ยามที่หลินเหม่ยเหยาลืมตาตื่นขึ้นมา นางก็พบว่าตนเองกำลังนอนอยู่บนเตียงนอนของตนเองในสกุลหลิน สภาพแวดล้อมภายในห้องล้วนมีสภาพเหมือนตอนที่นางยังไม่ได้ปักปิ่น ในยามนั้นหลินเจวี๋ยผู้เป็นบิดาของนางยังคงเข้าออกห้องของนางโดยไม่ได้ถือสาเรื่องธรรมเนียมใดๆ ทั้งสิ้น
“เหยาเหยา เจ้าดูนี่สิพ่อได้ฟู่จื่อมามากมาย เจ้าต้องช่วยพ่อตรวจสอบดูนะว่าพิษของมันถูกพ่อทำให้เจือจางลงไปจนหมดสิ้นแล้วหรือยัง” เสียงของหลินเจวี๋ยทำให้หลินเหม่ยเหยารีบขยับตัวลุกขึ้น ดึงม่านคลุมเตียงออกแล้วจ้องมองไปยังผู้ที่เดินเข้ามาในห้องด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ
“ท่านพ่อ!” เสียงเรียกกับท่าทีของบุตรสาวไม่ได้ทำให้หลินเจวี๋ยรู้สึกประหลาดใจแต่อย่างใด ในตอนนี้ความสนใจทั้งหมดของเขากำลังจดจ่ออยู่กับสมุนไพรที่เขาพึ่งจะได้มา
“อย่ามัวแต่นอนอยู่เลย ดูนี่สิฟู่จื่อนี่คุณภาพดีมากทีเดียว” หลินเจวี๋ยพูดพลางยื่นกล่องไม้ใส่สมุนไพรให้บุตรสาวดู แต่หลินเหม่ยเหยากลับไม่สนใจนางโผเข้าไปโอบกอดบิดาของตนเองแล้วร่ำไห้ออกมา
“ท่านพ่อ ต้องโทษข้าที่มองคนไม่เป็น ทำให้ท่านและทุกคนในครอบครัวต้องได้รับเคราะห์กรรมอันเลวร้าย” ท่าทีของบุตรสาวทำให้หลินเจวี๋ยนิ่งงันไป เขายืนนิ่งให้บุตรสาวโอบกอด มือหนึ่งยังคงถือกล่องสมุนไพรเอาไว้ ส่วนอีกมือก็ลูบศีรษะของหลินเหม่ยเหยาด้วยความปลอบโยน
“เป็นอะไรไป ใครกันที่ทำให้เจ้าผิดหวังจนต้องมาร้องไห้กับพ่อถึงขนาดนี้ แม่เล็กรังแกเจ้าหรือ แล้วเคราะห์กรรมอันเลวร้ายที่เจ้าเอ่ยถึงคืออะไรกัน” เมื่อหลินเจวี๋ยถามเช่นนี้หลินเหม่ยเหยาก็รีบส่ายหน้าในทันที
“ไม่เจ้าค่ะ แม่เล็กไม่เคยรังแกข้า นางดีต่อข้ามากกว่าที่ข้าเคยคาดคิดเอาไว้ด้วยซ้ำ ส่วนเคราะห์กรรมที่ข้าเอ่ยถึงนั้น...” หลินเหม่ยเหยาเอ่ยยังไม่ทันจบประโยคก็สะอื้นไห้ออกมา แม่เล็กของนางมีนามว่าชุยอวี้หลัน นางแต่งเข้าจวนมาหลังจากที่มารดาแท้ๆ ของหลินเหม่ยเหยาจากไปได้ครบปี แรกเริ่มเดิมทีหลินเหม่ยเหยาไม่ชอบภรรยาใหม่ของบิดาผู้นี้มากนักด้วยกังวลว่าเมื่อบิดามีภรรยาใหม่ก็จะลืมเลือนนางและมารดาของนาง แต่หลายปีผ่านไปไม่เพียงชุยอวี้หลันไม่แตะต้องตำแหน่งฮูหยินผู้เป็นภรรยาเอกของมารดาของนาง จวบจนวินาทีสุดท้ายของชีวิตนางก็สิ้นใจไปในฐานะอนุคนหนึ่งของจวนสกุลหลินเพียงเท่านั้น
