ห้องใต้ดินที่ถูกดัดแปลงให้คล้ายห้องนอนทั่วไปกลับเย็นเยียบจนแทบหยุดลมหายใจ เมลินรู้สึกเหมือนถูกจองจำอยู่ในคุกที่โหดร้ายยิ่งกว่าคุกจริง—คุกที่กล่อมเธอด้วยม่านหนา เตียงนุ่ม และแสงไฟหลอกตา หญิงสาวนั่งนิ่งอยู่ที่มุมเตียง กอดเข่าตัวเองเอาไว้แน่น ดวงตาแดงช้ำบวมเป่งจากการร้องไห้ไม่หยุดตั้งแต่ถูกจับแยกจากลูกชายที่สนามบิน
“น๊อต...” เธอพึมพำชื่อเขาแผ่วเบา ปลายนิ้วเย็นเฉียบกำแน่นจนเล็บจิกเข้าเนื้อหนัง เธอไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน ไม่รู้ว่าตอนนี้เขากำลังกลัวหรือร้องไห้หรือเปล่า เด็กชายวัยสี่ขวบที่ไม่ค่อยเข้าใจโลกใบนี้มากนัก เติบโตมากับแม่เพียงคนเดียว ไม่มีญาติ ไม่มีใคร แม้แต่พ่อของเขา...คนที่ควรจะรักเขาเป็นคนแรก ก็ไม่เคยแม้แต่จะถามถึง
ตอนที่ถูกชายแปลกหน้าลากตัวเธอขึ้นรถ เมลินดิ้นสุดแรงแต่ไร้ประโยชน์ และภาพสุดท้ายที่เธอเห็นก่อนที่รถจะเคลื่อนตัวออกไปก็คือเด็กชายในอ้อมแขนของชายคนหนึ่ง เขาถูกอุ้มขึ้นรถอีกคันที่จอดรออยู่ แววตากลมโตของลูกชายที่เต็มไปด้วยความตื่นกลัว ฝังลึกอยู่ในหัวใจของเธอราวกับแผลสาหัสที่ไม่มีวันสมาน
“หนูจะต้องไม่เป็นอะไร... แม่จะหาทางไปหาหนูให้ได้” เธอกัดฟันแน่น น้ำตาไหลเงียบ ๆ เป็นสาย หญิงสาวสวดภาวนาให้เขาได้อยู่ในที่ปลอดภัย แม้เธอจะไม่รู้เลยว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ และชายที่เคยเป็นทุกอย่างของเธอ กลับเป็นคนที่พรากเธอจากลูกชายด้วยมือของตัวเอง
—
ห้องพักเด็กที่ตกแต่งอย่างอบอุ่นด้วยโทนสีฟ้าอ่อน ภาพการ์ตูนและของเล่นกระจัดกระจายอยู่เต็มพื้น เด็กชายตัวน้อยค่อย ๆ ขยับเปลือกตาตื่นขึ้นจากนิทรา ดวงตากลมโตกระพริบถี่ ๆ มองสำรวจไปรอบตัวด้วยความสับสน
“หม่าม๊า...?” เสียงใสสั่นเครือหลุดจากริมฝีปากเล็ก ก่อนที่เขาจะหันซ้ายหันขวาอย่างตื่นตระหนก ห้องนี้ไม่ใช่ห้องของเขา ไม่ใช่ห้องที่เขาคุ้นเคย และไม่มีแม้แต่เงาของแม่ที่เขารัก เด็กชายเริ่มสะอื้น ร้องไห้ออกมาดังลั่น พยายามจะปีนลงจากเตียง แต่ขายังไม่ทันถึงพื้น เสียงฝีเท้าเร่งรีบก็ดังขึ้นหน้าประตู
“โอ๋ๆ ไม่ร้องนะคะคนเก่ง” หญิงสาวในชุดพี่เลี้ยงรีบตรงเข้าไปหาเด็กน้อย พยายามยื่นมือไปปลอบ แต่เด็กชายกลับเบี่ยงตัวหนี ดวงตากลมโตเต็มไปด้วยน้ำตาและความหวาดกลัว
“หม่าม๊า! ฮือๆ หนูจะกลับบ้าน! หนูจะหาแม่!”
