ช่วงห้าโมงเช้าเป็นเวลาที่เหล่าสะใภ้จะกลับมาเอาอาหารไปให้คนในบ้านที่ทำงานในแปลงนา เฉินเฟิ่นอี้ที่ทำอาหารเสร็จพอดีจึงหิ้วตะกร้าไข่เจียวน้ำและข้าวที่หุงไปด้วย เนื่องจากมีสมาชิกเยอะจึงนำอาหารไปจำนวนมาก และเป็นย่าเฉินที่บอกให้เธอทำอาหารอย่างไรก็ได้ แม้ตอนแรกจะเอ่ยค้านเพราะคิดว่ามันสิ้นเปลือง
เฉินเฟิ่นอี้รีบเดินไปที่แปลงนาก่อนที่จะมีคนกลับมาทำอาหาร ถ้าจำไม่ผิดห้าโมงครึ่งจะเป็นเวลาพักกลางวันของคนในหมู่บ้าน และจะลงแปลงนาอีกทีคือบ่ายโมง เฉินเฟิ่นอี้คนก่อนก็เคยลงแปลงนา แต่นั่นก็เป๊นตอนที่หล่อนยังไม่ได้ป่วย
ระหว่างทางเดินไปยังแปลงนาเฉินเฟิ่นอี้ก็เจอเข้ากับคนที่กลับมาเอาอาหารมื้อกลางวัน ยังดีที่ไม่มีบ้านเฉินของเธอ ไม่เช่นนั้นคนที่กลับมาเอาคงเหนื่อยเปล่าๆ
“นั่นเฉินเฟิ่นอี้ไม่ใช่เหรอ”
เหมือนจะได้ยินชื่อของตนเองเฉินเฟิ่นอี้จึงเดินช้าลงเพื่อฟัง และกลุ่มคนตรงหน้าของเธอเป็นเยาวชนหญิงที่ถูกส่งมาพัฒนาหมู่บ้าน แต่มาพัฒนาหรือมาสร้างปัญหาให้ก็ไม่รู้ เพราะคนในหมู่บ้านต้องหาที่พักและแบ่งอาหารให้พวกหล่อน
“ใช่ๆ หล่อนป่วยไม่ใช่เหรอ” เยาวชนที่ตัวสูงที่สุดในกลุ่มถามกันด้วยความสงสัย เฉินเฟิ่นอี้คนนี้แต่ก่อนก็ลงแปลงนาจึงพอจำชื่อและหน้าได้บ้าง
“คงจะหายแล้ว เหอะ คงไม่อยากลงแปลงนาสินะถึงแกล้งป่วย” เยาวชนหญิงอีกคนเอ่ยด้วยน้ำเสียงดูถูก เป็นแค่คนในชนบทแท้ๆ ยังหวังสูง
“ไม่เอาน่าโม่เหลียน หล่อนก็คงป่วยหนัก อีกอย่างได้ยินว่าถูกคู่หมั้นถอนหมั้นไปไม่ใช่เหรอ หล่อนจะล้มป่วยก็ไม่แปลก” เยาวชนหญิงเซี่ยหลินหวาเอ่ยห้ามเพื่อนของหล่อนเบาๆ
เฉินเฟิ่นอี้ปล่อยให้พวกหล่อนสนทนากันต่อไปและรีบไปยังแปลงนา ดูจากจำนวนคนที่กลับมาเอาอาหารแล้ว อีกไม่นานบ้านเฉินคงจะกลับมา
ฤดูเก็บเกี่ยวจะมีทั้งหมดสามฤดู ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูฝน และฤดูหนาว ตอนนี้เป็นฤดูใบไม้ผลิอากาศจึงร้อนมากกว่าอีกสองฤดู ยังดีที่เป็นเพียงช่วงเริ่มต้นเท่านั้น เดือนหน้าคงร้อนมากกว่านี้ เฉินเฟิ่นอี้มองผู้คนที่เดินสวนทางมาเพื่อเก็บรายละเอียดว่าเธอรู้จักหรือไม่
“ป้าสะใภ้รอง”
จนกระทั่งเมื่อใกล้ถึงแปลงนาที่บ้านเฉินได้รับมอบหมาย เฉินเฟิ่นอี้ก็เห็นป้าสะใภ้รองกำลังจะเดินกลับไปเอาอาหารมื้อกลางวันพอดี เฉินเฟิ่นอี้ยิ้มเล็กน้อยก่อนจะถูกป้าสะใภ้รีบแย่งตะกร้าไปถือเอง ทั้งยังต่อว่าเธอที่ตากแดดร้อนๆ มา
“เฟิ่นอี้หลานมาได้ยังไง! ร้อนขนาดนี้ดูสิ” สะใภ้รองชี้ไปยังเหงื่อที่ไหลจากใบหน้าของหลานสาว
“ฉันเอาอาหารมื้อกลางวันมาให้ค่ะ แล้วจะอยู่เอาตะกร้ากลับด้วย” เพราะเธอต้องนำมันกลับไปล้าง ส่วนของในครัวที่ใช้ทำอาหารเธอล้างเก็บไว้เรียบร้อยแล้ว
“เร็วๆ มานั่งพักเร็ว!”
