อยืนเต็มความสูง จังหวะที่ก้มหน้าลงมามองมันช่างกร้าวใจจนหญิงสาวอยากยกมือขึ้นอุดปากกรี๊ด
ไม่ไหว มีผลต่อใจเกินไป
ลืมหมดเรื่องความตั้งใจที่จะล้มเลิกงานแต่ง ความน่าอายจากความทรงจำสมัยวัยรุ่นที่เธอต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการลืมมันก็ได้หายไปจนหมดเช่นเดียวกัน
“ฮะ...เฮีย”
เธอเหมือนจะหลุดโฟกัสไปแล้ว หัวใจมันเต้นแรงจนไม่ได้ยินเสียงสิ่งรอบข้าง แต่คำพูดของเขาก็ทำให้เธอดึงสติตัวเองกลับมาได้
“ไง จำกันไม่ได้?”
เธอต่างหากที่ต้องถามว่าเขาจำได้ยังไง แน่ใจว่าตัวเองตอนนี้ไม่ได้มีเค้ายัยมะเหมียวคนเดิมเลยแม้แต่น้อย ทั้งส่วนสูง ผิวพรรณ รูปร่าง ทรงผม หรือแม้แต่การแต่งหน้า เขาเห็นเธอแวบๆ แค่จากทางด้านหลังก็จำได้เลยเหรอ?
สายตาของภาคินทร์มองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า ทันใดนั้นมือก็เอื้อมมาข้างหน้าจวนจะแตะเข้ากับหน้าท้องของเธออยู่แล้ว มะเหมียวสะดุ้งน้อยๆ เกือบจะถอยหลังหลบ แต่ก็ต้องชะงักฝีเท้าเอาไว้เมื่อสิ่งที่เขาจับขึ้นมาดูคือผ้าพันคอเส้นเล็กที่เธอสวมอยู่ซึ่งมีโลโก้แบรนด์ติดที่ปลาย
“คงจำได้แหละเนอะ ที่ใส่วันนี้ยังเป็นชุดของเด็กในสังกัดเฮียเลย”
“เปล่าซะหน่อย!”
เธอดึงมันออกมาจากมือเขาแล้วถอยหลังไปสองสามก้าว ใบหน้าหวานฉายแววหงุดหงิดเล็กๆ แต่ก็มีอาการเห่อร้อนขึ้นมาด้วยความอับอาย
ก็เขาไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไปเลยแม้ว่าจะผ่านไปแล้ว 10 ปีก็ตาม ใครจำไม่ได้ก็ควายแล้ว
แต่พอเห็นเธอขมวดคิ้วมองอย่างเคืองๆ ใบหน้าหล่อเหลากลับปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาเสียอย่างนั้น
ยิ้มอะไรคนบ้า ประสาทกลับหรือไง
“แล้วนี่มัวทำอะไรอยู่ เฮียรอตั้งนานแล้วนึกว่าจะเดินเข้าไปหา”
เขาพยักพเยิดไปทางโต๊ะที่เขานั่งอยู่ก่อนหน้านี้ มีน้ำและขนมบางส่วนที่เขาสั่งเอาไว้ก่อนแล้ว อันที่จริงเธอจะเดินตรงเข้าไปเลยก็ได้ แต่เพราะถูกเขากวนอารมณ์เมื่อครู่เลยเกิดอยากกวนกลับขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“ทำอะไรมันก็เรื่องของหนูไหมคะ”
“พูดจาไม่น่ารัก”
ไม่เห็นจะอยากน่ารักในสายตาเขาซะหน่อย เมื่อก่อนเธอพยายามทำตัวน่ารักแทบตายต่อหน้าเขายังถูกปฏิเสธอย่างไม่ไยดี ตอนนี้จะมาอยากให้พูดจาน่ารักอะไร เพ้อเจ้อ!
