แสงแดดแก่ๆของยามเว่ยส่องกระทบแผดเผาร่างบางของสาวน้อยหลินเฟิง ที่นอนขนาบราบบนโขดหินข้างสระบัว หญ้าสูงรอบสระบังเรือนร่างของสาวน้อยจนมิด
เหตุเพราะบัดนี้ผู้คนในบ้านได้ขึ้นเขาเพื่อไปในป่าลึกที่จะหาของป่ามาไว้ทำอาหารเย็นเสียจนหมดแล้วเหลือเพียงร่างเล็กที่ถูกทิ้งไว้เฝ้าบ้านราวกับลูกหมา
เหตุเพราะความคิดมากมายที่อยู่ในใจแม้แสงแดดจะร้อนหญิงสาวก็ลืมความร้อนไปจนสิ้นเหลือเพียงความคิดยิ่งใหญ่ของเธอที่จะทำอย่างไรให้เม็ดบัวในสระนำมาขายสร้างกำไรให้กับครอบครัวนี้ได้
"อืม.. แดดร้อนขนาดนี้แต่บัวก็ยังอยู่ได้คาร์บอนในน้ำคงจะสูงมากแน่ๆอีกทั้งค่า ph คงจะสูงตาม"
"แต่หากให้แสงแดดส่องลงมาแต่พอดีล่ะ?"
จางหมิ่นครุ่นคิดว่าหากจะสร้างซุ้มบังแดดให้ส่องเข้ามาได้แต่เพียงพอดีกรดในน้ำก็จะน้อยลงแล้วเม็ดบัวก็จะไม่เหี่ยวเร็วและฝาด
กว่าเม็ดบัวจะฝาดก็คงมีเวลาพอที่เธอจะสามารถเก็บเม็ดบัวเหล่านี้เข้าไปขายอยู่ในตัวตำบลไข่โจวที่ตั้งอยู่ใกล้ๆบ้านพระเอกก็ได้อยู่ ให้พอได้หาทุนได้สักนิดจะได้ซื้อเมล็ดพันธุ์มาปลูก แต่จะซื้ออะไรมาปลูกล่ะ? ในเมื่อดินก็แห่งกรังได้ขนาดนี้ตัวเธอเรียนจบหมอนะไม่ได้เรียนจบเกษตรกร
ความคิดของจางหมิ่นแล่นอยู่ในหัวของหลินเฟิงอย่างต่อเนื่องหญิงสาวเอาแต่ครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรให้สภาพการเป็นอยู่ดีขึ้น
ก่อนที่ร่างกายเล็กๆจะลุกพลวดขึ้นเหมือนกับระบบในร่างกายทำงานผิดพลาดและถูกไวรัสกัดกินจนรวนนั้นเป็นเพราะเธอคิดบางอย่างได้แล้ว
"ในเมื่อที่นี่มีหญ้าแห้งยืนต้นสูงมากมายหากจะเกี่ยวไปสานเป็นหลังคาของซุ้มครอบสระบัวนี้ถือว่าเป็นผลิตภัณฑ์ชั้นดีเลยทีเดียวนะเนี่ย"
หญิงสาวคิดได้ดังนั้นก็ลุกยืนวิ่งผลุนผลันเข้าไปในบ้านเพื่อจะไปหาอุปกรณ์มาเกี่ยวหญ้าแต่สิ่งที่ดวงตาใสๆของหลินเฟิงพอจะมองเห็นได้มีเพียงขวานผ่าฟืนเก่าๆที่บิ่นจนไม่คิดว่าจะสามารถผ่าอะไรได้แล้วแม้จะเป็นเพียงกระดาษบางๆก็ตาม
'หลินเฟิงเป็นคนเกียจคร้านอีกทั้งยังเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ไม่แปลกที่เธอจะทำตัวให้คนอื่นเกลียดได้มากขนาดนี้'
จางหมิ่นทำได้เพียงเดินกลับไปก่อนจะใช้มือเรียวๆเล็กๆของเธอลงแรงเด็ดหญ้าไปได้ไม่กี่ต้นก็โดนหญ้าบาดนิ้วเสียแล้ว