สะใภ้รองรีบดึงหลานสาวให้ไปนั่งพักบริเวณใต้ต้นไม้ที่อยู่ใกล้แปลงนาที่บ้านเฉินได้รับมอบหมาย อีกทั้งใกล้ๆ กันยังมีชาวบ้านอีกหลายกลุ่มที่นั่งพักกันอยู่ แต้มค่าแรงจะมีตั้งแต่หนึ่งแต้มถึงสิบแต้ม ทุกคนสามารถเลือกได้ว่าจะรับกี่แต้มและต้องทำงานตามแต้มที่ได้รับมอบหมาย
เช่น ผู้หญิงบ้านเฉินที่เก็บเกี่ยวข้าวโพดรับห้าแต้มก็จะได้พักก่อนผู้ชายที่รับสิบแต้มและทำงานที่หนักกว่า หลายๆ บ้านก็เป็นแบบนี้ เพราะช่วงพักกลางวันผู้หญิงต้องกลับไปทำอาหาร อีกอย่างบางคนก็ตั้งครรภ์หรือมีเรี่ยวแรงน้อย ยิ่งบ้านไหนมีจำนวนสมาชิกเยอะผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ก็ต้องทำงานด้วย
สะใภ้สี่และสะใภ้ใหญ่ที่นั่งพักอยู่มองสะใภ้รองที่ลากเฉินเฟิ่นอี้เข้ามานั่งด้วย สะใภ้สี่มีท่าทีตกใจและรีบใช้หมวกสานพัดให้ลูกสาวของนางที่มีเหงื่อไหลและหน้าแดง
“แม่นั่งพักเถอะค่ะ ฉันไม่เป็นอะไรจริงๆ” เฉินเฟิ่นอี้ได้แต่ยิ้มแห้งที่ต้องให้คนที่ทำงานเหนื่อยๆ มาพัดให้
“ร้อนขนาดนี้หลานจะมาทำไม” สะใภ้ใหญ่บ่น
“ฉันเอาอาหารมื้อกลางวันมาให้ค่ะ ไหนๆ ก็ว่าง อีกอย่างคุณย่าก็กลัวว่าทุกคนจะเหนื่อยกัน” การเก็บเกี่ยวฤดูนี้เป็นการเก็บเกี่ยวที่หนักที่สุด
และคนในหมู่บ้านจะได้รับส่วนแบ่งแค่สองครั้งเท่านั้น นั่นก็คือหลังการเก็บเกี่ยวครั้งนี้และก่อนปีใหม่เพื่อให้ชาวบ้านได้ฉลองกัน หากบ้านไหนได้รับส่วนแบ่งน้อยก็ต้องรัดเข็มขัดให้ดี ไม่อย่างนั้นก็อาจอดอาหารตาย
“แหม่ แค่เอาอาหารมาส่ง สะใภ้บ้านเฉินก็ทำเหมือนหลานสาวจะตาย”
เฉินเฟิ่นอี้หันไปมองตามเสียงที่พูด เธอต้องเพ่งมองว่าสตรีวัยกลางคนตรงหน้าเป็นใคร เพราะใบหน้าคุ้นๆ อีกทั้งความทรงจำก็ขาดๆ หายๆ
“สะใภ้รองอี้มีปัญหาหรือ?” สะใภ้ใหญ่ถือตัวว่าตนเองใหญ่ที่สุดในบรรดาสะใภ้บ้านเฉิน หันไปถามสะใภ้รองบ้านอี้ที่เป็นบ้านเดิมของสะใภ้สี่ หล่อนไม่ถูกกับบ้านอี้มาตั้งแต่แต่งเข้าสกุลเฉิน พอเกิดเรื่องเฉินเฟิ่นอี้ขึ้น หล่อนก็ยิ่งเกลียดชังบ้านอี้เข้าไส้
