อันเฟยตกใจจนตั้งตัวไม่อยู่ นางเผลอตะโกนถามเขาอย่างไม่พอใจ เรื่องนี้ควรต้องแจ้งนางล่วงหน้ามิใช่หรือเหตุใดเขาจึงบอกกะทันหันเช่นนี้กัน
“เหตุใดจึง….”
“ข้าตัดสินใจแล้ว เปลี่ยนแผนนิดหน่อย เสด็จพ่อประทานหนังสือหมั้นหมายมาแล้ว เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่จวนนี้ ไปอยู่ที่จวนข้าได้แล้ว”
“แต่ว่า พิธีสมรสมิได้จะมีขึ้นในขั้นต่อไปงั้นหรือ เหตุใด….”
“ข้าบอกให้ไปก็ไป เจ้าตกลงแล้วว่าจะทำตามเงื่อนไข”
“หม่อมฉันไปตกลงเมื่อใดกัน”
“ป้ายหยก”
“ท่านอ๋อง!!”
นางโกรธจนถึงที่สุดเพราะไม่นึกว่าเขาจะมาเร่งนางเช่นนี้ ท่านอ๋องเองก็พึ่งตัดสินใจเมื่อครู่นี้เองที่นางตกลงมาสู่อ้อมกอดของฮั่วเทียนอี้ เขารู้สึกเจ็บที่หัวใจแปลก ๆ ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่เคยเป็น
เขารู้สึกหงุดหงิดและไม่พอใจแต่ไม่มีเหตุผลอะไรเพราะที่เทียนอี้ทำไปก็เพราะช่วยนางเท่านั้น แต่เขาแอบเห็นสายตาของแม่ทัพหนุ่มซึ่งดูแล้วไม่น่าจะคิดกับว่าที่พระชายาของเขาเพียงน้องสาว
“ฝากปลาย่างไว้กับแมว ไม่ปลอดภัยแน่”
“อะไรนะเพคะ”
“ข้า…คือว่าวันนี้มีโองการออกมาแล้วให้อีกหนึ่งเดือนนับจากนี้จะเป็นพิธีแต่งงานแต่ก่อนหน้านี้ ข้า…จำเป็นต้องพาเจ้าไปพักอยู่ที่จวนก่อนเนื่องจากว่า…มีบางคนเริ่มสงสัย”
“สงสัยหรือเพคะ พระองค์หมายถึง…องค์รัชทายาท”
“ปึก!!”
“เจ้ารู้งั้นหรือ”
เขาวางจอกชาลง เดิมทีเขาไม่อยากเล่ารายละเอียดให้นางฟังเท่าใดนักแต่เมื่อมองจากเหตุการณ์เช่นนี้แล้วเขากลับดีใจที่นางเข้าใจโดยง่ายโดยที่เขาไม่ต้องอธิบายให้นางฟังซ้ำ ๆ เพราะนางคงจะได้ฟังจากคนในจวนแม่ทัพทั้งหมดแล้ว
“ก็มิได้รู้ในสิ่งที่ไม่ควรรู้ แค่รู้ว่าพวกพระองค์….ไม่ค่อยลงรอยกันเท่านั้น”
“เขาเริ่มสงสัยในความสัมพันธ์ของเรา และคิดว่าข้า…แค่หาตัวหลอกเพื่อไม่ให้เขาหาทางส่งคนเข้ามาในจวนของข้า”
