“ทุกคนตามสบาย วันนี้ข้ามาในฐานะบุตรเขย ท่านพ่อตากับท่านแม่ยายไม่ต้องมากพิธี” มู่เลี่ยงหรงตอบด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่ม ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มน้อยๆ
“ท่านอ๋องพาพระชายากลับมาก่อนเวลา อาหารกลางวันจึงยังไม่เรียบร้อย ท่านตามพวกผู้ชายไปสนทนากันก่อน ส่วนหม่อมฉันขอพาหวางเฟยไปพูดคุยตามประสาแม่ลูกนะเพคะ” ไป๋หลันกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
“ย่อมได้” อ๋องหนุ่มพยักหน้าตอบรับ
ไป๋หลันจึงจูงมือฉินหวางเฟยไปอีกทางหนึ่งอย่างรวดเร็ว นางมีเรื่องมากมายอยากจะถามไถ่ ด้วยแท้จริงเป็นห่วงบุตรสาวที่ต้องดูแลจวนอ๋องอันใหญ่โต คงจะลำบากมากทีเดียว ส่วนพวกผู้ชายก็เชิญฉินอ๋องไปยังห้องรับรองซึ่งอยู่ไม่ไกล
บรรยากาศไม่ค่อยอึมครึมแล้ว หลังจากมู่เลี่ยงหรงแกล้งเมามายพ่ายแพ้ในงานเลี้ยงแต่งงาน เยี่ยนหยางเจวี๋ยก็ดูจะพออกพอใจ ผู้เป็นอ๋องหวังว่าวันนี้พ่อตาจะไม่ทดสอบอะไรเขาอีก
บุรุษทั้งสี่สนทนากันอย่างออกรส แม่ทัพใหญ่รู้สึกทึ่งบุตรเขยอยู่ไม่น้อย ฉินอ๋องมีความรู้กว้างขวาง แม้แต่เรื่องรบทัพจับศึกก็เชี่ยวชาญ ต่างจากที่ตนคิดเอาไว้อย่างมาก เขานึกว่าอ๋องผู้นี้คงดีแต่ใช้อำนาจบาตรใหญ่ไปวันๆ ที่ได้ตำแหน่งสำคัญมาก็คงอาศัยพระบารมีของฮ่องเต้ แต่ดูเหมือนตนจะมองผิดไปโข เยี่ยนหยางเจวี๋ยจึงคิดจะทดสอบบุตรเขยอีกสักครั้ง เขาหันไปสั่งพ่อบ้านใหญ่สองสามคำ จากนั้นไม่นานกระบะทรายก็ถูกยกเข้ามาในห้อง
“นี่คือค่ายกล กระหม่อมคิดอยู่นานแล้วก็ยังแก้ไม่ได้ ท่านอ๋องจะลองดูสักหน่อยหรือไม่”
“ขนาดท่านพ่อตากับรองแม่ทัพอย่างพี่เขยยังแก้ไม่ได้ ข้าเป็นเพียงขุนนางฝ่ายบุ๋นธรรมดา ไม่เชี่ยวชาญกลศึกขั้นสูง เกรงว่าจะทำขายหน้าเสียเปล่าๆ” มู่เลี่ยงหรงไม่ทราบเจตนาของเยี่ยนหยางเจวี๋ยจึงออกตัวไว้ก่อน เกรงว่าหากตนเองแสดงความสามารถ หรือโอ้อวดจนเกินไปอาจจะถูกพวกเขาเขม่นเอาได้
“ท่านอ๋องลองแก้ดูเถิด ถ้าไม่ได้จริงๆ ก็ไม่เห็นจะเป็นไร ค่ายกลของจิ้นหลิง ถ้าแก้ได้ง่ายๆ กระหม่อมคงต้องให้บุตรชายปลดประจำการไปเลี้ยงหมู” แม่ทัพใหญ่พูดพลางหัวเราะ สีหน้าท่าทางดูเป็นกันเองกว่าครั้งก่อนๆ จึงทำให้มู่เลี่ยงหรงคลายใจลงหนึ่งส่วน
“อืม...ก็ได้ ข้าจะลองดู”
มู่เลี่ยงหรงเดินเข้าไปใกล้กระบะทราย พิจารณาสภาพแววล้อมและการวางกำลังพล เขาพยักหน้าหลายครั้ง ในใจก็ชื่นชมเยี่ยนจิ้นหลิง ค่ายกลนี้ยากจะตีต้านออกมาได้ หากข้าศึกถูกล้อมคงพ่ายแพ้เป็นแน่
