Share

บทที่ 9

last update Last Updated: 2025-06-06 07:35:23

บทที่ 9

น้ำตาอุ่นๆ ที่เปื้อนลงบนเสื้อเชิ้ตสีขาวราคาแพงของเขาซึมลึกเข้าไปถึงหัวใจของคนที่ดูเหมือนจะเข้มแข็ง หากแต่ตอนนี้หัวใจเขากลับเจ็บปวดแปลกๆ ร่างเล็กที่เขากอดอยู่ตอนนี้ ช่างดูบอบบางเหมือนแก้วที่พร้อมจะแตกหักได้ทุกเมื่อ เขานึกถึงวันแรกที่เจอเธอและยังจำรอยยิ้มที่ทำให้โลกของเขาดูสว่างไสวขึ้นนั้นได้ดี

                แต่...เธอยังเด็กเหลือเกิน เขาจำต้องเลือกหนทางที่จะได้ปกป้องเธอ เขารู้ใจตัวเองดีว่าชอบศศิประภามากพอสมควรเพราะประทับใจที่เธอเคยช่วยเมสซี่เอาไว้ แต่มันก็เป็นเพียงแค่ความชอบที่ยังไม่ถึงขั้นรัก หากแต่กับเด็กผู้หญิงเจ้าของนัยน์ตาแสนโศกคนนี้ เขากลับรู้สึกลึกซึ้งด้วยอย่างประหลาด  ทว่าเขาต้องตัดสินใจขอศศิประภาแต่งงาน ก็เพราะศศิประภามีความพร้อมที่จะเป็นภรรยาของเขา ในขณะที่จันทริกานั้นยังเรียนไม่จบมัธยมปลายด้วยซ้ำ ดังนั้นความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลของเขานับจากนี้ไป คงต้องถูกเก็บซ่อนไว้ในส่วนลึกของหัวใจให้มิดชิดที่สุด สายตาที่มองเธอก็จะต้องมองอย่างพี่ชายที่เอ็นดูน้องสาวคนหนึ่งเท่านั้น เขายอมแลกทุกอย่าง แค่ขอให้เธอผู้นี้มีอนาคตที่สดใสและสามารถอยู่ในโลกอันโหดร้ายได้อย่างมีความสุขก็พอแล้ว

                “ไม่ต้องกลัวนะ พี่จะดูแลเราเอง จะดูแลให้ดีที่สุด”

                นั่นคือคำมั่นสัญญาที่รังสิมันต์เอ่ยกับจันทริกาและเอ่ยกับตัวเอง แม้เธอจะไม่ตอบรับ และเพียงยืนเงียบๆ แต่คนพูดรู้ดีว่าเขาจะไม่มีวันลืมเลือนคำพูดในวันนี้อย่างแน่นอน และเขาจะดูแลจนกว่าพระจันทร์แสนเศร้าดวงนี้จะส่องสว่างสวยงามและสามารถสาดแสงนำทางให้ใครต่อใครในยามค่ำคืนได้

                งานแต่งงานระหว่างรังสิมันต์และศศิประภามีขึ้นหลังจากงานศพของเมธากับสิริมาผ่านไปยังไม่ถึงเดือนดีด้วยซ้ำ ทางรังสิมันต์เองไม่ได้มีปัญหาอะไร พ่อแม่ของเขาเองเสียไปตั้งแต่เขายังเด็ก คนที่เลี้ยงเขามาคือคุณย่า ซึ่งท่านได้จากโลกนี้ไปเมื่อห้าปีก่อน ดังนั้นการตัดสินใจทุกอย่างในชีวิตตอนนี้จึงเป็นสิทธิ์ขาดของเขาแต่เพียงผู้เดียว และญาติคนอื่นๆ ก็ไม่มีใครกล้าเข้ามาก้าวก่าย

                ศศิประภาลาออกจากการเป็นเซลขายรถ เพราะตอนนี้เธอเองอยู่ในฐานะที่ไม่ต่างอะไรกับซินเดอเรลล่าซึ่งได้ครอบครองทั้งเจ้าชายรูปงามอย่างรังสิมันต์กับคฤหาสน์หลังใหญ่หลังนี้ และเธอคงจะมีความสุขมากกว่านี้ หากว่าจันทริกาจะไม่เข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้ด้วย

