เพลงเปิดของซีรีส์ '
ไมตรี' ติดหูที่สุดสำหรับผมเพราะมันจับจังหวะความเรียบง่ายแล้วดึงความรู้สึกขึ้นมาทีละนิด เมโลดี้ใช้กีตาร์อะคูสติกคู่กับเปียโนเบา ๆ แล้วเติมเสียงสังเคราะห์บางชิ้นให้เกิดมิติ ทำให้ท่อนฮุคสั้น ๆ ที่ร้องซ้ำในคอรัสเข้าไปอยู่ในหัวโดยไม่รู้ตัว ผมชอบวิธีที่เพลงเปิดนี้ไม่หวือหวาเหมือนเพลงป็อปทั่วไป แต่เลือกใช้พื้นที่ว่างและจังหวะหายใจเพื่อให้ภาพเครดิตและหน้าตาของตัวละครค่อย ๆ ประทับใจ เพลงนี้เลยกลายเป็นเสมือนการเปิดประตูให้ผู้ชมเตรียมใจรับเรื่องราว การได้ยินมันครั้งแรกระหว่างซีนทิวทัศน์ในเมืองทำให้ผมหยุดดูและฟังพร้อมกัน ซึ่งเป็นสัญญาณว่ามันทำงานได้ยอดเยี่ยมในฐานะเพลงเปิด
ทว่าเพลงปิดของ 'ไมตรี' ก็มีบทบาทไม่แพ้กัน โดยมักจะเป็นบัลลาดเสียงร้องนุ่ม ๆ ที่ปล่อยความรู้สึกค้างไว้หลังแต่ละตอน เสียงนักร้องมีโทนอบอุ่นและไม่ร้องโอ้อวด คำร้องเน้นสั้นแต่กินใจ ทำให้หลายครั้งที่ฉากสุดท้ายจบทิ้งปมแล้วเพลงปิดขึ้น เพลงนั้นเป็นตัวเราเองย้ำอารมณ์ของบทสนทนาและภาพสุดท้าย หากเพลงเปิดปลุกให้ตื่น เพลงปิดก็ชวนให้คิดต่อและครุ่นคำนึงถึงตัวละคร ผมจำได้ว่าหลังดูตอนหนึ่งที่มีการเปิดเผยความลับ เพลงปิดที่เล่นพร้อมภาพแสงไฟริบหรี่ยังคงติดอยู่ในหัวจนเช้าวันรุ่งขึ้น ทำให้ผมกลับมาคิดถึงโทนและน้ำหนักของเรื่องมากกว่าพลอตเพียงอย่างเดียว
นอกจากนี้มีธีม instrumental สั้น ๆ ที่เกิดขึ้นทุกครั้งเมื่อสองตัวละครหลักได้ใกล้ชิด เพลงธีมเล็ก ๆ นั้นใช้ไวโอลินสองสายกับแซ็กโซโฟนเบา ๆ เป็นโครงสร้าง แล้วจบด้วยซินธิไซเซอร์ตัวเล็ก ๆ ทำให้ทุกฉากที่มันโผล่มาดูมีเสน่ห์เฉพาะตัว บางท่อนเป็นเมโลดี้ง่าย ๆ ที่ผมเอามาครวญในใจเวลาเดินทาง ทำให้การดูต่อเนื่องเปลี่ยนเป็นประสบการณ์เชื่อมโยงระหว่างดนตรีกับความทรงจำของฉาก เช่นเดียวกับการได้ยินเสียงเบสทุ้ม ๆ ในซีนเครียด ๆ ที่ทำให้ความตึงเครียดเพิ่มขึ้นโดยไม่ต้องพูดอะไรอีกเยอะ
โดยสรุปแล้ว ถ้าให้เลือกเพลงที่ติดหูที่สุด ผมมักจะนึกถึงเพลงเปิดเป็นอันดับหนึ่งรองลงมาคือเพลงปิด แล้วตามด้วยธีมสั้น ๆ ที่คอยทำหน้าที่เย็บความรู้สึกระหว่างฉาก เพลงทั้งหมดใน 'ไมตรี' ไม่ได้หวือหวาแต่ใช้ความละเอียดอ่อนในการเรียงตัวโน้ตและการวางเลเยอร์เสียงจนกลายเป็นสิ่งที่ยากจะลืม ผมยังคงฮัมท่อนสั้น ๆ ของเพลงเปิดตอนทำงาน และบางครั้งการได้ยินท่อนเดียวในโฆษณาหรือคาเฟ่ก็พาให้คิดถึงซีนหนึ่งในซีรีส์ — นั่นแหละคือสัญญาณของเพลงที่ดีสำหรับผม