“หม่อมฉันพอเข้าใจแล้วเพคะ ตรัสเช่นนี้แต่แรกก็เข้าใจแล้วเหตุใดต้องดุด้วยก็ไม่รู้”
“อีกเรื่องหนึ่ง”
“เพคะ เรื่องใดหรือเพคะ”
“เจ้าเป็น…พระชายาของข้าดังนั้น…ท่าทีกับบุรุษอื่น เจ้าควรเว้นระยะห่าง อย่ายุ่งเกี่ยวอีก”
“แต่หม่อมฉันแทบจะไม่รู้จักบุรุษอื่น….อ๋อ หากหมายถึงพี่ใหญ่แล้วล่ะก็ นั่นเขา…”
“เขาไม่ใช่แม้แต่พี่ชายเจ้าด้วยซ้ำไป อย่าได้ปล่อยเนื้อปล่อยตัว เจ้าลืมแล้วงั้นหรือว่าเจ้ามิได้เป็นน้องสาวแท้ ๆ ของเขา”
“หม่อมฉัน….ลืมเพคะ ก็หม่อมฉันมิได้คิดอะไรกับพี่ใหญ่นี่เพคะ”
ท่านอ๋องหยิบชาขึ้นมาจิบเพื่อปิดบังรอยยิ้มที่พอใจของตน เหตุใดเขาต้องดีใจด้วยที่นางบอกว่าไม่ได้คิดอะไรกับเทียนอี้เพราะคิดว่าเขาเป็นพี่ชายของนาง
“เช่นนั้นก็ดี ข้าไม่อยากให้….มีเรื่องเกินเลย อย่างไรเขาก็เป็นผู้ชายทางที่ดีเจ้า…อยู่ให้ห่างเขาหน่อยจะดีกว่า”
“แต่ว่าท่านอ๋องเพคะ พระองค์ก็เป็นบุรุษนี่เพคะ”
“แต่ข้าเป็นสามีของเจ้า!!….”
อันเฟยถึงกับรีบหันไปหยิบชาที่นางรินเอาไว้ยกขึ้นดื่มรวดเดียวหมดทันทีพร้อมกับรินอีกแก้วอย่างรวดเร็ว นางรู้สึกว่าใบหน้านางร้อนผ่าวและมือไม้สั่นเมื่อเขาพูดคำนี้ออกมา ท่านอ๋องเองก็พึ่งจะรู้สึกตัวและหันไปจิบชาอีกเช่นกัน
“คือ…ข้าหมายความว่า….คนทั่วไป หมายถึงผู้อื่นที่มองเข้ามา มองว่าพวกเรา…เป็นสามีภรรยาดังนั้นเจ้ากับข้า…ก็ต้อง....”
“หม่อมฉันเข้าใจแล้วเพคะ ไม่ต้องตรัสแล้วเข้าใจแล้วเพคะ”
“ข้า….ก็ตามนั้น พรุ่งนี้ข้าจะให้คนมารับเจ้า”
“พระองค์แจ้งท่านพ่อแล้วงั้นหรือเพคะ”
“ข้าจะไปแจ้งกับอาจารย์เอง ข้ามิได้โหดร้ายถึงเพียงนั้น เจ้ายังไปมาหาสู่กับจวนแม่ทัพได้ตลอดเพียงแค่ย้ายที่อยู่เท่านั้นกันผู้คนจะสงสัย”
“แต่หม่อมฉันยังมิได้สมรสเสียหน่อยเหตุใดจึงเร่งให้ไปพักที่จวนนั่นด้วยเพคะ”
“ที่จวนนั้นเป็นเพียงจวนชั่วคราว หากต้องอภิเษกจริง ๆ ต้อง….เข้าไปอยู่ตำหนักในวังหลวง”
“วังหลวง!!”
