บทที่ 14 งานเลี้ยงตระกูลจาง
ระยะนี้ต้าอู๋ค่อนข้างสงบสุขไม่น้อย แม้ว่ากองทัพของเหลียงไท่จะบุกประชิดชายแดน แต่ทว่ากองกำลังของต้าอู๋ก็ยังคงแข็งแกร่งรับมือกับศัตรูได้อย่างไม่เกรงกลัว
วันนี้ฟางเมี่ยวตื่นนอนสายยิ่งนัก หลังจากล้างหน้าและรับสำรับยามเช้าเสร็จแล้ว นางจึงเดินออกมารับลมที่นอกเรือน ก่อนจะสังเกตเห็นว่าวันนี้ในจวนค่อนข้างวุ่นวายไม่น้อย
"ลู่ชิง เหตุใดจวนจึงดูคึกคักยิ่งนักเล่า?"
"คุณหนู ยามนี้คุณชายใหญ่กลับมาถึงจวนแล้วเจ้าค่ะ"
ฟางเมี่ยวที่ได้ยินเช่นนั้นก็พลันนึกเรื่องราวบางอย่างขึ้นมาได้
ในชาติก่อน ระยะเวลานี้ฟางเจี๋ยพี่ชายของนางกำลังกลับมาจากสำนักศึกษาบนเขา เขากับนางเป็นพี่น้องร่วมมารดาเดียวกัน ฟางเจี๋ยอายุเท่าๆ กับหลี่เยี่ยนเฉิน เรียกได้ว่าเป็นสหายสนิทกันก็ไม่ผิดนัก
พี่ชายผู้นี้รักการเรียน อีกทั้งยังมีนิสัยเข้มงวด นางจำได้เขาสอนนางคัดอักษร หากนางเขียนผิดเขาก็จะตีมือนางหนึ่งครั้ง นางเองต่อต้านและเกลียดพี่ชายผู้นี้เป็นอย่างมาก เขาคอยขัดขวางทางรักของนางสารพัด เอาแต่พูดกรอกหูนางว่าสักวันนางจะต้องพบจุดจบที่น่าอนาถหากยังดื้อรั้นที่จะแต่งเข้าจวนอ๋อง
นางยิ้มออกมาเล็กน้อย พี่ชายนางพูดไม่ผิด ทุกคำเตือนล้วนมาจากความรักความหวังดีทั้งสิ้น แต่เพราะนางตามืดบอดเกินไป จึงมองไม่เห็นความหวังดีนี้
เมื่อคิดได้เช่นนั้น นางจึงรีบมุ่งหน้าไปที่เรือนใหญ่ทันที เมื่อมาถึงก็พบกับฟางเจี๋ยที่กำลังนั่งสนทนากับเสนาบดีฟางเหลียนบิดาของนางอยู่ ฟางเจี๋ยหันมามองฟางเมี่ยว ก่อนจะเอ่ย
"สายป่านนี้ เจ้าเอาแต่นอนติดเตียงใช้ได้ที่ใดกัน"
ฟางเมี่ยวลอบขบขันในใจ กลับมาก็ต่อว่านางนี่สินะถึงจะสมเป็นพี่ใหญ่ของนาง
"ท่านพ่อ ท่านไม่บอกท่านพี่ไปเล่าเจ้าคะ ว่าระยะนี้ข้ามัวแต่วุ่นวายกับการปรับปรุงกิจการของท่านแม่ นอนดึกทุกวัน"
เสนาบดีฟางเหลียนที่ได้ยินเช่นนั้น จึงหันไปเอ่ยกับฟางเจี๋ยบุตรชายตนทันที