“สะใภ้ใหญ่เฉิน เฉินเฟิ่นอี้เป็นเด็กสาวขี้โรค บ้านเฉินยังจะเก็บหล่อนไว้อีกเหรอ หากเป็นบ้านอี้ของพวกฉัน ฉันไม่เอาไว้แน่ๆ เลี้ยงไว้ก็ไร้ประโยชน์ทั้งยังเป็นภาระ” หล่อนหันไปหัวเราะกับเหล่าสะใภ้บ้านอี้ ผู้ใดก็รู้ว่าเด็กสาวบ้านอี้น่ะเต็มไปด้วยคนมีความสามารถ ต่างจากเด็กสาวบ้านเฉินที่ป่วยใกล้ตาย
“ใช่ อีกอย่างนะ ตอนนี้หมิงหลานฮุ่ยก็จะให้ครอบครัวหมิงมาหมั้นหมายอี้เหม่ยเฟิ่งของพวกเราแล้ว ต้องโทษเฉินเฟิ่นอี้แล้วแหละที่ไม่มีวาสนาได้แต่งงานกับหมิงหลานฮุ่ย” สะใภ้ใหญ่อี้ผู้เป็นแม่แท้ๆ ของอี้เหม่ยเฟิ่งเอ่ยอย่างดูแคลนที่ลูกสาวของหล่อนสามารถแย่งชิงคู่หมั้นที่ร่ำรวยมาจากเฉินเฟิ่นอี้ได้
“แม่คะอย่าไปสนใจเลยค่ะ”
สะใภ้สี่ที่กำลังจะตอบโต้ถูกลูกสาวห้ามปราม หล่อนกำมือแน่นมองไปยังบ้านอี้อย่างโกรธแค้น ที่ผ่านมาเวลาสามีของหล่อนได้ของดีๆ มา หรือพี่ชายสามนำของมาให้เหล่าพี่สะใภ้ น้องสะใภ้นำไปให้บ้านเดิม สะใภ้สี่ก็นำไปให้บ้านอี้ทุกครั้ง แต่ดูทุกคนทำกับครอบครัวของหล่อนสิ แม้แต่พ่อแม่และพี่ชายทั้งสามยังเห็นดีเห็นงามไปด้วย
เฉินเฟิ่นอี้มองสะใภ้บ้านอี้ที่ยังหัวเราะไม่หยุด บ้านอี้เป็นบ้านเดิมแม่ของเธอ และมองดูแล้วแม่ของเธอก็ไม่ได้ยอมบ้านอี้ขนาดนั้น คงเป็นเพราะป้าสะใภ้ใหญ่ชอบบ่นแน่
“หรือมันไม่จริง ฮ่าๆ”
ระหว่างนั่งรอผู้ชายบ้านเฉินพักกลางวัน เฉินเฟิ่นอี้ก็หันมองรอบๆ ว่ามีใครที่รู้จักบ้าง ซึ่งก็คุ้นหน้าคุ้นตาไม่น้อยเลย ยังดีที่เฉินเฟิ่นอี้เป็นเด็กสาวที่เรียบร้อยเธอจึงไม่ต้องปวดหัว
“อ้าว เฟิ่นอี้มาทำอะไรเหรอ” เฉินเต๋อหมิงที่มาถึงก่อนคนอื่นร้องถามลูกสาวคนโตที่นั่งอยู่
“ฉันเอาอาหารกลางวันมาส่งค่ะพ่อ” เฉินเฟิ่นอี้ตอบ เธอมองพ่อของเธอเล็กน้อย แม้จะแปลกๆ ที่ต้องเอ่ยคำว่าพ่อบ้างก็ตาม อย่างที่รู้กันว่าชีวิตก่อนเธอมีเพียงแม่ จึงไม่เคยเอ่ยคำว่าพ่อเลยสักครั้ง
“ลำบากแล้ว”
เฉินเฟิ่นอี้ยิ้มเล็กน้อยก่อนจะตักข้าวใส่ถ้วยให้ทุกคน มีหลายบ้านต่างมองมาเพราะปกติบ้านเฉินจะมีเพียงแผ่นแป้ง ส่วนข้าวขาวนานๆ ทีจะได้รับประทาน ซึ่งทุกบ้านก็เป็นเช่นนี้
“ข้าวขาวเหรอ!” สะใภ้ใหญ่ตกใจ เพราะข้าวขาวบ้านเฉินจะเก็บไว้รับประทานมื้อเย็น ทำงานเหนื่อยๆ พอได้รับประทานข้าวขาวก็มีแรงขึ้นมาก อีกอย่างเพราะไม่ต้องการให้คนในหมู่บ้านสนใจจึงเลือกที่จะกลมกลืนไป