                “ทำไมคุณตะวันต้องให้ยัยจันทร์มาอยู่ที่บ้านด้วยล่ะคะ แค่ศศิคนเดียวก็เป็นภาระของคุณมากพอแล้ว ให้จันทร์อยู่ที่บ้านก็ได้ บ้านจะได้มีคนคอยดูแลด้วยไงคะ” ศศิประภาฉลาดพอที่จะเอาความเกรงใจมาเป็นข้ออ้าง ในการที่จะกีดกันไม่ให้จันทริกาเข้ามาอยู่ร่วมชายคาด้วย

                “ไม่ได้หรอกศศิ จันทร์เป็นผู้หญิงอยู่บ้านคนเดียวมันอันตราย ย้ายมาอยู่ด้วยกันซะที่นี่ละดีแล้ว หรือว่าคุณไม่เป็นห่วงน้อง”

                “เอ่อ...ก็ต้องห่วงสิคะ ศศิรักยัยจันทร์เหมือนน้องสาวแท้ๆ คุณก็รู้ว่าเรามีกันอยู่แค่สองคนพี่น้อง แต่ศศิเกรงใจคุณ นี่คะ”

                “ไม่ต้องเกรงใจครับ และก็ห้ามคิดว่าศศิกับจันทร์มาเป็นภาระของผม บอกแล้วไงว่าผมจะดูแลทั้งสองคนให้ดีที่สุด ส่วนบ้านหลังนั้นศศิจะขายหรือให้เช่าก็ตามใจนะครับ” รังสิมันต์บอกอย่างใจกว้างและหนักแน่น ทำให้ศศิประภาได้แต่เก็บความไม่พอใจนั้นเอาไว้คนดียว

                และเพราะคำประกาศิตของเจ้าของบ้านนั่นเอง ทำให้จันทริกาได้ย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านใหญ่โตหลังนี้ ทว่าเธอก็ยังคงเป็นพระจันทร์ที่ไร้แสง เพราะถูกกดไม่ให้เฉิดฉายเทียบเทียมรัศมีภรรยาเจ้าของบ้าน

                “คุณตะวันให้ยัยจันทร์อยู่ห้องชั้นล่างก็ได้นะคะ” ศศิประภารีบบอกในทันทีที่จันทริกาย้ายเข้ามาในบ้านหลังจากงานแต่งงานของเธอกับรังสิมันต์ผ่านไปไม่นาน

                “ทำไมล่ะ ผมบอกให้แม่บ้านจัดห้องไว้ที่ชั้นสองให้จันทร์แล้วนะ”

                “คือศศิกลัวยัยจันทร์จะไม่ชินน่ะค่ะ เพราะปกติยัยจันทร์ก็นอนชั้นล่าง”

                “แต่ว่า...” รังสิมันต์จะแย้งภรรยาสาว หากทว่าจันทริกาแทรกพูดขึ้นก่อนเพื่อตัดปัญหา

                “ไม่เป็นไรค่ะพี่ตะวัน จันทร์อยู่ชั้นล่างก็ดีแล้ว” เสียงหวานเอ่ยเรียบๆ

                “แน่ใจนะว่าจะไม่อึดอัด ห้องมันค่อนข้างเล็ก”

                “จันทร์อยู่ได้ค่ะ” จันทริกายืนยันทำให้รังสิมันต์จำต้องพยักหน้า ก่อนจะบอกให้คนรับใช้พาเธอไปยังห้องชั้นล่างซึ่งมีอยู่เพียงห้องเดียวและเป็นห้องที่เล็กที่สุดในบ้าน