จางหมิ่นถึงได้รู้ความลับอีกอย่างของหลินเฟิงเจ้าของร่างนี้เมื่อเลือดสีชมพูใสๆไหลออกมาจากนิ้วของเธอ อย่างที่ควรจะเป็นสีแดงสดก็ตามแต่หากแต่เป็นสีแดงใสก็พอเข้าใจว่าหลินเฟิงเป็นคนเลือดจาง แต่นี่เป็นสีชมพูใสอันตรายมากแน่ๆ
มือเรียวอีกข้างเอื้อมไปดึงเศษผ้าเก่าๆซีดๆที่เธอนำมาใช้เป็นริบบิ้นผูกผมมาพันแผลเสียก่อนเลือดจะไหลหมดตัวตอนนี้เลือดของเธอก็จางมากหากยิ่งไหลไม่หยุดจางหมิ่นได้ตายรอบสองแน่ๆ
แต่เธอก็ยังคงที่จะเก็บและดึงหญ้าต่อไปเพราะจางหมิ่นในวัยเด็กลำบากกว่านี้มากเรื่องแค่นี้ถือว่าพอสบายสำหรับเธอแล้ว
เธอเก็บไปเรื่อยๆจนแสงเเดดยามเว่ยเปลี่ยนเป็นแสงแดดยามโหย่วและดวงอาทิตย์ก็ใกล้ที่จะถูกกลืนกินลับขอบฟ้าไปแล้วเช่นเดียวกัน
มือเรียวเริ่มที่จะอ้าแขนกอบโกยเอาหญ้าทั้งหมดที่เธอสามารถเด็ดได้วันนี้ขึ้นมาไว้บนแขนแล้วจึงเดินทุลักทุเลเข้าไปในบ้าน
"หญ้าขนาดนี้คงได้เพียงหลังคาซุ้มแผ่นบางๆแผ่นเดียว"
ร่างอรชรหอบหญ้าเข้ามากองไว้ข้างๆกองฟืนบัดนี้ครอบครัวของเจี้ยนหยีรวมทั้งตัวเขาก็ลงจากเขาแล้วพอถึงบ้านก็เห็นว่าหลินเฟิงหญิงสาวแสนเกียจคร้านไปเด็ดหญ้ามากมายทำให้ทุกคนประหลาดใจยิ่งนัก
สายตาสี่ดวงถูกจับจ้องมาที่เธออย่างจับผิดและไม่ไว้ใจในหัวพวกเขาคงจะคิดว่าเธอกำลังวางแผนทำเรื่องสกปรกอีกตามเคย
"ไม่ใช่ว่าพี่สะใภ้ใหญ่นางวางแผนที่จะเผาบ้านหรือขอรับท่านพ่อ"
เสียงเด็กหนุ่มหรงเหยาพยายามยุยงพ่อของตนแต่ชายชราก็เพียงแต่มองอยู่อย่างนั้นหนวดเคราสีเงินถูกพัดตามแรงลมอ่อนๆที่กำลังจะเป็นจากฤดูคิมหันต์เป็นฤดูสารทในอีกเพียงไม่กี่วัน
"พี่ใหญ่ดูพี่สะใภ้สิคงวางแผนจะเผาเรือนนี้แล้วกระมังนางจะได้กลับบ้านนางไป"
หรงเหยายังคงเปล่งวาจาเสียดสีหลินเฟิงแต่ตัวของเจี้ยนหยีกลับไม่ได้พูดจาแก้ต่างให้แต่อย่างใดเหตุเพราะตัวเจี้ยนหยีนั้นก็ไม่ได้ใคร่แม่นางผู้นี้สักเท่าไหร่หากจะเป็นตัวเขาหมายปองแม่นางซูหรานที่เพียบพร้อมไปด้วยหน้าตาและสติปัญญา
ถึงตัวของของอ้ายตงหยางบิดาของนางจะเคยสัญญากับพ่อของเจี้ยนหยีเอาไว้ว่าหากเจี้ยนหยีอายุพลันเข้า18หนาวแล้วเขาจะยกลูกสาวให้เจี้ยนหยีเลือกนางนึงแต่เพราะตัวของแม่นางอ้ายอี้เหมยนั้นออกเรือนเป็นชายาองค์ชาย8ของราชวังเฟยเจินแล้วซ้ำยังมีอายุมากกว่าถึงสองขวบปี