“ใช่ค่ะ วันนี้คุณย่าอนุญาตให้ฉันทำค่ะป้าสะใภ้ใหญ่”
“สิ้นเปลืองเปล่าๆ” ลุงใหญ่โบกมือแต่ก็ไม่ได้ต่อว่าหลานสาวเพราะมีคนอื่นอยู่ด้วย
เฉินเฟิ่นอี้ไม่ได้ว่าอะไรต่อ เธอตักข้าวส่งให้ทุกคนที่ทยอยนั่งลง ผู้ชายจะได้เยอะกว่าผู้หญิงเพราะต้องใช้พลังงานเป็นอย่างมาก ส่วนเฉินเฟิ่นอี้ที่ไม่ได้ทำงานเธอจึงตักข้าวให้ตัวเองนิดเดียว
“นี่คืออะไร” ปู่เฉินชี้ไข่เจียวน้ำอย่างสงสัย
“ไข่เจียวน้ำค่ะคุณปู่” เฉินเฟิ่นอี้ยื่นมือไปตักไข่เจียวน้ำใส่ถ้วยของปู่เฉินที่นั่งอยู่ข้างๆ เพราะจำนวนสมาชิกเยอะ เธอจึงใส่ผักลงไปหลายอย่าง แต่ก็ยังมีเอกลักษณ์ของไข่เจียวน้ำที่เคยทำรับประทาน ซึ่งรสชาติก็ต่างกันอยู่บ้างเนื่องจากมีเครื่องปรุงไม่เยอะ
“หอมมาก”
เฉินเฟิ่นอี้มองทุกคนรีบตักไข่เจียวน้ำยิ้มๆ มีแต่คนเอ่ยปากชมว่ามันอร่อยมาก ซึ่งเธอก็ทำเพียงพยักหน้า ทุกคนรีบรับประทานอาหารและใช้เวลาที่เหลือนอนพักเอาแรงก่อนไปทำงานต่อ
เมื่อรับประทานอาหารเสร็จเฉินเฟิ่นอี้ก็เก็บจานและของที่นำมาใส่ตะกร้า ผู้ใหญ่บ้านเฉินต่างหาที่นอนพักกลางวันแล้ว เธอจะกลับบ้านพักผ่อนเหมือนกัน อาหารที่นำมาส่งหมดเกลี้ยงไม่เหลือแม้แต่ข้าวสักเม็ด สร้างความพึงพอใจให้เฉินเฟิ่นอี้เป็นอย่างมาก ข้าวหมดก็หมายความว่ามันอร่อย อีกอย่างเธอก็ไม่ค่อยได้ทำอาหารด้วย
หลังกลับมาจากแปลงนาเฉินเฟิ่นอี้ก็เห็นย่าเฉินและเฉินชิงชิงนอนหลับอยู่ที่แคร่หน้าบ้าน ข้างในบ้านคงจะร้อน ทั้งสองจึงออกมานอนที่ด้านนอก ก่อนจะรีบนำของไปล้างและเก็บไว้ที่เดิม
เมื่อจัดการอะไรเสร็จเฉินเฟิ่นอี้ก็เข้าไปในห้องนอนของเธอ เปิดหน้าต่างออกให้กลิ่นในห้องจางลง แสงแดดเริ่มส่องเข้ามาในห้องนอนเธอจึงนั่งลงบนเตียง มองกระดานใสตรงหน้าที่ได้ทำการกดตกลงยืนยันภารกิจไปเมื่อครู่
[คะแนนรวม : 10 แต้ม]
เดี๋ยวนะ? เมื่อวานเธอได้หนึ่งแต้มและเจ็ดแต้ม ภารกิจในวันนี้อย่าบอกนะว่าเธอได้เพียงสองแต้ม! ระบบนี้คงรวนแน่ๆ เฉินเฟิ่นอี้จะหัวเราะก็หัวเราะไม่ออก จะร้องไห้ก็ร้องไห้ไม่ได้ ระบบเส็งเคร็ง! แล้วรางวัลพิเศษล่ะ