                แม้เวลาจะล่วงเลยไปจนเกือบสี่ทุ่มแล้ว ตอนนี้ร่างบางนอนอยู่บนเตียงขนาดห้าฟุต ซึ่งกว้างกว่าเตียงเก่าเกือบเท่าตัวแถมที่นอนก็นุ่มกว่ามาก หากทว่าจันทริกากลับยังนอนไม่หลับ อาจเป็นเพราะแปลกที่ หรืออาจเป็นเพราะยังพะวงกับอนาคตของตัวเอง แม้ว่ารังสิมันต์รับปากแล้วว่าจะส่งเธอจนกระทั่งเรียนจบ แต่เธอก็รู้ว่าศศิประภาไม่พอใจต่อความเอ็นดูที่รังสิมันต์มีให้เธอสักเท่าไหร่ เธอเองก็ไม่อยากมีปัญหากับศศิประภา เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนอารมณ์แรงและเจ้าคิดเจ้าแค้นแค่ไหน ดังนั้นจันทริกาจึงคิดว่าจะอยู่บ้านหลังนี้อย่างเงียบๆ และเจียมเนื้อเจียมตัวไปสักพัก ถ้าเข้ามหาวิทยาลัยเมื่อไหร่ เธอจะย้ายไปอยู่หอพักเพื่อให้ศศิประภาสบายใจ            

“เมี้ยว! เมี้ยว!”

                เสียงร้องของแมวซึ่งค่อนข้างคุ้นหูดังขึ้นที่หน้าห้องนอนเล็กๆ นั้น ทำให้จันทริกาลืมความว้าวุ่นของตัวเอง แล้วก้าวไปเปิดประตูดูอย่างเป็นอัตโนมัติ

                เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นว่า เจ้าของเสียงคือแมวที่ตัวเองเคยช่วยเอาไว้ ร่างบางก็รีบย่อตัวลง ช้อนอุ้มเอาร่างเล็กๆ ของสัตว์สี่เท้าซึ่งมีขนนุ่มและขี้อ้อนสุดๆ นั้นขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน

                “ไง...เจอกันอีกแล้ว จำจันทร์ได้หรือเปล่า ดึกแล้วทำไมยังไม่นอนล่ะหือ” เสียงหวานเอ่ยถามแม้ว่าเมสซี่จะคุยกับเธอไม่ได้ แต่จันทริกาเชื่อว่าตัวเองสามารถสื่อสารกับมันด้วยภาษากายและภาษาพูดได้

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ตะวันพ่ายจันทร์   บทที่ 50

    บทที่ 50“แต่คุณปรัชญ์ขอร้องนะคะ จันทร์ไม่อยากผิดคำพูดกับ...”จันทริกายังพูดไม่ทันจบ นิ้วแกร่งเรียวยาวก็แตะลงบนเรียวปากนุ่ม เพื่อห้ามไม่ให้เธอพูดต่อ“ฉันไม่อนุญาตให้เธอเห็นคนอื่นสำคัญกว่าฉัน”พูดจบนิ้วที่แตะอยู่บนเรียวปากนุ่มก็เลื่อนออก แต่เรียวปากหยักร้อนกลับเคลื่อนเข้ามาแทนที่ ร่างบางเกร็งขึ้นเพราะกลัวว่ารังสิมันต์จะทำรุนแรงเช่นเดิมอีก หากแต่จูบครั้งนี้เป็นจูบที่แสนอ่อนโยน จูบที่คล้ายจะไถ่โทษ จูบที่เว้าวอน จนอาการเกร็งนั้นมลายหายไป และยืนนิ่งให้เขาจูบอยู่เนิ่นนาน“เมี้ยว...”เสียงร้องของเมสซี่ที่ดังขึ้น ทำให้อารมณ์ที่กำลังอ่อนไหวของทั้งคู่สะดุดลง จันทริกาได้สติจึงรีบผละออกห่างจากการโอบกอดของเขาอย่างรวดเร็ว แล้วย่อตัวลงไปอุ้มเมสซี่ขึ้นมาแนบอก คล้ายกับจะใช้มันเป็นเกราะป้องกันไม่ให้เขาเข้าถึงตัวได้อีกรังสิมันต์ออกจะเขม่นแมวตัวโปรดเป็นครั้งแรก แต่ไหนแต่ไรมันรู้งาน และไม่เคยทำตัวเป็นก้างขวางคอ แต่ทำไมวันนี้มันถึงมาขัดจังหวะก็ไม่รู้“ฉันเพิ่งบอกเธอไปหยกๆ ว่าไม่ให้เห็นใครสำคัญกว่าฉัน”“แต่นี่เมสซี่แมวของคุณนะคะ คุณให้อาหารมันหรือยังคะ” จันทริกาถามอย่างพอจะเข้าใจอากัปกิริยาของเมสซี่ดีว่าที