"ใช่ๆ เจ้าไม่รู้อันใด เมี่ยวเอ๋อร์น่ะทำให้กิจการมีกำไรงอกเงยร่วมหลายหมื่นตำลึงเชียวนะ"
ฟางเจี๋ยหันไปมองฟางเมี่ยวที่ยักคิ้วให้เขาคราหนึ่งก่อนจะครุ่นคิด
ก่อนเขาจะออกจากจวนไปที่สำนักศึกษาบนเขา เขาจำได้ว่าน้องสาวผู้นี้ดื้อรั้น ชอบเถียงท่านแม่ วันๆ เอาแต่ไปหาอนุซาง ก่อนท่านแม่จะจากไปเคยเขียนจดหมายส่งให้เขาฉบับหนึ่งว่า ฟางเมี่ยวริอ่านดื่มสุราเล่นการพนัน แต่ผ่านไปร่วมปีที่เขาจากไป นางกลับดีขึ้นมากถึงเพียงนี้เชียวหรือ
อีกทั้งท่านพ่อยังบอกอีกว่า ช่วงที่เขาไม่อยู่ ฟางเมี่ยวจัดการขับอนุซางออกจากจวนเนื่องจากตรวจสอบพบว่าอนุซางคิดไม่ซื่อ อีกทั้งเหล่าอนุต่างก็เกรงกลัวนางไม่กล้าเหิมเกริมเช่นยามที่ท่านแม่อยู่อีกด้วย
เขารู้ดีว่าท่านพ่อรักและถนอมน้องสาวผู้นี้ราวกับหยกในฝ่ามือ แต่เขาไม่คิดว่าฟางเมี่ยวจะกลายเป็นสาวน้อยที่จัดการเรื่องราวทุกอย่างได้อย่างเด็ดขาดถึงเพียงนี้
แววตาที่มองน้องสาวแสนดื้อรั้นจึงอ่อนลงหลายส่วน
"ได้ยินว่าพี่ใหญ่กลับจวนมาแล้ว ยินดีต้อนรับกลับจวนนะเจ้าคะ ลู่ชิง เจ้าไปบอกลุงเจินที่ภัตตาคารว่าให้ทำอาหารส่งมาที่จวนให้มากหน่อย"
ฟางเจี๋ยที่ได้ยินเช่นนั้นจึงรีบเอ่ยทัดทานน้องสาวตนทันที
"เมี่ยวเอ๋อร์ อย่าสิ้นเปลืองเลย"
"สิ้นเปลืองอันใดกันเจ้าคะ ข้าน่ะไม่อยากจะอวด พ่อครัวที่ข้าหามาใหม่น่ะฝีมือยอดเยี่ยมเชียวแหละ เอาตามนี้ ลู่ชิง เจ้ารีบไปสิ"
"เจ้าค่ะคุณหนู"
หลังจากที่ฟางเจี๋ยไปจัดการผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ของตนแล้ว อาหารก็มาถึงพอดี ยามนี้ที่ภัตตาคารโหยวเย่ว์คงกำลังเตรียมวัตถุดิบ อาหารที่นางสั่งจึงถูกทำเป็นชามแรกๆ ฟางเจี๋ยมองอาหารที่ส่งกลิ่นหอมตรงหน้าคราหนึ่ง ก่อนจะตักขึ้นมาชิม พบว่ารสชาติดีอย่างที่ฟางเมี่ยวว่า อาหารมื้อนี้จึงค่อนข้างอิ่มหนำไม่น้อย
"ฟางเมี่ยว ได้ยินว่าเจ้าปรับปรุงกิจการใหม่ทั้งหมดหรือ?"