“คุณหนูใหญ่! ท่านรีบกลับไปเสียอย่าให้สามีของท่านและผู้อื่นรู้ว่าท่านมาหาพวกข้า ท่านจงใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ให้ดี ลืมพวกข้าไปเสีย อย่าทำให้ตนเองต้องพลอยลำบากไปกับพวกข้าเลย” นี่คือคำพูดสุดท้ายก่อนที่จะจากกัน เมื่อบิดาของนางได้รับโทษประหารไปแล้วนางก็ไปหาชุยอวี้หลันและหลินโม่วผู้เป็นน้องชายของนางที่ถูกคุมขังอยู่ตั้งใจจะบอกกับพวกเขาว่านางจะหาหนทางช่วยพวกเขาให้ได้ แต่กลับถูกมารดาเลี้ยงขับไล่ สายตาแห่งความสิ้นหวังของมารดาเลี้ยงของนางทำให้นางรู้สึกเศร้าเสียใจเป็นอย่างมาก ยามนั้นความเจ็บปวดใจที่ไม่อาจจะช่วยน้องชายและมารดาเลี้ยงได้ทำให้หลินเหม่ยเหยาเสียใจจนแท้งบุตร และเพราะการแท้งบุตรทำให้นางไม่ได้สติไปหลายวัน เมื่อฟื้นคืนสติขึ้นมาทั้งน้องชายและมารดาเลี้ยงก็สิ้นชีวิตอยู่ที่ลานประหารตามบิดาของนางไปหลายวันแล้ว
“ไม่ใช่แม่เล็กของเจ้า แล้วใครกันเล่า” เมื่อบิดาถามเช่นนี้หลินเหม่ยเหยาก็ส่ายหน้า แล้วก็ต้องชะงักไปเมื่อนางหันไปเห็นฟู่จื่อในมืออีกข้างของบิดา อีกทั้งยามนี้เนื้อตัวของบิดาก็สามารถจับต้องได้ไม่ใช่ความฝันอันล่องลอย นางยื่นมือได้หยิบฟู่จื่อในกล่องไม้มาดมกลิ่นแล้วลองกัดเพื่อชิมรสชาติดูรสเผ็ดร้อนที่ปลายลิ้นสัมผัสได้ทำให้นางหลั่งน้ำตาออกมาอีกครั้ง แล้วนางจึงได้หันไปมองกระจกในห้องแล้วก็พลันยิ้มออกมาทั้งน้ำตา
‘ข้าได้ย้อนกลับมาเกิดใหม่อีกครั้งแล้ว อีกทั้งยังกลับมาตอนที่ยังอยู่ในวัยก่อนปักปิ่นอีกด้วย’ หลินเหม่ยเหยาคิดอยู่ในใจด้วยความรู้สึกยินดี
“เป็นอย่างไร เจ้าคิดว่าพิษในฟู่จื่อนี่ถูกขจัดออกไปจนหมดแล้วหรือยัง” เมื่อบิดาถามเช่นนี้หลินเหม่ยเหยาก็พยักหน้า
“เป็นของดีเจ้าค่ะ ล้วนดีทั้งสิ้น ท่านพ่อข้ารู้สึกยินดีเหลือเกินที่ได้กลับมาใช้ชีวิตร่วมกันกับท่านได้อีกครั้ง” เมื่อนางเอ่ยเช่นนี้บิดาของนางก็พลันขมวดคิ้วแล้วยื่นมือมาสัมผัสที่หน้าผากของนางในทันที
“ก็ไม่ได้ป่วยไข้นี่นา เหตุใดจึงได้พูดจาไม่อยู่กับร่องกับรอยเช่นนี้กันเล่า” คำพูดของบิดาทำให้หลินเหม่ยเหยายิ้มออกมาอีกครั้ง อีกทั้งครั้งนี้หยาดน้ำตาบนใบหน้าของนางไม่มีอีกแล้ว
“วางใจเถิดเจ้าค่ะ ลูกสบายดีเป็นอย่างยิ่ง ก็แค่เมื่อครู่นอนนานมากจนเกินไปเพียงเท่านั้น ก็เลยฝันร้ายเจ้าค่ะ แต่ตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้ว” เมื่อนางพูดเช่นนี้หลินเจวี๋ยก็ทอดถอนใจออกมา
