หลังทานอาหารแล้ว อู๋อ๋องกับซินเมี่ยวก็ขึ้นรถม้าไปยังวังหลวงโดยมีเหลยเปาคอยดูแลอู๋อ๋อง ซินเมี่ยวไม่ได้เอ่ยสิ่งใด ในเมื่อเขาเป็นองครักษ์ส่วนตัวของอู๋อ๋อง นางก็จะปล่อยให้เขาทำหน้าที่ตามสบาย ส่วนนางที่ยังไม่เคยเข้าวังมาก่อนก็รู้สึกทำตัวไม่ค่อยถูกนัก นางเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาในชาติก่อน ชาตินี้ก็ได้รับการอบรมน้อยกว่าบุตรีคนอื่นในเรือน นางจึงกังวลว่าจะทำให้อู๋อ๋องขายหน้า
“ท่านอ๋อง ข้าเพิ่งจะเคยเข้าวังครั้งแรก หากข้าทำสิ่งใดให้ท่านขายหน้า ข้าต้องขออภัยท่านเอาไว้ก่อนนะเพคะ” ซินเมี่ยวเอ่ยเสียงเย็นชาแต่มือที่จับกันแน่นนั้นทำให้รู้ว่านางคงหวาดกลัวไม่น้อยจริง ๆ
“เจ้าไม่ต้องกังวลมากนักหรอก เสด็จพ่อกับเสด็จแม่คงไม่ถือสาเจ้าแน่” อู๋อ๋องเอื้อมมือไปจับมือเล็กที่ตอนนี้เย็นเฉียบจากความตื่นเต้นเอาไว้
ซินเมี่ยวมองมือใหญ่ที่กุมมือเล็กของตัวเองเอาไว้ก็หันไปมองอู๋อ๋องอย่างอยากจะขอบคุณ เพียงแต่นางไม่รู้ว่าจะทำหน้าตาอย่างไรที่เขาปลอบโยนนางเช่นนี้
“ขอ
ซินเมี่ยวกลับไปถึงที่ว่าการเมืองก็กระซิบบอกเรื่องที่นางพบกับไท่จื่อทันที“เจ้าคิดว่าเราสร้างที่อยู่ให้พวกเขาและสอนงานเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อให้พวกเขาหารายได้เองจะดีหรือไม่ พี่ไม่อยากให้พวกเขาเป็นขอทานอีก”“ก็ดีนะเพคะ รบกวนเสด็จพี่สั่งทหารช่วยกันสร้างที่พักให้พวกเขาก่อนก็แล้วกัน”“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องกังวล พี่จะสั่งการทหารช่างให้รับหน้าที่นี้เอง”“ขอบพระทัยเสด็จพี่เพคะ พระองค์ลองเสวยขนมนี่ดูเพคะ อร่อยมากเลย”ซินเมี่ยวยื่นขนมหน้าตาธรรมดาส่งให้หยางชิงหลง พระองค์รับมาชิมดูก็พยักหน้าอย่าพอใจเช่นกัน ถึงแม้หน้าตาของขนมนั้นดูไม่ดีนัก แต่รสชาตินับว่าไม่เลวเลยทีเดียว ซินเมี่ยวยังเล่าถึงสถานการณ์ภายในเมืองที่นางเดินสำรวจดูให้กับหยางชิงหลงฟังอย่างไม่ขาดตกบกพร่องชาวเมืองที่มีวาสนาได้พบทั้งสองพระองค์ต่างตื้นตันใจเป็นอันมาก ทั้งที่ความจริงทั้งสองพระองค์ไม่ต้องมานั่งที่