“แป้ง?” เฉินเฟิ่นอี้มองถุงแป้งจำนวนสองชั่งที่เธอกดรับรางวัลสำเร็จภารกิจ แป้งขาวจำนวนสองชั่งก็หล่นลงบนเตียงทันที
แม้แต่รางวัลพิเศษเธอก็ยังได้แค่แป้งหรือ! ไม่มีเนื้อหมูหรือพวกเงินให้หน่อยเหรอ เฉินเฟิ่นอี้ถอนหายใจ ถ้ารู้อย่างนี้ตั้งแต่แรกคงไม่ยอมเชื่อมต่อกับระบบแน่ๆ เธอนึกว่ามันจะช่วยอะไรได้ แต่นี่ช่วยทำให้เหนื่อยมากกว่า
เฉินเฟิ่นอี้ถือถุงแป้งที่ได้รับมาไปเทใส่โหลแป้งเอาไว้ เธอไม่ได้ไปซื้อมาจะมีคนสงสัยเอาได้ แต่ถ้ามีคนสังเกตว่าจำนวนมันเพิ่มขึ้นก็คงหาสาเหตุไม่ได้ซึ่งเหตุผลหลังมันดีกว่า
คงต้องทำเกี๊ยวผักให้บรรดาเด็กที่ไปโรงเรียนเป็นของว่าง ซึ่งเหลืออีกหลายชั่วโมง กว่าที่พวกเขาจะกลับมา เฉินเฟิ่นอี้จึงตัดสินใจนอนพักกลางวันก่อนเพื่อเอาแรง ตื่นอีกทีเด็กๆ คงใกล้จะกลับแล้ว
วันที่ 5 เดือน 3 ปี 1984 งานมงคลสมรสของเฉินเฟิ่นอี้และโอวหยางจิงจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ แขกที่ได้รับเชิญต่างพากันเข้าร่วมงานอย่างหนาแน่น เฉินเฟิ่นอี้ต้องลุกมาแต่งตัวตั้งแต่เช้ามืด ทั้งต้องคอยถามถึงหน้างานเพื่อไม่ให้มีอะไรผิดพลาดในชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่ง สิ่งที่รอคอยนั่นคือการแต่งงานสักครั้งในชีวิต ในตอนที่เป็นแป้งร่ำ เธอพลาดโอกาสนั้นแล้ว ครั้งนี้เฉินเฟิ่นอี้ย่อมไม่พลาด"พี่สาวสามสวยมาก" เฉินเหม่ยเย่เอ่ยชมพี่สาวด้วยความตื่นเต้น ทั้งที่ไม่ใช่งานของตนเองนาน ๆ ที เฉินเฟิ่นอี้จะได้แต่งหน้าและแต่งตัว หากไม่ใช่วันสำคัญ แต่ก็ไม่ได้จัดเต็มเหมือนวันนี้ ภายใต้ชุดสีแดงมงคล เฉินเฟิ่นอี้เป็นผู้หญิงที่สวยมากในสายตาของน้องสาว"พี่สาวสามของเธอเป็นคนสวยมาตั้งนานแล้ว หล่อนแค่ไม่แต่งตัวเหมือนกับเธอที่ต้องทำงาน" พี่สาวใหญ่เดินเข้ามานั่งใกล้น้องสาวภายในห้องเจ้าสาวตอนนี้ มีพี่สาวใหญ่ พี่สาวรอง เฉินเหม่ยเย่ และเฉินเฟิ่นอี้ที่เป็นเจ้าสาว ทั้งสี่คนเป็นหลานสาวสายหลักของลุงสามที่เป็นผู้นำตระกูล ต่อให้แต่งงานแล้วแต่ยังเป็นคนสำคัญเฉินเฟิ่นอี้แต่งงานแล้วเธอจะเป็นคนของตระกูลโอวหยาง แต่ว่ายังสามารถมีปากเสียงในตระกูลเ