“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว” เขาพูดพลางยิ้มออกมาเมื่อเห็นว่าบุตรสาวคลายอ้อมกอดแล้วและยามนี้ก็หันมาเกาะกอดท่อนแขนของเขาด้วยความออดอ้อนแทน แม้ว่าจะรู้สึกแปลกใจที่ลูกสาวมีท่าทีแปลกประหลาดแต่เขาก็อดรู้สึกดีใจไม่ได้ ตั้งแต่เขามีชุยอวี้หลันบุตรสาวของเขาก็ไม่เคยทำตัวใกล้ชิดสนิทสนมกับเขาอีกเลย ท่าทีออดอ้อนของบุตรสาวแม้จะผิดธรรมเนียมอยู่บ้างแต่ในฐานะบิดาที่มีบุตรสาวเพียงคนเดียวการที่นางกลับมาทำตัวออดอ้อนดุจเด็กน้อยเช่นนี้มันทำให้เขาอดรู้สึกยินดีไม่ได้จริงๆ
สองพ่อลูกพากันเดินออกมานั่งวิเคราะห์สมุนไพรที่ได้มานอกเรือน หลินเหม่ยเหยาหันกลับไปมองเรือนหนิงอันของตนเองด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสุข ทุกอย่างยังคงเหมือนตอนที่นางยังไม่ได้ออกเรือน นางรู้สึกซาบซึ้งใจและรู้สึกยินดีเป็นอย่างมากที่ได้มีโอกาสกลับมาใช้ชีวิตกับครอบครัวของนางอีกครั้ง หลังจากที่ได้สูญเสียทุกคนไปในชีวิตก่อนหน้านี้
“ท่านพ่อ สมุนไพรนี้ท่านได้มาจากที่ใดหรือเจ้าคะ” หลินเหม่ยเหยาถามด้วยความสนใจ
“พ่อได้รับมาจากเพื่อนเก่า นอกจากฟู่จื่อแล้วเขายังมอบชวนอูมาให้ด้วยนะ เพียงแต่ชวนอูนั้นเขายืนยันกับพ่อแล้วว่าเขาทำการขจัดพิษออกได้จนหมดแล้วมีเพียงฟู่จื่อนี่ที่เขายังไม่แน่ใจ” หลินเจวี๋ยตอบพลางยิ้มออกมา
“ช่างเป็นสหายที่ดีมากจริงๆ” หลินเหม่ยเหยาพูดพลางหยิบสมุนไพรขึ้นมาแล้วก็คิดถึงสหายของตนอย่างหยางสุ่ยเซียน ไม่ใช่แค่เพียงหมายปองสามีของนางแม้แต่ชีวิตของนางหยางสุ่ยเซียนก็ไม่คิดจะละเว้น หลินเหม่ยเหยาไม่เคยรู้เลยว่าสหายของนางจะมีจิตใจที่ดำมืดได้ถึงขนาดนั้น
“สักวันเจ้าก็จะได้พบกับสหายที่ดีเช่นพ่อ” เมื่อหลินเจวี๋ยเอ่ยเช่นนี้หลินเหม่ยเหยาก็พยักหน้า
“เจ้าค่ะ สักวันลูกจะต้องได้พบกับสหายคนดีของลูกแน่ แล้ววันนั้นลูกจะต้องตอบแทนความดีของนางอย่างสาสมทีเดียว” นางเอ่ยพลางส่งยิ้มให้บิดา ทั้งสองพ่อลูกนั่งคุยกันอย่างมีความสุข ท่ามกลางบรรยากาศสบายๆ ของเรือนหนิงอัน ความอบอุ่นและความรักในสายตาของบิดาทำให้หลินเหม่ยเหยาให้สัญญากับตนเองว่าชาตินี้นางจะต้องปกป้องบิดาและคนในครอบครัวให้ดี ไม่ดึงคนชั่วเข้ามาแล้วทำให้ทุกคนในครอบครัวต้องประสบกับเคราะห์กรรมอันเลวร้ายดังเช่นในชาติที่แล้ว
