วันที่เขาถูกขับไล่ออกจากตระกูลจึงได้เห็นรอยยิ้มที่เย้ยหยันจากนางสุ่ยซื่อผู้ที่เขาเรียกว่าท่านแม่ ที่คิดว่านางรักและหวังดีกับเขามาตลอด
หลี่เฉียงเปลี่ยนจากแซ่หานมาใช้แซ่หลี่ของผู้เป็นมารดา เขาต้องมาอยู่ที่บ้านเดิมของท่านยายที่หมู่บ้านไฉชง เมืองซานตง ทิศตะวันออกของแคว้นต้าเยี่ยน ห่างจากเมืองหลวงถึงสองพันกว่าลี้
แม้การเดินทางมาจะมิได้ลำบาก เพราะคนของบิดาเดินทางมาส่ง เงินที่ได้ติดตัวมาก็นับว่าไม่น้อย เพียงแต่เขาที่เสียใจ ผิดหวัง นำเงินทั้งหมดไปละลายที่เหลาสุราและหอพนันเช่นเคย หว่านหนิงนางจึงคิดที่จะทิ้งเขาแล้วกลับไปอยู่ที่เมืองหลวงเช่นเดิม
ในเมื่อเขาตามนางกลับมาได้ทุกครั้ง ครั้งนี้นางจึงได้หนีขึ้นไปทางเส้นภูเขา เพื่อหวังจะหลบสายตาของหลี่เฉียง นางคงจะพลาดเพราะไม่ชินทางทำให้นางตกเขาจนหมดสติไป
“หึ รถ รถม้าเช่นนั้นรึ เจ้าจะหารถม้าจากไฉชงได้อย่างไร” หลี่เฉียงมองนางเหมือนมองคนโง่ ในหมู่บ้านไม่มีผู้ใดที่มีรถม้า หากจะหารถม้าต้องเข้าเมืองไปอีกเกือบสองชั่วยาม (1ชั่วยาม=2ชั่วโมง)
หว่านหนิงยิ่งฟังก็ยิ่งมึนงง นางสับสนจนเกิดเป็นความกลัวขึ้นมา นางเริ่มมองหาว่ามีกล้องซ่อนไว้ตรงไหนหรือเปล่า
“เลิกล้อเล่นได้แล้วอาเยว่ ฉันไม่ตลกด้วยนะ” เสียงของนางสั่นออกมาอย่างน่าสงสาร
แต่หว่านหนิงคงลืมนึกไปว่าอาเยว่จะแกล้งนางเพื่ออะไร ทั้ง ๆ ที่นางได้รับบาดเจ็บหนัก ไหนจะต้องหาสถานที่ย้อนยุคอีก ทั้งนักแสดงที่ดูสมจริงจะแกล้งครั้งหนึ่งต้องลงทุนมากขนาดนี้เลยเหรอ
“เจ้าเลิกแสร้งบ้าได้แล้ว ข้าไม่มีวันปล่อยเจ้ากลับเมืองหลวงอย่างแน่นอน” แม้จะแปลกใจไม่น้อย แต่เขาก็ยังเชื่อว่านางคงจะต้องเล่นงิ้วอีกแน่
หว่านหนิงมองใบหน้าของหลี่เฉียงอย่างสับสน หากดูตามสถานการณ์ตอนนี้ดูเหมือนตาบ้านี่ไม่ได้ล้อเล่น และตัวนางก็ดูเหมือนไม่ได้ถูกรถชนแต่เหมือนจะตกเขาอย่างที่เขาพูดเสียมากกว่า
ดวงตาของหว่านหนิงสว่างแวบขึ้น เหมือนว่าเธอจะนึกอะไรออก “มะ ไม่ จริง” นางหยันตัวลุกขึ้นยืนก็พบว่ามีเพียงข้อเท้าที่เคล็ดเท่านั้น
หว่านหนิงเปิดประตูจะวิ่งออกไปดูด้านนอก แต่ก็ถูกหลี่เฉียงดึงรั้งไว้เสียก่อน
“เจ้าจะไปที่ใด คิดจะหนีอีกแล้วรึ” แรงบีบของฝ่ามือของเขาที่บีบอยู่ที่ต้นแขนของเธอ
ทำให้เธอร้องออกมา “โอ๊ยยย เจ็บ ตาบ้า ปล่อยฉัน!!!” แต่ไม่ว่าจะสะบัดให้หลุดเช่นไรก็ไม่อาจทำได้