ฟางเมี่ยวยกถ้วยชาขึ้นดื่ม ก่อนจะหันไปเอ่ยกับผู้เป็นพี่ชาย
"เจ้าค่ะ ทุกอย่างเรียบร้อยดี อีกทั้งกำลังจะสร้างร้านขายอาหารขนาดเล็กที่ภัตตาคารโหยวเย่ว์ไว้ให้ชาวบ้านได้มาซื้ออาหารด้วย ข้าน่ะอยากรับลูกค้าทุกคน ไม่อยากแบ่งชนชั้น มันคือเงินทั้งนั้น"
"เมี่ยวเอ๋อร์รู้ความแล้ว เจ้าคงลำบากไม่น้อย"
"ลำบากอันใดกัน ความจริงยังเหลืออีกที่ก็คือโรงน้ำชาที่ข้ายังไม่ได้ไปดู หากพี่ใหญ่มีเวลาไม่สู้ไปกับข้าดีหรือไม่ ข้าคิดว่าอยากให้ท่านดูแลโรงน้ำชานั้น"
"อืม"
ฟางเจี๋ยพยักหน้า สองพี่น้องคุยกันอีกสักครู่หนึ่งก็แยกกลับมาพักผ่อนที่เรือนของตน
เมื่อฟางเมี่ยวกลับมาถึงก็พบว่ามีเทียบเชิญส่งมาถึงนางหนึ่งฉบับ เมื่อเปิดอ่านก็พบว่าเป็นเทียบเชิญจากจวนราชครู ให้นางไปร่วมงานเลี้ยงที่จวนราชครูจัดขึ้นในอีกสองวันข้างหน้า ตัวอักษรด้านล่างมีอักษรว่า เสวี่ยเสวี่ย
ฟางเมี่ยวยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะหันไปเอ่ยกับลู่ชิง
"พรุ่งนี้เจ้าไปที่ร้านเครื่องประทินโฉมของเรา นำยาทาขี้ผึ้งกับยาสระผมมาให้ข้า"
"เจ้าค่ะคุณหนู"
ฟางเมี่ยวเอนกายลงนอนก่อนจะครุ่นคิดถึงเรื่องราวก่อนหน้านั้น
เดิมทีในชาติก่อนนางไม่ได้เข้าร่วมงานเลี้ยงที่จวนราชครูจัดขึ้น เนื่องจากจางเสวี่ยฮุ่ยกับนางไม่สนิทกัน แม้จะเจอกันด้านนอกจวนบ้าง แต่เพราะยามนั้นนางหึงหวงเย่จิ้นหยาง จึงคอยเอ่ยวาจาเหน็บแนมจางเสวี่ยฮุ่ยให้นางอับอายอยู่เสมอ
แต่ทว่าชาตินี้จางเสวี่ยฮุ่ยกลับเป็นคนส่งเทียบเชิญฉบับนี้ให้นางเองกับมือ นางจะไม่ไปได้อย่างไรเล่า
ชาตินี้ได้เป็นสหายกัน นางย่อมไปอย่างแน่นอน
สองวันต่อมา ฟางเมี่ยวก็ไปที่จวนราชครูพร้อมกับลู่ชิง วันนี้นางสวมชุดสีเขียวอ่อนสบายตา เครื่องประดับก็ปักเพียงปิ่นหยกสีเขียวธรรมดา ใบหน้าไม่ได้แต่งแต้มมากนัก แต่ทว่าความธรรมดาแต่ไม่สามัญของนาง กลับทำให้นางดูงดงามชวนน่ามองอย่างที่สุด
ด้วยเกรงว่าจะทำให้จางเสวี่ยฮุ่ยขายหน้าที่เชิญนางมาแต่นางกลับแต่งกายสบายๆ ฟางเมี่ยวจึงสวมต่างหูไข่มุก และกำไลหยกเพิ่มไปอีกหน่อย
เมื่อมาถึง นางก็พบว่านอกจากจะมีเหล่าสตรีน้อยมาร่วมงานแล้ว ยังมีเหล่าบุรุษจากจวนต่างๆ มาร่วมงานด้วย ฟางเมี่ยวรู้ได้ในทันที จวนราชครูคงคิดจะจัดงานนี้เพื่อให้สตรีและบุรุษที่ยังไม่ออกเรือนมาสานสัมพันธ์กันสินะ
ฟางเมี่ยวก้าวลงจากรถม้า ลู่ชิงที่เดินประคองนางมาเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ไม่สู้ดีนัก
"คุณหนู ท่านแต่งหน้าน้อยไปหรือไม่เจ้าคะ ปกติท่านแต่งหน้าหนานัก แก้มนี่ขาว ปากนี่แดงจัด หากมีแผ่นยันต์ติดหน้าบ่าวแยกไม่ออกเลยเจ้าค่ะว่าผีหรือคน!!!"