คุณหนูสกุลฉางกำลังจะแต่งงาน ข่าวนี้ทำให้ผู้คนในเมืองหลวงต่างพากันแตกตื่นและก็พากันสงสัยว่าใครกันที่จะเป็นเจ้าบ่าวผู้โชคร้ายคนนั้น ที่น่าประหลาดใจก็คือใกล้จะถึงวันมงคลอยู่แล้วแต่จวนสกุลฉางกลับไม่ได้จัดเตรียมงานมงคล แต่จวนที่จัดเตรียมงานมงคลกลับเป็นจวนสกุลหยาง จึงมีหลายคนต่างพากันพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเจ้าสาวอย่างฉางเจียกำลังจะแต่งออกจากจวนสกุลหยาง“เป็นเรื่องที่บ้าไปแล้ว ก่อนหน้านี้นางทำตัวหน้าไม่อายไปขอพักอาศัยที่จวนสกุลหยางก็เป็นเรื่องที่คนทั่วไปไม่กล้าทำอยู่แล้ว แต่ยามนี้นางยังกล้าจัดงานพิธีส่งตัวขึ้นเกี้ยวที่จวนสกุลหยางอีกช่างเป็นสตรีที่ไร้ความเกรงอกเกรงใจเสียจริง” เสียงติฉินนินทาทำให้สวีหย่วนขมวดคิ้ว ในใจของเขารู้สึกไม่สบายใจอยู่แล้วที่ได้รู้ว่าฉางเจียกำลังจะแต่งงานกับผู้อื่น และยิ่งรู้สึกไม่สบายใจมากยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อได้รู้ว่านางแต่งออกไปอย่างไม่ปกติ ในฐานะบุตรสาวเพียงคนเดียวของท่านแม่ทัพฉาง แม้ว่าจะสิ้นไร้บิดาไปแล้วแต่นางก็ยังมีหน้ามีตามากเพียงพอที่จะแต่งออกจากจวนสกุลฉางโดยไม่อายผู้ใด แต่การที่นางแต่งออกจากสกุลหยางเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกว่าเรื่องที่ไม่ปกติเท่าใดนัก“ญาติผู้พี่ช่ว
‘ข้าเคยพูดว่าเขาเป็นคนหน้าตาธรรมดาหรือ ข้าเคยพูดตอนไหนกันนะ’ นี่คือความคิดของฉางเจียหลังจากที่นางมอบถุงผ้าปักของตนเองให้สวีหย่วนเพื่อเป็นของแทนใจแต่กลับถูกเขาส่งคืนมาให้แถมยังบอกกับนางว่า“คุณหนูเคยเอ่ยกับข้าว่าข้าเป็นคนที่มีหน้าตาธรรมดา ดังนั้นคนที่มีหน้าตาธรรมดาเช่นข้าจึงไม่คู่ควรที่คุณหนูฉางจะมาชื่นชอบหรอก” คำตอบของเขาพร้อมกับถุงผ้าปักที่ถูกส่งคืนทำให้ฉางเจียยื่นนิ่งอยู่กับที่ด้วยความสับสนวุ่นวายใจ“คุณหนูพวกเรารีบกลับจวนกันเถิด หากมัวชักช้าจะมืดค่ำเอาได้นะเจ้าคะ” คำพูดของสาวใช้ทำให้ฉางเจียตื่นจากภวังค์ความคิดในที่สุด นางหันไปมองสวีหย่วนอีกครั้งด้วยความปวดใจแล้วจึงได้เดินทางกลับจวนของตนเองด้วยความเหม่อลอยสวีหย่วนคือชายหนุ่มที่มีอนาคตไกล มีอายุแค่เพียงยี่สิบต้นๆ เขาก็ได้เป็นเจ้ากรมอาญาแล้ว ส่วนนางเป็นสตรีที่กำลังจะพ้นวัยออกเรือนแล้ว เดิมทีนางไม่คิดว่าตนเองจะถูกใจบุรุษคนใดนอกจากญาติผู้พี่ของตนเองอีกแล้ว จวบจนนางได้เห็นเขาตอนที่กำลังแสดงฝีมือจับกุมคนร้ายนางจึงได้รู้ว่าบนโลกใบนี้ยังมีคนที่มีความห้าวหาญไม่แตกต่างไปจากญาติผู้พี่ของนางเลย สายตาเย็นชาที่เขาใช้จ้องมองนางทำให้นางรู้สึกได้ว่า