จึงเหลือเพียงซูหรานกับหลินเฟิงให้เขาได้เลือกเขาเลือกแม่นางซูหรานแต่เจ้าตัวกลับไม่อยากแต่งกับเขาสุดท้ายตัวของตงหยางเองก็ไม่สามารถมอบลูกสาวคนรองที่เป็นแก้วตาดวงใจและเพียบพร้อมไปเสียทุกด้านมาให้เขาได้จริงๆ
จึงยกอ้ายหลินเฟยลูกคนสุดท้องให้เขาแทนตัวหลินเฟิงผู้นี้มีหลายสิ่งที่เขารังเกียจแต่กระไรก็แต่งเข้ามาในแซ่ของเขาแล้วจำต้องคุ้มครองเธอ
แต่เขาพอจะรู้มาว่าหลินเฟิงผู้นี้แม้จะเป็นคนเกียจคร้านแต่เธอก็มีความสามารถด้านการค้าอยู่ไม่น้อยเพราะวาจาของเธอมักจะสะกดจิตผู้คนได้ราวกับว่าแม่นางผู้นี้สามารถสัมผัสลมปราณและความคิดของผู้อื่นได้
หากไม่ใช่เพราะความเกียจคร้านวันๆไม่ทำอะไรทำเพียงนั่งอยู่หน้ากระจกอ้ายตงหยางก็คงหอบหิ้วเธอไปเจรจาค้าขายด้วยทุกหนแห่งเป็นแน่
ตัวของเจี้ยนหยียกตะกร้าไม้ไผ่ที่ขึ้นเขาไปหาของป่าวันนี้ได้มาวางไว้ที่โต๊ะไม้ไผ่ตอกพอแต่ใช้ได้ซึ่งเป็นโต๊ะตัวดีกันที่ใช้วางสำหรับเมื่อเช้านี้
จางหมิ่นเห็นจึงเดินไปดูพบเพียงตะกร้าเปล่าๆ ไม่มีอะไรในนั้นเลยตัวสาวน้อยจึงได้แต่อ้าปากค้าง ที่วันนี้ครอบครัวนี้คงต้องอดอีกแล้วเป็นแน่
"ดูอะไร ดูให้ได้อะไร มันไม่มี อะไรให้เจ้ากินทั้งนั้นแหละ "
เสียงเด็กสาวหานจื่อรุ่ยพูดออกมาอย่างอารมณ์เสียขณะเห็นหลินเฟิงพี่สะใภ้ที่เธอไม่เคยชอบขี้หน้าเลยเดินไปดูที่ตะกร้าของพี่ชายคนโต
เสียงท้องของเจี้ยนหยีคำรามแต่เขามองเธอหน้าตายเหมือนเขาไม่ได้รู้สึกหิวโหยหรือรู้สึกอะไรเลย
"วันๆเกียจคร้านไม่ทำอะไรสักอย่างเจ้าคิดว่าเจ้ายังเป็นคุณหนูตระกูลสูงอยู่รึไงกัน เจ้าแต่งเข้ามาในตระกูลเราแล้วเจ้าเป็นฮูหยินของพี่ชายข้าทำไมเจ้าถึงทำตัว'ไร้ประโยชน์'ขนาดนี้"
ด้วยความโมโหหิวของจื่อรุ่ยเธอก็เปล่งวาจาที่คิดออกมาจนหมดไม่มีคำใดๆ กักไว้ส่วนตัวของหลินเฟิงที่จะด่ากลับตลอดตอนนี้เธอเพียงยืนเงียบๆ ไม่พูดจา
'ไร้ประโยชน์งั้นเหรอ.. อืมก็จริง ' จางหมิ่นคิดครวญในใจคำพูดโดยไม่ยั้งของน้องสาวสามีกรทันหันเธอพูดจี้ใจดำเธอเช้าเสียแล้ว เธอหันหลังกลับพลันก้าวย่างขาเล็กๆของเธอตรงไปทางสระบัว
น้ำตาไหลเอ่อจนล้นเบ้าแก้มนวลราวลูกซาลาเปาก็ชื้นไปด้วยน้ำตาที่ไหลรินราวกับเขื่อนทะลักลงมาจากแววตาคู่สวย
มือเรียวเล็กค่อยๆสาวเอารากบัวอ่อนๆขึ้นมาหลายรากเธอคิดว่าตอนค่ำแล้วค่าคาร์บอนไดออกไซด์ในน้ำก็จะลดลงแล้ว
มือสาวไปน้ำตาก็ไหลอาบแก้มไปสาวน้อยหลินเฟิงสาวและออกแรงหักขึ้นมาสองถึงสามราก