ทว่าไม่ใช่ไม่มีหนทาง
มู่เลี่ยงหรงเอื้อมมือไปขยับสัญลักษณ์ในกระบะทรายไปมาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มพอใจกับตนเอง
เยี่ยนจิ้นหลิงเห็นรอยยิ้มน่าหมั่นไส้ของมู่เลี่ยงหรงจึงรีบเดินเข้ามาดู กุนซือหนุ่มถึงกับคิ้วกระตุก อีกฝ่ายแก้ค่ายกลนี้ได้ในเวลาอันรวดเร็ว พี่ใหญ่ผู้เก่งกาจของเขายังใช้เวลานานกว่านี้เลย ถึงจะนานกว่าแค่ครึ่งถ้วยชาก็เถอะ แบบนี้เขาไม่ต้องถูกบิดาส่งไปเลี้ยงหมูจริงๆ หรอกหรือ
แต่เจ็บใจก็ส่วนเจ็บใจ ยังไงก็ต้องยอมรับผล เห็นทีเขาต้องพัฒนาวิธีวางค่ายกลแบบใหม่ๆ เสียแล้ว
“ท่านอ๋องปรีชายิ่ง จิ้นหลิงแพ้แล้ว”
“ความจริงค่ายกลนี้ล้ำลึกยิ่งนัก หากข้าศึกต้องตกอยู่ในวงล้อมคงมีเวลาไม่มากเท่าใดที่จะหนีรอด ส่วนตัวข้ามีเวลาพิจารณาตั้งนานสองนานจึงจะสามารถแก้กลได้ หากข้าต้องอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้จริงๆ เห็นทีจะต้องเสียกำลังพลไปกว่าครึ่ง อย่างดีที่สุดคงทำได้เพียงเอาชีวิตรอดออกมาก่อนที่จะถูกพวกท่านสังหารหมดเท่านั้นเอง”
มู่เลี่ยงหรงถ่อมตน พยายามไม่โอ้อวดตนเองจนเกินไปนัก จุดประสงค์ของเขาคือการผูกสัมพันธ์อันดีระหว่างสองตระกูล หากไคกั๋วกงยืนอยู่ข้างเดียวกับตนย่อมส่งผลดีต่อราชบัลลังก์ของพระเชษฐามากกว่า
หลายเดือนที่ผ่านมามู่เลี่ยงหรงส่งคนไปตรวจสอบตระกูลเยี่ยนอย่างละเอียด นอกจากดูแลรักษาเมืองชายแดนอย่างแข็งขันแล้ว พวกเขาก็ไม่เคยติดต่อกับกลุ่มอำนาจอื่น หลักฐานต่างๆ ชี้ว่าตระกูลเยี่ยนเป็นขุนนางภักดีอย่างมิต้องสงสัย อีกทั้งทายาทของแม่ทัพใหญ่ก็เป็นผู้มีความสามารถโดดเด่น แทนที่จะตั้งแง่เพราะเรื่องบาดหมางกับจิ้งจอกสีเงิน สู้ดึงพวกเขามาเป็นแขนขาเอาไว้ต่อกรกับศัตรูภายนอกเสียยังดีกว่า
“นึกไม่ถึงว่าท่านอ๋องจะเก่งกาจถึงเพียงนี้” เยี่ยนหยางเจวี๋ยหัวเราะดังสนั่น นานๆ ทีจะพบคนที่ทำให้บุตรชายคนรองคิ้วกระตุกได้
มู่เลี่ยงหรงไม่ได้พูดอะไรเพียงอมยิ้มเล็กน้อย เขาหันไปมองคู่ปรับทีหนึ่ง เมื่อสายตาผสานกัน บุรุษผู้สูงศักดิ์ก็ยักคิ้วยียวนอีกฝ่าย อย่างน้อยนี่ก็เป็นการกู้หน้าของตนคืนมาได้บ้างหลังจากถูกกุนซือหนุ่มปั่นหัวมาหลายเดือน เยี่ยนจิ้นหลิงเห็นทางยียวนนั้นก็หงุดหงิดเล็กน้อย แต่ไม่ได้โกรธขึ้งน้องเขยผู้สูงศักดิ์แต่อย่างใด กลับพอใจด้วยซ้ำที่นานๆ ครั้งจะมีคนทันเล่ห์กลของเขา