เสียงร้องไห้แทบฉีกหัวใจพี่เลี้ยงสาวให้ขาด เธอพยายามพูดปลอบ กอดปลอบ และยื่นกล่องของเล่นมาให้ แต่ทุกความพยายามไร้ผล เด็กชายไม่ยอมแตะต้องอะไรทั้งสิ้น เอาแต่ร้องไห้หนักขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุดก็หลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน หายใจสะอื้นติดขัดเป็นช่วง ๆ ขณะที่มือเล็กยังกำเสื้อของตัวเองแน่น
พี่เลี้ยงมองเขาด้วยแววตาเวทนา ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทรออก เสียงของเธอสั่นไหวแต่พยายามข่มให้มั่นคง
“ค่ะคุณคีรินทร์ เด็กไม่ยอมกินอะไรเลยค่ะ เอาแต่ร้องหาแม่จนหมดแรง ดิฉันคิดว่าควรเรียกคุณหมอมาดูอาการค่ะ...”
ห้องควบคุมส่วนตัวถูกซ่อนอยู่ด้านในสุดของคฤหาสน์หลังใหญ่ ภายในเงียบงัน มีเพียงเสียงของเครื่องปรับอากาศ และเสียงกดแป้นพิมพ์ที่ดังเป็นระยะ ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของทุกพื้นที่บนจอมอนิเตอร์ที่รายล้อมรอบตัวนั่งอยู่ในเงามืดของเก้าอี้หนังตัวใหญ่ คีรินทร์ ไม่ได้หลับตลอดทั้งคืน
จอหลักตรงกลางฉายภาพจากกล้องวงจรปิดห้องใต้ดิน เผยให้เห็นหญิงสาวที่ถูกควบคุมตัวไว้ในห้องพักที่ไม่มีหน้าต่าง เมลิน...ผู้หญิงที่เขาเคยรัก และเป็นคนเดียวที่กล้าทิ้งเขาไปอย่างไม่มีคำอธิบาย สีหน้าของเธอในจอเต็มไปด้วยความอ่อนล้า หวาดหวั่น และเจ็บปวด หญิงสาวนั่งนิ่งอยู่ที่ขอบเตียง ท่ามกลางแสงไฟสลัว เธอดูเปราะบางเหลือเกินจนเขาเองก็ไม่อาจละสายตาได้
“หลอกลวงฉันยังไม่พอ ยังพาเด็กเข้ามาในเรื่องนี้อีก...” คีรินทร์พึมพำกับตัวเอง เสียงแหบต่ำเหมือนกรวดที่บดกันกลางอก
เสียงสั่นของมือถือขัดจังหวะความคิด มือเรียวยกขึ้นกดรับสาย ลิซ่าคนสนิทเอ่ยเสียงเร่งรีบผ่านปลายสาย
“บอสคะ...พี่เลี้ยงรายงานว่าเด็กไม่ยอมกินอะไรเลยค่ะ ร้องไห้ทั้งคืน ตอนนี้อ่อนแรงจนแทบไม่มีแรงจะลุก พี่เลี้ยงขออนุญาตเรียกหมอเข้ามาตรวจนะคะ”
คิ้วหนาเรียวขมวดแน่นทันที ริมฝีปากเม้มแน่น คีรินทร์หันขวับไปยังจอภาพอีกจอที่ฉายห้องนอนแขกสำหรับเด็กชาย เด็กชายที่เขาสั่งให้จับตัวมาพร้อมผู้หญิงคนนั้น เด็กน้อยวัยสี่ขวบกำลังซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม ร่างกายบอบบางสั่นไหวเบาๆ จากแรงสะอื้น แม้ไม่ได้ยินเสียง แต่แววตาภายใต้ขนตาน้อยๆ คู่นั้น มันช่างตัดลึกในใจคนมอง