สี่ผ่านไปตอนนี้หลินเฟิงมีลูกสาวสมใจลูกชายฝาแฝดอายุหกขวบส่วนลูกสาวอยู่ในวัยกำลังอายุสองขวบซึ่งกำลังดื้อจนนางเองก็ปวดหัวไม่น้อย “ท่านแม่” เด็กน้อยซูฮวาวิ่งมาหาท่านแม่ด้วยใบหน้าที่มอมแมมคงจะโดนพี่ชายทั้งสามแกล้งมาอีกจึงรีบวิ่งมาฟ้องนางแบบนี้ “เด็กน้อยของแม่เจ้าไปเล่นซนที่ไหนมา” หลินเฟิงอุ้มลูกขึ้นมานั่งบนตักและเช็ดใบหน้าให้ลูกสาวพร้อมกับหอมแก้มไปหนึ่งที “ท่านพี่แกล้ง” ได้ทีจึงรีบฟ้องท่านแม่แต่เด็กน้อยก็ไม่ร้องไห้งอแงตั้งคลอดจนถึงตอนนี้ซูฮวาเป็นเด็กเลี้ยงง่ายและฉลาดกว่าเด็กในวัยเดียวกัน “น้องหญิงพี่กลับมาแล้ว” เจี้ยนหยีเดินเข้ามาในจวนเห็นนางกำลังเช็ดตัวให้ลูกสาวที่เจี้ยนหยีหวงยิ่งกว่าอะไร “ท่านพี่กลับมาเร็วจังเจ้าค่ะ” หลินเฟิงให้เจี้ยนหยีออกไปซื้อสมุนไพรเพื่อเตรียมไว้สำหรับคนไข้ไม่คิดว่าจะกลับมาเร็วขนาดนี้เพราะยังไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม “พี่คิดถึงน้องกับลูกๆ ใช่ไหมเด็กน้อย” “ท่านพ่อ อุ้มๆ” เด็กน้อยชูแขนให้เจี้ยนหยีอุ้มเขาไม่รอช้าที่จะอุ้มลูกสาวขึ้นมาแนบอกและหอมแก้มซ้ายขวาจนซูฮวาหัวเราะอย่างชอบใจ “คิก คิก คิก”
หกเดือนหลังจากนั้นหลินเฟิงก็ได้ให้กำเนิดลูกชายฝาแฝดเจี้ยนหยีดีใจจนเก็บอาการไม่อยู่ตอนนี้ได้แต่นั่งมองลูกชายทั้งสองที่เพิ่งกินนมแล้วหลับไป “เจ้าจะให้ชื่อว่าอะไร” หานเจียเจิงถามลูกชายที่ดูเหมือนจะไม่ได้คิดชื่อนี้ไว้ “ข้ายังไม่ได้คิดเลยท่านพ่อ” เพราะมัวแต่เป็นห่วงหลินเฟิงไปหน่อยจึงไม่ได้คิดชื่อไว้ให้ลูกชายทั้งสอง “นั้นข้าจะให้ชื่อ พี่คนโตชื่อ จางซิงอี ส่วนคนเล็กชื่อ จางซีห่าวเจ้าว่าดีหรือไม่” หานเจียเจิงหันไปถามลูกชายที่พยักหน้ารับหน้าช่างน่าเกลียดน่าชังยิ่งนัก “ซิงอี แปลว่า คนดีและมีความสุข ส่วน ซีห่าว คือเหมือนฮีโร่ โตขึ้นมาให้เจ้าทั้งสองดูแลพ่อและแม่” “ขอบใจท่านพ่อมาก” “พี่สะใภ้ฟื้นแล้ว” จื่อรุ่ยรีบวิ่งมารายงานพี่ชายและท่านพ่อที่รออยู่หลังจากคลอดลูกหลินเฟิงก็สลบไปเพราะเสียเลือดมาก เจี้ยนหยีเมื่อได้ยินอย่างนั้นจึงรีบวิ่งไปหานาง “น้องหญิง น้องฟื้นแล้ว” เจี้ยนเข้ามานั่งข้างกายของนางตอนนี้สีหน้าของนางเริ่มมีเลือดฝาดขึ้นมาเล็กน้อยหมอให้ต้มยากินจนกว่าจะแข็งแรง “น้องอยากเห็นหน้าลูกเหลือเกิน” ถึงแม้จะยังเจ็บปวดอยู่แต่ก็อย
