หลังจากตั้งปณิธานในใจ เหม่ยหลินก็สูดหายใจลึกๆ พยายามรวบรวมสติที่ยังคงสับสนอลหม่าน สายตาของลูกๆ และลูกสะใภ้ยังคงจับจ้องมาที่เธอด้วยความระแวง เธอรู้ว่าเธอต้องทำให้พวกเขาเชื่อใจให้ได้
"พวกเจ้า...กินข้าวกันหรือยัง?" เธอถามด้วยน้ำเสียงที่พยายามให้เป็นปกติที่สุด แต่คำถามง่ายๆ กลับทำให้ใบหน้าของทุกคนแปรเปลี่ยนเป็นซีดเผือดลงไปอีก "ท่านแม่...พวกเรา...พวกเรายังไม่ได้กินเลยเจ้าค่ะ/ขอรับ" ชิวลี่ฮวาเอ่ยตอบเสียงสั่นๆ พลางก้มหน้าหลบสายตา เหม่ยหลินพยักหน้าช้าๆ ถึงว่าสิ ดูผอมโซกันขนาดนี้... เธอหันมองไปรอบห้องอีกครั้ง พยายามสำรวจหาห้องครัว "ครัวอยู่ทางไหน?" เธอถาม คราวนี้หลี่เฟยหลงเป็นฝ่ายตอบด้วยน้ำเสียงที่ห้วนกว่าน้องๆ "อยู่ด้านหลังขอรับท่านแม่" แววตาของเขายังคงเต็มไปด้วยความไม่ไว้วางใจ ราวกับกำลังรอคอยว่าเธอจะเล่นตลกอะไรอีก เหม่ยหลินไม่ได้สนใจสายตาของเขา เธอเดินตรงไปตามทิศทางที่หลี่เฟยหลงบอก เมื่อเดินผ่านประตูไม้เก่าๆ ออกไปด้านหลัง ก็พบกับลานเล็กๆ และห้องครัวที่แยกออกมาจากตัวบ้านหลัก มันเป็นห้องเล็กๆ ที่ทำจากไม้ ผนังบางส่วนมีรอยผุพัง หลังคามุงจากมีรอยรั่วประปราย ภายในครัวมีเพียงเตาฟืนก่อด้วยดินเหนียวขนาดใหญ่หนึ่งเตา มีเขม่าควันเกรอะกรังไปทั่วหม้อและกระทะเหล็กเก่าๆ ที่แขวนอยู่เหนือเตา มีถังไม้ใส่น้ำตั้งอยู่มุมหนึ่ง และตู้เก็บอาหารไม้เก่าๆ ที่ดูจะไร้ซึ่งอาหาร เหม่ยหลินเปิดดูตู้เก็บอาหารอย่างช้าๆ ภายในว่างเปล่า มีเพียงผักกาดขาวเหี่ยวๆ สองสามหัว กับขิงเก่าๆ และหัวหอมไม่กี่หัวเท่านั้น ไม่มีข้าวสาร ไม่มีเนื้อสัตว์แม้แต่น้อย ยากจนขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย? เหม่ยหลินรู้สึกใจหายวาบ เธอเป็นเชฟที่เติบโตมาในยุคที่วัตถุดิบหาได้ง่ายดาย มีเครื่องปรุงครบครัน การเห็นครัวที่ว่างเปล่าเช่นนี้ทำให้เธอรู้สึกแปลกประหลาดอย่างมาก เสียงฝีเท้าเบาๆ ดังขึ้นด้านหลัง เธอหันไปก็เห็นลูกๆ ทั้งสี่คนยืนเกาะกลุ่มกันอยู่ตรงประตูทางเข้าครัว ดวงตาของพวกเขายังคงจับจ้องมาที่เธออย่างระแวง โดยเฉพาะหลี่เฟยหลงที่ยืนกอดอก ใบหน้าเรียบตึง "มีอะไรกินบ้าง?" เหม่ยหลินพยายามถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนที่สุดเท่าที่จะทำได้ หลี่เฟยหานเป็นคนตอบคราวนี้ "เมื่อเช้าพวกเราเจอหน่อไม้เล็กๆ ในป่า เลยเอามาต้มแล้วขอแลกกับมันเทศจากลุงหวังมาได้หกหัวขอรับท่านแม่" เขาชี้ไปที่ตะกร้าหวายใบเล็กๆ ที่วางอยู่บนพื้น มีมันเทศสีม่วงหกหัววางอยู่ข้างใน เหม่ยหลินก้าวเข้าไปดู มันเทศดูไม่สดเท่าไหร่ แต่ก็ยังพอกินได้ เธอคิดในใจว่าแค่มันเทศต้มคงไม่อิ่มท้อง แถมสารอาหารก็ไม่พอสำหรับเด็กที่กำลังเจริญเติบโต โดยเฉพาะชิวลี่ฮวาที่กำลังตั้งครรภ์ "แค่นี้จะพออะไร" เธอพึมพำกับตัวเองเบาๆ แต่เสียงนั้นกลับดังก้องในความเงียบ ทำให้เด็กๆ สะดุ้งโหยง "ท่านแม่! พวกบ่าว...