สายตาเรียบเย็นของคีรินทร์แปรเปลี่ยนเป็นสับสนเล็กน้อย รอยย่นกลางหว่างคิ้วยิ่งชัดขึ้น เมื่อเขามองใบหน้าของเด็กคนนั้นนานขึ้น...มีบางอย่างคุ้นเคยเหมือนเดจาวูที่เคยพบในอดีต
“เด็กคนนั้น...” ลิซ่าก้าวเข้ามาในห้องควบคุมหลังเคาะเบาๆ เธอมองตามสายตาของเจ้านายแล้วก็เผลอหลุดปาก
“บอสคะ…เด็กคนนั้น…หน้าคล้ายคุณมากเลยนะคะ คล้ายจนดิฉันขนลุก…”
คำพูดนั้นทำให้มือของชายหนุ่มชะงัก เขาหยิบแฟ้มเก่าจากลิ้นชักลับด้านข้างโต๊ะ รูปถ่ายในวัยเด็กของเขาถูกวางลงข้างจอภาพ
...ตากลมโตคู่นั้น จมูกโด่งรั้น ปากเม้มแน่นตอนร้องไห้ แม้แต่ท่าทางการขยี้ตาก็ยังเหมือนกันจนเกินไป...
เขาไม่พูดอะไร สายตากลับมืดมนลงอีกครั้ง แต่แวววาวบางอย่างสะท้อนในดวงตาคู่นั้น
“อย่าเพิ่งเชื่ออะไรง่ายๆ” เขาพึมพำ “บางทีอาจเป็นแผนของเธออีกก็ได้”
ไม่นานนัก เสียงแจ้งเตือนหน้าจอแสดงภาพหมออคินเดินทางมาถึงคฤหาสน์ คีรินทร์จึงลุกขึ้นเต็มความสูง ทิ้งแฟ้มรูปถ่ายไว้ที่เดิม เดินผ่านลิซ่าโดยไม่พูดอะไร และมุ่งหน้าไปยังห้องของเด็กคนนั้นที่อยู่อีกฝั่งของคฤหาสน์
เมื่อเขาไปถึง หมออคินกำลังตรวจดูอาการของหนูน้อย เด็กชายยังไม่ยอมตื่น แต่ก็สะดุ้งเป็นระยะเมื่อมือของใครแตะต้อง
“เขาเป็นอะไร?” เสียงของคีรินทร์นิ่งสนิท แต่เฉียบขาด
อคินเงยหน้าขึ้น มองเพื่อนสนิทด้วยสายตาเหนื่อยใจ
“เด็กไม่มีโรคอะไรร้ายแรง แต่ร่างกายอ่อนเพลียจากการร้องไห้ ไม่ยอมกินอะไรเลย แค่วันเดียวก็แทบหมดแรงแล้ว เขาเอาแต่เรียกหาแม่ นายจะปล่อยให้เป็นแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน?”
“ก็แค่เด็กที่เธออาจเอามาใช้เป็นหมาก” เสียงเขาเย็นเฉียบจนลมหายใจในห้องอึดอัด
หมออคินถอนหายใจ ก่อนหยิบเข็มฉีดยาขึ้นและฉีดยาบำรุงเบาๆ ที่ต้นแขนเล็กๆ ของเด็กชายด้วยความระมัดระวัง
“เขาเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง คีรินทร์...เด็กที่ไม่ควรต้องร้องไห้เพราะเกมของผู้ใหญ่ เด็กที่ไม่รู้อะไรเลย แต่ต้องมาแบกรับผลของความแค้น ความเข้าใจผิด และหัวใจของคนเป็นพ่อแม่…”
“ฉันรู้ว่าฉันทำอะไร” ชายหนุ่มตอบเสียงเย็น ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นอีกพักหนึ่ง ก่อนหันหลังเดินออกจากห้องไปโดยไม่เหลียวกลับมามองเด็กชายอีก
...แต่ในหัวเขา ภาพดวงตาคู่นั้นยังคงไม่จางหาย...