ไหนๆ เธอก็ตั้งใจมาเพื่อล้มเลิกการแต่งงานตั้งแต่แรก ไม่เห็นจำเป็นต้องทำตัวน่ารักต่อเขาเลยจริงไหม แม้ว่าหัวใจจะเต้นโครมครามจนหยุดเอาไว้ไม่อยู่เวลาที่เห็นหน้าเขา แต่เธอก็ต้องทำทุกอย่างเพื่อคิรินเด็กน้อยที่น่าสงสารคนนั้น
หญิงสาวยกแขนขึ้นกอดอกแล้วเชิดหน้ามองคนที่อยู่ตรงหน้า รอยยิ้มเย่อหยิ่งปรากฏขึ้นทำให้อีกคนแปลกใจเล็กๆ
“เราไปนั่งกันเลยไหมคะ หรือว่าไม่ต้องนั่งแล้ว เพราะน่าจะคุยไม่นาน”
คิ้วเข้มขมวดด้วยความงุนงงทำให้มะเหมียวยิ่งได้ใจ เธอเดินเข้าไปใกล้เขาแล้วเงยหน้ามองจนปลายจมูกแทบจะชนกันพร้อมพูดจาท้าทายเขาออกมา
“หรือว่า...จริงๆ แล้วอยากคุยกันท่านี้?”
โอ๊ย...แกกล้าพูดออกไปได้ไงเนี่ยมะเหมียว น่าอายที่สุด หน้าเธอนี่ร้อนไปหมดแต่ก็พยายามทำเป็นนิ่งไม่ให้อีกฝ่ายจับได้ คะนิ้งจะต้องภูมิใจที่ได้เทรนเพื่อนคนนี้มาเป็นอย่างดี วิชาอ้อยผู้ 001 ได้เวลาใช้งานแล้ว
เอ่อ...แต่ตอนนี้เธอกำลังใช้วิชานั้นกับคนที่ตัวเองจะปฏิเสธการแต่งงานเนี่ยนะ มันได้เหรอวะ...คงได้แหละ
“จริงๆ ก็คุยได้นะ ถ้าหนูไม่เมื่อยคอ”
แต่พอเขาตอบกลับมาเท่านั้นแหละ หัวใจที่มีอยู่แค่นี้ของมะเหมียวก็ยิ่งเล็กจิ๋วลงยิ่งกว่าเดิม เธอเสียอาการเล็กน้อยขาทำท่าจะถอยหลังกลับไปอีกครั้ง แต่กลับถูกมือของเขารวบเอวเอาไว้แล้วดึงเข้าหาตัว
ตึกตัก...
เสียงหัวใจของเธอมันเต้นแรงจนแทบจะได้ยินถึงอีกคนอยู่แล้ว คนที่ทำเป็นเก่งเมื่อครู่ใจอ่อนยวบจนแทบจะเหลวคาอ้อมกอดของเขาอยู่แล้ว แล้วไหนจะคำว่า ‘หนู’ ที่เขาพูดออกมา มันจั๊กจี้หัวใจจนมวนท้องไปหมด
“หรือว่า...อยากคุยท่านี้”
“พะ...พอเลย!”
ในที่สุดเธอก็สูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่แล้วทำใจผลักเขาออกไปได้ รู้สึกเหมือนจะหน้ามืดเป็นลมไปตรงนี้ เกิดว่าเขายังมาทำตัวอันตรายต่อใจเธอแบบนี้เธอจะชักตายต่อหน้าเขาให้ได้เลยนะ
มะเหมียวถอยหลังออกมาสองสามก้าวก่อนจะพยักพเยิดไปทางพนักงานซึ่งตอนนี้ช็อกตาตั้งหน้าแดงก่ำเป็นที่เรียบร้อย
เข้าใจแหละ เพราะเธอตอนที่เห็นนัททิวอยู่กับคู่จิ้นของเขาอย่างทีเร็กซ์เองก็รู้สึกไม่ต่างกัน
“พี่พนักงานเขารอรับออเดอร์อยู่นะคะ”
เธอพยายามควบคุมเสียงตัวเองไม่ให้สั่นมากไปกว่านี้ แต่ก็พอสัมผัสได้ว่ามันคงไม่ช่วยเท่าไรนัก...
“ก็ออเดอร์ของหนู ไม่ใช่ของเฮียสักหน่อย”
แล้วช่วยเลิกเรียกว่าหนูด้วย มันจะไอ้นั่นเกิน!