ซ่งเสวี่ยหรงและกัวไป๋จิ้งถูกตัดสินประหารชีวิตในวันเดียวกัน คนสกุลกัวทั้งสกุลพลอยติดร่างไปด้วย ส่วนคนอื่นๆ ในสกุลซ่งได้รับการอภัยโทษและถูกเนรเทศไปอยู่ชายแดนตลอดชีวิต หวังจื่อเถียนทนรับความลำบากไม่ไหวแขวนคอตนเองตายไปในที่สุด หลินเหม่ยเหยารับฟังเรื่องราวเหล่านี้ด้วยจิตใจอันว่างเปล่า บุญคุณความแค้นในชาติที่แล้วยามนี้นางสามารถปล่อยวางลงได้แล้ว ยามนี้สิ่งเดียวที่สามารถดึงดูดความสนใจของนางได้ก็มีแค่เพียงลูกในท้องที่กำลังจะเกิดมาเพียงเท่านั้นปราบปรามกบฏและสยบเหตุการณ์ก่อจลาจลได้สำเร็จ หยางเจี้ยนก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นไหวกั๋วกงสามารถเข้าเฝ้าได้โดยไม่ต้องคุกเข่าอีกทั้งยังสามารถพกอาวุธเข้าไปในเขตพระราชฐานชั้นในได้อีกด้วย หลินเหม่ยเหยาจึงพลอยได้เป็นไหวกั๋วกงฮูหยินไปด้วย นางได้รับความริษยาจากบรรดาสตรีทั่วทั้งเมืองหลวง ไม่เพียงมีวาสนาที่ดีแต่ยังได้รับความรักจากสามีอย่างล้นเหลือจนทำให้ผู้อื่นอดริษยาไม่ได้ไหวกั๋วกงไม่เพียงกว้านซื้อกิจการร้านค้าให้นางอย่างใจกว้าง แต่ยังประกาศต่อหน้าธารกำนัลว่าชาตินี้จะไม่รับสตรีอื่นเข้าจวนอีก ดังนั้นหากผู้ใดกล้ายัดเยียดอิสตรีมาให้เขาก็จงเตรียมตัวรอรับการลงทัณฑ์จาก
ยามที่หยางเจี้ยนขี่ม้าไปถึงจวนก็เห็นว่าคนของกรมอาญามาอยู่ที่จวนอย่างผิดปกติ เขารีบเดินไปลากคอของกัวไป๋จิ้งให้ลงจากหลังม้าอย่างรวดเร็วในทันที โดยที่เขาไม่สนใจว่ากัวไป๋จิ้งตั้งหลักได้หรือไม่ ดังนั้นภาพที่ทุกคนเห็นก็คือแม่ทัพใหญ่หยางกำลังลากคุณชายกัวในสภาพเนื้อตัวชุ่มไปด้วยเลือดเข้าไปในจวนสกุลหยาง“เหยาเหยา” เมื่อเข้าไปในจวนได้เขาก็ตะโกนเรียกชื่อของภรรยาในทันที ทำให้หลินเหม่ยเหยาที่กำลังมอบยาถอนพิษให้กับข้ารับใช้ภายในจวนต้องรีบเดินออกมาหาเขา“ท่านกลับมาแล้ว” หลินเหม่ยเหยาส่งเสียงทักทายเขาออกมาด้วยความยินดี เมื่อเขาเห็นนางก็เหวี่ยงกัวไป๋จิ้งให้สวีหย่วนที่กำลังยืนทำหน้าเคร่งเครียดอยู่แล้วก็รีบวิ่งไปดึงร่างของนางมาโอบกอดเอาไว้“เจ้าไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่” น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงของเขาทำให้หลินเหม่ยเหยารีบพยักหน้าแล้วเอ่ยกับเขาด้วยน้ำเสียงปลอบโยนเพื่อให้เขาสบายใจในทันที“ท่านวางใจได้ข้าไม่ได้เป็นอันใด บ่อน้ำที่ใช้ภายในจวนล้วนต้องผ่านการตรวจสอบจากคนของข้าที่นำมาจากร้านฝูโซ่วก่อน มีเพียงข้ารับใช้แค่เพียงไม่กี่คนเพียงเท่านั้นที่ไม่เชื่อฟังคำสั่งดื่มน้ำในบ่อก่อนตรวจสอบ ก็เลยทำให้พวกเขาไ