“ใช่ วังหลวง”
“ตายแน่ ๆ หากเข้าไปในวังหลวงเช่นนี้จะออกมาได้เช่นไรกัน”
“เจ้าไม่ต้องห่วงหรอก เรื่องนั้นข้าคิดเอาไว้แล้ว พวกเราไปเพียงทำพิธีส่งตัวเท่านั้น หลังจากนั้นข้าก็จะออกมาพักอยู่ที่จวนด้านนอกเช่นเดิม”
“เฮ้อ โล่งอกไปที”
“แต่อย่างไรก็ต้องอยู่ในวังอย่างน้อยเจ็ดถึงสิบวันก่อนที่จะย้ายออกมา”
“ก็ยังดีกว่าอยู่ตลอดหกเดือน แค่นั้นไม่เป็นอะไรหรอก”
“อีกอย่างข้าก็อยากให้เจ้า…ไปรู้จักกับ..พวก….สนมในจวนนั่น”
“อ้อ สนมของพระองค์หรือเพคะ”
“ข้าไม่เคยยอมรับพวกนางเสียหน่อย”
“แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้นี่เพคะ ถึงอย่างไรพวกนางก็ถูกประทานมาให้พระองค์”
“น่ารำคาญเอาเป็นว่าเจ้าเตรียมตัวเก็บของได้แล้ว ชุดเสื้อผ้าข้าจะจัดคนมาวัดตัวตัดให้เจ้าใหม่ทั้งหมด เรื่องของใช้ส่วนตัวเอาไปแค่พอจำเป็น จากนี้เรื่องของเจ้าจวนอ๋องของข้าจะเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด”
“เช่นนั้นพระองค์ต้องจ่าย….”
“มีแน่นอนเจ้าไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอก”
“เช่นนี้ค่อยคุยกันง่ายหน่อยเพคะ”
“อย่าลืมเรื่องที่ข้ากำชับเอาไว้ เรื่อง….”
“หม่อมฉันจะเก็บของให้เร็วที่สุดเพคะ”
“ไม่ใช่ เรื่อง…”
“อ้อ เพคะ หม่อมฉันจะไม่ทำเรื่องเดือดร้อนให้พระองค์จะบอกลาพี่ ๆ ให้ดีและจะแวะมาหาพวกเขาบ่อย ๆ เพคะ”
“นี่เจ้า….ช่างเถอะข้ากลับล่ะ”
“เอ่อ หม่อมฉันจะไปส่งเพคะ”
“ไม่ต้องก็ได้ เจ้ารีบไปเก็บของเถอะ”
“เช่นนั้นก็ได้เพคะ พี่ใหญ่....เหตุใดมาที่นี่เจ้าคะ”
“อันเฟย คือว่าข้าพึ่งจะทราบเรื่อง….พรุ่งนี้ข้าจะไปส่งเจ้าที่จวนท่านอ๋อง”
“ไม่ต้องหรอกเทียนอี้ ข้าจะมารับนางเองน่ะ ไม่รบกวนเจ้าดีกว่า อันเฟยตามมาสิ”
“เพคะ?? เมื่อครู่…”
“เจ้าบอกว่าจะไปส่งข้านี่ ตามมาสิ”
“เอ่อ…”
สายตาของท่านอ๋องที่จ้องกลับมาราวกับบังคับนางทำเอาผู้ที่มองอยู่รู้ได้ในทันทีว่าเรื่องนี้คงไม่ธรรมดาอย่างที่บิดาของเขาบอกเสียแล้ว
ยังไม่ทันที่อันเฟยจะก้าวออกจากจวนแม่ทัพ ท่านอ๋องก็ออกอาการหึงหวงนางเช่นนี้ ดูท่าแล้วต้องใช้เวลาอีกสักพักเพราะอันเฟยเองก็ดูแปลกใจเล็กน้อยราวกับไม่ได้รู้เรื่องว่าท่านอ๋องรู้สึกอย่างไร