  • ตะวันพ่ายจันทร์   บทที่ 49

    บทที่ 49ร่างสูงเดินดุ่มไปหาคนทั้งคู่อย่างไม่รีรอ สีหน้าบอกชัดว่าไม่สบอารมณ์และไม่พอใจเป็นอย่างมาก ปรัชญ์จึงพยักหน้าให้จันทริกาหลบไปก่อน ส่วนเขาเป็นฝ่ายอยู่รับหน้ารังสิมันต์ “แกมาทำอะไรที่บ้านฉัน” รังสิมันต์ถามเสียงห้วนกระด้างอย่างไม่คิดจะเก็บอารมณ์“มาหาจันทร์”“มาหาทำไม?”“มาจีบมั้ง” ปรัชญ์ตอบกวนๆ ยิ่งเห็นรังสิมันต์ทำหน้าถมึงทึงเช่นนั้นก็ยิ่งพอใจที่ได้ยั่วให้เพื่อนโกรธได้ แต่ดูแค่ตาเดียวก็รู้ว่าที่รังสิมันต์ทำหน้าแบบนั้นก็เพราะกำลังหึงหรือไม่ก็หวงก้าง“มันใช่เวลาไหม” รังสิมันต์ย้อนถามด้วยน้ำเสียงโทนเดิม“ทีแกยังเคยคิดจีบเมียฉัน ทำไมฉันจะจีบเมียแกบ้างไม่ได้” ปรัชญ์ยักไหล่และตอบกวนๆ เช่นเดิม ทั้งๆ ที่ในใจแอบหัวเราะคนออกอาการอยู่เงียบๆ “ฉันบอกแล้วไงว่าเด็กคนนั้นไม่ใช่เมียฉัน” แม้จะออกอาการว่าหึงหวงปานใด แต่ปากก็ยังคงปฏิเสธเสียงแข็ง ซึ่งนั่นกลับยิ่งเข้าทางปรัชญ์“ไม่ใช่ก็ยิ่งดีใหญ่ ฉันจะได้ทำอะไรสะดวกๆ”“แกกำลังจะแต่งงานกับน้องเล็กนะเว้ย เลวให้มันน้อยๆ หน่อยได้ไหมไอ้เวร”“หวงก้างว่างั้น”“แกแม่งกวนตีนไม่เลิกว่ะ แล้วแต่แกเถอะไอ้เลวอยากทำอะไรก็ทำ” เมื่อถูกจี้แบบถูกจุดซ้ำแล้วซ้ำอีก รังสิ