ยิ่งเห็นใบหน้าของหว่านหนิงที่บิดเบี้ยวอย่างรังเกียจยามที่เขาใกล้เขา โทสะของหลี่เฉียงก็เพิ่มมากขึ้น
“เจ้ามันสตรีไร้ยางอาย ยามข้ามีเงินทองก็หลงใหลข้า ยามนี้ข้าไร้สิ้นเงินทอง ชื่อเสียงเจ้าคิดจะตีจากรึ อย่าได้ฝัน”
“บ้าหรือเปล่า ฉันไปหลงใหลคุณตอนไหน ปล่อย ฉันเจ็บ”
หว่านหนิงเธออยากจะออกไปดูด้านนอกให้แน่ใจว่าใช่อย่างที่เธอคิดไหม นางกลัวว่าจะข้ามมาอยู่ในมิติอื่น เหมือนที่นิยายเขียนเอาไว้ เพราะตอนนี้นางไม่มั่นใจเรื่องใดเลย หากเข้ามาสวมร่างของคนอื่น ก็ต้องมีความทรงจำเหลืออยู่บ้าง แต่นี่มันไม่มีเลย นางเลยไม่รู้ว่านี่เป็นเรื่องที่ถูกสร้างขึ้นมา หรือนางทะลุมิติมากันแน่
“ไร้ยางอาย!!!” หลี่เฉียงลงน้ำหนักมือที่บีบแขนของหว่านหนิงเพิ่มขึ้น
“จะ เจ็บ เหม็นด้วยจะอ้วก” นางทั้งผลักทั้งดิ้นรนเพื่อให้หลุดของมือของเขา
หว่านหนิงที่เพิ่งลุกจากเตียง ทั้งยังร่างเดิมก็ได้รับบาดเจ็บมาไม่น้อย ขาของนางอ่อนแรงลงเกือบจะลงไปกองนั่งอยู่ที่พื้น แต่มือของหลี่เฉียงที่บีบรั้งต้นแขนของนางไว้ฉุดให้นางยังยืนอยู่ต่อได้
นางจึงเสียหลักล้มอยู่ในอ้อมแขนของเขา กลิ่นเหม็นจากเสื้อผ้า กลิ่นกาย ลมหายใจของเขาที่มีแต่กลิ่นสุรา บวกกับที่ศีรษะของเจ้าของร่างเดิมได้รับความกระทบกระเทือน นางจึงอาเจียนรดไปที่ตัวของหลี่เฉียง
“อุ๊บ...แหวะ” นางไม่อาจกลั้นไว้ได้จริงๆ
“นี่ จะ เจ้า” หลี่เฉียงปล่อยมือจากตัวของหว่านหนิงทันที
“ก็ฉันบอกคุณแล้ว" ร่างของนางทรุดลงไปนั่งที่พื้นอย่างหมดแรง สายตาของนางเริ่มพร่ามัว ภาพความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมไหลวนอยู่ภายในหัวจนหว่านหนิงต้องยกมือขึ้นกุมขมับ
ความสับสนต่างๆ กับความตกใจที่ได้รับ ก่อนที่นางจะหมดสติลงอีกครั้งก็เงยหน้าขึ้นมองบุรุษตรงหน้าด้วยความหวาดกลัว
“จะ เจ้า” หลี่เฉียงตกตะลึงไม่น้อย เพราะว่าหว่านหนิงนางหมดสติไปแล้ว
เขาถอนหายใจออกมาอย่างไม่เข้าใจเหตุการณ์ตรงหน้าที่เกิดขึ้น เงินที่มีก็ถูกเขานำไปถลุงกับสุราและการพนันจนหมดสิ้น จะให้ไปตามหมอมาดูอาการของนางก็ไม่รู้ว่าจะต้องใช้เงินที่ไหนมาจ่าย
จึงทำได้เพียงอุ้มร่างของนางขึ้นไปนอนบนเตียงอีกครั้ง ก่อนที่เขาจะออกไปจัดการล้างตัวที่เปื้อนไปด้วยอาเจียนของหว่านหนิง ทั้งยังต้องทำความสะอาดพื้นที่นางอาเจียนไว้เต็มไปหมด