“พี่ใหญ่เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน ท่านอ๋อง….อย่าดึงสิเพคะ”
“ข้ามีธุระอื่นอีกมากอย่ามัวแต่คุยอยู่ตรงนี้ รีบตามมา”
“เดี๋ยวสิเพคะ พี่ใหญ่เดี๋ยวข้ามานะเจ้าคะ”
ท่านอ๋องดึงแขนนางให้เดินไปส่งเขาที่หน้าจวน ฮั่วเทียนอี้ที่ยืนมองอยู่รู้สึกไม่ชอบใจนิดหน่อยแต่เขาเป็นท่านอ๋องและยังเป็นแม่ทัพพยัคฆ์บูรพาและกองทัพกิเลนอัคคีที่เขาสังกัดอยู่ เขาจึงต้องเกรงพระทัยบ้าง
“เจ็บ ๆ ปล่อยก่อนเถิดเพคะหม่อมฉันเจ็บไปหมดแล้ว”
ท่านอ๋องเผลอตัวและรีบปล่อยนางในทันที เขาหันมามองนาง แม้แต่ในตอนนี้เขาก็ยังไม่เคยเปลี่ยนสีหน้าจนอันเฟยเริ่มนึกแปลกใจมาก
“ท่านอ๋องเพคะ หม่อมฉันใคร่ถามว่าพระองค์จะดึงหม่อมฉันทำไมเพคะ”
“ข้าพึ่งบอกเจ้าไปเรื่องการเว้นระยะห่างกับบุรุษอื่นในฐานะพระชายา แต่นี่เจ้า…”
“หากว่าจะมีผู้ที่จะทำให้น่าสงสัยก็ตัวพระองค์เองนั่นแหละเพคะ”
“ข้าบอกแล้วว่าเจ้ามิใช่น้องสาวแท้ ๆ ของหลินอี้ เจ้าไม่มีความจำเป็นต้องสนิทสนมกับเขาถึงเพียงนี้”
“แต่คนอื่น ๆ เขาคิดว่าหม่อมฉันกับพี่ใหญ่คือพี่น้องแท้ ๆ นะเพคะ พระองค์อย่าลืมเรื่องนี้สิเพคะ”
“แต่น้องสาวคนอื่น ๆ ของเขาไม่เห็นทำเช่นเจ้าเลยสักคน!!”
“ท่านเป็นใครกันแน่นะ แล้วเหตุใดต้องบอกว่าจะได้พบกันอีก”จวนสกุลฮั่วหน้ากากลายดอกเหมยถูกวางเอาไว้ในกล่องอย่างดีก่อนที่ฮั่วหลินอีจะปิดฝาลงและเดินมานอนนึกถึงเรื่องราวในค่ำคืนนี้ช่วงที่นางเต้นรำดอกไม้ ท่วงท่าในการรำแม้ว่าจะเป็นของฉินโจว แต่บุรุษหนุ่มต่างแคว้นผู้นั้นกลับเต้นรำได้อย่างคล่องแคล่วจนน่าตกใจ“ข้าต้องบ้าไปแล้วเป็นแน่ พบกันเพียงครั้งเดียวเองนะ”วังหลวงฮั่วหลินอีรู้สึกว่ามีคนจ้องมองอยู่ที่ใดสักแห่งตั้งแต่พวกนางลงมาจากรถม้า นางสอดสายตาไปทั่วจนเงยขึ้นไปพบคนผู้หนึ่งที่รู้สึกคุ้นตาแต่ก็รีบหันหน้าหนีในทันที“เหตุใดคนผู้นั้น…”“หืม น้องสามเจ้าเป็นอะไรไป”“เปล่าเจ้าค่ะพี่รอง รีบเข้าไปด้านในกันเถอะเจ้าค่ะ”“ช่วงนี้เจ้าพูดน้อยลงนะรู้ตัวหรือไม่”“งั้นหรือเจ้าคะ ข้าก็แค่….”“เจ้ากำลังโกรธอะไรพวกข้าอยู่หรือเปล่าหลินอี”ฮั่วชิงอันมองน้องสาวด้วยความรู้สึกผิดเพราะตั้งแต่พวกนางกลับมาจากเมืองชุ่น พี่ใหญ่ก็กลับบ้านน้อยลงเพราะมัวแต่ไปเฝ้าลี่ฟางกับแม่ทัพลี่ที่หอต้าหรง ส่วนนางเองก็มีองค์ชายคุณหลิงที่มาหาที่จวนหรือไม่ก็จะไปที่จวนท่านอ๋อง แม้จะพานางไปด้วยแต่ก็ไม่ได้มีเวลาสนใจนางมากนักเกรงว่านางจะน้อย