ฟางเมี่ยวพยายามระงับโทสะ ยามนี้นางรู้แล้วว่านางอยากจะตบใครมากที่สุด ก็สาวใช้ปากมากของนางอย่างไรเล่า!!!
"เมี่ยวเมี่ยว"
ฟางเมี่ยวหันไปมอง ก่อนจะพบว่าเป็นจางเสวี่ยฮุ่ยที่เดินเข้ามาหานางด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ฟางเมี่ยวยิ้มตอบคราหนึ่งก่อนจะเอ่ย
"ข้ามาช้าไปเล็กน้อย ขออภัยเจ้าด้วย"
"ไม่ช้าเสียหน่อย"
"นี่ของเจ้า"
"ให้ข้าหรือ?"
"อืม เป็นยาทาขี้ผึ้งกับยาสระผม ข้าปรับสูตรเพิ่มดอกไม้เข้าไป รับรองว่าผมของเจ้าจะหอมกว่าสตรีใดแน่นอน"
"เมี่ยวเมี่ยว นี่ใช่ยาสระผมและขี้ผึ้งดอกบัวที่ผู้คนเล่าลือกันใช่หรือไม่ ข้าอยากไปซื้อนัก แต่ไม่มีเงิน เอ่อ..."
จางเสวี่ยฮุ่ยไม่เอ่ยสิ่งใดอีก นางก้มหน้างุด ฟางเมี่ยวที่ได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่น แต่เพราะยามนี้มีคนมองพวกนาง ฟางเมี่ยวจึงไม่ได้เอ่ยถามจางเสวี่ยฮุ่ย
เป็นถึงบุตรสาวภรรยาเอกจะไม่มีเงินได้อย่างไร?
"พี่ใหญ่ ท่านมาทำอันใดตรงนี้ โอะ นั่นเครื่องประทินโฉมของผู้ใดกัน ดูแล้วน่าใช้ยิ่งนัก ข้าจะเอา เอามาให้ข้า"
"น้องรอง นี่เป็นของที่สหายข้าให้มา"
"ข้าจะเอา ท่านกล้าขัดคำข้าหรือ!!! ข้าจะฟ้องท่านพ่อ"
ฟางเมี่ยวจ้องมองจางเสวี่ยฮุ่ยที่มีท่าทีร้อนรน ก่อนจะถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง
นางพอจะรู้แล้วละว่า เหตุใดจางเสวี่ยฮุ่ยจึงเป็นเช่นนี้!!!
"แม่นางผู้นี้ นี่เป็นของขวัญที่ข้านำมามอบให้เสวี่ยเสวี่ย ไม่ใช่ของเจ้า"
จางเสวี่ยฮุ่ยหันมามองฟางเมี่ยว สลับกับหันไปมองจางลี่อิงน้องสาวต่างมารดาของตนคราหนึ่ง
จางลี่อิงหันมาจ้องมองฟางเมี่ยวก่อนจะเอ่ยถาม
"เจ้าเป็นผู้ใดกัน?"
"จางลี่อิงเจ้าอย่าเสียมารยาทนะ นี่ฟางเมี่ยวสหายของข้า"
จางลี่อิงที่ได้ยินเช่นนั้นก็ส่งเสียงเฮอะออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะมองฟางเมี่ยวตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
"อ้อ ข้าก็คิดว่าผู้ใด สตรีที่ทำตัวเหลวไหลไม่เอาการเอางานผู้นั้นนี่เอง พี่ใหญ่ท่านคบหาสตรีเช่นนี้เป็นสหายหรือ?"
จางเสวี่ยฮุ่ยไม่ตอบสิ่งใด ฟางเมี่ยวเลิกคิ้วขึ้นมองจางลี่อิงตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าเช่นเดียวกัน นางมองอยู่เช่นนั้น มองจนจางลี่อิงประหม่า
"จะมองอันใดนักหนา?"