ฉินอ๋องมากความรู้ความสามารถถึงเพียงนี้ ฮ่องเต้ถึงได้ไว้วางพระทัยพระอนุชาเป็นหนักเป็นหนา ภายใต้ใบหน้าที่เย็นชากลับมีไฟร้อนแรงซุ่มซ่อนพร้อมแผดเผาทุกคนที่เขาสัมผัสได้ทุกเมื่อ ด้วยระดับสติปัญญา ความเฉียบขาด รวมไปถึงข่าวลือเกี่ยวกับการจัดการศัตรูของมู่เลี่ยงหรงแล้ว ‘พยัคฆ์เคียงบัลลังก์’ คงไม่ใช่ฉายาที่ตั้งเอาไว้ข่มขวัญศัตรูเล่น ๆ
เวลาผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม พ่อบ้านใหญ่ก็เข้ามาแจ้งว่าสำรับอาหารถูกจัดเตรียมเรียบร้อยแล้ว แม่ทัพใหญ่จึงนำทางฉินอ๋องและบุตรชายทั้งสองไปยังห้องโถงรับรอง
เมื่อบุรุษทั้งสี่เดินทางมาถึงก็พบกว่าไป๋หลันกับเยี่ยนเยว่ฉียืนรออยู่ก่อนแล้ว ตามศักดิ์ฐานะ เยี่ยนหยางเจวี๋ยต้องสละที่นั่งประธานให้มู่เลี่ยงหรง แต่อ๋องหนุ่มกลับปฏิเสธ เขานั่งลงในตำแหน่งที่นั่งสำหรับแขกพร้อมกับพระชายา ทำให้แม่ทัพใหญ่รู้สึกถูกชะตาบุตรเขยขึ้นทุกขณะ
บนโต๊ะมีอาหารมากมายหลายอย่าง ทุกจานล้วนถูกปรุงขึ้นอย่างพิถีพิถัน มู่เลี่ยงหรงใส่ใจคีบกับข้าวให้เยี่ยนเยว่ฉี ทั้งสองพูดคุยยิ้มหัวกันอย่างสนิทสนมกลมเกลียว ท่าทางเอาใจใส่ของมู่เลี่ยงหรงทำให้เยี่ยนหยางเจวี๋ยแทบจะน้ำตาไหล ที่แท้บุตรสาวก็มีความสุขมาก ไม่ได้รู้สึกฝืนทนแต่อย่างใด เขาจึงวางใจ
‘คืนนี้ข้าคงหลับสบายไม่ต้องกังวลอีกแล้ว’
ระหว่างบิดากำลังปลื้มอกปลี้มใจ เยี่ยนเยว่ฉีคีบอกไก่น้ำข้นมาชิ้นหนึ่งแล้วยื่นจ่อปากสามี
“ท่านอ๋องเอาแต่คีบให้ข้า ท่านก็กินบ้างสิ”
“อกไก่น้ำข้นนี่รสดียิ่งนัก คล้ายกับที่เคยได้กินในวังหลวงเลย ข้าชักอยากรู้จักแม่ครัวของจวนนี้แล้วสิ” อ๋องหนุ่มเคี้ยวอาหารอย่างอย่างมีความสุข รู้สึกว่าไก่รสชาติดีกว่าทุกวัน
“ย่อมแน่อยู่แล้ว ท่านแม่ของข้าเป็นถึงทายาทตระกูลไป๋เชียวนะ”
“หืม เจ้าอย่าบอกนะว่าท่านแม่ยายเป็นเชื้อสายตรงกับพ่อครัวหลวง” มู่เลี่ยงหรงขมวดคิ้ว นี่เขามัวแต่ตรวจสอบบิดากับพี่ชายทั้งสองของภรรยา แต่กลับไม่เคยคิดตรวจสอบเรื่องของฮูหยินแม่ทัพใหญ่เลย
“ท่านตาของเยว่ฉีก็คือไป๋เฟยซา หนึ่งในสามหัวหน้าอี้ว์ซั่นฝาง[1] ของวังหลวงยังไงเล่าเพคะ”
[1] อี้ว์ซั่นฝาง หมายถึง ห้องเครื่อง(ครัว)ที่ใช้ปรุงอาหารในวังหลวง