พวกบ่าวจะไปหามาเพิ่มให้เองขอรับ!" หลี่เฟยหยางเอ่ยขึ้นอย่างรีบร้อน น้ำตาคลอเบ้า เขาคิดว่าเธอไม่พอใจและกำลังจะลงโทษพวกเขา "ไม่เป็นไร" เหม่ยหลินรีบปฏิเสธ พลางถอนหายใจ ให้ตายเถอะ! นี่ขนาดน้ำเสียงปกติยังกลัวกันขนาดนี้เลยเหรอ? "ข้าจะทำเอง" เธอเดินไปที่เตาฟืน ก้มลงดู ก็เห็นว่ามีฟืนเหลืออยู่ไม่มากนัก เธอหันไปมองลูกๆ "มีฟืนอีกไหม?" หลี่เฟยหลงเดินไปหยิบฟืนที่มัดรวมกันไว้อย่างเป็นระเบียบจากมุมหนึ่งของลานมาให้ เธอยื่นมือไปรับ แต่เขากลับวางฟืนลงบนพื้นเบื้องหน้าเธอราวกับกลัวจะถูกเนื้อต้องตัว เหม่ยหลินไม่ถือสา เธอเริ่มก่อไฟในเตาฟืนด้วยทักษะที่ติดตัวมาจากชีวิตก่อนหน้าที่เคยเข้าค่ายลูกเสือและดูสารคดีบ่อยๆ ควันไฟโขมงออกมาจากเตาชั่วขณะ ก่อนที่เปลวไฟสีแดงจะเริ่มลุกโชนขึ้นมา เด็กๆ ทั้งสี่คนยังคงยืนมองเธออยู่ห่างๆ ด้วยแววตาหลากหลาย ทั้งความสงสัย ความหวาดระแวง และแววตาที่เต็มไปด้วยคำถาม เหม่ยหลินรู้ดีว่านี่คือโอกาสแรกที่เธอจะใช้ทักษะของเธอพิสูจน์ตัวเอง เธอหยิบมันเทศขึ้นมา พลางมองหาอุปกรณ์อื่นๆ ในครัว มีเพียงมีดเก่าๆ หนึ่งเล่ม และเขียงไม้ที่เต็มไปด้วยรอยบิ่น เหม่ยหลินวางมันเทศลงบนเขียง พลางใช้มีดเก่าๆ นั้นปอกเปลือกมันเทศอย่างช้าๆ "ท่านแม่...ท่านแม่ทำเป็นหรือขอรับ?" หลี่เฟยหยางเอ่ยถามขึ้นมาอย่างไม่มั่นใจ ด้วยเสียงที่ยังคงเจือแววหวาดกลัว เหม่ยหลินยิ้มบางๆ "แม่เป็นเชฟนะ" เธอตอบสั้นๆ โดยไม่หันไปมอง คำตอบของเธอทำให้เด็กๆ มองหน้ากันเลิ่กลั่ก ราวกับไม่เข้าใจความหมายของคำว่า 'เชฟ' แต่ก็ไม่ได้ถามต่อ เธอหันไปที่ถังน้ำ พบว่าน้ำในถังก็ดูขุ่นไม่ต่างจากน้ำเมื่อครู่ เธอจึงตักน้ำขึ้นมาใส่หม้อเหล็กเก่าๆ ที่มีรอยไหม้เกรอะกรัง ใช้ทัพพีไม้คนๆ เพื่อดูว่ามีสิ่งแปลกปลอมอะไรอีกไหม น้ำไม่สะอาดแบบนี้จะทำอาหารอร่อยได้ยังไง? เธอครุ่นคิด ต้องหาน้ำที่สะอาดกว่านี้... "มีน้ำสะอาดกว่านี้ไหม?" เธอหันไปถามลูกๆ อีกครั้ง หลี่เฟยหลงตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ "มีบ่อน้ำพุที่ท้ายหมู่บ้านขอรับ น้ำที่นั่นใสกว่า แต่ท่านแม่ไม่ชอบไปเพราะมันไกล" ชัดเลย! เจ้าของร่างเดิมคงเป็นคนขี้เกียจด้วยสินะ! เหม่ยหลินส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ "ไปตักมาให้หน่อยสิ...