“ข้าแค่มาเยี่ยมน้องสาวของข้า” ซูหรานมองไปที่หลินเฟิงที่ตอนนี้สวยยิ่งกว่าอะไร ในความคิดหลินเฟิงคงตากแดดจนตัวดำและดูผิวนางสิ ขาวเนียนไม่มีที่ติ “พี่หญิงมาหาข้ามีเรื่องอันใด” “เจ้าได้ดีแล้วไม่หันไปดูแลพ่อที่แก่ชราบ้างเลยหรือตอนนี้ทางบ้านมีหนี้สินไปหมด” ตอนนี้ซูหรานกำลังลำบากเพราะที่บ้านมีหนี้สินรัดตัวจากที่เคยมั่งมีตอนนี้ไม่เหลืออะไรแล้ว “แล้วตอนที่ไล่ข้าออกมาละพวกท่านคิดอะไรกัน เพราะตระกูลหานยากจนท่านจึงให้ข้าแต่งงานแทนและห้ามให้ข้ากลับไปเหยียบที่นั่น” ไม่รู้ว่าทำไมหลินเฟิงถึงมีความทรงจำนั้นภาพต่างๆ ฉายชัดเข้ามาจนหลินเฟิงเองก็แปลกใจ “เจ้ามันเนรคุณ” “หุบปากซะ! แล้วไสหัวออกไป” เจี้ยนหยีมองใบหน้าที่ซูบผอมของซูหรานครอบครัวเขารู้ดีว่านางนั้นร้ายกาจแค่ไหนและยังเคยมาทำร้ายท่านพ่อของเขาอีก “เจ้าคนชั้นต่ำ! กล้าไล่ข้าหรือ” “เจ้าด่าตัวเองหรือเปล่าดูสภาพเจ้าตอนนี้สิดูไม่ได้เลยคุณผู้สูงศักดิ์ทำไมถึงกลายมาเป็นสภาพนี้” หลินเฟิงไม่รู้เรื่องราวอะไรมากกว่าเกิดอะไรขึ้นตั้งแต่แต่งงานออกเรือนมาก็ไม่เคยกลับไปพบหน้าท่านพ่อและพี่สาวอีกเลยแ
ยามเช้าในฤดูวสันต์ตอนนี้ใบไม้ต้นหญ้ากับดูแห้งแล้งเพราะใบไม้ได้ร่วงหล่นลงมากองอยู่เต็มพื้นไปหมดมองไปที่ภูเขาไกลๆ ก็ไม่น่าดูสักเท่าไร อ้วก! “น้องหญิงเป็นอะไร” เจี้ยนหยีได้ยินเสียงเหมือนคนอาเจียนจึงรีบลุกออกจากเตียงและรีบไปหาหลินเฟิงด้วยความห่วงใยไม่รู้ว่านางลุกออกไปจากเตียงตั้งแต่ช่วงเวลาใด “น้องหญิงเกิดอะไรขึ้น!” เจี้ยนหยีเห็นสภาพของนางแล้วจึงรีบเข้ามาดูอาการเพราะใบหน้าที่ซีดไม่มีเลือดฝาดยิ่งทำให้เขาร้อนรนไปหมด “น้องแค่อยากอาเจียน หาเปลือกส้มมาให้น้องหน่อย” ตอนนี้สิ่งที่อยากทำที่สุดคือได้ดมกลิ่นเปลือกส้มช่วงนี้นางมักจะเกลียดกลิ่นอาหารอยู่บ่อยครั้ง “มานั่งรอพี่” เจี้ยนหยีรีบไปหาเปลือกส้มมาให้นางทันทีเพราะกลัวว่านางจะเป็นอะไรไปมากกว่านี้ “หรือว่าที่เราฝันจะเป็นความจริง” หลินเฟิงนึกคิดถึงเรื่องราวที่ฝันเมื่อคืนหรือว่าที่เด็กน้อยทั้งสองมาขออยู่ด้วยนางจะได้ลูกแฝดกัน “น้องหญิงพี่มาแล้ว” “ขอบคุณท่านพี่มากเจ้าค่ะ” หลินเฟิงหยิบเปลือกส้มขึ้นมาดมกลิ่นทำให้อาการอยากอาเจียนเวียนหัวเริ่มดีขึ้นมา และใช้มือลูบไปที่หน้าท้อ