  • ตะวันพ่ายจันทร์   บทที่ 48

    บทที่ 48วันนี้เป็นวันหยุดของรังสิมันต์ซึ่งเพิ่งจะกลับมาจากกรุงเทพฯ เมื่อวานนี้ อุ้ยคำจึงลากลับบ้านไปหาครอบครัว ส่วนหนานอินซึ่งเป็นรปภ.เฝ้าป้อมหน้าบ้านก็ขอลาหยุดเช่นกัน จึงกลายเป็นว่าวันนี้จันทริกาต้องอยู่บ้านหลังใหญ่นั้นกับเจ้าของบ้านตามลำพังรังสิมันต์อยู่กับเมสซี่ในห้องนั่งเล่น ส่วนจันทริกาตากผ้าอยู่หลังบ้าน มือเล็กที่กำลังจับผ้าขึ้นแขวนบนราวตากชะงักครู่หนึ่งพลางเงี่ยฟัง เมื่อได้ยินเสียงกดกริ่งหน้าบ้าน ปกติแล้วหน้าที่เปิดประตูรั้วจะเป็นของหนานอินซึ่งเป็นรปภ.เฝ้าหน้าป้อม แต่วันนี้หนานอินลางาน จันทริกาจึงต้องละมือจากการตากผ้า แล้วเร่งฝีเท้าไปยังประตูหน้าบ้านอย่างรู้ดีว่าเป็นหน้าที่ตัวเอง“มาหาใครคะ” เสียงหวานถามคนที่มากดกริ่งอย่างสุภาพ ก่อนที่ดวงตาสวยปนเศร้าจะเบิกกว้างและเปลี่ยนเป็นเปล่งประกายด้วยความดีใจ เมื่อเห็นหน้าคนที่มากดกริ่งในระยะใกล้“พี่เล็ก...”เจ้าของชื่อที่เธอเรียกคือรุ่นพี่ที่เธอเคยสนิทสนมมากในตอนเรียนมัธยม เพราะเคยอยู่ชมรมดนตรีด้วยกันนั่นเอง “จันทร์...” “ดีใจจังค่ะที่ได้เจอพี่เล็ก พี่เล็กสวยขึ้นจนจันทร์เกือบจะจำไม่ได้เลยค่ะ”

  • ตะวันพ่ายจันทร์   บทที่ 47

    บทที่ 47สำหรับคนที่จมอยู่ในห้วงของความทุกข์ใจ วันเวลามักผ่านไปช้าเสมอ คนในบ้านที่รังสิมันต์ส่งไปทำงานที่ห้างสรรพสินค้าของเขา ยังไม่มีใครได้กลับมา ดังนั้นจันทริกาจึงต้องทำงานบ้านทุกอย่างแทบจะคนเดียวเช่นเดิม และยังมีสิ่งที่ต้องทำมากกว่าหน้าที่ของคนรับใช้ทั่วไป นั่นคือเธอต้องคอยรองรับไฟปรารถนาของรังสิมันต์ ไม่ว่าเขาต้องการยามใด เธอก็ไม่เคยที่จะปฏิเสธได้สักครั้ง จันทริการู้ดีว่าเขาทำไปเพื่อระบายความแค้นเท่านั้น หากแต่ตอนนี้เธอกลับเริ่มรู้สึกว่าร่างกายของตัวเองเริ่มจะผูกพันกับเขาอย่างลึกซึ้งมากขึ้นทุกวัน ซึ่งเรื่องเหล่านี้ทำให้เธอทุกข์ใจไม่น้อย หากจะมีสิ่งที่ทำให้เธออยู่บ้านหลังนี้ได้อย่างมีความสุข ก็คงจะเป็นความน่ารักของเมสซี่กับความเอ็นดูจากลุงหนานอินซึ่งเป็นรปภ.กับอุ้ยคำเท่านั้น ส่วนเจ้าของบ้าน แม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน เขาก็ยังคงใจร้ายและเย็นชาใส่เธอดังเดิม แม้บางครั้งเขาเหมือนจะอ่อนโยน แต่นั่นก็เป็นเพียงเพราะเขาลืมตัว ครั้นพอเขาคิดได้ว่าเกลียดชังเธอแค่ไหน จันทริกาก็มักจะได้รับผลจากความเคียดแค้นชิงชังของเขาดังเดิมเช้านี้จันทริกาไม่ได้ทำอาหาร รังสิมันต์บอกเอาไว้ตั้งแต่เมื่อวานแล้วว่