ฟางเมี่ยวยิ้มตาหยีก่อนจะเอ่ยตอบ
"อ้อ ข้าอยากมองชัดๆ น่ะ เจ้าคงเป็นบุตรสาวสายรองสินะ มิน่าล่ะ เพราะไม่ได้คลานออกมาจากท้องของภรรยาเอกนี่เอง นิสัยจึงเป็นเช่นนี้!!"
"เป็นเช่นไร!!!"
"แล้วแต่จะคิดเถิด ข้าคร้านจะอธิบายให้คนโง่ฟัง"
"ฟางเมี่ยว!! จะเกินไปแล้วนะ เจ้าเหยียบย่างเข้ามาในจวนของผู้อื่น แต่กลับทำกิริยาต่ำทรามเช่นนี้หรือ!!!"
"ข้าเหยียบย่างเข้ามาในฐานะแขก เจ้าต่างหาก ทำกิริยาต่ำทรามกับแขกในจวนเช่นนี้ใช้ได้หรือ?"
จางลี่อิงทนไม่ไหว นางง้างมือเตรียมจะตบฟางเมี่ยว นางจะกลัวอันใด บิดารักนาง บิดานางเป็นสหายของฮ่องเต้และเป็นอาจารย์ที่เหล่าบัณฑิตให้ความเคารพในสำนักศึกษาหลวง ท่านปู่นางก็เป็นถึงราชครูของฮ่องเต้ อำนาจตระกูลจางยิ่งใหญ่ ตระกูลฟางเทียบไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
ฟางเมี่ยวเตรียมพร้อมแล้ว หากจางลี่อิงจะตบ นางก็จะถีบยอดหน้าให้ดู ไม่สนหรอกว่าจะเป็นลูกหลานใคร บิดานางก็มีความชอบต่อฝ่าบาทไม่น้อย ได้ยินว่าฝ่าบาทนับบิดานางเป็นสหายเช่นเดียวกัน เพราะอยู่ร่วมกันมาตั้งแต่บุกเบิกก่อสร้างแคว้นต้าอู๋ เหอะ!!! คิดว่าอวดเบ่งได้แค่ตระกูลเดียวหรืออย่างไรกัน
แต่ทว่ายังไม่ทันที่จางลี่อิงจะได้ลงมือกับฟางเมี่ยว ก็มีเสียงทรงอำนาจของบุรุษผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นมาเสียก่อน
"ลี่อิง หยุดทำตัวไร้มารยาทเดี๋ยวนี้!!!"
หลายเดือนต่อมา เจียงซูซูมาส่งใบลาให้เสิ่นจื่อหลาง บอกเพียงว่านางต้องติดตามท่านพ่อท่านแม่ไปจัดการธุระที่บ้านเดิมซึ่งอยู่นอกเมืองหลวงเสิ่นจื่อหลางให้นางลาสามวัน และบอกให้นางรีบกลับระหว่างทางที่มุ่งหน้ากลับบ้านเดิมนั้นไม่มีปัญหา จนกระทั่งยามที่นางและครอบครัวกำลังจะเดินทางกลับ กลับมีโจรบุกเข้ามาปล้นชิงครอบครัวของนาง พวกมันจับตัวพวกนางเอาไว้ เจียงซูซูหวาดกลัวไม่น้อย แต่ก็พยายามคิดในแง่ดีเอาไว้นางไม่รู้ว่าพวกมันจับตัวนางมาไว้ที่ใด ได้ยินเพียงพวกมันบอกว่าจะสังหารท่านพ่อท่านแม่ของนางและส่งนางไปขายที่หอนางโลมเจียงซูซูพลันนึกถึงเสิ่นจื่อหลางขึ้นมา จู่ๆ ขอบตาของนางก็ร้อนผ่าว เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่านางกับเขาชาตินี้อาจะไม่ได้เจอนางอีก