“ท่านพี่อย่านะเจ้าคะ” หลินเฟิงร้องออกมาเมื่อเจี้ยนหยีเริ่มจะไม่นอนอยู่เฉยเฉยๆ มือไม้เลื้อยเหมือนกับเถาวัลย์ไม่มีผิด “พี่คิดถึงน้องหญิงมากขอให้พี่ได้ชื่นใจสักนิดเถอะพี่ทรมานเหลือเกิน” เจี้ยนหยีซุกใบหน้าเข้าไปที่ต้นคอของหลินเฟิงและเริ่มซุกไซร้ไปมาจนนางต้องหดคอหนีเพราะเริ่มจั๊กจี้ ข้างนอกอากาศช่างเย็นนักแต่ทำไมตอนนี้ร่างกายเริ่มร้อนร่มขึ้นมา “อื้อออ ท่านพี่ข้าต้องการท่าน” หลินเฟิงครางออกมาราวกับคนกำลังละเมอใบหน้าที่งดงามจ้องมองตากับเจี้ยนหยีอย่างลึกซึ้งมือบางโอบลำคอของเขาไว้แน่นราวกับกลัวว่าเจี้ยนหยีจะหายไป “พี่ก็ต้องการน้องหญิง” เจี้ยนหยีสลัดเสื้อผ้าของตัวเองออกจนหมดสิ้นและจูบปากหลินเฟิงอย่างหิวกระหายมือหนาพยายามที่จะดึงกระชากเสื้อของนางออกจากตัว “อื้อออ อืม ดีเหลือเกินท่านพี่” หลินเฟิงครางออกมาเมื่อเจี้ยนหยีใช้มือกอบกุมกับหน้าอกของนางไว้ส่วนลิ้นหนาก็เลียเข้ากับยอดถันอย่างไม่เกรงกลัวเจ้าของ เจี้ยนหยีก้มตัวลงมาเรื่อยๆ จนมาหยุดอยู่ที่ของสงวนของหลินเฟิงเขาใช้มือแหวกจนเห็นกับกลีบกุหลาบงามที่มีน้ำไหลเยิ้มออกมาอย่างน่าลิ้มลอง และก็ทำอย่างท
เจี้ยนหยีลืมตาขึ้นมาในยามเฉิน (07.00-08.59 น.) สายตาทอดมองไปที่หลินเฟิงที่ยังคงหลับใหลอยู่ข้างกายบนร่างกายมีรอยแดงจ้ำโผล่พ้นผ้าห่มออกมา ชายหนุ่มนึกคิดเรื่องที่ผ่านมาทำให้เขามั่นใจว่านางไม่ใช่หลินเฟิงคนเดิมนิสัยใจคอนางเปลี่ยนไปเป็นคนละคน หลินเฟิงผู้นี้ทำให้เจี้ยนหยีตกหลุมรักยิ่งนักแค่เห็นนางยืนคุยกับชายอื่นเขาก็ทนไม่ได้แล้ว “อื้อ!” หลินเฟิงลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยอาการที่เมื่อยล้าเมื่อนึกถึงเรื่องที่ผ่านมาก็พานจะร้องไห้ ไหนเจี้ยนหยีบอกว่ารังเกียจนางทำไมถึงทำเช่นนี้ “ตื่นแล้วเหรอน้องหญิง” หลินเฟิงหันไปมองที่ด้านหลังของนางพบว่าเจี้ยนหยีกำลังส่งยิ้มให้ทำให้หลินเฟิงรู้สึกขนลุกขึ้นมา เจี้ยนหยีเมาจนสมองไม่ปกติไปแล้ว “ภรรยาของข้าเป็นใบ้ไปแล้วหรือ” “เจ้ากินย่าลืมเขย่าขวดหรือไง” “น้องว่าอะไรพี่ฟังไม่เข้าใจ” เจี้ยนหยีทำหน้าสงสัยแต่นางก็ไม่ยอมตอบรับลุกออกจากเตียงจนเจี้ยนหยีถามออกมา “เรื่องเมื่อคืน...” “ท่านกับข้าก็ลืมมันไปเสียเถิด” หลินเฟิงไม่รอให้เจี้ยนหยีพูดนางจึงรีบตัดบทหลินเฟิงไม่ใช่นางเอกที่เสียความบริสุทธิ์แล้วต้องม