ต่อให้เร่งมากแค่ไหน การสร้างบ้านยังต้องใช้เวลาสองเดือน เฉินเฟิ่นอี้จึงใช้เวลาที่ว่างในการช่วยเฉียนลี่เซียนเปิดร้านตัดเย็บ มันเป็นเพียงการตัดเย็บที่ลูกค้าสั่งตัดไม่เกินห้าตัว ปะซ่อมบริเวณที่ขาดกว่าบ้านจะเสร็จ ร้านตัดเย็บเฉียนก็เริ่มเข้าที่แล้ว เฉินเฟิ่นอี้ไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยว เธอปล่อยให้หล่อนจัดการร้านเอาเอง เพราะมีเฉียนเฟยเข้ามาช่วยจึงไม่ค่อยห่วงนักบ้านที่สร้างใหม่เป็นบ้านปูนห้าห้องนอน ล้อมรั้วแข็งแรงไม่ให้คนนอกเข้าไป แต่เฉินเฟิ่นอี้ฝากกุญแจให้ผู้ใหญ่บ้านจ้างคนไปทำความสะอาดข้างนอกบ้านให้ รวมถึงถางหญ้าในที่ดิน ค่าดูแลเดือนละยี่สิบหยวน แน่นอนว่าเฉินเฟิ่นอี้ยอมจ่ายทันทีที่บ้านเสร็จ กลุ่มของเฉินเฟิ่นอี้ก็เดินทางกลับปักกิ่งเพื่อเริ่มงาน พวกผู้หญิงมีงานถ่ายแบบเข้ามาบ้าง เฉินเฟิ่นอี้อนุญาตให้ทำและลดเงินเดือนบางส่วนของพวกหล่อนลงร้านผ้าถุงเซี่ยเซี่ยอีกสองสาขาอยู่ห่างจากสาขาใหญ่พอสมควร แต่เป็นบริเวณที่มีคนเดินผ่าน แน่นอนว่าร้านของเธอพี่ใหญ่เฉินเป็นคนหาให้ไม่ต้องจ่ายค่าเช่าสาขาที่สองเป็นสาขาที่เฉินเฟิ่นอี้สร้างร่วมกับน้องชายน้องสาว ส่วนสาขาใหญ่ตอนนี้มันเป็นเพียงชื่อของเธอ ซึ่งแน่นอนว่าการ
งานมงคลผ่านไปแล้ว มีแต่คนอิจฉาเจ้าสาวเพราะได้รับสินสอดจำนวนมาก หลังงานมงคลเฉินเฟิ่นอี้เรียกผู้รับเหมาเข้าไปดูบ้านพร้อมกับสร้างบ้านใหม่ด้วยเวลาอันน้อยนิด เฉินเฟิ่นอี้จ่ายไม่อั้นเพื่อให้บ้านเสร็จก่อนกลับปักกิ่ง แต่ถึงจะเสร็จไม่ทันเธอก็จะรอให้มันเสร็จก่อนอยู่ดี ต่อให้มีคนนินทาและด่าว่าโง่ที่เอาเงินมาทิ้งกับบ้านที่ไม่ได้อยู่ เฉินเฟิ่นอี้ก็ไม่ได้สนใจ"พี่จัดการเรื่องผ้าถุงเสร็จแล้ว พวกเรากลับไปที่ร้านกันก่อนเถอะครับ" โอวหยางจิงบอกคนรักที่นั่งรออยู่ในโรงงานวันนี้เฉินเฟิ่นอี้เข้ามาจัดการเรื่องที่จะให้โรงงานส่งผ้าถุงเข้าไปในปักกิ่ง ค่าใช้จ่ายในการขนส่งแน่นอนว่าเฉินเฟิ่นอี้ยินดีจ่าย ขอแค่ให้ของไปถึงมือส่วนร้านเซี่ยเซี่ยร้านแรกของเธอจะยุติการขาย