นางสัญญากับเขาเอาไว้แล้วว่าจะกลับไปอยู่เคียงข้างเขาเขาเป็นถึงฮ่องเต้ผู้สูงส่งแต่นางเป็นเพียงขุนนางหญิงต่ำต้อย กลับอาจหาญที่จะไปหลงรักเขาภายใต้ใบหน้าที่แสนเย็นชาของเขามันซ่อนความอบอุ่นเอาไว้ เขาไม่เคยตำหนินาง ไม่เคยลงโทษนาง อีกทั้งยังไม่ถือตัวกับนาง นางชอบทุกอย่างที่เป็นเขา รักทุกอย่างของเขาจู่ๆ เจียงซูซูที่เข้มแข็ง น้อยครั้งนักที่นางจะร้องไห้ แต่ทว่ายามนี้นางกลับ
วันเวลาเช่นนี้ผ่านไปวันแล้ววันเล่าเดือนแล้วเดือนเล่าจนล่วงมาเป็นปี เขาไม่ทันรู้ตัวว่าเปิดรับนางเข้ามาในใจตั้งแต่ยามใด รู้ตัวอีกคราสายตาของเขาก็เอาแต่มองหานางเสียแล้ว“ถวายพระพรฝ่าบาทเพคะ”เสิ่นจื่อหลางที่กำลังนั่งอ่านตำราพลันเงยหน้าขึ้นไปมองโจวกุ้ยเฟยที่กำลังเดินเข้ามาโจวกุ้ยเฟย นามเดิม โจวเย่หลัน นางเป็นหลานสาวของนายท่านโจว เป็นทายาทที่เกิดจากบุตรชายเพียงคนเดียวของโจวชิงเหยา บุตรชายของนายท่านโจวเขารับนางเข้ามาเป็นสนมได้ร่วมสองปีแล้ว นิสัยของนางค่อนข้างอ่อนหวาน เอาอกเอาใจ และมีเมตตาแต่ทว่าเขารู้ดีว่านี่คือเปลือกนอกที่นางแสดงให้เขาดูเพียงเท่านั้นสตรีวังหลังมีผู้ใดบ้างไม่ฝักใฝ่ในอำนาจ หากไม่สนอำนาจเช่นนั้นจะเข้าวังหลวงมาทำไมกัน ไปบวชชีคงเหมาะเสียกว่า!!“โจวกุ้ยเฟย เจ้ามาหาข้ามีเรื่องใดหรือ?”โจวกุ้ยเฟยฉีกยิ้มอ่อนหวาน ก่อนจะเอ่ย“ทูลฝ่าบาท วันนี้หม่อมฉันคิดค้นสูตรอาหารขึ้นมาใหม่ จึงอยากมาชวนพระองค์ไปลองชิมที่ตำหนักเพคะ”“อืม ไว้มีเวลาข้าจะไป”“ฝ่าบาทเพคะ”เสิ่นจื่อหลางที่ได้ยินว่าโจวกุ้ยเฟยเอาแต่เรียกเขา ก็เงยหน้าไปมองนางด้วยแววตาที่เย็นชาจนนางลนลานหวาดกลัวไม่น้อย“เอ่อ หม่อมฉันขอทูล
วังหลวงท้องพระโรงยามนี้เจียงซูซูอยากจะมุดแผ่นดินหนีหรือไม่ก็แทรกตัวเข้าไปหลบในเสาต้นใดต้นหนึ่งยิ่งนักบุรุษที่นางยืนด่าฉอดๆ เมื่อไม่นานมานี้ แท้จริงเขาคือฮ่องเต้ของต้าอู๋พระนามเสิ่นจื่อหลางเจียงซูซูเบะปากทำท่าคล้ายคนจะร้องไห้ เห็นทีตำแหน่งขุนนางหญิงที่นางใฝ่ฝันคงจะจบเห่แล้ว!!!เสิ่นจื่อหลางปรายตามองเจียงซูซูคราหนึ่ง ก่อนจะหันไปมองสตรีอีกสองนางที่สอบได้ลำดับรองลงไป สตรีที่ได้อันดับสองมาจากจวนตระกูลหาน ได้ยินว่านางเก่งกาจด้านการใช้อาวุธ เขาจึงมอบตำแหน่งองค์รักษ์หญิงให้แก่นาง ส่วนสตรีอีกนางมาจากจวนตระกูลสวี ได้ยินว่านางรอบรู้ อีกทั้งยังช่างสังเกต เขาจึงให้นางไปเรียนรู้การทำงานที่ศาลต้าหลี่ ดูว่านางมีความสามารถเหมาะกับตำแหน่งใดในศาลต้าหลี่แล้วค่อยมอบตำแหน่งนั้นให้นางส่วนผู้ที่สอบได้อันดับหนึ่ง เขาตั้งใจที่จะให้นางทำงานอยู่ข้างกายเขา เขาไปที่ใดนางต้องไปตามคอยเป็นหูเป็นตาแทนเขา สามารถเป็นตัวแทนเขาในการทำงานต่างๆ ได้ สตรีมักจะทำงานรอบคอบและละเอียดมากกว่าบุรุษสตรีน้อยสองนางออกไปแล้ว ยามนี้เหลือเพียงเจียงซูซู เสิ่นจื่อหลางโบกมือให้คนอื่นๆ ออกไป ก่อนจะเดินตรงเข้ามาหานาง เจียงซูซูที่เห็นเช
(เรื่องราวเกิดขึ้นหลังขึ้นครองราชย์6ปี)“ฝ่าบาท จะออกไปจริงๆ หรือพ่ะย่ะค่ะ”ขันทีคนสนิทเอ่ยถามเสิ่นจื่อหลางอย่างร้อนรน ได้ยินว่าวันนี้ฝ่าบาทจะออกไปชิมอาหารที่ภัตตาคารโหยวเย่ว์อีกแล้ว“ไม่ต้องตามข้า ข้าเพียงไปพบสหายเท่านั้น”เขาเอ่ยเพียงเท่านั้นก่อนจะปลอมตัวเป็นองค์รักษ์เสื้อแพรออกไปที่นอกวังหลวงยามนี้อาอวี้รั้งตำแหน่งผู้บัญชาการองค์รักษ์เสื้อแพร อีกทั้งยังตงฉิน ทำงานอุทิศตนเพื่อบ้านเมือง มันทำให้เขามองเห็นตนเองเมื่อสมัยก่อนปีนี้เขามีอายุยี่สิบเจ็ดปีแล้ว ครองราชย์มาก็หลายปี แต่ทว่ายังคงไม่มีทายาทสืบทอดวันนี้เขามีนัดกับฟางเมี่ยวที่ภัตตาคารโหยวเย่ว์ นางบอกมีสูตรอาหารแปลกใหม่อยากให้เขาได้ลิ้มลองเมื่อมาถึงเขาก็พบกับหลี่เยี่ยนเฉิน น่าแปลกที่ยามนี้เขากับหลี่เยี่ยนเฉินกลายเป้นสหายสนิทกันไปเสียแล้ว“อาจื่อ เจ้าว่างมากหรือ จึงนัดพวกข้ามาพบ”“แน่นอนสิ ข้าไม่มีสิ่งใดทำ”“เหอะ”“เหอะอันใด รีบสั่งอาหารมาสิ แล้วนี่เมี่ยวเมี่ยวเล่า นางไปที่ใด?”“มาถึงก็เรียกหาภรรยาผู้อื่นเช่นนี้ใช้ได้หรือ กลับไปหาสนมเจ้าสิ!!!”“เจ้าหึงหวงหรือ ช่วยไม่ได้ เมี่ยวเมี่ยวสนิทกับข้านี่เจ้าก็รู้”“อย่าคิดว่าข้าไม่กล้าทุบ