นางโอบรอบคอของเขาเอาไว้แน่นเมื่อเขารับนางที่กำลังตกจากต้นไม้ที่นางพยายามปีนไปเก็บผลของมันแล้วพลัดตก เขาพานางมาที่ลำธารใสเพื่อล้างแผลที่แขน มือหนาค่อย ๆ ดึงแขนเสื้อนางขึ้นเพื่อล้างแผลและดึงผ้าที่ฉีกจากเสื้อของเขามาพันให้นาง“เอาพันไว้ก่อน กลับไปที่ค่ายแล้วค่อยทายาและเปลี่ยนใหม่”“ขอบคุณท่านแม่ทัพ”ลี่ฟางหันไปขอบคุณ ปากนางจึงหันไปชนแก้มของเขา แต่นางไม่อาจขยับได้เพราะนางกำลังตกใจ ส่วนฮั่วเทียนอี้นั้นรู้ใจตัวเองก่อนนางนานแล้ว เขาดึงนางออกพร้อมกับมองหน้านางที่แดงระเรื่ออีกครั้ง“อยากขอบคุณข้าจริง ๆ งั้นหรือ ข้าช่วยเจ้าครั้งนี้เป็นครั้งที่สามสิบแปดแล้วตั้งแต่ออกเดินทางมา”“ท่านนั่งนับด้วยหรือเจ้าคะ นึกไม่ถึงเลยจริง ๆ ข้า…ขอบคุณจริง ๆ เจ้าค่ะ”“เช่นนั้นข้าขอ….”เขาไม่พูดต่อแต่ช้อนหน้าขึ้นมาจูบนางในทันทีจนนางเริ่มเงยหน้ารับจูบเขา ร่างบางถูกรวบขึ้นมาและเดินออกไปจากลำธารใสในป่าที่ไร้ผู้คน ลิ้นเกี่ยวตวัดจนทั้งคู่ไม่อยากให้ผู้ใดได้พบเห็น เทียนอี้ค่อย ๆ วางนางลงที่โคนต้นไม้ที่มีพื้นหญ้านิ่ม ๆ รองรับอยู่“ลี่ฟาง….ข้าคิดว่าข้า…”“ฮั่วเทียนอี้ ท่านเอาแต่มองข้า เดินตามข้าและช่วยเหลือข้า แม้หลับตาก็รู้
“คำสั่งพิเศษงั้นหรือ นี่มันแผนอันใดกัน เหตุใดข้าต้องไปแดนใต้เพื่อขอร้องแม่ทัพลี่ด้วย อันเฟยต้องการจะทำอะไรกันแน่น้องรอง”“ข้าเองก็หารู้แผนการของนางทั้งหมดไม่เจ้าค่ะ แต่ว่าในตอนที่ไปที่หอต้าหรงและรับตรากิเลนไฟมา พวกเราต้องฟังคำสั่งนางในฐานะแม่ทัพและข้าเชื่อใจอันเฟยว่านางจะคิดไม่ผิด”“เช่นนั้นข้าก็จะไม่ถาม ในเมื่อท่านอ๋องไว้วางพระทัยให้นางถือป้ายควบคุมกองทัพ นั่นแสดงว่าท่านอ๋องมองเห็นบางอย่างในตัวนาง ชิงอันเจ้าอยู่กับนางคอยคุ้มกันไปจนถึงเมืองชุ่น อย่าลืมว่านางเป็นแม่ทัพ ต้องคุ้มกันนางอย่างดี”“พี่ใหญ่ไม่ต้องห่วง ข้าทราบแล้ว”“ข้าจะเดินทางไปคืนนี้เลย ที่เหลือฝากเจ้าด้วย”“เจ้าค่ะ พี่ใหญ่….