สุดท้ายเพื่อให้เรื่องตรงนี้จบ มะเหมียวตัดสินใจเดินไปสั่งกาแฟมาแก้วหนึ่งแล้วเดินตามเขาไปยังที่นั่งแต่โดยดี
พนักงานรับออเดอร์เรียบร้อยเราก็มานั่งที่โต๊ะ เธอเพิ่งสังเกตว่าเขาสั่งมารอก่อนแล้ว ชีสเค้กหน้าไหม้ 1 ชิ้นและสมูทตี้โยเกิร์ตถูกวางเอาไว้ตรงที่นั่งฝั่งตรงข้ามเขาซึ่งต้องเป็นของเธออย่างไม่ต้องสงสัย
เข้าใจเลือกดีนะ นี่ถ้าเธอเป็นผู้หญิงทั่วไปที่มาเดตกับเขาเป็นครั้งแรกคงประทับใจอยู่นิดหน่อย แล้วดูจากที่รอบแก้วแทบไม่มีไอน้ำเกาะเลยแสดงว่าเขาคงไม่ได้มารอนานอย่างที่โม้เอาไว้แน่ๆ
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”
เป็นเขาที่เริ่มบทสนทนาขึ้นมาก่อน ใบหน้าหล่อเหลาเผยรอยยิ้มเล็กๆ ทำให้เธอขมวดคิ้วมองด้วยความงุนงง
อะไรทำให้เขาอารมณ์ดีขนาดนี้กันนะ มีความสุขที่เมื่อกี้แกล้งเธอได้สำเร็จงั้นเหรอ คนโรคจิต เมื่อก่อนชอบแกล้งเธอยังไง 10 ปีผ่านไปก็ไม่เปลี่ยนไปเลย ในขณะที่เธอใจสั่นจนแทบจะเป็นบ้าที่เจอหน้าเขา เขากลับเหมือนไม่รู้สึกอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว
น่าน้อยใจชะมัด
“ไม่ต้องพิธีรีตองขนาดนั้นก็ได้ค่ะ หนูมานี่ตามคำสั่งแม่ แล้วก็ไม่ได้คิดจะแต่งงานกับเฮียด้วย เฮียเองก็ไม่ได้คิดจะแต่งงานกับหนูใช่ไหมคะ งั้นเราไปบอกคุณย่าเลยก็ได้”
ถึงจะคิดเรื่องนี้มาแล้วตลอดทางก็เถอะ แต่พอเป็นฝ่ายพูดเองไม่รู้ทำไมมันเจ็บอะไรอย่างนี้ เขาคงไม่รู้ว่าที่ผ่านมาเธอต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการลืมเขามาโดยตลอด แต่รู้อะไรไหม ความพยายามพวกนั้นมันไม่มีค่าอะไรเลยเมื่อได้เจอหน้าเขาอีกครั้ง แค่เขาเข้ามาใกล้ไม่กี่วินาที ทุกอย่างก็พังทลายลงไปหมด
เธอยังคง...ชอบเขามากจริงๆ แล้วมันก็น่าเจ็บปวดที่เธอคงไม่สามารถทนได้หากว่าต้องแต่งงานไปทั้งที่เรื่องของคิรินยังคาราคาซังอยู่แบบนั้น เธอไม่อยาก...ทำลายครอบครัวใครเหมือนที่ตัวเองโดน
“ไปบอก? เรื่องอะไร เรื่องที่หนูตกลงจะแต่งงานกับเฮียเหรอ?”
มะเหมียวมองค้อนเขาทันที ยังแกล้งกันไม่เลิกอีกนะคนนิสัยไม่ดี
“เรื่องที่จะไม่ตกลงต่างหาก” เธอว่าเสียงเข้ม “ไหนๆ เราสองคนก็ต่างคนต่างไม่ชอบกัน จะตกลงไปทำไม”
“เหรอ แน่ใจนะว่าไม่ชอบกัน”
ยังไม่เลิกอีก เขานี่มันน่ารำคาญที่สุดเลย ลูกก็มีแล้วทั้งคนยังจะมาทำตัวกะลิ้มกะเหลี่ยใส่คนอื่นเขาอยู่ได้
“แน่ใจค่ะ หนูไม่ชอบเฮีย ไม่ชอบมาตั้งนานแล้วด้วย”
“งั้นที่เมื่อก่อนพยายามจีบอยู่ตั้งนานก็เป็นเฮียที่เข้าใจผิดไปเองงั้นสิ?”