“ไม่เห็นจะเหม็นเสียหน่อย” เขาดมเนื้อตัวของตนเอง แต่ก็ยังอดที่จะเบ้หน้าไม่ได้ คนเช่นเขาจะกล้ายอมรับความจริงได้อย่างไรว่าตนเองเหม็นเช่นที่นางว่า
หว่านหนิงเหมือนตกอยู่ในบทละครเรื่องหนึ่ง ตัวนางที่เข้าไปอยู่ร่วมในเหตุการณ์ได้แต่มองภาพตรงหน้าอย่างมึนงง
เจ้าของร่างเดิมมีใบหน้าที่เหมือนกับนางราวกับเป็นคนเดียวกัน เพียงแต่นิสัยของนางนั้น เอ่อ เอาเป็นว่าร้ายเช่นที่หลี่เฉียงนึกรังเกียจนั่นแหละ
ซูหว่านหนิง สาวงามของเมืองหลวง แต่ด้วยสถานะของนางที่เป็นเพียงบุตรของพ่อค้าขายหมู ทำให้คุณชายที่สนใจอยากจะรับนางไว้เป็นเพียงอนุหรือสาวใช้ห้องข้างเท่านั้น
คนทะเยอทะยานเช่นนางไม่ต้องการเป็นเพียงแค่อนุหรือสาวใช้ห้องข้างของผู้ใด เมื่อสาวใช้ของสุ่ยซื่อมาติดต่อนางเพื่อให้ตกแต่งให้กับหลี่เฉียงเป็นภรรยาเอกของเขา นางจึงได้รับปากทันที
ทางด้านบิดามารดาของซูหว่านหนิง รวมทั้งน้องชายของนางต่างก็ไม่เห็นด้วยที่นางจะแต่งเข้าจวนตระกูลหาน ต่างเอ่ยปากห้ามนางและขอร้องนางทุกหนทาง แต่นางก็ไม่คิดจะหยุดฟังคำเตือนของพวกเขา
แต่เมื่อแต่งเข้าไปนางถึงได้รู้ว่าหลี่เฉียงที่เป็นคุณชายใหญ่ทั้งยังมีใบหน้าชวนฝันมิได้สง่างามเช่นที่นางคิด วันๆ นอกจากดื่มสุรากับอยู่หอพนันเขาก็ไม่เคยคิดจะสนใจสิ่งใด
นางทั้งใช้มารยายั่วยวน ทั้งใช้ความอ่อนหวานเข้าแรกเขาก็สนใจนางเพียงชั่วเวลาสั้นๆ เท่านั้น เพียงไม่นานเขาก็หันกลับไปหมกตัวอยู่ที่หอพนันตามเดิม
หว่านหนิงที่เห็นหานเจิ้งน้องชายต่างมารดาของหลี่เฉียงเป็นถึงบัณฑิตสง่างาม นางเริ่มคิดจะเข้าหาน้องชายของหลี่เฉียงแทนตัวเขา
เรื่องนี้นางสุ่ยซื่อล่วงรู้เข้า นางจะยอมให้บุตรชายของนางเสื่อมเสียได้อย่างไร จึงได้นำเรื่องไปบอกกล่าวหลี่เฉียง จนทั้งคู่มีปากเสียงกันเป็นประจำ
หลังจากงานเลี้ยงราชสมภพของฮ่องเต้ ก็ยังไม่มีคณะทูตคนใดที่คิดจะเดินกลับ ด้วยต้องการตัวของคนที่ทำชุดฉลองพระองค์ของฮ่องเต้และฮองเฮากลับแคว้นของตนไปด้วยความวุ่นวายด้านนอกนางมิได้รับรู้ ด้วยมีสัตว์เทพทั้งสี่ที่คอยจัดการพวกที่ลักลอบเข้ามาในจวนอยู่ตลอด บางคนเกือบจะเอาชีวิตมาทิ้งไว้ เพื่อต้องการเข้ามาชิงตัวหว่านหนิงนางกลับไปที่แคว้นของพวกเขาด้วยตอนนี้ทั่วถึงเมืองหลวงจึงได้รู้ว่าจวนตระกูลหลี่มิใช่สถานที่ ที่ผู้ใดจะเข้าไปวุ่นวายได้ง่ายๆ หากมีปัญญาที่จะเข้าไปก็ต้องลองดูว่าจะมีโอกาสได้กลับออกมาอีกหรือไม่ตัวองค์ชายสามจึงได้รู้ว่าเสือที่กุ้ยเฟยพูดถึงมิได้ไม่มีอยู่จริง มันมีอยู่ที่จวนตระกูลหลี่ เพราะเสี่ยวหู่เผยตัวตนของมันเข้าเสียแล้วหากวันใดที่จวนตระกูลหลี่เปิดประตูจวนทิ้งไว้ ชาวบ้านที่ผ่านไปผ่านมาก็จะพบเสือโคร่งตัวใหญ่เดินอยู่ภายในจวนที่เสี่ยวหู่มันทำเช่นนี้เพื่อจัดการมิให้ผู้ใดเข้ามากวนนายหญิงยามที่นางตั้งครรภ์ใกล้คลอด ก่อนหน้านี้ที่มันเผยตัว ด้วยแคว้นต้าซ่งส่งคนมาลอบลักพาตัวหว่านหนิงคนขององค์ชายสามที่คุ้มกันห่างๆ อยู่รอบจวนเข้ามาช่วยเหลือไม่ทัน พอไปแจ้งองค์ชายสามก็เห็นเสี่ยวหู่กำลังตะปบใบห
ตระกูลซูเมื่อรู้ว่าหว่านหนิงนางกลับมาถึงเมืองหลวงก็รีบมาพบนางทันที พอได้เห็นว่านางไม่มีอันใดให้เป็นห่วง ทั้งยังไม่มีอาการแพ้ท้องให้ได้เห็น ต่างก็พากันกลับออกไป ปล่อยให้นางได้พักผ่อนฉลองพระองค์ที่หว่านหนิงนางทำขึ้นถวาย เป็นที่พอพระทัยของฮ่องเต้ยิ่งนัก จนประทานรางวัลมาให้นางถึงสองคันรถม้า ทั้งยังมีป้ายเชิดชูฝีมือปักผ้าของนางประทานมาให้อีกด้วยป้ายพระราชทานนี้ถูกติดไว้อยู่ที่หน้าจวน เคียงข้างป้ายจวนตระกูลหลี่อย่างยิ่งใหญ่ ราคาผ้าปักกั้นฉากสามผืนก่อนหน้านี้ที่นางทำขึ้น ถูกทาบทามขอซื้อสูงถึงผืนละห้าพันตำลึงทอง แต่ก็ไม่มีผู้ใดที่คิดจะขายออกไป ด้วยอยากจะเก็บไว้ให้บุตรหลานและอวดสายตาของผู้อื่นเสียมากกว่าเพราะการตั้งครรภ์ของนาง หว่านหนิงนางจึงไม่ได้ถูกผู้ใดรบกวนขอให้ปักผ้าให้อีก มีเพียงผืนที่นางรับบอกจ้าวซื่อ และชุดของตู้ลู่จื้อที่นางรับปากไว้แล้วเท่านั้นที่นางทำให้ของทั้งสองสิ่งต่างก็มอบให้พวกเขาก่อนที่นางจะเดินทางกลับเมืองหลวงแล้ว ตอนนี้นางจึงว่างงานเอาแต่กินนอนอยู่เพียงภายในจวนเท่านั้นเรื่องที่น่าแปลกอีกเรื่องเห็นจะเป็นต้นหม่อนที่โตวันโตคืนจนบ่าวในจวนต่างตกตะลึงทุกวัน ยิ่งได้เห็นเหล่าผี
