Share

บทที่ 67 พบหน้า

Author: BigM00N
last update Last Updated: 2025-05-23 21:37:09

เมื่อบ้านเมืองสงบสุขชีวิตความเป็นอยู่ของชาวประชาก็กลับมาดำเนินไปตามปกติ เกิดแก่เจ็บตายล้วนเป็นไปตามยถากรรมของโลก ในเมื่อหลินชิงเหมยไม่สามารถทนรับความบอบช้ำของร่างกายไม่ไหว นางจึงได้ตายจากไปในที่สุด ในตอนที่นางจะตายนางยังเคยอดสงสัยไม่ได้ว่า หากนางไม่ทะเยอทะยาน หากนางไม่คิดจะร่วมมือกับสกุลจ้าวชีวิตของนางจะต้องจบลงเช่นนี้ไหม น่าเสียดายที่ต่อให้นางสงสัยมากเพียงใดก็ไม่อาจจะทำอันใดได้แล้ว

แม้ว่าจะเป็นเช่นนั้นแต่นางกลับรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่า การตายเช่นนี้กลับดีมากแล้ว เพราะในความฝันของนาง นางเคยต้องเผชิญกับความตายที่น่ากลัวกว่านี้ ทั้งถูกทุบตี ทั้งถูกรุมย่ำยีแถมยังถูกทารุณกรรมจนไม่เหลือสภาพความเป็นคน อยากตายก็ไม่ได้ตาย ลืมตาขึ้นมาในแต่ละวันต้องร้องไห้ทุกครั้งที่พบว่าตนเองยังมีชีวิตอยู่ การถูกโบยจนตายน่าจะเป็นการตายที่สวรรค์ปรานีสำหรับนางมากแล้ว นี่คือความคิดสุดท้ายในห้วงความนึกคิดของนาง ตอนที่โซ่วอ๋องมารับร่างที่ไร้ลมหายใจของนางจึงได้เห็นว่าแม้ในยามหลับบนใบหน้าของนางก็ยังมีรอยยิ้มประดับอยู่

หลินชิงเหมยตายแล้ว โซ่วอ๋องจะทุกข์ใจหรือไม่เฉินเจียวเจียวไม่ได้ให้ความสนใจอีกแล้ว เรื่องราวในกาลก่อนราวกับฝันร้ายเพียงหนึ่งตื่น ส่วนตอนนี้ความสุขที่นางกำลังได้รับทำให้นางคิดว่าหากเป็นเพียงแค่ความฝันนางก็ไม่อยากตื่น ยามที่มีความสุขวันเวลาก็มักจะผ่านไปอย่างรวดเร็วเสมอ หลังจากเฉลิมฉลองปีใหม่ร่วมกับครอบครัวอีกครั้ง พี่ชายทั้งสามของนางก็ทยอยแต่งพี่สะใภ้เข้าบ้านติดๆ กัน พวกเขาล้วนได้ลงเอยกับภรรยาในชาติที่แล้วของตนเอง ส่วนเฉินเจียวมี่ก็ได้ทำสัญญาหมั้นหมายกับคนสกุลลู่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว รอนางปักปิ่นลู่เสวียนจึงจะหาฤกษ์มงคลส่งเกี้ยวมารับนางเข้าจวนสกุลลู่

ข่าวการหมั้นหมายของคุณหนูสามจวนผิงกั๋วกงทำให้ชาวบ้านต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าจวนผิงกั๋วกงสามารถคว้าคุณชายอันดับหนึ่งมาเป็นเขยได้เช่นนี้นับว่าจวนผิงกั๋วกงช่างเต็มเปี่ยมไปด้วยวาสนาเสียจริง เรื่องนี้ทำให้ผู้อาวุโสในบ้านเบิกบานกันทั่วหน้า ส่วนเฉินเจียวมี่ตัวน้อยที่สามารถสัญญาหมั้นหมายกับลู่เสวียนเอาไว้ได้แม้ว่านางจะเขินอายแต่ก็ยินดีอย่างออกนอกหน้าจนยิ้มไม่หุบไปทั้งวัน

“โชคดีที่คว้าคุณชายอันดับหนึ่งมาเป็นเขย แล้วทำไมไม่มีผู้ใดเอ่ยถึงเขยคนโตของจวนผิงกั๋วกงที่เป็นถึงองค์รัชทายาทเช่นข้าบ้าง” องค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงเอ่ยออกมาพลางรินน้ำชาให้ตนเองด้วยสีหน้าไม่ค่อยจะพอใจนัก