เรื่องนี้ได้คุยกับลุงเหว่ยเทาไปแล้วตอนที่กลับมาถึงวันแรก แต่ต้องเข้าไปคุยอีกทีเพื่อยกเลิกสัญญาพอมีการประกาศออกไปดูเหมือนว่าทุกคนจะตกใจและรีบมาซื้อเก็บเอาไว้ สินค้าจะมีเหลือให้ขายเพียงห้าพันผืนสุดท้าย หากขายหมดก่อนร้านจะปิดลงทันที"ค่ะ"หากเป็นเมื่อก่อนเฉินเฟิ่นอี้กับโอหยางจิงคงปั่นจักรยานกัน แต่ตอนนี้คุณลุงโอวหยางให้คนรักของเธอนำรถมาใช้งานระหว่างอยู
วันที่เจ็ดเดือนสามปี 1982 กลุ่มของเฉินเฟิ่นอี้เดินทางมาถึงบ้านพักในอำเภอจวี่ที่เป็นบ้านหลังเดิม และเพื่อนของลุงสามเป็นคนจัดพื้นที่เอาไว้ให้แล้วการเดินทางในครั้งนี้ไม่ได้มีผู้ใหญ่บ้านเฉินเดินทางมาด้วย มีเพียงผู้ปกครองที่เดินทางกลับบ้าน เฉินเฟิ่นอี้พร้อมกับน้อง ๆ ต้องการมาเข้าร่วมงานมงคลของเว่ยฟ่งกับเจียวซีถึงได้ตามกันมา ยกเว้นเฉินชิงชิงน้องชายคนเล็กของบ้านที่ปีนี้อายุสิบเอ็ดปีแล้วเฉินเฟิ่นอี้รับกุญแจจากลุงเหว่ยเทาทันทีที่มาถึง บ้านพักหลังนี้ถือว่าเป็นความทรงจำของเธอก็ว่าได้ อยู่มาตั้งหลายปี ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม"คุณลุงเหว่ยไม่ได้ปล่อยบ้านให้คนอื่นเช่าเหรอคะ" เฉินเฟิ่นอี้หันไปถามเจ้าของบ้านที่นั่งอยู่ในห้องโถง และสอบถามเรื่องราวระหว่างที่ไปอยู่ในปักกิ่ง"บ้านหลังนี้หลานบอกว่ามันเป็นความทรงจำไม่ใช่หรือ ถึงลุงไม่ได้ขายให้แต่ก็เก็บเอาไว้รอพวกหลานกลับมา" เหว่ยเทายิ้มเล็กน้อยเขาไม่ได้แต่งงานมีภรรยา สมบัติที่มีอยู่จึงเป็นของเขาและมีรายได้จากการปล่อยเช่าห้องพัก ไม่จำเป็นต้องปล่อยเช่าบ้านหลังนี้ให้คนอื่น และเด็กบ้านเฉินก็เหมือนลูกเหมือนหลานของเขา"ขอบคุณค่ะ""ลุงสามฝากบอกว่าถ้ามีเวลาให้ขึ
หลังงานเลี้ยงจบลง ข่าวที่หลายคนจับตามองมากที่สุดไม่พ้นหลานชายหลานสาวของตระกูลเฉินมีคนรักแล้ว หลายคนยังคงต้องการขยับความสัมพันธ์ เผื่อว่าวันหน้าจะมีโอกาส จึงจ้างกลุ่มของเฉินเฟิ่นอี้ไปร่วมงานอยู่บ่อย ๆช่วงปิดภาคเรียนเป็นช่วงที่ต้องทำหลายอย่าง กว่าจะลงตัวก็เปิดภาคเรียนแล้ว ภาคเรียนที่สองเป็นภาคเรียนที่เหนื่อยมาก