ต่อไปนี้นางก็จะมีช่องเก็บของส่วนตัวเสียที ของมีค่าทั้งหมดหว่านหนิงนางนำมาใส่ลงไปด้านใน และผูกเก็บไว้ที่ข้างเอวของนางอย่างหวงแหน ยิ่งทำให้คอของเสี่ยวหู่ตั้งตรงมากกว่าเดิมเซียงเซียงกลับมาถึงเรือนก็นำผ้าหลายพับมามอบให้หว่านหนิง โดยผ้าทั้งหมดที่นางมอบให้ในครั้งนี้ เพื่อทำชุดและผ้าอ้อมให้บุตรของหว่านหนิงเท่านั้นส่วนเหมยลี่นางนำสุราแสงจันทร์ ที่ถูกนำออกมาแอบแสงจันทร์ในวันพระจันทร์เต็มดวงถึงหนึ่งร้อยครั้งด้วยกัน“นายหญิงสุราไหนี้ ท่านไว้ดื่มหลังจากที่ท่านคลอดบุตรแล้ว จะช่วยให้พลังหยินหยางในร่างกายท่านสมดุลเร็วขึ้น”หว่านหนิงนางมองสัตว์เทพทุกตัวของนางอย่างซาบซึ้ง ดวงตาของนางมีน้ำตาเอ่อคลอออกมา“ข้าไม่รู้จะขอบใจพวกเจ้าเช่นไร เพียงแค่มีพวกเจ้าอยู่ข้างกายจ้า ข้าก็นึกขอบคุณสวรรค์มาแล้ว” นางร่ำไห้ออกมาจนได้เสี่ยวหู่ซุกเข้าไปในอ้อมกอดของหว่านหนิงนางทันที ส่วนทั้งสามต่างเข้ามาคลอเคลียอยู่ที่แก้มของนางหลี่เฉียงที่เข้ามาเห็นภาพนี้พอดี ก็ยิ้มมองทั้งหมดอย่างภูมิใจ เรื่องดีที่สุดในชีวิตของเขาก็คงเห็นจะเป็นเรื่องนี้ที่มีหว่านหนิงและสัตว์เทพที่คอยช่วยเหลือ“ท่านพี่ ท่านดูนี่” หว่านหนิงนางนำของทั้งหมดออ
นับตั้งแต่ออกเดินทางจากเมืองหลวง ตัวหว่านหนิงนางก็แทบจะไม่ได้ปักผ้าสักเท่าไหร่ นางเอาแต่นอนพักอยู่ภายในรถม้า พอเข้าพักที่โรงเตี๊ยมนางก็เอาแต่นอน“นายท่าน นายหญิงกำลังตั้งครรภ์เจ้าค่ะ” ฮวาเตี๋ยนางร้องบอกหลี่เฉียง เมื่อนางลองบินเข้าไปใกล้ท้องของหว่านหนิงเพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งที่นางคิดถูกต้อง“จะ เจ้า...เจ้าว่าอย่างไรนะ” หลี่เฉียงร้องออกมาอย่างตกใจจนเสี่ยวชิงที่เพิ่งนำม้าไปเก็บด้านหลังเรือน ต้องเดินเข้ามาดูว่าเกิดเรื่องใดขึ้น เขาก็เห็นเพียงนายท่านพูดคุยอยู่กับความว่างเปล่าเท่านั้น โดยมีเสี่ยวหู่ยืนอยู่ด้านข้าง จะบอกว่าคุยกับแมวก็ดูจะประหลาดเกินไป“ข้าบอกว่า นายหญิงตั้งครรภ์เจ้าค่ะ ท่านควรไปเชิญหมอมาตรวจให้นางอีกครั้งเพื่อความ...อ้าว” ฮวาเตี๋ยนางยังพูดไม่จบหลี่เฉียงก็วิ่งเข้าไปในหมู่บ้านเสียแล้วโดยหลงลืมไปเลยว่ามีเสี่ยวชิงอยู่ จะใช้ให้เสี่ยวชิงไปตามก็ย่อมได้ พอออกจากเรือนก็พบป้าตู้ที่นางกำลังจะเดินมาดูว่าผู้ใดมาที่เรือนของหว่านหนิง“อ้าว อาเฉียงเจ้ากลับมาเมื่อใด แล้วอาหนิงเล่า” นางดึงรั้งหลี่เฉียงที่กำลังเร่งฝีเท้าเข้าไปในหมู่บ้านไว้“เพิ่งกลับมาขอรับ ท่านป้าข้าจะรีบไปตามหมอ ขอตัวก่อนขอรั