“ทรงปีนกำแพงเข้ามาเช่นนี้ ไม่ได้พบกับท่านพ่อของหม่อมฉันหรือเพคะ” เฉินเจียวเจียวเอ่ยถามพลางทอดถอนใจออกมา

“วันนี้เสด็จพ่อมีรับสั่งให้ผิงกั๋วกงเข้าวัง ยามนี้น่าจะกำลังเดินหมากกันอยู่” หลี่ไม่หลงเอ่ยพลางยกน้ำชาขึ้นมาจิบแล้วก็เงยหน้าไปมองหน้าเฉินเจียวเจียวด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม

“ไม่ได้พบหน้าเจ้าตั้งหลายวัน ดูเหมือนว่าเจ้าจะงดงามขึ้นอีกนิดแล้ว” เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้ใบหน้าอันงดงามของเฉินเจียวเจียวก็พลันมีสีเลือดขึ้นมาอีกนิดในทันที

“ผิงกั๋วกงก็ช่างกระไร ทั้งบุตรชายทั้งหลานชายก็แต่งงานและพาสะใภ้คนงามกลับชายแดนทางเหนือไปแล้ว แต่ตนเองกลับยังไม่ยอมกลับ รั้งรออยู่ในเมืองหลวงจนข้าหาโอกาสมาพบเจ้าไม่ได้เลย เจ้ารู้ไหมงานแต่งพี่ชายทั้งสามของเจ้าข้าเองก็มาเป็นแขกทุกครั้งเลยนะ แต่กลับไม่เคยได้พบเจ้าเลยสักนิดรู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใด” เขาเอ่ยพลางทอดถอนใจออกมา แล้วก็เอ่ยต่อโดยไม่สนใจสีหน้าของนาง

“ล้วนเป็นเพราะท่านผิงกั๋วกง สั่งให้ข้าไปทางนั้นทีไปทางโน้นที กว่าข้าจะรู้ตัวว่ายังไม่ได้พบเจ้าก็ได้เวลาต้องออกจากงานเลี้ยงแล้ว” เขาเอ่ยพลางพ่นลมหายใจออกมาอย่างไม่พอใจ

“ไม่ว่าอย่างไร หลังเจ้าปักปิ่นแล้วก็จะมีงานมงคล พวกเราควรจะได้ผูกสัมพันธ์กันบ้าง แต่นี่อะไร!อย่าว่าแต่ได้ผูกสัมพันธ์กันเลยแค่ได้พบหน้ากันยังแทบจะไม่มีเลย”

“แต่การที่มานั่งผูกสัมพันธ์ในห้องส่วนตัวของหม่อมฉันเช่นนี้ก็ออกจะมากเกินไปสักหน่อยนะเพคะ”

“ไม่มากๆ ข้าไม่ได้ล่วงเกินเจ้าเสียหน่อย” หลี่ไท่หลงเอ่ยพลางมองหน้าเฉินเจียวเจียวอีกครั้งเมื่อเห็นว่านางไม่มีสีหน้าไม่พอใจก็พลันยิ้มกริ่มออกมา

“จริงสิ น้องรองของข้าเขาหมั้นหมายกับคุณหนูใหญ่จวนสกุลโม่แล้วนะ” เมื่อองค์รัชทายาทเอ่ยเช่นนี้เฉินเจียวเจียวก็พลันขมวดคิ้ว

“บุตรสาวคนโตของท่านเจ้ากรมอาญาโม่หรือเพคะ”

“ใช่ๆ คุณหนูโม่คนนี้เป็นญาติผู้พี่ของคุณหนูรองจวนเจ้ากระมัง ได้ยินว่าองอาจห้าวหาญเหมือนฮูหยินสามจวนเจ้าเลย” เมื่อได้ยินเช่นนั้นเฉินเจียวเจียวก็พยักหน้า

“หม่อมฉันเคยพบนางอยู่หลายครั้ง แม้ว่านางจะไม่ใช่คนงามแต่ก็เป็นคนที่เหมาะสมแล้วที่โซ่วอ๋องจะแต่งงานด้วย”

“เรื่องของหลินชิงเหมยคงจะทำให้เต๋อเฟยทรงขัดเคืองพระทัยอยู่ไม่น้อย ได้แต่งกับคุณหนูสกุลโม่ก็ดี ด้วยร่างกายอันใหญ่โตของนางคงสามารถปกป้องน้องรองของข้าได้” น้ำเสียงขององค์รัชทายาทมีความขบขันปะปนอยู่ไม่น้อย อีกทั้งเมื่อเห็นว่าเฉินเจียวเจียวไม่ได้ให้ความสนใจกับการหมั้นหมายของโซ่วอ๋องเท่าใดนักสีหน้าของเขาก็พลันปลอดโปร่งขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด

เขายิ้มพลางล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อแล้วดึงกล่องไม้ขนาดย่อมออกมา เฉินเจียวเจียวมองท่าทีเช่นนี้ของเขาด้วยความประหลาดใจ นี่ไม่ใช่ท่าทีของบุรุษที่ตั้งใจจะมาเกี้ยวสตรีหรอกหรือ แต่สำหรับท่าทีเช่นนี้เมื่อเป็นองค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงลงมือทำแล้วออกจะดูแข็งทื่อและมีความไม่เป็นธรรมชาติอยู่ไม่น้อย

“ข้าให้เจ้า” เขาเอ่ยพลางยื่นกล่องไม้มาให้นาง เฉินเจียวเจียวรับมาเปิดดูด้วยจิตใจอันสั่นไหว กล่องไม้ที่แสนจะงดงามและวิจิตรขนาดนี้จะต้องเป็นกล่องเครื่องประดับหรือไม่ก็กล่องใส่ของล้ำค่าและหายากมากๆ เป็นแน่ แต่เมื่อเปิดกล่องใบเล็กออกมาสีหน้าของนางก็พลันแข็งค้างไปครู่หนึ่งไม่ได้

“น่ะ นี่คือ…”

“ขนมแป้งอบสูตรเฉพาะของท่านยาย วันนี้ข้าไปเยี่ยมท่านยายที่จวนสกุลหยวนมาเห็นว่าอร่อยดีก็เลยหยิบติดมือมาฝากเจ้า” หลี่ไท่หลงเอ่ยด้วยสีหน้าขัดเขิน เฉินเจียวเจียวนิ่งงันไปครู่หนึ่งสุดท้ายก็ยิ้มออกมา

“เสวยขนมอร่อยแล้วทรงคิดถึงหม่อมฉัน ก็นับว่าทรงมีความก้าวหน้ามากพอสมควร” เฉินเจียวเจียวเอ่ยพลางวางกล่องขนมใบเล็กลงแล้วหยิบขนมขึ้นมาแบ่งออกครึ่งหนึ่งแล้วส่งให้เขา

“ชารสดีต้องคู่กับขนมอร่อย เช่นนั้นหม่อมฉันแบ่งให้พระองค์ครึ่งหนึ่งก็แล้วกัน” เฉินเจียวเจียวเอ่ยพลางก้มหน้าลงกัดขนมคำเล็กๆ แล้วก็พยักหน้าพลางเอ่ยปากชื่นชมว่าอร่อยออกมา องค์รัชทายาทจึงรีบรินน้ำชาส่งให้นางพร้อมด้วยรอยยิ้มอันสดใส

“หากเจ้าชอบ วันหน้าข้าจะไปที่จวนท่านยายบ่อยๆ แล้วจะขอแบ่งมาให้เจ้าอีก” เขาเอ่ยพลางยิ้มออกมาอย่างยินดี คนทั้งคู่นั่งดื่มชาและกินขนมในมือจนหมด

“ข้าคงต้องไปแล้ว ด้วยฝีพระหัตถ์เดินหมากของเสด็จพ่อของข้าคงรั้งท่านกั๋วกงได้ไม่นานหรอก พบกันอีกทีคงเป็นวันพิธีปักปิ่นของเจ้า ข้าไปก่อนนะ” เมื่อเอ่ยจบคนก็หายลับออกไปแล้ว ทำให้เฉินเจียวเจียวไม่ทันได้บอกเขาว่า พิธีปักปิ่นของนางเชิญเฉพาะแขกสตรีแม้ว่าจะมีพิธีจัดเลี้ยงทางฝั่งเรือนส่วนหน้าแต่นางก็ไม่ได้ออกไปปรากฏตัวอยู่ดี เพราะฉะนั้นคงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะได้พบนาง … เฉินเจียวเจียวได้แต่มองที่นั่งที่ว่างเปล่าตรงหน้าแล้วก็เอ่ยออกมาเบาๆ ด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม

“วิชาตัวเบาขององค์รัชทายาทคงจะก้าวหน้าไปอีกขั้นแล้วกระมัง” แม้ว่าบิดาของนางจะไม่อยู่แต่ก็ทิ้งลูกน้องมากฝีมือเอาไว้มากมาย การที่องค์รัชทายาทสามารถลักลอบเข้ามาได้เช่นนี้คงมีเพียงประโยคนี้ที่พอจะอธิบายการที่เขาสามารถลักลอบเข้ามานั่งดื่มชาและกินขนมกับนางได้

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 72 บทส่งท้าย

    หลังเสร็จสิ้นงานเลี้ยงเฉินฮองเฮาจึงได้ปลีกตัวกลับตำหนักอันหนิงไปก่อนเหลือเพียงหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ที่ทรงเรียกน้องชายเข้ามาตักเตือนเป็นการส่วนพระองค์โดยมีองค์ชายทั้งสองประทับอยู่ด้วย“จนถึงยามนี้แล้วเจ้าก็ยังคิดไม่ได้อีกหรือ น้องรองพระชายาของเจ้าผู้นี้แม้ว่าจะไม่ได้งดงาม รูปร่างก็ใหญ่โตแต่สิ่งที่นางมีเหนือผู้อื่นก็คือความจริงใจ แม้ว่าจะดุดันและไม่ช่างเอาอกเอาใจแต่เจ้าก็ไม่ต้องคอยระมัดระวังตัวและคอยคาดเดาอารมณ์ของนาง นางโกรธเจ้าก็รู้ นางโมโหเข้าก็แค่ถูกด่าหลังจากถูกโบยตีไม่กี่ทีนางก็กลับไปเป็นปกติแล้ว” หลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสพลางถอนพระปัสสาสะออกมา“ในขณะที่คนงามส่วนใหญ่กลับซับซ้อนมากกว่านั้นภายใต้สีหน้ายิ้มแย้มของพวกนางมีความคิดมากมายซุกซ่อนอยู่ภายในใจ ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่มีทางจะคาดเดาความคิดของนางได้แน่ น้องรองเจ้าโชคดีแล้วที่ได้โม่หลันเป็นพระชายา อย่าได้คิดหาเศษหาเลยแล้วทำให้ชีวิตของตนเองต้องตกต่ำอีกเลย” เมื่อหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสเช่นนี้โซ่วอ๋องที่คุกเข่าขอรับผิดอยู่ตรงหน้าก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ“เสด็จพี่! แล้วพระองค์ทรงไม่เคยหวั่นไหวบ้างเลยหรือ มีคนงามมาอยู่ตรงห

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 71 บัวขาวอีกหนึ่งดอก

    เฉินฮองเฮาแห่งแคว้นต้าเยียนทรงสิริโฉม เต็มเปี่ยมไปด้วยสติปัญญา ได้รับความรักและความให้เกียรติจากสวามีจนสตรีทั่วแคว้นต่างโจษจันกันไปจนทั่ว สตรีทุกนางล้วนริษยาในความพรั่งพร้อมและสมบูรณ์พูนสุขของพระนางนาง พระนางประสูติพระโอรสสองพระองค์พระธิดาหนึ่งพระองค์แม้ว่าจะทรงมีพระชันษามากแล้วความงามของพระนางก็ยังคงเป็นที่กล่าวขานถึง“นี่ใช้คำว่ารักและให้เกียรติได้อย่างไรกัน ต้องใช้คำว่ารักและเคารพมากกว่า” หลี่เทียนหลงองค์รัชทายาทแคว้นต้าเยียนเอ่ยกับพระอนุชาด้วยสุรเสียงแผ่วเบา“รักหรือไม่ข้าไม่แน่ใจ แต่เคารพและเกรงกลัวข้าขอยืนยันว่าเป็นความจริง เสด็จพี่ทรงทอดพระเนตรดูขุนนางที่ไม่รู้จักตายนั่นสิ พยายามจะยัดเยียดบุตรสาวโฉมงามให้เสด็จพ่อ แถมยังโอ้อวดว่าทั้งร่างกายและจิตใจบุตรสาวของเขาล้วนงดงามพิสุทธิ์หาผู้ใดเทียม ช่างไม่ดูเสียบ้างว่ายามนี้สีพระพักตร์ของเสด็จพ่อซีดเซียวเสียยิ่งกว่าไก่ในโถน้ำแกงเสียอีก” หลี่เทียนเฮ่าผู้เป็นองค์ชายรองเอ่ยกับพระเชษฐาด้วยน้ำเสียงซุกซน โดยไม่สนพระทัยหลี่เทียนหรูพระขนิษฐาพระองค์เล็กที่ในยามนี้หลบไปนั่งอยู่กับบรรดาสตรีในจวนผิงกั๋วกงแล้ว ค่ำคืนนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองเทศกาลหยวนเซี

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 70 เพลิงโทสะ

    หลังจากเสร็จสิ้นพิธีอภิเษกไปเพียงไม่กี่วัน เฉินเจียวเจียวก็ต้องสวมชุดไว้ทุกข์ให้แก่จ้าวไทเฮา แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่คาดเดาได้อยู่แล้ว แต่เพลิงพิโรธของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ผู้เป็นราชบิดาของสามีก็ยังทำให้นางอดใจสั่นไม่ได้“เจ้าลูกเลว! หากเจ้าไม่ส่งคนไปบอกยามนี้พระนางก็คงจะยังทรงดำเนินชีวิตได้ตามปกติ” พระสุรเสียงที่ทรงตรัสออกมาทำให้เฉินเจียวเจียวที่คุกเข่าอยู่ทางด้านข้างขององค์รัชทายาทไม่กล้าเงยหน้าขึ้น“ลูกก็แค่คิดว่าไม่ควรจะหลอกลวงพระนางอีกต่อไป”“ยังไม่สำนึกอีก! หลี่ไท่หลงนางคือเสด็จย่าของเจ้านะ นางคือแม้แท้ๆ ของข้า และก็เป็นนางที่ผลักดันจนข้าได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้จวบจนทุกวันนี้” ถ้อยคำนี้ของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทรงเต็มไปด้วยกระแสอารมณ์อันเศร้าโศกและโกรธเกรี้ยว เฉินเจียวเจียวที่ก้มหน้าอยู่อดเหลือบมองสวามีของตนเองที่ยามนี้เงยหน้าขึ้นไปทุ่มเถียงกับพระราชบิดาของตนเองไม่ได้“แต่ก็เป็นพระนางที่วางแผนปลิดชีพพระมารดาของลูก เป็นพระนางที่ยึดครองพระราชอำนาจของเสด็จพ่อไปตั้งนานหลายปี แล้วก็เป็นพระนางที่สนับสนุนสกุลจ้าวให้ทะเยอทะยานและก้าวล้างพระราชอำนาจของเสด็จพ่ออยู่หลายครั้ง ลูกเข้าใจในความรักความผูกพัน

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 69 พระชายาองค์รัชทายาท

    พิธีอภิเษกขององค์รัชทายาทและคุณหนูใหญ่จวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ บุรุษของจวนผิงกั๋วกงเดินทางเข้าเมืองหลวงพร้อมกันอีกครั้งเพื่อเข้าร่วมในพิธีครั้งนี้ เฉินเจียวเจียวแต่งกายอย่างดงามสวมมงกุฎหงส์และผ้าคลุมหน้าที่ปักลวดลายอันวิจิตรนั่งเกี้ยวเข้าวังหลวงอย่างยิ่งใหญ่ การแต่งงานในชาตินี้นับว่าเป็นการแต่งงานที่ยิ่งใหญ่กว่าในชาติที่แล้ว คนที่รอรับนางลงจากเกี้ยวก็ไม่ใช่คนเดิม นางจึงไม่กล้าตั้งความหวังต่อชีวิตการแต่งงานเท่าใดนัก ไม่คาดหวังก็ย่อมจะไม่ผิดหวัง เรื่องนี้นางสามารถเรียนรู้มาจากชาติที่แล้ว ในชาตินี้ชีวิตของนางจึงถูกเติมเต็มไปด้วยความสุข“ฮู่ว ในที่สุดก็ได้พบหน้ากันโดยไม่ต้องปีนกำแพงเสียที” องค์รัชทายาทเอ่ยหลังจากที่ใช่คันชั่งเปิดผ้าคลุมหน้าของนางแล้ว เขาจ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่งด้วยสายตาอันแวววาว แล้วจึงได้เอ่ยถ้อยคำชื่นชมออกมาอย่างที่ควรจะเป็น“เจ้างามมาก” คำพูดประโยคนี้ของเขาทำให้นางอดยิ้มออกมาไม่ได้ฝ่าบาททรงประทานงานเลี้ยงฉลองให้แก่ผู้มาร่วมงานภายในวัง แต่เพราะเขามีฐานะเป็นถึงองค์รัชทายาทจึงไม่ต้องออกไปคารวะสุรามงคลให้แก่ผู้ใด ยามนี้ภายในห้องหอจึงมีเพียงเขาและนางเพียงเท่านั้น