สามสัปดาห์ต่อมาขบวนใหญ่ของไท่จื่อมาถึงหน้าประตูเมืองเสวียนแล้ว แม่ทัพรักษาชายแดนและเจ้าเมืองเสวียนคนปัจจุบันอย่างหานเซี่ยต่างรอต้อนรับพร้อมรอยยิ้ม นั่นเพราะแม่ทัพรักษาชายแดนได้รับรายงานว่ามีขบวนเดินทางพร้อมทหารจำนวนมากใกล้จะมาถึงเมืองเสวียน พวกเขาจึงต้องรีบออกมารับหน้าทั้งที่ไม่มีใครมาแจ้งพวกเขาสักนิดว่าเป็นผู้ใดมาถึงกันแน่“ไท่จื่อและไท่จื่อเฟยมาถึงแล้ว!!!” ซุนเหยาใช้เสียงจากพลังปราณเอ่ยขึ้นเสียงดังแม่ทัพรักษาชายแดนและหานเซี่ยรีบคุกเข่าลงเมื่อได้ยิน พวกเขาเพิ่งรู้ว่าผู้มาขบวนใหญ่นี้เป็นถึงรัชทายาท บรรดาชาวเมืองที่ไม่ใคร่จะอยู่สบายนักเพราะเจ้าเมืองหานเซี่ยนเองต่างก็คุกเข่าลงเช่นกัน พวกเขายังไม่รู้ว่าไท่จื่อที่ว่ามานี้จะช่วยเหลือพวกเขาจากความหน้าเลือดของเจ้าเมืองได้หรือไม่ แต่ถึงจะมีความหวังเพียงน้อยนิด พวกเขาก็อยากจะลองดูว่าชีวิตหลังจากนี้จะดีขึ้นหรือไม่“พวกเจ้าตามสบาย” เสียงหยางชิงหลงดังออกจากรถม้า กังวานไปทั
การเก็บเกี่ยวสมุนไพรในช่วงสองสามวันมานี้ทำให้ซินเมี่ยวได้รับโสมป่าอีกหลายต้นกลับไปด้วย ส่วนฎีกาของไท่จื่อนั้นถูกส่งไปได้สามวันแล้วเช่นกัน พระองค์คาดการณ์เวลาเป็นอย่างดีว่าม้าเร็วจะมาถึงขบวนของพระองค์ก่อนเดินทางไปถึงเมืองเสวียนได้ไม่ยาก ในฎีกานั้นพระองค์ยังขอให้ฝ่าบาทแต่งตั้งเจ้าเมืองคนใหม่และแม่ทัพคนใหม่มาประจำการที่ชายแดนด้วยครึ่งเดือนต่อมา ขบวนของไท่จื่อเหลือระยะทางไปยังเมืองเสวียนอีกเพียงห้าร้อยลี้เท่านั้น ขณะที่พักค้างแรมริมทางอยู่นั้นกลับมีม้าเร็วกลับมาที่ค่าย ส่งข่าวว่าขบวนเจ้าเมืองคนใหม่และแม่ทัพหยวนพร้อมกำลังทหารอีกห้าพันนายกำลังจะมาถึงในวันพรุ่งนี้แล้ว“เสด็จพ่อเหตุใดจึงนำกำลังทหารมามากนักเล่า” หยางชิงหลงตรัสถามทหารส่งข่าว“ฝ่าบาทกังวลว่าจะมีทหารเก่าที่ภักดีกับแม่ทัพคนเก่าก่อเรื่องพะย่ะค่ะ พระองค์จึงส่งทหารมาเพิ่มให้”“อืม เช่นนั้นเราจะตั้งค่ายรอพวกเขาที่นี่อีกสองวัน เจ้ากลับไปรายงานแม่ทัพหยวนก่อน
กลางดึกคืนนั้น กลุ่มโจรมากกว่าห้าร้อยคนล้อมรอบพื้นที่ตั้งกระโจมเอาไว้อย่างแน่นหนา พวกเขาเฝ้ามองดูก่อนหน้านี้มาตลอดจนรู้ว่ายากที่จะเข้าไปจับกุมตัวผู้นำขบวนเอาไว้ได้ เนื่องจากกระโจมนั้นอยู่ตรงกลาง ยากต่อการจู่โจม พวกเขาจึงคิดที่จะปล้นเสบียงและเงินทองที่อยู่ชั้นนอกแทน“พวกเจ้าเตรียมจัดการทหารเฝ้าเวรพวกนั้นก่อน เราค่อยบุกเข้าไปทีละชั้น”“ท่านหัวหน้าแน่ใจหรือขอรับ ข้ากลัวว่าพวกมันจะมีแผนการดักซุ่มรอเราอยู่”“เพ้ย! เจ้าเชื่อข้าเถอะน่า ป่านนี้พวกมันที่เหนื่อยจากการเดินทางคงนอนหลับไม่รู้เรื่องรู้ราวกันไปนานแล้ว ขบวนใหญ่ขนาดนี้ข้าก็เพิ่งเคยพบเป็นครั้งแรก พวกมันไม่น่าจะระมัดระวังมากนักหรอก” หัวหน้าโจรกล่าวอย่างไม่กลัวแม้แต่น้อย อย่างไรเขาก็ดักปล้นพ่อค้ารวมทั้งยังรับคำสั่งฆ่าจากเจ้าเมืองเสวียนมาตลอดหลายปี ถึงแม้จะถูกจับได้ อย่างไรเจ้าเมืองเสวียนก็ไม่กล้าทำอะไรพวกเขาแน่“ไป!” หัวหน้าโจรสั่งลูกน้องเสียงดังไปทั่วบริเวณ