เสียงนาฬิกาปลุกเบา ๆ ดังขึ้นในห้องนอนอบอุ่นยามเช้า แสงอาทิตย์ลอดผ่านม่านสีครีมสาดกระทบเตียงใหญ่กลางห้องเมลินค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาอย่างอ่อนโยน ก่อนจะหันไปมองร่างของลูกชายตัวน้อยที่นอนหลับอยู่ตรงกลางระหว่างเธอกับคีรินทร์“แม่...วันนี้ผมได้ไปโรงเรียนกับพ่อใช่ไหมครับ?”เสียงน้องน็อตดังแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น ทั้งที่ยังไม่ลืมตาดีคีรินทร์ที่นอนนิ่งอยู่ข้าง ๆ ขยับตัวช้า ๆ เขาค่อย ๆ ยกมือขึ้นลูบผมนิ่มของลูกชายอย่างทะนุถนอม“ใช่ วันนี้พ่อจะไปส่งน็อตเอง”เสียงทุ้มของเขานุ่มนวลขึ้นกว่าทุกครั้ง ราวกับต้องการให้ทุกเช้าวันใหม่ของลูกชายเริ่มต้นด้วยความปลอดภัยเมลินยิ้มบาง ๆ พลางโน้มตัวไปหอมแก้มน้องน็อต“แม่วางเสื้อผ้าไว้ให้แล้วนะลูก อยู่ที่ปลายเตียง ไปอาบน้ำก่อนนะครับ เดี๋ยวเราจะไปพร้อมกัน”เช้านั้นคือเช้าวันแรกที่น้องน็อตได้ไปโรงเรียน…ในฐานะลูกของ “พ่อกับแม่” อย่างเป็นทางการชื่อในใบสมัครเรียน ชื่อของบิดา คือ “คีรินทร์ กัลย์พิทักษ์”ไม่มีคำว่า &ld
กรุงเทพฯ ยามเช้าดูวุ่นวายกว่าทุกวันเสียงแตรรถยนต์ที่ไม่เคยเงียบลงสักวินาที สะท้อนผ่านกระจกห้องนอนชั้นบนสุดของคฤหาสน์หรูใจกลางสุขุมวิท เมลินยืนพิงระเบียง เฝ้ามองวิวเมืองในความเงียบงัน ปลายนิ้วยังกำถ้วยกาแฟอุ่นไว้แน่นแค่กาแฟหนึ่งแก้ว…ก็ยังไม่มีแรงจะยกดื่มเธอฝืนยิ้มให้กับความจริงที่ตนเองไม่ยอมรับมาเนิ่นนานคฤหาสน์หรู ห้องนอนใหญ่ เตียงนุ่ม และคนรักที่พร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อเธอแต่มันไม่สามารถลบภาพในหัวของเธอออกไปได้เลย—เสียงระเบิด เสียงน็อตร้องไห้ หรือแม้แต่สัมผัสจากรถที่พุ่งเข้าหาเธอในวันนั้นเธอ…ยังคงฝันถึงมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า"เมื่อคืนฝันร้ายอีกใช่ไหม?"เสียงทุ้มต่ำของคีรินทร์ดังขึ้นจากด้านหลัง เขาก้าวเข้ามาช้าๆ สวมเสื้อเชิ้ตสีดำแบบลำลอง ร่างสูงใหญ่มากพอจะบดบังแสงเช้าไว้จนหมดมือเย็นแต่นุ่มของเขาแตะที่ไหล่เธอเบาๆ ก่อนจะเลื่อนมากอดจากด้านหลัง"ฉันไม่เป็นไร" เธอตอบอัตโนมัติ…แต่ไม่มองตาเขาคีรินทร์ไม่พูดอะไรอีก เขาเพียงกอดเธอแน่นขึ้นเล็กน้อยเขารู้…เธอไม่โอเครู้&h