“กระหม่อมผิดไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ” จิวจื่อคุกเข่าโขกศีรษะกับพื้นเสียงดังปึ้ก แต่ฉินหวางเฟยไม่แม้แต่จะมองดู“พอเถิด หากเจ้าตายอยู่ตรงนี้ เกรงว่าท่านอ๋องจะต้องเสียเวลาหาคนมาทำงานแทน” เยี่ยนเยว่ฉีพูดเปลี่ยนท่าทีกลับไปเป็นสบายๆ ดังเดิม“ขอบพระทัยหวางเฟยที่ทรงเมตตาพ่ะย่ะค่ะ”“เรารู้ว่าเจ้าเป็นคนฉลาด จิวจื่อ...” น้ำเสียงหวานปานระฆัง ทว่ากลับทำให้ผู้ฟังรู้สึกเย็นยะเยือกจนขนลุกหลังจากนั้นจิวจื่อก็รีบรายงานถึงสิ่งที่พระชายาฉินอ๋องต้องการรู้ทั้งหมดอย่างไม่อิดออด เขาถึงออกมาจากห้องหนังสือในเรือนจันทราได้ ครานี้พ่อบ้ายหนุ่มซาบซึ้งแล้วว่าบุตรสาวแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นไม่ใช่สตรีอ่อนแอทั่วไป ที่แท้ก็คือนางเสือดีๆ นี่เองในที่สุดพ่อบ้านใหญ่จวนฉินอ๋องก็ลงความเห็นว่าหวางเฟยเหมาะสมกับท่านอ๋องราวกิ่งทองใบหยกวันนี้เองเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ ในราชสำนักมีการเปลี่ยนแปลงโยกย้ายตำแหน่งขุนนาง จอหงวนทั้งฝ่ายบู๊และบุ๋นได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ รวมไปถึงเยี่ยนหยางจงที่ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งแม่ทัพ คุมกองทัพพยัคฆ์ภายใต้ธงสัญลักษณ์ของฉินอ๋อง ยามนี้จึงเป็นที่รับรู้โดยทั่วกันว่าตระกูลเยี่ยนมีอำนาจมั่นคงแข็งแกร่งจึงมีขุนนางมากมายพ
มู่เลี่ยงหรงลงความเห็นว่าซูจิ้งอาจพบเห็นคนร้ายที่กำลังทำร้ายนางกำนัลซุน คนร้ายจึงคิดแผนสร้างความวุ่นวายเพื่อจะได้มีเวลาหนีออกจากจวน จนทำให้เกิดเรื่องน่าเศร้าขึ้น ซิ่นเฉิงย้อนคิดถึงวันวานจึงได้เข้าใจการกระทำของเยี่ยนจิ้นหลิงทั้งหมด ที่บุรุษผมสีเงินกีดกันเขาให้ห่างไกลจากซูจิ้งคงเป็นเพราะล่วงรู้ลิขิตสวรรค์ ว่านางต้องตายด้วยน้ำมือของตนหากทั้งสองไม่ดื้อดึงที่จะคบหากัน หญิงสาวคงไม่ต้องไปที่เรือนพัก และคงไม่ถูกเขาสังหาร“จิ้งเอ๋อร์ ข้าขอโทษที่ทำร้ายเจ้า ชาตินี้ทั้งชาติข้าจะมีเจ้าเป็นภรรยาเพียงคนเดียว หากชาติหน้ามีจริงขอให้เราสองคนได้กราบไหว้ฟ้าดิน อยู่กินกันจนแก่เฒ่า ยามนี้เจ้าจากไปก่อน แต่อีกไม่นานหรอก อีกไม่นาน ข้าจะตามเจ้าไป”ชายหนุ่มนั่งคร่ำครวญอยู่หน้าหลุมศพหญิงอันเป็นที่รักท่ามกลางลมหนาวที่พัดผ่าน...หลังเกิดเหตุร้ายในจวนฉินอ๋อง การรักษาความปลอดภัยก็เข้มงวดมากขึ้น ผู้คนที่มาค้าขายหรือติดต่องานล้วนถูกตรวจตราอย่างละเอียด แม้แต่คนในก็มีกฎห้ามไม่ให้เดินไปไหนมาไหนเพียงลำพัง บรรยากาศยังคงรายล้อมไปด้วยความตึงเครียดเยี่ยนเยว่ฉีขมวดคิ้วเมื่ออ่านรายงานของพ่อบ้านใหญ่ เนื่องจากตรวจพบว่ามีการเ