ขบวนเดินทางของไท่จื่อไม่ได้เร่งรีบไปยังเมืองเสวียนมากนัก พระองค์ยังส่งทหารนำรายงานเกี่ยวกับเมืองจ้วงจีกลับไปยังเมืองหลวงเพื่อถวายฝ่าบาท ส่วนการเดินทางครั้งนี้มีการหยุดพักบ่อยขึ้นเพื่อไม่ให้กระทบกระเทือนท้องของซินเมี่ยวที่กำลังโตขึ้นทุกวันและเข้าสู่เดือนที่หกของการตั้งครรภ์“เสด็จพี่ไม่ต้องพักบ่อยขนาดนี้ก็ได้เพคะ เรายังต้องเดินทางไปอีกหลายเมืองเพื่อช่วยเหลือราษฎรนะเพคะ” ซินเมี่ยวอดจะบ่นพระสวามีไม่ได้“นั่นจะได้อย่างไร หมอหลวงก็บอกอยู่ว่าไม่ให้เดินทางต่อเนื่องมากนัก ไม่เช่นนั้นเจ้าที่ต้องอุดอู้อยู่แต่ในรถม้าจนขยับเขยื้อนลำบากจะไม่สบายเอาได้”“เสด็จพี่ลืมไปหรือเปล่าเพคะว่าน้องก็มีพลังปราณ เรื่องแค่นี้ไม่กระทบร่างกายของน้องหรอกเพคะ พวกเรารีบเดินทางจะดีกว่า พักแค่ก่อนค่ำเหมือนเคยก็ได้แล้ว”“เอาล่ะ ๆ เช่นนั้นก็ตามใจเจ้า แต่ถ้าเจ้าไม่สบายตัวต้องรีบบอกพี่เข้าใจหรือไม่”“หม่อมฉันเข
ยามเว่ย ไท่จื่อก็สั่งให้ออกเดินทางโดยที่ได้รับการช่วยเหลือจากชาวบ้านทำล้อลากสำหรับกรงขังเสือเพื่อลากกลับไปยังเมืองจ้วงจี เสือทั้งหมดเมื่อฟื้นตื่นคราแรกต่างตกใจจนร้องขู่เสียงดัง ซินเมี่ยวที่ไม่ได้หวาดกลัวพวกมันจึงเดินเข้าไปใช้พลังปราณกดข่มพวกมันและคุยกับพวกมันดี ๆ เพื่อปลอบโยน จนไม่นานนักหลังจากนางส่งเนื้อย่างที่ชาวบ้านทำเอาไว้ให้พวกมันทั้งครอบครัวกินจนอิ่มหนำ เสือทั้งหมดที่อยู่ในกรงต่างก็เชื่องเชื่อลงไม่น้อย พวกมันพากันนอนหมอบปล่อยให้องครักษ์ขี่ม้าลากพวกมันติดตามไปอย่างเงียบ ๆองครักษ์สี่นายเมื่อกลับถึงเมืองจ้วงจี พวกเขาแยกทางกับรถม้าของไท่จื่อเพื่อนำเสือกลับไปยังค่ายทหารตามคำสั่ง พวกเขายังได้รับคำสั่งให้พาพ่อครัวหลวงกับช่างฝีมือที่ติดตามขบวนมาด้วยกลับไปยังจวนไท่จื่อภายในเมือง เพราะหยางชิงหลงอยากให้ช่างฝีมือไปสอนการผลิตสิ่งของจากไม้ไผ่ให้กับชาวบ้านในหมู่บ้าน ระหว่างที่ต้องรอผลการปรับปรุงดินว่าดินแบบใดเหมาะที่จะเพาะปลูกซุนเหยาที่ขับรถม้าให้ไท่จื่อและไท่จื่อเฟยกลับไปยังจวนก็รับคำสั่งไท่จื่อเฟยให้ออกไปซื้อของส