มือแกร่งไล้ลงไปที่ต้นขาด้านใน เขาแยกขาเธอออกช้า ๆ แล้วก้มลงใช้ปลายลิ้นสัมผัสตรงกลางกลีบกุหลาบที่เปียกชื้นอยู่แล้วจากความปรารถนา“อื้อ…คี…”เสียงสะอื้นสั่นเครือหลุดออกมาไม่ทันจบประโยคเมื่อปลายลิ้นแกร่งนั้นกวาดลากซ้ำแล้วซ้ำเล่าเขาดุนปลายลิ้นเข้าข้างใน สลับกับการดูดเม็ดละมุนจนร่างเธอสั่นเกร็งทุกครั้งที่ถูกจู่โจม“ไม่…อย่า…” เธอครางห้าม แต่มือกลับจิกเส้นผมเขาแน่นเพราะเขาไม่เพียงแค่สัมผัส…แต่กำลัง โอบกอดบาดแผลทั้งหมดของเธอด้วยลิ้นของเขาเมื่อเธอใกล้ถึงขีดสุด เขาจึงยอมถอนริมฝีปากออกแต่ยังไม่หยุด… ปลายนิ้วร้อนแทรกเข้าไปทีละน้อยอย่างช้า ๆเขาดูดปลายอกเธอแรงขึ้นในขณะที่นิ้วข้างหนึ่งดันเข้าไปจนสุดโคนเสียงครางเบา ๆ หลุดจากริมฝีปากเธออีกครั้ง พร้อมกับสะโพกที่แอ่นขึ้นอย่างลืมตัว“แฉะไปทั้งตัวแบบนี้…” เขาพึมพำต่ำ“แน่ใจเหรอว่าไม่ต้องการฉัน?”คีรินทร์จับเรียวขาเธอพาดบ่า แล้วขยับตัวเข้ามาจนส่ว
แสงแดดยามเย็นอาบไล้ผืนทรายทองบนเกาะส่วนตัวเงียบสงบในอ่าวไทย เสียงคลื่นซัดเบา ๆ กับเสียงหัวเราะใส ๆ ของเด็กชายตัวน้อยกำลังวิ่งไล่ปูกับแม่ของเขา สายลมอุ่นพัดกลิ่นเค็มของทะเลแทรกผ่านกลิ่นหอมของอาหารที่ลอยออกมาจากโต๊ะไม้ใต้ศาลาริมชายหาด—อาหารทั้งหมดถูกจัดเตรียมโดยฝีมือของคีรินทร์เองเขาไม่ใช่มาเฟียอีกแล้วไม่มีแววโหด ไม่มีกลิ่นเลือด ไม่มีร่างกายที่เปื้อนบาปจากการฆ่ามีเพียงชายคนหนึ่ง…ที่เคยผ่านนรกมาเพื่อปกป้องคนที่เขารักคีรินทร์ยืนพิงเสาไม้ ยกแก้วน้ำมะพร้าวขึ้นจิบ ดวงตาคมทอดมองภาพสองแม่ลูกอย่างเงียบงัน เมลินหัวเราะ เสียงนั้นไม่ใช่เพียงเสียงของผู้หญิงคนหนึ่ง…แต่มันคือเสียงของ "บ้าน"เขาไม่เคยมีบ้าน จนได้ยินเสียงนั้น"คุณพ่อ ทำไมวันนี้ทำกับข้าวเองล่ะครับ!" น็อตวิ่งเข้ามาเกาะขาเขาแล้วเงยหน้าถามอย่างไร้เดียงสาคีรินทร์ย่อตัวลง ลูบผมลูกชายเบา ๆ"ก็พ่ออยากทำให้คนสำคัญกินไงครับ"น็อตหันไปมองเมลินแล้วหัวเราะ"คุณแม่เป็นคนสำคัญใช่ไหมครับ!"เขาไม่ได้ตอบอะไร แต่หัวใจกลับเต้นแรงในอกหลังอาหารมื้