ฉับพลัน เสียงกรีดร้องของหญิงสาวก็ดังออกมาจากในเรือนพักอันมืดมิด ซิ่นเฉิงหัวใจหล่นวูบเมื่อคิดว่าคนรักกำลังมีอันตราย ผู้ใดกันกล้าเข้าไปทำร้ายนางถึงในเรือนพักหัวหน้าองครักษ์ของฉินอ๋องช่างไม่กลัวตายชายหนุ่มพุ่งตัวไปที่ประตูแล้วใช้เท้าถีบเต็มแรง เมื่อเข้าไปก็แลเห็นคนร้ายคลุมหน้าในชุดสีดำกำลังยืนหันหลังให้เขาในความมืด ในมือถือดาบยาวเล่มหนึ่ง ส่วนที่พื้นมีร่างของผู้หญิงนั่งกรีดร้องด้วยความตกใจ ในขณะที่คนร้ายกำลังยกดาบขึ้นนั้น ซิ่นเฉิงทะยานเข้าไป ง้างมือแล้วฟันกลางหลังคนในชุดดำทันที“กรี๊ดดด...” เสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดของคนร้ายกลับละม้ายเสียงร้องของซูจิ้งไม่มีผิด ซิ่นเฉิงจึงรีบถลาเข้าไปเปิดผ้าคลุมหน้าของคนในชุดดำที่ล้มอยู่บนพื้น แสงสลัวจากคบไฟที่นอกหน้าต่างสะท้อนใบหน้าหญิงคนรัก“จิ้งเอ๋อร์! ไม่...ไม่จริง เป็นเจ้าได้อย่างไร” ความตระหนก หวาดหวั่น และความเสียใจถาโถม มือของซิ่นเฉิงสั่นเทา ใบหน้าบิดเบี้ยว ไม่อยากจะเชื่อว่าเขาลงมือทำร้ายคนรักของตนเอง“พะ...พี่เฉิง” ซูจิ้งพูดเสียงเบาจนแทบไม่ได้ยิน “ตะ...ตาม...หะ...หวาง...” เสียงของนางเริ่มขาดห้วง“อะไรนะ หวาง...หวางเฟยหรือ” เขาถามย้ำ ซูจิ้งใ
การเดินทางอันยาวนานสิ้นสุดลง ฉินอ๋องกับหวางเฟยกลับมาถึงเมืองหลวงอย่างปลอดภัยครั้นกลับมาถึงจวน มู่เลี่ยงหรงตะลีตะลานเขียนรายงานเรื่องพระชายาเอกตั้งครรภ์แล้วให้คนนำไปใหไทเฮา ส่วนตัวเองรีบแต่งกายเข้าวังไปพบฮ่องเต้เพื่อกราบทูลเรื่องนี้โดยตรงเมื่อทราบข่าว ไทเฮาจึงไม่มีเหตุให้ส่งหญิงงามเข้าจวนฉินอ๋องเพิ่ม หนำซ้ำยังรับปากกับเขาว่าหากเยี่ยนเยว่ฉีคลอดซื่อจื่อได้ พระนางจะไม่เข้าไปยุ่มย่ามเรื่องเรือนหลังของจวนฉินอ๋องอีก ทำให้ความตึงเครียดของสองสามีภรรยาลดน้อยถอยลงอย่างมากวันรุ่งขึ้น ข่าวลือเรื่องฉินอ๋องไปขอบุตรไกลถึงเมืองเวิ่นเซียนจนได้ผล ตอนนี้ฉินหวางเฟยที่ตั้งครรภ์แล้ว ก็ดังไปทั่วเมืองหลวง ครั้นพบท่านอ๋องเหล่าขุนนางต่างเข้ามากล่าวแสดงความยินดีเมื่อชาวบ้านเข้าใจว่าการไปขอพรกับหินศักดิ์สิทธิ์ได้ผลจริงๆ บรรดาตระกูลที่ยังไม่มีบุตรชายสืบทอดก็แห่แหนกันไปยังเมืองเวิ่นเซียน ส่วนบ่อนการพนันต่างๆ ก็เริ่มเปิดรับแทงเรื่องฉินอ๋องจะได้บุตรชายหรือบุตรสาวแล้ว ห้องหนังสือ จวนฉินอ๋องมู่เลี่ยงหรงคิดว่าต้องรีบสะสางงานเป็นการใหญ่ แต่สิ่งที่พบทำให้เขาค่อนข้างแปลกใจ เพราะเอกสารไม่ได้กองท่วมโต๊ะอย่างที่คิดเอาไว