เดินทางปลอดภัยรักษาตัวด้วย”“เจ้าก็เช่นกัน…นายกองฮั่ว”กองทัพแดนใต้“ท่านแม่ทัพ แม่ทัพฮั่วน้อยขอเข้าพบขอรับ”แม่ทัพลี่หวงผู้คุมแดนใต้ของแคว้นฉินรีบเดินออกมาต้อนรับแม่ทัพหนุ่มอย่างรีบร้อน เขาต้องยอมรับว่าฮั่วเทียนอี้เป็นแม่ทัพที่ดูน่าเกรงขามไม่ต่างกับแม่ทัพฮั่วตูผู้เป็นบิดา เมื่อเดินเข้ามาเขาเองยังต้องรู้สึกเกรงใจ“แม่ทัพฮั่ว”ฮั่วเทียนอี้หันมาและคำนับให้ลี่หวงอย่างนอบน้อมจนแม่ทัพลี่ถึงกับนับถือเขา ที่จร
เมืองชุ่นฮั่วชิงอันที่คอยดูแลอันเฟยเป็นอย่างดีทั้งคอยเปลี่ยนผ้าพันแผลให้และดูแลเรื่องอาหารการกินเป็นสิ่งที่อยู่ในสายพระเนตรขององค์ชายใหญ่แห่งหงหนานตลอดเวลา“องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ องค์หญิงมิได้ใช้หมอหลวงของหงหนานเลยพ่ะย่ะค่ะ แม่นางผู้นั้น….”“ไม่ต้องห่วงหรอกพวกนางรักกันดั่งพี่น้อง นางไม่ทำร้ายอันเฟยแน่ พวกเจ้าไปดูแลคนที่บาดเจ็บเถอะข้าจะไปดูอันเฟยหน่อย”“พ่ะย่ะค่ะ”เขาเดินเข้าไปในกระโจมของอันเฟย ด้วยความเคยชินที่เป็นพี่น้องกัน ทหารยามจึงปล่อยให้องค์ชายเข้าไปโดยไม่ทันระวัง แต่เขากลับไม่เห็นนางอยู่ในนั้นพบเพียงสตรีอีกนางที่กำลังเปลี่ยนชุดอยู่“นั่นผู้ใด”นางหันไปคว้าผ้ามาพันตัวเอาไว้ได้ทันและคว้าดาบที่ชั้นวางออกมาพร้อมกับหันมาชี้ใส่องค์ชายคุณหลิงที่ยืนตัวแข็งตกใจอยู่เพราะนึกไม่ถึงว่าบุตรสาวแม่ทัพฮั่วผู้นี้จะมีวรยุทธ์สูงเช่นนี้“องค์ชาย!!”“คือว่า…ขออภัย ข้ามาหาอันเฟยไม่คิดว่าเจ้า…จะอยู่ด้วย”เขารีบหันกลับไปเพื่อให้นางแต่งกายให้เรียบร้อย ชิงอันหน้าแดงจัดเพราะความอับอายเพราะนางไม่เคยเปลือยกายจนให้ผู้อื่นเห็นเนื้อหนังเช่นนี้มาก่อน“องค์หญิงไปเปลี่ยนชุด นางอยู่ด้านในเพคะ หม่อมฉันพึ่งทำแผลให้นางเส
เขากำชับกอดนางแน่นกว่าเดิมเมื่อนึกถึงว่าหากคลาดกันในคืนที่จับฆาตกรต่อเนื่องนั้นไป อาจจะไม่ได้พบกับนางและเรื่องทุกอย่าง เขาคงจะยังจัดการไม่ได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้หากไม่มีนางคอยช่วย“โชคดีงั้นหรือเพคะ แต่ว่าคืนที่เราพบกันที่หอต้าหรงในวันทำสัญญานั่น พระองค์ยังเป็นผู้ที่ถือดี เจ้ายศเจ้าอย่าง