ทางฝั่งของหยางเจี้ยนยามนี้เขากำลังไล่ล่ากวาดล้างคนของฉินอ๋องที่ซุกซ่อนอยู่ในต่างเมือง ความวุ่นวายในเมืองหลวงมีคนของกรมอาญาและจิ่นหรงคอยดูแลความสงบเรียบร้อย ส่วนเขานำกองกำลังอีกส่วนหนึ่งคอยติดตามจับกุมกัวไป๋จิ้งและจางซิงซิน“จางซิงซินหากเจ้ายินยอมมอบตัวแต่โดยดี ข้าก็ยินดีที่จะไว้ชีวิตบุตรชายที่พึ่งจะคลอดออกมาของเจ้า” หยางเจี้ยนที่ในยามนี้นำกองกำลังส่วนหนึ่งล้อมรอบบ้านหลังหนึ่งเอาไว้ตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงที่ดังกึกก้อง“หากเจ้าไม่ยินดีจะมอบตัววันนี้ข้าคงทำได้แค่เพียงต้องจบชีวิตของพวกเจ้าสองแม่ลูกในกองเพลิงเพียงเท่านั้น” คำพูดของเขาทำให้จางซิงซินค่อยๆ อุ้มห่อผ้าออกมาจากบ้านหลังนั้น สภาพเนื้อตัวของนางไม่หลงเหลือเค้าความงามอีกต่อไปแล้ว เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งและเก่าคร่ำคร่า ร่างกายที่พึ่งจะคลอดบุตรได้ไม่นานแต่กลับไม่ได้รับการบำรุงรักษาอย่างที่ควรจะเป็นทรุดโทรมจนแทบจะเดินไม่ไหว นางไม่มีทางเลือกมากนักเพราะคนที่หลบอยู่ในบ้านหลังนั้นสั่งให้นางอุ้มลูกออกมามอบตัว ไม่เช่นนั้นพวกนางสองแม่ลูกก็จะถูกพวกเขาฆ่าทิ้งเช่นเดียวกัน นางจึงทำได้แค่เพียงอุ้มทารกน้อยออกมามอบตัวด้วยสภาพสิ้นไร้หนทาง“ท่านแม่ทัพได้โปรด
ฉางเจียไม่สนใจคำครหาของผู้คน นางเข้ามาอยู่ในจวนสกุลหยางราวกับที่นี่เป็นจวนของตนเอง ที่สำคัญนางเฝ้าติดตามหลินเหม่ยเหยาราวกับเงา แต่หลินเหม่ยเหยากลับไม่ได้รังเกียจนางอีกทั้งยังอยู่ร่วมกับฉางเจียราวกับว่านางคือพี่สาวน้องสาวคนหนึ่ง ซ่งเสวี่ยหรงทนได้รับการสอบสวนจากกรมอาญาไม่ไหวยอมรับสารภาพออกมาว่าเขาได้รับการติดต่อจากกัวไป๋จิ้งให้หาวิธีเข้าไปวางยาพิษเสวียนหมิงหลงฮ่องเต้ แต่เพราะช่วงนี้เขาถูกขับออกจากสำนักแพทย์หลวงทำให้เขาต้องยื่นข้อต่อรองขอให้กัวไป๋จิ้งหาวิธีให้เขาได้กลับเข้าไปทำงานในสำนักแพทย์หลวงอีกครั้งกัวไป๋จิ้งจึงสั่งให้เขาสังหารอนุจากสกุลหยางของตนเองก่อนเพื่อที่จะได้เอาอกเอาใจคนสกุลหวัง แล้วหลังจากนั้นกัวไป๋จิ้งจะไปช่วยพูดกับคนสกุลหวังเพื่อช่วยเขา ช่วงนี้กัวไป๋จูกำลังตั้งครรภ์อยู่แม้ว่านางจะมีฐานะแค่เพียงอนุ แต่ทารกที่อยู่ในครรภ์ของนางถือเป็นหลานคนแรกของท่านเสนาบดีหวัง กัวไป๋จิ้งจึงตั้งใจจะใช้การตั้งครรภ์ของน้องสาวเป็นสะพานให้ตนเองตีสนิทกับสกุลหวังและตั้งใจว่าจะเข้าไปช่วยพูดกับท่านเสนาบดีหาวิธีผลักดันซ่งเสวี่ยหรงด้วย ซ่งเสวี่ยหรงเกรงว่ากัวไป๋จิ้งจะเปลี่ยนใจ เขาจึงได้เก็บจดหมายที่ใช้ต