ภาคนี้ 'แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับ เจ้าชายเลือดผสม' นำแสดงโดยแกนหลักที่แฟนๆ คุ้นเคย ได้แก่ แดเนียล แรดคลิฟฟ์ (รับบท แฮร์รี่ พอตเตอร์), รูเพิร์ต กรินท์ (
รอน วีสลีย์) และ เอ็มมา วัตสัน (เฮอร์ไมโอนี เกรนเจอร์) โดยมีนักแสดงสมทบที่มีบทสำคัญอย่าง ทอม เฟลตัน (เดรโก มัลฟอย), อลัน ริคแมน (เซเวอรัส สเนป), ไมเคิล แกมบอน (อัลบัส ดัมเบิลดอร์), จิม บรอดเบนท์ (ฮอเรซ สลักฮอร์น), แม็กกี สมิธ (มักกอนนากัล) และจูลี วอลเตอร์ส (มอลลี่ วีสลีย์) รวมถึงนักแสดงชุดเดิมอีกหลายคนที่ช่วยเติมมิติให้โลกพ่อมดดูสมจริงขึ้น David Yates ยังคงรับหน้าที่กำกับ ทำให้โทนหนังยังคงมืดและเข้มข้นขึ้นกว่าภาคก่อนๆ ซึ่งเป็นเวทีให้การแสดงของนักแสดงหลายคนเติบโตขึ้นอย่างชัดเจน
งานแสดงของแดเนียลในภาคนี้มีความโตขึ้นทั้งด้านอารมณ์และท่าทาง ฉากที่ต้องแบกรับความเจ็บปวดและความสับสนภายในตัวเองเขาทำได้ชัดเจนกว่าเดิม ผมชอบที่เขาไม่พยายามโชว์ลูกเล่นมาก แต่เลือกใช้สายตาและการหดตัวของท่าทางเพื่อสื่อความอัดอั้น ส่วนรูเพิร์ตยังคงเป็นคนน่ารักที่ให้มุมน้ำพักน้ำแรงเป็นหลัก แต่ก็มีหลายช่วงที่รอนต้องแสดงความกล้าหาญและไม่มั่วซั่วในสไตล์ตลกอีกต่อไป เอ็มมาแสดงบทเฮอร์ไมโอนีในมุมที่คนรักต้องยอมรับ ทั้งความฉลาด ความห่วงใย และความตึงเครียดด้านความสัมพันธ์ ซึ่งทำให้เธอมีมิติที่ลึกขึ้น การที่หนังให้เวลาเล่าเรื่องความรักระหว่างแฮร์รี่กับจินนี่ก็ทำให้บทของบอนนี่ ไรท์ (จินนี่) น่าสนใจขึ้น แม้ว่าจะถูกย่อลงจากฉบับหนังสือก็ตาม
นักแสดงสมทบเป็นสิ่งที่ยกหนังนี้ขึ้นมา อลัน ริคแมนยังคงฉายแววลึกลับและเต็มไปด้วยน้ำหนักทางอารมณ์ในบทสเนป ฉากสุดท้ายที่มีความหมายสะเทือนใจนั้นเขาแสดงออกมาอย่างเยือกเย็นแต่เจ็บปวด ในทางกลับกัน ไมเคิล แกมบอนในบทดัมเบิลดอร์มีทั้งความอบอุ่น ความอ่อนแอ และความตั้งใจที่ชัดเจนซึ่งทำให้ฉากสำคัญอย่างการเผชิญหน้ากับมัลฟอยหรือตอนในถ้ำมีน้ำหนักขึ้น จิม บรอดเบนท์เป็นการเติมสีสันที่สนุกและอบอุ่นให้บทสลักฮอร์น โดยเฉพาะฉากความทรงจำที่เป็นกุญแจสำคัญของเรื่อง นอกจากนี้ แม็กกี สมิธและจูลี วอลเตอร์สยังคงให้ความรู้สึกเป็นบ้าน เป็นพื้นฐานของโลกที่ตัวละครเหล่านั้นต่อสู้เพื่อมัน
หนังมีจังหวะที่ช้าลงในบางจุดเพื่อให้ความสัมพันธ์และความเจ็บปวดได้รับการขยาย นักแสดงหลายคนรับมือกับจังหวะนี้ได้ดี ทำให้ฉากสำคัญอย่างการค้นความทรงจำของสลักฮอร์น การเดินทางไปยังถ้ำ และเหตุการณ์บนหอคอยของฮอกวอตส์มีอารมณ์ที่กระแทกใจ แม้ว่าการดัดแปลงจะตัดรายละเอียดไปบ้าง แต่การแสดงของทุกคนช่วยรักษาหลักอารมณ์ของหนังสือไว้ได้ ผมรู้สึกว่าภาคนี้เป็นจุดเปลี่ยนที่ชัดเจนทั้งสำหรับตัวละครและนักแสดงที่รับบท พอจบแล้วเหลือความขมขื่นปนหวังในอก ซึ่งทำให้ผมยิ่งติดตามต่อไปอย่างไม่อาจหยุดคิดได้