  • ตะวันพ่ายจันทร์   บทที่ 46

    บทที่ 46“คำว่าเกมหัวใจ มันไว้สำหรับคนที่มีใจให้กัน”“แกไม่ได้คิดอะไรกับจันทร์ว่างั้น” จากที่ถูกไล่ต้อนตอนนี้ปรัชญ์เปลี่ยนเป็นฝ่ายไล่ต้อนรังสิมันต์บ้าง“คิด...คิดว่าเด็กคนนั้นทำให้เมียฉันตาย”“แน่ใจว่าคิดแค่นั้น แล้วนี่แต่งตัวจะไปไหน”“กลับเชียงใหม่สิวะ จะอยู่ทำไมล่ะ ก็ผู้หญิงที่ฉันตั้งใจจะมาจีบกลายเป็นเมียแกไปแล้วนี่ หรือแกจะให้ฉันแย่งเมียเพื่อนก็ได้นะฉันไม่ถือ”“ก่อนจะถามฉัน ถามตัวเองก่อนว่าคิดจะแย่งเมียฉันจริงๆ หรือแค่อยากให้เมียตัวเองหึง”คำพูดที่เหมือนกับมานั่งอยู่ในใจเช่นนั้น ทำให้รังสิมันต์ต้องทำหน้าตึงกลบเกลื่อน แม้สิ่งที่ปรัชญ์พูดมาจะไม่ตรงกับความจริงนักแต่ก็เฉียดสุดๆ เขาไม่ได้อยากให้จันทริกาหึง แค่อยากให้เธอเจ็บจริงหรือที่ว่าต้องการแค่นั้น?รังสิมันต์ถามตัวเอง...แล้วทำไมตอนที่เด็กคนนั้นทำหน้าเหมือนไม่รู้สึกอะไรกับเขา เขาถึงได้หงุดหงิดนัก“ต้องให้ย้ำกี่ครั้งว่าเมียฉันตายแล้ว แกความจำเสื่อมหรือไงไอ้เชี่ยปรัชญ์” คนถูกต้อนคืนทำเสียงฉุนๆ ใส่“ฉันไม่ได้หมายถึงคนที่ตายแล้วเว้ย แต่หมายถึงคนที่แกอยู่ด้วยตอนนี้”“จันทริกาไม่ใช่เมียฉัน”“แล้วเป็นอะไร แค่อดีตน้องเมียที่ตอนนี้ถูกลดฐานะล

  • ตะวันพ่ายจันทร์   บทที่ 45

    บทที่ 45“เธอนอนหรือยัง” ถามทั้งๆ ที่รู้ว่าดึกดื่นขนาดนี้ จันทริกาต้องนอนแล้ว เพราะปกติถ้าคืนไหนที่เขาไม่ได้ให้เธอขึ้นไปหา หรือเป็นฝ่ายลงมาหาเธอ เด็กคนนั้นจะหลับเร็วเป็นพิเศษ“นอนแล้วค่ะ คุณโทร.มามีอะไรหรือเปล่าคะ”“ฉันแค่โทร.มาถามว่าเมสซี่เป็นยังไงบ้าง” ปากพูดไปตามที่สมองเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้า หากแต่เสียงในใจเสียงหนึ่งกลับตะโกนก้องขึ้นมาว่า เพราะอยากได้ยินเสียงนุ่มๆ เรียบๆ ของเธอต่างหาก“เมสซี่อยู่กับจันทร์ค่ะ ตอนนี้หลับไปแล้ว”“ก็ดี ฉันแค่เป็นห่วงมัน”“ไม่ต้องห่วงนะคะจันทร์จะดูแลเมสซี่อย่างดี และสมบัติทุกชิ้นของคุณในบ้านหลังนี้ยังอยู่ครบค่ะ” จันทริกาพูดกับคนโทร.มาด้วยน้ำเสียงที่เหมือนจะเป็นการบอกกล่าวตามปกติ ทว่าหัวใจกลับปวดแปลบ เมื่อตระหนักถึงความจริงที่ว่า คุณตะวันเป็นห่วงแค่เมสซี่เท่านั้น ไม่ได้ห่วงเธอแม้แต่นิด หากจะห่วงก็คงห่วงว่าเธอจะพาใครมาขโมยของในบ้านอย่างที่เขาพูดไว้ก่อนไปมากกว่า เพราะเธอเป็นผู้ร้ายในสายตาเขามาตลอดตั้งแต่ศศิประภาตายไป จันทริกาจึงต้องบอกเขาไปเช่นนั้น หากแต่คนฟังกลับรู้สึกว่าเธอกำลังประชด“สมบัติของฉันที่เธอว่าอยู่ครบทุกชิ้น รวมถึงเธอด้วยหรือเปล่า”จันทริกาห

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status