เยอะๆ หน่อยนะ" คราวนี้หลี่เฟยหลงไม่รีรอ เขารีบคว้าถังน้ำเก่าๆ สองใบแล้ววิ่งออกไปจากห้องครัวอย่างรวดเร็ว ตามด้วยหลี่เฟยหานและหลี่เฟยหยางที่วิ่งตามพี่ชายไปติดๆ ทิ้งไว้เพียงชิวลี่ฮวาที่ยังคงยืนนิ่งอยู่ด้วยท่าทีประหม่า "เจ้าไม่ต้องไปหรอก ชิวลี่ฮวา" เหม่ยหลินบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนขึ้น "เจ้ากำลังท้อง พักผ่อนเถอะ" ชิวลี่ฮวาพยักหน้ารับช้าๆ ดวงตาเธอมองสำรวจเหม่ยหลินอย่างไม่วางตา ราวกับพยายามค้นหาว่า 'แม่สามี' คนนี้เปลี่ยนไปจริงหรือไม่ เธอสังเกตเห็นแววตาที่อ่อนโยนและรอยยิ้มบางๆ ที่เหม่ยหลินไม่เคยแสดงออกมาให้เห็นมาก่อน เหม่ยหลินเริ่มหั่นมันเทศเป็นชิ้นพอดีคำ ก่อนจะนำผักกาดขาวเหี่ยวๆ ที่เจอในตู้มาล้างอย่างพิถีพิถัน เธอหยิบขิงกับหัวหอมมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ เตรียมไว้สำหรับปรุงแต่งรสชาติ ไม่นานนัก หลี่เฟยหลงและน้องชายทั้งสองก็กลับมาพร้อมกับน้ำสะอาดในถัง พวกเขากระหืดกระหอบเล็กน้อย แต่ในแววตากลับมีประกายของความประหลาดใจ เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา 'แม่' ไม่เคยขอให้นำน้ำจากบ่อน้ำพุมาใช้ในการทำอาหารเลย เหม่ยหลินรับถังน้ำมา เธอตักน้ำใส่หม้อแล้ววางลงบนเตาที่ไฟกำลังลุกโชน รอจนน้ำเริ่มเดือด เธอหยิบผักกาดขาวหั่นชิ้นกับมันเทศที่เตรียมไว้ใส่ลงไป ก่อนจะใส่ขิงและหัวหอมลงไปเล็กน้อย "ไม่มีเครื่องปรุงอะไรเลยเหรอ?" เธอถามขึ้นมาอย่างกังวล หลี่เฟยหลงเดินไปหยิบขวดเล็กๆ ที่มีเกลืออยู่ก้นขวด และถ้วยเล็กๆ ที่มีน้ำมันงาเหลืออยู่เพียงไม่กี่หยดมาให้ เหม่ยหลินมองเครื่องปรุงที่แสนจะจำกัดอย่างถอนหายใจ นี่แหละคือความท้าทายที่แท้จริง! ในฐานะเชฟมืออาชีพ เธอต้องสร้างสรรค์เมนูที่อร่อยจากวัตถุดิบเท่าที่มี เธอเริ่มปรุงรสด้วยเกลือเล็กน้อย พลางชิมดูรสชาติซ้ำแล้วซ้ำเล่า แม้จะมีเพียงเกลือ แต่ด้วยความเข้าใจในรสชาติที่ลึกซึ้ง เธอพยายามดึงรสหวานตามธรรมชาติของมันเทศและผักกาดออกมาให้มากที่สุด "ท่านแม่...จะทำอะไรหรือขอรับ?" หลี่เฟยหานถามขึ้นด้วยความสงสัย เมื่อเห็นเหม่ยหลินกำลังใช้ช้อนคนหม้อซุปอย่างพิถีพิถัน "ซุปผักกาดขาวมันเทศไงล่ะ" เธอตอบ พลางยิ้มให้พวกเขา "มันจะช่วยให้ร่างกายอบอุ่นและมีแรง" เด็กๆ ทั้งสามมองหน้ากันอย่างประหลาดใจ ไม่เคยมีใครทำซุปให้พวกเขากินมาก่อน 'แม่' คนเดิมไม่เคยใส่ใจเรื่องอาหารการกินของพวกเขา มีแต่จะด่าทอเมื่อเห็นว่าพวกเขาหาอาหารได้ไม่พอ เมื่อซุปเริ่มเดือดพล่าน ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ของผักและขิงลอยฟุ้งไปทั่วห้องครัว เหม่ยหลินก็ตักซุปใส่ถ้วยไม้เก่าๆ สี่ถ้วย แล้วส่งให้ลูกๆ และชิวลี่ฮวา "กินได้แล้ว" เธอบอกด้วยน้ำเสียงอบอุ่น หลี่เฟยหลงรับถ้วยซุปไปอย่างไม่เต็มใจนัก ใบหน้าเขายังคงระแวง ส่วนหลี่เฟยหานกับหลี่เฟยหยางก็มองซุปในถ้วยด้วยความไม่แน่ใจ ชิวลี่ฮวาเป็นคนแรกที่รับไปอย่างอ่อนน้อม เธอยกถ้วยซุปขึ้นจิบช้าๆ ดวงตาของชิวลี่ฮวาเบิกกว้างเล็กน้อย เมื่อรสชาติหวานธรรมชาติของมันเทศที่เคี่ยวจนนิ่มละมุนลิ้น ผสานกับความสดชื่นของผักกาดขาว และความหอมของขิงที่ช่วยดับกลิ่นคาวและเพิ่มความอบอุ่นให้กับร่างกาย มันเป็นรสชาติที่เรียบง่าย แต่กลับ อร่อยอย่างเหลือเชื่อ มันไม่เหมือนซุปผักธรรมดาๆ ที่เคยได้กิน มันมีมิติของรสชาติที่ทำให้รู้สึกอุ่นไปถึงหัวใจ "อร่อย...อร่อยมากเลยเจ้าค่ะท่านแม่" ชิวลี่ฮวาเอ่ยขึ้นอย่างจริงใจ ใบหน้าของเธอเผยรอยยิ้มบางๆ เป็นครั้งแรกที่เหม่ยหลินได้เห็น คำพูดของชิวลี่ฮวาทำให้หลี่เฟยหลงและน้องๆ หันมามอง พวกเขาค่อยๆ ยกถ้วยซุปขึ้นจิบอย่างระมัดระวัง วินาทีแรกที่ซุปสัมผัสลิ้น หลี่เฟยหลงถึงกับนิ่งไปชั่วขณะ ดวงตาที่เคยแข็งกระด้างค่อยๆ อ่อนลง ความอบอุ่นจากซุปแผ่ซ่านไปทั่วร่างกายที่อ่อนล้าของเขา นี่คือรสชาติที่เขาไม่เคยได้สัมผัสจาก 'แม่' คนเดิมเลยแม้แต่น้อย "พี่ใหญ่! มันอร่อยจริงๆ ด้วย!" หลี่เฟยหยางเอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้น เขากินซุปไปอย่างรวดเร็วจนแทบหมดถ้วย ดวงตากลมโตเป็นประกายด้วยความสุข หลี่เฟยหานก็เช่นกัน ใบหน้าของเขาที่เคยเรียบเฉย บัดนี้กลับฉายแววประหลาดใจและพึงพอใจ เขากินซุปช้าๆ ราวกับพยายามซึมซับทุกรสชาติ เหม่ยหลินมองภาพนั้นด้วยความรู้สึกตื้นตันใจในอก เธอรู้ดีว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น การเดินทางยังอีกยาวไกล แต่รอยยิ้มและความสุขเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นบนใบหน้าของลูกๆ เหล่านี้ คือกำลังใจสำคัญที่จะทำให้เธอเดินหน้าต่อไปในโลกใบใหม่นี้ เธอจะเปลี่ยนความหวาดระแวงให้เป็นความเชื่อใจ เธอจะเปลี่ยนความยากจนให้เป็นความมั่งคั่ง เธอจะใช้ทักษะทั้งหมดที่เธอมี เพื่อสร้างครอบครัวที่อบอุ่นและมีความสุขขึ้นมาในยุค 70 แห่งนี้หลายเดือนหลังจากการเอาชนะภัยแล้งและความร่วมมือกับเผ่าหินทมิฬ ความสงบสุขก็กลับมาสู่แคว้นอีกครั้ง เหม่ยหลินยังคงทำหน้าที่เชฟหลวงและครูสอนทำอาหารอย่างไม่ย่อท้อ แต่ในใจของเธอ เธอรู้ว่าความสงบสุขนี้เป็นเพียงช่วงเวลาที่ยืมมาจากโชคชะตาเท่านั้น