“เพราะข้าเคยคิดแบบเจ้ามาก่อนยังไงล่ะ ซึ่งความคิดแบบนี้มันเป็นหายนะชัดๆ รู้หรือไม่เล่าว่าบุรุษขี้เบื่อมากเพียงใด หากเรายังเอาแต่อายสุดท้ายเขาจะไปมีอนุ ด้วยเหตุนี้ภรรยาเอกอย่างพวกเราจึงต้องหาวิธีรับมือ” เยี่ยนเยว่ฉีทำหน้าจริงจัง “ไว้ข้าจะสอนเจ้าเอง”“หวางเฟยได้โปรดชี้แนะบ่าวด้วย” ซูจิ้งถึงกับคุกเข่าคารวะ“วางใจได้ รับรองว่าพ่อองครักษ์เนื้อหอมไปไหนไม่รอดแน่” ระหว่างที่นายบ่าวกำลังสนุกสนานกับการอ่านหนังสือนิยายเล่มนั้น มู่เลี่ยงหรงที่เตรียมตัวแจ้งข่าวเรื่องการตั้งครรภ์ของนางก็เดินเข้ามาในห้อง เขามั่นใจว่าตอนนี้กลิ่นกายของเขาสะอาดดี แม้แต่แม่เสือก็อิ่มแล้วด้วยคงจะยังไม่แผลงฤทธิ์มู่เลี่ยงหรงหย่อนกายลงนั่งข้างๆ เยี่ยนเยว่ฉี เมื่อเห็นว่านางไม่มีท่าทีขยะแขยงตนเองอย่างเมื่อเช้าก็เบาใจ เขาค่อยๆ ดึงนางเข้ามากอดพร้อมจุมพิตที่พวงแก้ม“อ้ายเฟย อารมณ์ดีขึ้นแล้วใช่หรือไม่”“อืม ข้ารู้สึกดีขึ้นนิดหน่อยแล้ว” ความจริงแล้วเยี่ยเยว่ฉีรู้สึกรำคาญอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เท่าเมื่อเช้า จึงไม่โวยวายและปล่อยให้เขาง้องอนอย่างเต็มที่ เพราะก็รู้สึกผิดอยู่บ้างที่อาละวาดขว้างปาข้าวของ“ข้ามีข่าวดีจะบอกเจ้า”“หากเป็นเรื
นางโมโหที่กินเต้าหู้ไม่อิ่ม มิหนำซ้ำยังเหม็นขี้หน้าสามียิ่งนัก“เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรือ หยุดเดี๋ยวนี้นะ” มู่เลี่ยงหรงตวาด ขณะที่ตัวเองพยายามเอามือปัดข้าวของออกไป“ข้าไม่หยุด จนกว่าท่านจะออกไป” เยี่ยนเยว่ฉีลงจากเตียงได้ก็วิ่งไปยังกองข้าวของที่ถูกเตรียมเอาไว้สำหรับการเดินทางในวันพรุ่งนี้ นางเดินลมปราณแล้วจัดการซัดทุกอย่างออกไปอย่างไม่บันยะบันยัง“ให้ตายเถอะ เจ้าเลิกโมโหสักที” มู่เลี่ยงหรงโกรธก็จริง แต่กลับเริ่มรู้สึกหวาดกลัวความเปลี่ยนแปลงอย่างกระทันหันนี้มากกว่า หรือว่าภรรยาของเขาจะโดนผีป่าสิง‘ให้ตายเถอะ เยี่ยนจิ้นหลิงก็ไม่อยู่ที่นี่ แล้วใครจะไล่ปีศาจให้นางเล่า’เยี่ยนเยว่ฉีที่กำลังอาละวาดเริ่มรู้สึกหมดเรี่ยวแรง นางหยุดขว้างปาทุกสิ่งเพราะรู้สึกเวียนศีรษะ ภาพที่เห็นก็เริ่มลางเลือนจนท้ายที่สุดสติก็ดับวูบ มู่เลี่ยงหรงปราดเข้าไปรับร่างบางเอาไว้ได้ทัน รีบอุ้มนางกลับไปที่เตียงด้วยความเป็นห่วงอย่างสุดแสน จากนั้นจึงตะโกนเรียกเหล่านางกำนัลให้มาจัดการเก็บข้าวของ และให้ไปตามหมอหลวงมา“เสี่ยวเยว่ ข้าขอโทษที่ยั่วโมโหเจ้า อย่าเป็นอะไรไปนะ” มู่เลี่ยงหรง กอดเยี่ยนเยว่ฉีไว้ไม่ปล่อย เขาพึมพำเรียกนางไม่หย