ยิ่งรู้ว่าหลี่เฉียงกับหว่านหนิงจะเดินทางกลับซานตง องค์ชายสามก็เสด็จมาพูดคุยเรื่องนี้ที่จวนตระกูลซูด้วยพระองค์เอง ยิ่งทำให้ผู้พบเห็นต่างตกตะลึงและยิ่งอยากจะสร้างความสัมพันธ์กับพวกเขามากกว่าเดิม“หากเจ้ากลับไปแล้วเปิ่นหวางจะหาสุราดื่มได้อย่างไร” ทุกวันนี้ก็แทบจะจิบวันละอึกอยู่แล้ว หากทั้งสองมิเดินทางกลับมาเมืองหลวงอีก มิต้องส่งคนไปรับสุราที่เมืองซานตงหรอกรึ“กระหม่อมเพียงกลับไปจัดการเรื่องที่เมืองซานตงและจะย้ายมาอยู่ที่เมืองหลวงพ่ะย่ะค่ะ” เรื่องนี้หลี่เฉียงพูดคุยกับหว่านหนิงนางแล้วหว่านหนิงนางก็อยากจะอยู่ใกล้บิดามารดา ตอนนี้ทั้งสองก็ให้พ่อบ้านเร่งหน้าจวนหลังใหม่ให้ทั้งคู่แล้ว เพราะหากยังอยู่ที่เรือนตระกูลซู หลี่เฉียงจะถูกผู้อื่นมองว่าเป็นเขยแต่งเข้า เรื่องนี้ไม่ดีสำหรับตัวเขาเลยสักนิดความจริงที่องค์ชายสามมาในวันนี้ก็อยากจะถามเรื่องที่เกิดขึ้นภายในวังเมื่อสองวันก่อนด้วย แต่เขาคิดว่าคงเป็นไปไม่ได้ จึงไม่ได้เอ่ยถามออกมาสองวันก่อนที่ตำหนักของกุ้ยเฟยเกิดเรื่องขึ้น เสียงกรีดร้องในยามค่ำคืนที่ดังไปทั่ววังหลัง ทำให้เกิดความโกลาหลอยู่ไม่น้อย ตอนที่ทหารเข้าไปภายในตำหนักก็ไม่พบสิ่งใดที่ผิดแปลก
กุ้ยเฟยยิ้มหวานมองฮองเฮาที่เดินเข้ามาอย่างรู้งาน ดวงตาของนางไม่ต่างจากฮองเฮาที่มองจ้องกันไปมาอย่างแข็งกร้าว“พี่สาว วันนี้ท่านลำบากเดินมาหาข้าถึงตำหนักได้เลยรึ” กุ้ยเฟยลุกขึ้นทำความเคารพก่อนจะยกที่นั่งประธานให้ฮองเฮาไปนั่งแทนตน“หึหึ เปิ่นกงเห็นว่ามีเรื่องน่าสนุกที่ตำหนักของเจ้า จึงได้เดินมาร่วมชมด้วย อ๊ะ...ฮูหยินหลี่เจ้ามาทำอันใดที่นี่” กุ้ยเฟยกลอกตาอย่างเบื่อหน่าย การแสดงของฮองเฮาช่างน่าขันนัก“กุ้ยเฟยต้องการให้หม่อมฉันทำฉลองพระองค์ถวายสักสองสามชุด มิใช่ว่าหม่อมฉันจะไม่เต็มใจทำให้ เพียงแต่จำต้องเดินทางกลับไปซานตงก่อนเพคะ” หว่านหนิงได้ทีนางก็เอ่ยฟ้องเรื่องราวออกมาจนหมด“หึหึ ฮูหยินหลี่เจ้ามิต้องกังวลใจ น้องสาวข้านางรอได้ จริงหรือไม่” ฮองเฮาหันไปถามกุ้ยเฟย“จริงเพคะ” นางกัดฟันพูดออกมา ผู้ใดจะกล้าบอกว่าไม่จริงเล่า ยิ่งตอนนี้ฮองเฮาและบุตรของพระองค์กำลังได้รับความโปรดปรานอย่างหาที่สุดมิได้หากกุ้ยเฟยหาเรื่องฮองเฮาในยามนี้ไม่เท่ากับว่าโง่เขลาเกินไปหรอกรึ“เห็นหรือไม่ น้องสาวข้าช่างรู้ความนัก เจ้ากลับไปเตรียมตัวเถิด ไว้เดินทางเข้าเมืองหลวงเมื่อใด ค่อยเข้ามาพบกุ้ยเฟยก็ยังมิสาย”หว่านหนิงทำค