เย็นชาและไร้น้ำใจอยู่เลยนะเพคะ”“นั่นเพราะว่าข้า…หลังจากสูญเสียเสด็จแม่ไปและถูกหานจินซือและท่านพี่หักหลัง ข้าก็เลยไม่คิดจะไว้ใจผู้ใดอีกจึงได้แสดงออกเช่นนั้นแต่พอเจ้าเข้ามาอยู่ในจวนข้าก็มิได้เป็นเช่นนั้นแล้วมิใช่หรือ ข้าก็เริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเองจนดีขึ้น”“หากตอนนั้นพระองค์ไม่มีตัวเลือก เรื่องพระสนมทั้งสองจะเป็นเช่นไรกันนะเพคะ”“เฮ้อ….ข้าอาจจะมีสนมเพิ่ม หรือไม่คนที่ถูกฆ่าตายอาจจะเป็นข้า มิใช่พี่ใหญ่ก็ได้”“เพราะเหตุใดกันเพคะ”“เพราะว่าแผนการของหานจินซือนั้นมีมากมายเกินคาดเดา นางไม่มีทางยอมเสียตำแหน่งพระชายาองค์รัชทายาทไปโดยง่าย และอุปสรรคใหญ่ของพวกเขาก็คือข้าอย่างไรเล่า การที่นำพระสนมสองคนมามอบให้ข้า นั่นก็เท่ากับคอยหาโอกาสเพื่อจะทำร้ายข้า เพียงแต่โอกาสนั้นมาช้าเกินไป”“นึกไม่ถึงว่านางจะคิดเรื่องนี้ไว้ลึก
หลินอีถึงกับตกใจจนแทบจะดึงมือหนีแต่องค์ชายไม่ยอม เขาดึงมือนางเอาไว้พร้อมกับส่งยิ้มมาให้นาง รอยยิ้มนี้เองที่ทำให้หลินอียอมแพ้“องค์ชายเพคะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า”“ข้าแค่ถามเจ้าดู ได้หรือไม่”“พระองค์ทรงหมายถึง….”“เต้าหู้หวานที่เจ้าทำมานั่นอย่างไร มันอร่อยมากข้าขออีกชิ้นหนึ่งได้หรือไม่”“อ้อ!! ท่าน…เอ่อ ได้สิเพคะ ข้าจะ…รีบไปเอามาให้รอสักครู่เพคะ”“เอ่อ…หลินอีเจ้าไม่จำเป็นต้องลนลานขนาดนั้น ข้าทำให้เจ้ากลัวงั้นหรือ”“หม่อมฉันมิได้ลนลานแค่อยากจะ…”นางไม่ทันรู้ว่าเขาเดินตามมาเมื่อจะหันไปตอบกลับหันไปชนเข้ากับแก้มที่มีลักยิ้มของเขาเข้า ท่าทางของจิ่น หยางเองก็ตกใจไม่น้อยเมื่อถูกแก้มของนางชนเข้าอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว เขาคว้ารอบเอวนางเอาไว้ได้ก่อนที่นางจะเซล้ม“เต้าหู้นี้…ก็อร่อยนะ”เขาสูดลมหายใจเข้าเต็มที่พร้อมกับขยับปากมาใกล้ ๆ นาง วันนี้เขาคิดว่าเขาเองก็รุกหนักพอสมควรทั้งตอนที่ไหว้พระในวัดและเดินจับมือนางเดินในตลาดหน้าเมือง ซื้อปิ่นปักผมและมุกประดับสวมให้นาง แต่หลินอีที่ไม่เคยถูกบุรุษใดเกี้ยวมาก่อนจึงทำตัวไม่ถูก“ขอชิมได้หรือไม่”“องค์ชายเพคะ นี่มันออกจะ….”มีหรือที่เขาจะทนไหวเมื่อได้อยู่ใกล้นา