เธอไม่คิดว่าเขาจะลืมเรื่องนั้นไปแล้วหรอก แต่ก็ไม่คิดว่าเขาจะเอาเรื่องนี้มาพูดในเวลาแบบนี้เหมือนกัน มันสำคัญด้วยเหรอที่เมื่อก่อนเธอเคยชอบเขามากยังไง ที่สำคัญมันคือตอนนี้ต่างหาก
“ค่ะ แต่ตอนนั้นก็ส่วนตอนนั้น ตอนนี้ก็ส่วนตอนนี้”
“จะบอกว่าตอนนี้ไม่ชอบแล้ว?”
ทำไมชอบย้อนเธอด้วยคำถามอยู่เรื่อย คิ้วสวยขมวดมุ่นด้วยความหงุดหงิดอยู่หลายครั้ง พยายามข่มใจตัวเองไม่ให้เผลอปรี๊ดแตกวีนใส่เขาจนกลายเป็นความทรงจำไม่ดีไป แต่อีกใจก็อยากวีนให้รู้แล้วรู้รอด เขาจะได้รู้ซะบ้างว่าไม่ควรมายั่วโมโหผู้หญิงอย่างเธอ
หมายถึง...ผู้หญิงที่ชอบเขามากๆ ไม่กล้าแม้แต่จะหงุดหงิดใส่เขาน่ะ
“เฮียแล้วแต่เราเลยนะ ถ้าเราไม่เต็มใจ ก็ไม่บังคับกัน แต่อย่าลืมนะว่าคุณย่าคงไม่เชื่อแน่ๆ ถ้าเฮียไปบอกปากเปล่าว่าเราไม่ตกลง”
ที่เขาพูดมาก็มีเหตุผล ของแบบนี้เธอเองต้องเป็นฝ่ายไปบอกผู้ใหญ่ด้วยตัวเอง อีกอย่าง สองบ้านเราเคยสนิทกันมากๆ แต่ตั้งแต่กลับมาเธอยังไม่ได้เข้าไปไหว้ท่านเลยสักครั้ง
“งั้นก็ดีลค่ะ แต่คงไม่ใช่วันนี้นะคะ หนูอยากขอเวลาเตรียมตัว”
“เอาที่หนูสะดวกได้เลย”
สีหน้าของเขายังคงยิ้มเหมือนเจอเรื่องสนุกบางอย่างที่ถูกใจเขามากๆ มันยิ่งทำให้มะเหมียวนอยหนัก เธอเจ็บอยู่นะที่ตัวเองต้องปฏิเสธแบบนี้ทั้งที่ไม่อยากเลยแม้แต่นิดเดียว แต่เขากลับไม่รู้สึกอะไรเลยทั้งยังยิ้มหน้าระรื่นได้อีกต่างหาก
เฮ้อ...หวังแค่ว่าพอจบเรื่องนี้เราจะไม่ต้องเจอกันอีก ไม่ว่าวันนี้หรือวันไหนก็ตาม เธอไม่อยากต้องตกหลุมรักเขาแล้วพยายามหักห้ามใจซ้ำๆ อีกต่อไปแล้ว
ใครๆ ต่างก็บอกว่า เธอช่างโชคดีจังเลย เกิดมาไม่มีอะไรสักอย่าง ครอบครัวก็กลางๆ หน้าตาก็ไม่ได้ดีเด่อะไรมากมาย ขนาดถึงขั้นล้มละลายก็ยังมีครอบครัวว่าที่สามีเอ็นดูซัพพอร์ตเสมอ ล้มแต่ละครั้งเหมือนล้มลงบนฟูก จนถึงตอนนี้ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักอย่างแต่ก็ได้รับแต่สิ่งที่ดีที่สุดหากเป็นเมื่อก่อนเธอคงนอยจนซึมไปหลายวัน แต่พอเล่าให้ภาคินทร์ฟัง เขาก็บอกว่าทำไมต้องสน คนพวกนั้นมีดีแค่พูดเรื่องคนอื่นไปวันๆ ไม่เห็นว่าชีวิตพวกเขาจะดีกว่าเราตรงไหน ครอบครัวล้มละลายแล้วยังไง ต้องพึ่งพาครอบครัวสามีแล้วยังไง การมีคนที่พร้อมหนุนหลังเราไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นยังไงก็ดีกว่าตัวคนเดียวไม่ใช่หรือไงเพราะอย่างนั้น...