พลังงานลึกลับ ที่คุณหมอชลธีกล่าวถึง เริ่มแสดงอาการที่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆพลังงานที่ปั่นป่วนและอาการผิดปกติของธรรมชาติในคืนหนึ่งที่เงียบสงบ เหม่ยหลินกำลังนั่งสมาธิอยู่ในสวนหลวงเพื่อฝึกจิตให้สงบตามที่คุณหมอชลธีแนะนำ ทันใดนั้น เธอก็รู้สึกได้ถึงคลื่นพลังงานประหลาดที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย คลื่นพลังงานนั้นทำให้เธอรู้สึกวิงเวียนศีรษะ และได้ยินเสียงกระซิบที่เธอไม่เข้าใจ ความรู้สึกนี้คล้ายกับความรู้สึกในวันที่เธอเดินทางข้ามมิติมายังโลกนี้!เธอรีบไปยังที่พักของคุณหมอชลธีทันที และพบว่าเขากำลังยืนอยู่หน้าต่างด้วยใบหน้าที่ซีดเผือด"คุณหมอชลธี! คุณรู้สึกไหมคะ!?" เหม่ยหลินถามด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก"ครับ...ผมรู้สึก" คุณหมอชลธีตอบ "มันไม่ใช่แค่ในร่างกายเราแล้วนะครับคุณเหม่ยหลิน...แต่ผมรู้สึกว่ามันกำลังปั่นป่วน มิติ นี้อยู่"อาการผิดปกติเริ่มปรากฏขึ้นทั่วแคว้น สัตว์เลี้ยง
การเผชิญหน้าระหว่างสองอารยธรรมที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ได้ถูกตัดสินด้วยเงื่อนไขที่แปลกประหลาดที่สุด นั่นคือ "อาหาร" เหม่ยหลินไม่รู้สึกหวาดหวั่นเลยแม้แต่น้อย เธอมองไปยังไป๋เฟิงและคุณหมอชลธีด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ ส่วนหัวหน้าหินทมิฬและพรรคพวกของเขาก็จ้องมองเธอด้วยความสงสัยระคนดูถูก"ท่านหัวหน้าหินทมิฬ" เหม่ยหลินกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สงบ "ก่อนที่ข้าจะเริ่มทำอาหาร ข้าอยากจะขอให้ท่านแสดงน้ำใจแก่พวกข้าเสียก่อน โปรดนำน้ำมาให้พวกข้าสักเล็กน้อยเพื่อใช้ในการปรุงอาหาร และถ้าท่านอนุญาต...ข้าอยากจะขอให้พวกท่านช่วยนำทางพวกเราไปหาวัตถุดิบบางอย่างในพื้นที่ของท่านเพคะ"หัวหน้าหินทมิฬหัวเราะในลำคอ "เจ้ากล้าขอของจากข้าอย่างนั้นรึ! ก็ได้! แต่ถ้าเจ้าปรุงอาหารให้ข้าไม่พอใจ...เจ้าจะต้องถูกโยนลงไปในทะเลทรายที่ร้อนระอุจนกลายเป็นอาหารของสัตว์ร้าย!"เขาสั่งลูกน้องให้นำน้ำมาให้เหม่ยหลินเพียงน้อยนิด และให้ชายหนุ่มคนหนึ่งนำทางเธอไปหาวัตถุดิบ เหม่ยหลินรับน้ำมาด้วยรอยยิ้ม แล้วเดินนำไป๋เฟิงและคุณหมอชลธีออกไปพร้อมกับผู้ช่วยจากเผ่าหินทมิฬการล่าวัตถุดิบในแดนทุรกันดารการเดินทางไปหาวัตถุดิบในดินแดนของเผ่าหินทมิ