ค่ำคืนที่คฤหาสน์แถบชานเมือง — เงาสุดท้ายของความแค้นในห้องที่เคยเป็นห้องนอนของคริส คีรินทร์นั่งอยู่ลำพัง เขาจุดไฟใส่รูปภาพเก่าๆ ของตัวเองกับน้องชาย ดวงตาเรียบนิ่งมองเปลวไฟที่เผารูปนั้นช้าๆ จนเหลือเพียงเถ้าเมลินไม่ได้อยู่ตรงนี้ ไม่มีเสียงของลูก ไม่มีความอุ่นจากอ้อมแขนของใคร ทำให้เขารู้สึกอ้างว้างเหน็บหนาวไปถึงหัวใจเถ้ารูปเก่าปลิวตามลมเบาๆ ขณะเขามองมันด้วยสายตาว่างเปล่า...แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยเสียงโหยหาแม้ในความเงียบของห้องจะไม่มีใครอยู่ด้วยเลยสักคน—แต่จู่ๆ เสียงหนึ่งกลับแทรกเข้ามาในหัวเขา...นุ่มนวลแต่หนักแน่นเสียงของเธอ...เมลิน...“ถ้าวันหนึ่งคุณเข้าใจทุกอย่าง...ฉันจะรอฟังด้วยใจ ไม่ใช่ด้วยความแค้น”ประโยคนั้นที่เคยพูดไว้ด้วยน้ำตา...กลับดังชัดราวเพิ่งพูดจบเมื่อครู่และคีรินทร์...ที่เคยเชื่อว่าหัวใจตัวเองด้านชา...กลับต้องเบือนหน้าหนี เพราะดวงตาร้อนผ่าวโดยไม่รู้ตัวเขายกมือขึ้นปิดเปลือกตาแน่น ก่อนเสียงแหบพร่าจะเล็ดลอดออกมาเบาๆ“ฉันไม่คู่ควรกับการให้อภัย...แต่ขอบคุณที่ย
เสียงลมหอบหนักในห้องประชุมชั้นใต้ดินของคฤหาสน์เก่าที่เมืองไทยไม่ใช่เพราะเครื่องปรับอากาศขัดข้อง หากแต่เป็นเพราะอารมณ์ในห้องที่อึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก คีรินทร์ยืนเงียบอยู่หน้าจอโปรเจกเตอร์ ดวงตานิ่งสนิทเย็นชา ปราศจากแววของความเมตตา"เปิดเสียง"คำสั่งสั้นๆ ถูกส่งออกไปในน้ำเสียงเรียบเย็น เหมือนไม่ได้ตั้งใจฆ่าใคร...แต่พร้อมจะทำลายทั้งเผ่าพันธุ์ไฟในห้องหรี่ลง เสียงสนทนาในคลิปถูกฉายผ่านลำโพงอย่างชัดเจน"ถ้าเราปรับโครงสร้างตอนนี้ คนของคีรินทร์จะเริ่มลังเล ส่วนของฉันฝังไว้หมดแล้ว ไม่นานก็เปลี่ยนขั้วได้""มายด์ก็อยู่ใกล้เขามากพอจะรู้ทุกอย่าง...แค่เขาไม่ตายตอนนั้นก็โชคดีไป""เมลินเหรอ? โยนให้เธอไปสิ ตำแหน่งแพะมันเหมาะกับผู้หญิงไม่มีตัวตนแบบนั้นอยู่แล้ว"เสียงหัวเราะเหยียดหยามจากคลิปกรีดแทงลึกลงในหัวใจคนฟังทุกคน เสียงของภาคินและมายด์ชัดเจนราวกับพวกเขากำลังยืนอยู่ตรงนั้นจริงๆคีรินทร์ก้าวเดินอย่างช้าๆ ไปยืนหน้าห้อง ดวงตาคมกริบเหลือบมองชายชราในชุดสูทสีเข้ม ซึ่งเป็นหัวหน้ากลุ่มเก่าแก่ขององค์กรที่เคยจงรักภักดีกับเขามาโดยตลอด"นี่คือหลั