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 68 ฝันร้ายของโซ่วอ๋อง

    พิธีปักปิ่นของคุณหนูใหญ่ของจวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ในฐานะว่าที่พระชายาองค์รัชทายาท ย่อมมีเจ้าหน้าที่จากกรมพิธีการมาช่วยเหลือในการดำเนินพิธี เฉินเจียวเจียวนั่งอยู่ท่ามกลางเหล่าฮูหยินผู้เต็มไปด้วยโชคลาภทั้งหลายด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม พวกนางช่วยหวีผมให้พร้อมคำอวยพรอันเป็นมงคลปิ่นแรกที่ปักลงมาบนมวยผมคือปิ่นพระราชทานจากเฉียวกุ้ยเฟย ตามมาด้วยปิ่นของพระนางเต๋อเฟย และบรรดาพระสนมที่เฉินเจียวเจียวเคยพบ ฮูหยินผู้เฒ่าจวนผิงกั๋วกงและฮูหยินผู้เฒ่าจวนสกุลหยวนนำปิ่นมาปักลงบนมวยผมของเฉินเจียวเจียวด้วยตนเอง ต่อมาก็เป็นสตรีอาวุโสในจวนและสตรีอาวุโสที่มีความสัมพันธ์กันดีกับจวนผิงกั๋วกงเมื่อเสร็จสิ้นพิธีปักปิ่นเฉินเจียวเจียวก็ลูกขึ้นคารวะขอบคุณอย่างเต็มพิธีการสามครั้งแล้วจึงเข้าสู่งานเลี้ยง เฉินเจียวเหม่ยและเฉินเจียวมี่ที่ได้รับหน้าที่ถือพานใส่หวีและปิ่น ต่างรีบจับจูงนางกลับเรือนด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม มีคุณหนูจากหลายจวนที่มีความสัมพันธ์อันดีมาร่วมแสดงความยินดีด้วย แน่นอนว่าคนที่มาย่อมขาดหวังฮุ่ยหลิงและองค์หญิงเก้าหลี่ถังหรูไม่ได้เหตุการณ์ปราบกบฏสกุลเจ้าเกิดขึ้นเร็วกว่าในชาติที่แล้ว ในชาตินี้เซียว

  • ข้ามาทวงแค้นแม่ดอกบัวขาว   บทที่ 67 พบหน้า

    เมื่อบ้านเมืองสงบสุขชีวิตความเป็นอยู่ของชาวประชาก็กลับมาดำเนินไปตามปกติ เกิดแก่เจ็บตายล้วนเป็นไปตามยถากรรมของโลก ในเมื่อหลินชิงเหมยไม่สามารถทนรับความบอบช้ำของร่างกายไม่ไหว นางจึงได้ตายจากไปในที่สุด ในตอนที่นางจะตายนางยังเคยอดสงสัยไม่ได้ว่า หากนางไม่ทะเยอทะยาน หากนางไม่คิดจะร่วมมือกับสกุลจ้าวชีวิตของนางจะต้องจบลงเช่นนี้ไหม น่าเสียดายที่ต่อให้นางสงสัยมากเพียงใดก็ไม่อาจจะทำอันใดได้แล้วแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้นแต่นางกลับรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่า การตายเช่นนี้กลับดีมากแล้ว เพราะในความฝันของนาง นางเคยต้องเผชิญกับความตายที่น่ากลัวกว่านี้ ทั้งถูกทุบตี ทั้งถูกรุมย่ำยีแถมยังถูกทารุณกรรมจนไม่เหลือสภาพความเป็นคน อยากตายก็ไม่ได้ตาย ลืมตาขึ้นมาในแต่ละวันต้องร้องไห้ทุกครั้งที่พบว่าตนเองยังมีชีวิตอยู่ การถูกโบยจนตายน่าจะเป็นการตายที่สวรรค์ปรานีสำหรับนางมากแล้ว นี่คือความคิดสุดท้ายในห้วงความนึกคิดของนาง ตอนที่โซ่วอ๋องมารับร่างที่ไร้ลมหายใจของนางจึงได้เห็นว่าแม้ในยามหลับบนใบหน้าของนางก็ยังมีรอยยิ้มประดับอยู่หลินชิงเหมยตายแล้ว โซ่วอ๋องจะทุกข์ใจหรือไม่เฉินเจียวเจียวไม่ได้ให้ความสนใจอีกแล้ว เรื่องราวในกาลก่อนราวกับ

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status