บรรยากาศระหว่างคนทั้งสามตึงเครียดราวกับสายธนูที่ถูกน้าวสุดแรง ไป๋เฟิงมองเหม่ยหลินและคุณหมอชลธีสลับไปมาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม เหม่ยหลินรู้สึกเหมือนถูกบีบรัดด้วยความลับที่ปกปิดมานานหลายปี เธอรู้ว่าไม่อาจหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าในครั้งนี้ได้อีกต่อไป"ไป๋เฟิง" เหม่ยหลินเอ่ยขึ้น น้ำเสียงของเธอสั่นเครือแต่แฝงด้วยความเด็ดเดี่ยว "ข้าจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้ท่านฟัง แต่ท่านต้องให้สัญญากับข้าว่า ท่านจะไม่ตัดสินข้า และจะเชื่อในสิ่งที่ข้าพูด"ไป๋เฟิงพยักหน้าอย่างช้าๆ "ข้าให้สัญญาขอรับ"เหม่ยหลินจึงเริ่มเล่าเรื่องราวทั้งหมด ตั้งแต่วันที่เธอเป็นเชฟในโรงพยาบาลในโลกที่เธอจากมา เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันที่ทำให้เธอหลุดข้ามมิติมายังโลกนี้ การได้พบกับครอบครัวของเจียงเหวิน และการใช้ความรู้จากโลกเดิมเพื่อเอาชีวิตรอดและสร้างชีวิตใหม่ เธอไม่ได้ละเว้นแม้แต่เรื่องราวที่เธอเคยบอกไปแล้วอย่างเรื่องการทำอาหารจากวัตถุดิบประหลาด หรือเรื่องราวของโลกที่เทคโนโลยีเจริญก้าวหน้าไปไกลกว่าโลกนี้มากไป๋เฟิงฟังอย่างเงียบสงบ สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนจากความสงสัยเป็นความเข้าใจและตกตะลึง ในขณะที่คุณหมอชลธีก็เสริมข้อมูลบางอย่างที่เหม่ยห
หลายปีผ่านไปนับตั้งแต่เหตุการณ์โจรสลัดหมาป่าทมิฬ ทุกมุมของแคว้นได้ฟื้นคืนชีวิตชีวาอย่างเต็มที่ภายใต้การนำอันชาญฉลาดของเหม่ยหลินและองค์จักรพรรดิ ตระกูลหลี่ได้กลายเป็นตระกูลที่มีเกียรติยศสูงสุดในแผ่นดิน หลี่เฟยหลงก้าวขึ้นเป็นแม่ทัพใหญ่ผู้แข็งแกร่งและซื่อสัตย์ ชิวลี่ฮวาเป็นที่รู้จักในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านพืชพรรณและศิลปะในวัง ส่วนหลี่เฟยหานก็เติบโตเป็นข้าราชการหนุ่มผู้ซื่อตรงและเปี่ยมด้วยความสามารถ หลี่เฟยหยาง น้องสุดท้องก็เป็นหนุ่มน้อยผู้ร่าเริง มีสติปัญญา และมักจะสร้างเสียงหัวเราะให้กับทุกคนในวังเสมอมิตรภาพระหว่างแคว้นของเหม่ยหลินกับแคว้นเยว่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเหล็กกล้า ไป๋เฟิงยังคงเป็นราชทูตผู้ทรงอิทธิพล และมักจะเดินทางมาเยี่ยมเยียนเหม่ยหลินและครอบครัวอยู่เสมอ ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเหม่ยหลินนั้นลึกซึ้งเกินกว่าคำว่ามิตร และเป็นที่รับรู้กันในหมู่คนใกล้ชิดว่าไป๋เฟิงมีใจให้กับเชฟหลวงผู้นี้อย่างสุดซึ้ง แต่ความแตกต่างของสถานะและแคว้นทำให้เรื่องนี้ยังคงเป็นเพียงความรู้สึกที่งดงามในใจเท่านั้นแม้ทุกสิ่งจะดูสมบูรณ์แบบ แต่บางครั้ง เงาจากอดีต ก็มักจะคืบคลานกลับมาทักทาย โดยเฉพาะอดีตที่เ