เธอจึงปล่อยวางทุกอย่าง ปล่อยให้มันเป็นเรื่องของอนาคตแล้วเข้าพิธีแต่งงานโดยไม่สนใจอะไรอีกต่อไปต่อหน้าผู้คนมากมายที่มาร่วมยินดีในวันแห่งความสุขของหลานชายคนโตตระกูลคัลเลน ต่อหน้าเพลงบรรเลงที่ดังคลออยู่ตลอดเวลาเช่นเดียวกับหัวใจที่เต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ ต่อหน้าดอกไม้ ผ้าประดับ เธอยังคงสั่นด้วยความตื่นเต้น ราวกับว่าทุกก้าวบนพรมสีขาวที่นำไปสู่แท่นพิธี คือจุดจบของความวุ่นวายทั้งหมดที่ชีวิตได้เจอมาชีวิตที่ตกหลุมรัก
“ปล่อยกู กูบอกว่าให้ปล่อยกู!!”วัชระถูกจับกุมตัวในที่สุด เขาถูกตั้งข้อหาหนักทั้งทำร้ายร่างกาย ฉ้อโกง รวมไปถึงพยายามฆ่า ภาคินทร์ทำทุกอย่างแม้แต่การใช้อำนาจในทางมิชอบ ทำให้เขาไม่ได้รับการประกันตัว แต่คนอย่างวัชระมีหรือจะยอม ทุกครั้งที่มีคนเข้าเยี่ยมเขามักจะโวยวายขอประกันตัวสู้คดี แต่คงไม่คิดว่าทุกครั้งจะเป็นภาคินทร์ที่เข้ามาเขาไม่ยอมให้มะเหมียวหรือใครได้เจอผู้ชายคนนี้อย่างเด็ดขาด เรื่องบางเรื่อง คนของเขาช้ำใจแค่ครั้งเดียวก็พอแล้ว อย่ามาเสียใจกับอะไรเดิมๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีกเลย อีกอย่างงานแต่งงานก็ใกล้เข้ามาแล้ว เขาไม่อยากให้มีอะไรมากระทบทั้งนั้นแต่เห็นคนในชุดนักโทษแล้วก็อดเวทนาไม่ได้ คนพวกนี้ทรยศครอบครัว หักหลังโดยคิดถึงแค่ผลประโยชน์ แค่ความพึงพอใจของตัวเอง สมควรแล้วที่จะต้องทรมานไปตลอดชีวิต“กูบอกว่าให้ปล่อยกูไง ไปเรียกทนายมาเดี๋ยวนี้ แล้วนี่ลูกเมียกูอยู่ไหน ทำไมไม่เห็นมีใครมาเยี่ยมเลย โธ่เว้ย!!!”วัชระทุบกระจกหนาตรงหน้าด้วยความหัวเสีย ระหว่างภาคินทร์และเขานอกจากกระจกหนาที่กั้นเอาไว้ยังมีตาข่ายเหล็กอีกชั้น ทั้งคนในห้องขังยังมีกุญแจมือสวมอยู่อีก อิสระที่หายไปในชั่วพริบตาเพียงเพราะความขาดการ
“กรี๊— อุ๊บ!”มะเหมียวเผลอหลุดกรี๊ดออกมาด้วยความตกใจ ในจังหวะที่เธอหันมาแล้วเจอว่ามีคนมายืนอยู่ข้างหลังโดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าเขามาตั้งแต่เมื่อไร ทว่าเพียงแค่อ้าปากยังไม่ทันได้ส่งเสียง กลับถูกมือเย็นๆ อุดปากเอาไว้ก่อน“ชู่ว อย่าเสียงดัง นี่โรงพยาบาลนะ”คนตรงหน้ายกมือขึ้นแตะปากตัวเองพลางบอกให้เธอเงียบ ดวงตาที่เบิกโพลงเริ่มมีน้ำตาคลอเมื่อเห็นว่าคนที่อยู่ตรงนี้คือใครไอ้เฮียบ้า เขานี่เอง“ฮึก...” คนที่ทั้งกลัวทั้งตกใจเริ่มสะอึกสะอื้น น้ำตาไหลลงมาเป็นทางโดนใส่มือภาคินทร์ที่ปิดปากของเธออยู่ เขาตกใจรีบปล่อยเธอให้เป็นอิสระก่อนจะถามเสียงตื่น“เป็นอะไรครับ เฮียขอโทษที่เล่นอะไรไม่รู้เรื่อง ตกใจมากไหมมาโอ๋ๆ นะ”เขารั้งคนตัวเล็กเข้ามากอดจนทั้งตัวจมอก เสียงสะอื้นไม่มีท่าทีสงบลงง่ายๆ แต่เขาก็ไม่ได้ว่าอะไร เพียงแค่ยกมือขึ้นลูบหัวคนน้องเบาๆ แล้วพูดปลอบใจเท่านั้น“ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไรแล้ว”“ฮึก...ฮือ...”ตกใจเรื่องที่เขาเล่นอะไรไม่รู้เรื่องก็เรื่องหนึ่ง แต่สิ่งที่ทำให้เธอร้องไห้หนักกว่าเดิมคงไม่พ้นเรื่องที่คิดอยู่ก่อนหน้านี้ มันอึดอัดมากจริงๆ ยากจะหาที่ระบายในยามที่ทุกคนต่างก็กำลังเครียด ทำได้แค่ร้องไห
เมื่อวานเกิดเรื่องที่บริษัทนิดหน่อย เขาไม่คิดว่าจู่ๆ คนที่ไม่ควรจะอยู่ที่นั่นมากที่สุดกลับไปโผล่ที่บริษัทหน้าตาเฉยวัชระ พ่อของมะเหมียวเขาเป็นประธานบริษัทเล็กๆ ที่ทำด้านส่งออกบรรจุภัณฑ์พลาสติก เมื่อก่อนคุณย่าของเขาก็เคยร่วมหุ้นด้วยแต่พอเพื่อนรักอย่างคุณยายของมะเหมียวเสียท่านก็ขายหุ้นทิ้งและไม่ได้สนใจบริษัทนั้นอีก ภาคินทร์เพิ่งจะได้ข่าวว่าบริษัทขาดทุนหนักและกำลังจะล้มละลายแต่ไม่คิดว่ามันจะเร็วอย่างนี้“คือว่า...อา...แค่เห็นว่าเราสองครอบครัวกำลังจะเกี่ยวดองกัน”ร้อยวันพันปีคนอย่างวัชระไม่เคยคิดเข้ามาข้องเกี่ยวกับตระกูลคัลเลน อย่าว่าแต่เรื่องเกี่ยวดองกัน แม้แต่ช่วงเวลาเลวร้ายที่สุดที่ทางนี้ต้องเผชิญข่าวเสียหายก็ไม่เคยเห็นหัว มีแค่วันนั้นที่คุณย่าเชิญเขามาร่วมงานในฐานะแขกเลยได้พบกันมันทำให้เขารู้ว่าจริงๆ แล้วไม่ควรทำอย่างนั้นเลย คนพรรค์นี้ให้เกียรติไปก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรกับชีวิต ทั้งยังหาแต่เรื่องวุ่นวายมาให้“คุณอามีเรื่องอะไรให้ผมช่วยหรือเปล่าครับ”คุยนานไปก็มีแต่จะเสียเวลา เขารีบตรงเข้าประเด็นพร้อมทั้งหยิบมือถือขึ้นมาเล่นไปพลาง เขาไม่ได้กำลังทำตัวเสียมารยาทแต่กำลังหาข่าวของบริษัทนั
ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้...วัชระนั่งทำแผลอยู่ในบ้านตัวเองด้วยความเจ็บใจ นึกถึงเรื่องที่บ้านหลังนั้นแล้วก็ได้แต่กัดฟันกรอด สองแม่ลูกนั่นมันกล้าดียังไงถึงทำกับเขาแบบนี้ ที่ผ่านมาลูกสาวของเขาเป็นเด็กดี ว่าง่าย ไม่เคยเถียงพ่อแม้สักคำเดียว ทั้งหมดนี่ต้องเป็นความผิดของแม่มันอย่างไม่ต้องสงสัย“แล้วเรื่องที่ให้ไปคุยเป็นยังไงบ้างคะ เนี่ย ถ้าเราไม่หาเงินไปจ่ายค่าปรับในเดือนหน้าเราจะล้มละลายกันจริงแล้วนะคะ”กานพลู ภรรยาใหม่ของวัชระว่าด้วยสีหน้าหงุดหงิด หลังช่วยกันประคับประคองบริษัทมาหลายปีแต่สุดท้ายก็ไปไม่รอด ติดหนี้หัวโตกำลังถูกฟ้องล้มละลาย โชคยังดีที่มีเงินสดติดตัวอยู่บ้างให้พอได้ซื้อข้าวกินไปวันๆ แต่เรื่องหนี้สินก็เป็นเรื่องที่เจ้าหล่อนคิดไม่ตกคิดแล้วก็อยากย้อนเวลากลับไปเมื่อ 18 ปีก่อน ตอนนั้นไม่น่าเห็นแก่เงินเป็นชู้กับผัวชาวบ้านจนมีลูกด้วยกัน วัชระในตอนนั้นทั้งหล่อทั้งรวย เป็นลูกเขยของตระกูลที่มีทรัพย์สินกว่าห้าร้อยล้าน ซ้ำตอนที่เผลอใจมีอะไรกันหลายครั้งจนตั้งท้อง เขายังบอกให้หล่อนเก็บเรื่องลูกไว้เป็นความลับ จะเลี้ยงดูปูเสื่อสองแม่ลูกอย่างดีไม่ให้ลำบากเรื่องมาโป๊ะแตกตอนที่ลูกสาวคนเล็กของเขาอ
พ่อออกไปแล้ว ทิ้งความเงียบหลังความวุ่นวายเอาไว้ที่เบื้องหลัง ยอมรับว่าเรื่องเมื่อกี้เธอตกใจมากๆ จนแทบสติแตก แต่พอเห็นว่าแม่ที่จิตใจไม่ปกติพยายามอย่างมากที่จะเข้มแข็งเพื่อต่อต้านพ่อเป็นครั้งแรก ลูกสาวอย่างเธอจึงต้องพยายามฮึบเพื่อไม่ให้แม่ต้องดิ่งมากไปกว่านี้เธอพาแม่ขึ้นมาบนห้องแล้ววานแม่บ้านมาทำความสะอาดเศษแก้วให้ ก่อนจะส่งแม่เข้านอนโดยไม่พูดหรือไม่ถามอะไรแม่สักคำแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าระหว่างเราสองแม่ลูกจะไม่มีอะไรค้างคาอยู่ในใจ“เหมียวลูก...”ก่อนจะล้มตัวลงนอนเป็นแม่ที่พูดขึ้นมาก่อน ฝ่ามือสั่นเทายกขึ้นมาลูบกรอบหน้าลูกสาวอย่างแผ่วเบา มองรอยตบที่ตอนนี้เริ่มจางลงไปบ้างแล้ว แต่ก็รับรู้ได้ว่าลูกคงเจ็บอยู่บ้าง“หนูเจ็บไหม แม่ขอโทษนะที่ปล่อยให้มันมาทำร้ายลูก”“ไม่เจ็บค่ะแม่ แม่ไม่ต้องห่วงหนูนะคะ สมัยเรียนหนูก็ตบกับเพื่อนบ่อยจะตาย แค่นี้ไม่เป็นไรหรอกค่ะ”ถึงจะบอกอย่างนั้นแต่แรงตบเมื่อกี้ก็เริ่มทำพิษแล้วเช่นกัน เธอไม่อยากให้แม่ไม่สบายใจมากไปกว่านี้ เรื่องแค่นี้เธอทนได้สบายมากอยู่แล้ว“แม่นอนพักนะคะ เรื่องวันนี้แม่ลืมมันไปซะ อย่าเก็บมาคิดอีก”“เหมียว แม่ถามจริงๆ นะลูก ถ้าเกิดว่าเฮียรู้เรื่องบ