บ่อยครั้งที่เฉินเฟิ่นอี้ต้องนอนในหอพักของมหาวิทยาลัยความสัมพันธ์ของกลุ่มเพื่อนยังคงหนาแน่น ยิ่งที่บ้านย้ายเข้าไปอยู่ในเขตตระกูลเฉิน ทุกคนย้ายเข้าไปอยู่บ้านพักทำให้ได้พบเจอหน้ากันทุกวันยิ่งได้อยู่ด้วยกันกับเฉินเฟิ่นอี้ ทุกคนต่างลงความเห็นที่จะทำงานกับเพื่อนสาว เว่ยฟ่งถึงขั้นต่อสายมาหาพ่อกับแม่เรื่องที่เขาเรียนจบแล้วจะกลับไปแต่งงานกับเจียวซีแล้วจะกลับมาอยู่ในปักกิ่งคนอื่น ๆ ก็มีท่าทีไม่ต่างกัน ผู้ชายเข้าไปช่วยรุ่นพี่โอวหยางจิงทำงาน ผู้หญิงช่วยเฉินเฟิ่นอี้ในร้านผ้าถุงเซี่ยเซี่ย ตอนนี้ได้ค่าตอบแทนน้อย แต่ถือว่าคุ้มเพราะช่วยอยู่เบื้องหลังแค่มาเรียนปีแรกก็ทำเอาผู้ปกครองปวดหัวแล้ว ปีที่ีสองยิ่งปวดหัวมากกว่าเดิม ไม่มีใครกลับบ้านในช่วงปิดภาคเรียน ถ้าอยากเจอก็ให้เดินทางมาหาความสัมพัน
หลานชาย หลานสาว รวมถึงกลุ่มเพื่อนสนิทถูกจับแต่งตัวให้เหมาะสมกับงานสำคัญ อันที่จริงกลุ่มเพื่อนของเฉินเฟิ่นอี้ไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมก็ได้ แต่ทุกคนลงความคิดเห็นว่าตอนนี้พวกเขาอยู่ภายใต้การดูแลของบ้านเฉินแล้วแขกภายในงานมีหลายคนที่เคยสนิทกับคนในตระกูลเฉิน เพราะฉะนั้นเฉินเฟิ่นอี้จึงพยายามบอกคนอื่นให้หลีกเลี่ยงเท่าที่จะทำได้เฉินเฟิ่นอี้มองชุดที่ออกแบบด้วยฝีมือของพี่เยี่ยฉิงจากร้านเยว่ซิน ทันทีที่จะมีการจัดเตรียมงานเธอได้ทำการติดต่อขอตัดเย็บเสื้อผ้าให้ และตระกูลเยี่ยคือหนึ่งในพันธมิตรของปู่เธอ"เสียดายจริง ๆ ที่เธอไม่คิดจะทำงานในวงการบ้างหรือ" เยี่ยฉิงมองชุดบนตัวของเฉินเฟิ่นอี้"ไม่ละค่ะ ฉันชอบทำงานเบื้องหลังมากกว่า" เธอรีบส่ายหน้าปฏิเสธไป ให้ช่วยแต่งหน้าหรือทำอย่างอื่นได้ แต่จะให้ถ่ายแบบเธอทำไม่ได้จริง ๆ"อื้อ ๆ ฉันก็ว่าแบบนั้นดูเป็นเธอมากกว่า" หล่อนหัวเราะเฉินเฟิ่นอี้เป็นเจ้าของร้านผ้าถุงที่ออกแบบลวดลายเอง เยี่ยฉิงเป็นเจ้าของร้านเสื้อผ้าที่ไม่ถ่ายแบบงานตัวเอง จึงเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่ายเยี่ยฉิงที่ช่วยเฉินเฟิ่นอี้แต่งตัวแล้วเดินไปช่วยคนอื่นต่อ ทั้งที่ตัวเองยังไม่ได้แต่งตัว แน่นอนว่างานส