เขาจำได้ดีว่าในปีนั้นเป็นช่วงฤดูร้อน ฮ่องเต้เย่หมิงหล่างมีรับสั่งให้เหล่าขุนนางตามออกไปล่าสัตว์อีกครา หลังจากที่เกิดเหตุการณ์น่ากลัวที่เหล่านักฆ่าลอบสังหาร ก็มีการเพิ่มกำลังการคุ้มกันแน่นหนาขึ้น“วันนี้พี่เยี่ยนช่างรูปงามยิ่งนัก”หลี่เยี่ยนเฉินปรายตามองฟางเมี่ยวคราหนึ่ง ก่อนจะเบือนหน้าหนี นางตามมาเกี้ยวพาเขาอีกแล้วฟางเมี่ยวจ้องมองหลี่เยี่ยนเฉินด้วยท่าทีหยอกเย้า ไม่ได้ใส่ใจท่าทีที่เอือมระอาของเขาเลยแม้แต่น้อย“พี่เยี่ยน”“หยุดเรียกข้าสักที”เขารีบควบม้าหนีนางไปทันที ฟางเมี่ยวไม่ยอมลดละรีบควบม้าตามเขาไปอย่างรวดเร็วแต่ทว่าม้าของนางกลับพยศ มันวิ่งเข้าป่าไม่หยุดจนเกือบจะชนเข้ากับต้นไม้ใหญ่ หลี่เยี่ยนเฉินตื่นตระหนกยิ่ง รีบกระโดดเข้ามาคว้าตัวนางลงจากหลังม้า ก่อนที่คนทั้งสองจะกลิ้งตกลงเขาไปด้วยกันฮ่องเต้เย่หมิงหล่างสั่งให้คนออกตามหาพวกเขาทั้งสองคนแต่กลับไม่พบฟางเมี่ยวขยับกายเล็กน้อย นางรู้สึกปวดไปทั้งตัว แต่ว่าเมื่อได้มองเห็นหลี่เยี่ยนเฉินที่นอนสลบอยู่ ก็ตกใจไม่น้อย บนหน้าผากของเขามีเลือดไหลซึมออกมา คาดว่าอาจจะถูกกิ่งไม้แหลมขูดหน้าผาก ฟางเมี่ยวรีบใช้ผ้าสะอาดที่นางนำติดมาด้วยซับเลือดให้เขา
รัชศกจื่อหลางปีที่ 1ยามนี้เสิ่นจื่อหลางขึ้นเป็นฮ่องเต้ได้หนึ่งปีแล้ว นับแต่ที่เขาขึ้นครองราชย์นั้นนับว่าเป็นช่วงที่รุ่งเรืองไม่น้อย แคว้นต่างๆ ยอมศิโรราบ แคว้นใดคิดเป็นกบฏจะถูกสังหารอย่างไม่ละเว้น ผู้ทำผิดถูกลงโทษไม่เว้นว่าจะเกิดในตระกูลใด เด็กๆ ที่ยากจนได้มีสถานที่เรียน ซึ่งทางราชสำนักเป็นคนต่อตั้งขึ้นสำหรับครอบครัวที่ยากจนสามปีต่อมาอาอวี้ที่มีอายุจะครบสิบห้าปีแล้วสามารถสอบเป็นจอหงวนได้สำเร็จ หลังจากนั้นอีกหลายปี เพราะความสามารถของเขาที่เก่งกาจทั้งบุ๋นและบู๊ จึงได้รับตำแหน่งผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพร ทำงานรับใช้ฝ่าบาทอย่างใกล้ชิดฟางเจี๋ยพี่ชายของนางได้รับตำแหน่งเสนาบดีกรมกลาโหม ส่วนท่านพ่อนั้นก็ออกมาพักผ่อนและเลี้ยงลูกๆ ของฟางเจี๋ยและหลิวจืออยู่ที่จวนส่วนหลี่เยี่ยนเฉินนั้นยามนี้สงครามสงบ ไม่มีสิ่งใดให้ต้องทำ เขาจึงติดตามภรรยาไปค้าขายต่างแคว้นอย่างมีความสุข ทั้งคู่ยังไม่มีบุตรจนหลี่ฮูหยินร้อนใจ สั่งให้ฟางเมี่ยวห้ามออกจากจวนไปทำงาน อยู่ทำลูกกับหลี่เยี่ยนเฉินทุกวันยามที่มีเวลาว่าง ฟางเมี่ยวมักจะไปที่หลุมศพของจางเสวี่ยฮุ่ย บอกเรื่องราวความเป็นไปในแต่ละช่วงเวลาให้นางฟังฟางเมี่ยวเชื