ความรุ่งเรืองของแคว้นที่ฟื้นคืนชีพจากวิกฤตภัยธรรมชาติ เป็นดั่งแสงสว่างที่ดึงดูดสายตาจากทุกทิศทุกทาง ชื่อเสียงของ "ซุปแห่งชีวิตอมตะ" และความอุดมสมบูรณ์ที่กลับคืนมาอย่างรวดเร็วภายใต้การนำของ เชฟหลวงเหม่ยหลิน ไม่ได้สร้างความชื่นชมยินดีไปทั่วทุกสารทิศเสมอไป ในดินแดนที่ห่างไกลออกไป ความโลภ กำลังเริ่มคืบคลานเข้าปกคลุมจิตใจของผู้คนบางกลุ่ม เสียงกระซิบของความมั่งคั่งและแผนการร้ายจากแดนเถื่อน ทางทิศตะวันออกไกลโพ้นจากแคว้นที่กำลังฟื้นฟู มีกลุ่มโจรขนาดใหญ่ที่เรียกตัวเองว่า "หมาป่าทมิฬ" อาศัยอยู่ พวกมันเป็นที่หวาดกลัวของผู้คนในแถบนั้น ด้วยความโหดเหี้ยม ป่าเถื่อน และความสามารถในการปล้นสะดมอย่างรวดเร็วราวกับฝูงหมาป่าที่หิวโหย หัวหน้ากลุ่ม คือชายร่างยักษ์ผู้มีใบหน้าดุร้ายและรอยแผลเป็นพาดผ่านดวงตา "ไคเฟิง" เขาได้ยินข่าวลือเรื่องความมั่งคั่งของแคว้นที่ฟื้นคืนชีพ รวมถึงเรื่องอาหารวิเศษที่ทำให้ผู้คนมีพละกำลังและสุขภาพดี "พวกแกได้ยินข่าวลือเรื่องแคว้นทางตะวันตกนั่นรึไม่!" ไคเฟิงคำรามเสียงดังในค่ายโจรที่เต็มไปด้วยกองไฟและเสียงเอะอะโวยวาย "มันว่ากันว่าแคว้นนั้นมีอาหารวิเศษที่ทำให้คนไม่เจ็บไม่ป่วย!
เสียงโห่ร้องยินดีดังกึกก้องไปทั่วลานประลอง เมื่อขันทีหลงและผู้นำพรรคอัคคีทมิฬถูกคุมตัวออกไป ภาพของประชาชนที่ดื่มด่ำ "ซุปแห่งแสงตะวัน" และฟื้นคืนพลังขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์ ได้สยบทุกความแคลงใจ ทุกเสียงกระซิบกระซาบของความไม่พอใจมลายหายไปสิ้น แทนที่ด้วยประกายแห่งความหวังและความเชื่อมั่นที่กลับคืนมาองค์จักรพรรดิทรงเดินลงจากบัลลังก์ มาประทับยืนข้างเหม่ยหลิน พระหัตถ์ของพระองค์วางลงบนบ่าของเธอด้วยความเมตตาและภาคภูมิใจ"ประชาชนของข้า!" องค์จักรพรรดิรับสั่งด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมด้วยพลัง "วันนี้! พวกเจ้าได้เห็นแล้วถึงความจริงใจของวังหลวง! พวกเจ้าได้ลิ้มรสแล้วถึงความเมตตาของสวรรค์! และพวกเจ้าได้ประจักษ์แล้วถึงพลังแห่งความสามัคคี! เราจะร่วมกันฟื้นฟูแคว้นของเราให้กลับมารุ่งเรืองยิ่งกว่าเดิม!"เสียงกู่ก้อง "ทรงพระเจริญ!" ดังกึกก้องไปทั่วทั้งลานประลอง ประชาชนต่างคุกเข่าลงด้วยความเคารพและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณแผนฟื้นฟูแผ่นดิน: เมล็ดพันธุ์แห่งความหวังหลังเหตุการณ์จลาจล องค์จักรพรรดิได้เรียกประชุมเหล่าขุนนางและผู้เชี่ยวชาญทุกสาขา เพื่อวางแผนฟื้นฟูแคว้นครั้งใหญ่ เหม่ยหลิน ไป๋เฟิง