Home / วาย / บัญชารักคุณหลวง / เรื่องเล่าจากปากน้องเขย

Share

เรื่องเล่าจากปากน้องเขย

Author: jalix-ren
last update Last Updated: 2025-05-17 22:34:36

ค่ำคืนนั้น ภายในโรงเหล้าริมน้ำที่อบอวลไปด้วยกลิ่นควันซิการ์ผสมกลิ่นเหล้าราคาถูก เสียงหัวเราะกร่างของชาววิลาทผิวขาวนัยน์ตาสีซีดแทรกผ่านเสียงคลื่นกระทบตลิ่ง กลายเป็นฉากหน้าของแผนการสกปรกที่ถูกขีดเขียนขึ้นจากหัวใจที่เต็มไปด้วยความเจ็บแค้นอันลึกซึ้ง

หลวงวิษณุ หรือที่พวกฝรั่งนิยมเรียกสั้นๆ ว่า "ณุ" นั่งประจันหน้ากับพวกมันอย่างสงบ เส้นเลือดใต้ผิวตึงแน่นขณะที่ใบหน้านั้นยังคงเรียบเฉย ดวงตาฉายแววเอือมระอาแต่แฝงความแน่วแน่ไว้ลึกๆ เขาจิบเหล้าฝาดกลิ่นด้วยท่าทีสุขุม ขัดแย้งกับเสียงอึงอลของเหล่าพ่อค้าต่างชาติที่กล่าวอ้างว่าเป็น “มิตรแท้แห่งสยาม” ทั้งที่พูดภาษาสยามได้กระท่อนกระแท่นเสียจนฟังไม่รู้เรื่อง

> “หลวงพิชิตเดโช ตายแล้วจริงหรือ?”

เสียงหนึ่งถามขึ้น พลางส่งยิ้มเย้ยหยัน

วิษณุพยักหน้าช้าๆ ไม่เอ่ยคำใด เสียงหัวเราะของพวกมันจึงระเบิดขึ้นทันที

> “ทำการค้ากับคุณหลวงนี่ ช่างดียิ่งนัก!”

เสียงแก้วกระทบกันดังกังวาน แต่ภายใต้ท่าทีเฉยเมยของวิษณุ สิ่งหนึ่งกลับคุกรุ่นอยู่ในอก

"ถ้าข้าได้ตำแหน่งนั้นเมื่อใด...ก็หมดเวลาของมัน" เสียงหลวงวิษณุต่ำพร่าพลางหัวเราะหยัน เขายกถ้วยเหล้าขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมด แล้วฟาดถ้วยลงบนโต๊ะ

เสียงหัวเราะหื่นห่าของชายทั้งวงดังขึ้นอีกระลอก

"นังปิ่นแก้วนั่นก็ยังเชื่องเหมือนเดิม" วิษณุกล่าวยิ้มเยาะ

"ดีเสียอีก ข้าจะใช้ให้มันช่วยเปิดทางเข้าวัง ส่วนเจ้า...จัดการกับไออินที อย่าให้หลุดรอด"

เสียงขำอย่างกับคนบ้าดังขึ้นอีกครั้งภายในวงเหล้า ควันจากยาสูบลอยฟุ้งเคล้ากับกลิ่นเหล้าหมักคลุ้งจนแทบจะกลืนบรรยากาศรอบข้างให้คลุ้งมืดมัวไปหมด

ความจริงที่ไม่มีใครล่วงรู้ ว่าหลวงพิชิตเดโช ยังไม่ตาย เปรม...ยังมีชีวิต และเขาเป็นคนนำตัวคุณหลวงหลบซ่อนอยู่ในเรือนของตน มันคือความลับที่อันตราย และขมขื่นในคราเดียวกัน

เปรม ชายผู้เปรียบเสมือนญาติ เป็นเงาเงียบในความทรงจำ และเป็นเจ้าของหัวใจเขาตั้งแต่ครั้งเยาว์วัย แต่ไม่เคย... ไม่เคยเลยที่เปรมจะแลเขาด้วยแววตาเช่นเดียวกับที่มอง “อิน”

อิน... ทาสหนุ่มต่ำต้อย ที่จู่ๆ ก็กลายเป็นทุกสิ่งในสายตาเปรม

> “เพียงเพราะมันเป็นทาส? หรือเพราะมันเป็นใครก็ได้ที่ไม่ใช่ข้า?”

เขาถามตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าในคืนที่ความเงียบกัดกินหัวใจ แม้จะพยายามเท่าใด วิษณุกลับกลายเป็นเพียงฉากหลังของความทรงจำ แม้จะถึงขั้นแต่งงานกับ “แม่ปิ่นแก้ว” น้องสาวของเปรม หวังจะได้ใกล้เงาเงียบของคนที่หลงใหล แต่สุดท้าย... ก็หลอกตัวเองไม่ได้

ใบหน้าของปิ่นแก้ว แม้จะละม้ายเปรม แต่ไม่ใช่และไม่มีวันใช่ ความรักที่ถูกจารีตตราหน้าว่าผิด ความปรารถนาที่ถูกกักขังจนบิดเบี้ยว ได้หลอมรวมเป็นไฟแค้นเงียบงันที่แผดเผาในอก

เมื่อพวกกัปตันวิลาทเสนอแผนลักลอบค้าอาวุธ วิษณุจึงยื่นมือ ไม่ใช่เพราะโลภแต่เพราะหัวใจของเขาถูกเหยียบย่ำ

> "หากข้าช่วยเปิดทาง..." "พวกมันจะตอบแทนด้วยการกำจัดอิน—และให้ข้ามีเปรม ไม่ว่าในสภาพไหนก็ตาม"

มันคือแผนการที่แปดเปื้อนด้วยความรัก ความเคียดแค้น และความพังทลายของศีลธรรม คืนนี้ ณ โรงเหล้าแห่งนี้... หลวงวิษณุได้กลายเป็นปีศาจที่ยิ้มอย่างสง่างามในเปลวเพลิงนรกของตนเอง

ในความทรงจำที่ไม่เคยเลือนหาย

วิษณุยังจำเสียงหัวเราะของเด็กชายสองคนที่เคยวิ่งเล่นในลานกว้างกลางเรือนหลวงได้ดี เขาและเปรม สองเงาที่เคยสอดประสานเป็นหนึ่งเดียวในทุกห้วงยาม วิษณุเคยคิดว่าเขาคือ “คนสำคัญ” เพียงหนึ่งเดียวของเปรม

แม้เปรมจะเป็นคนเงียบขรึม เจ้าระเบียบ และไม่เคยแสดงความรู้สึกจริง ๆ ออกมาให้เห็น แต่ในดวงตาคู่นั้น ในทุกครั้งที่เปรมเหลียวมองเขา วิษณุก็ยังอยากเชื่อว่าตนมีความหมาย

กระทั่งวันนั้น วันที่เปรมร่องเรือไปกับบิดาในแม่น้ำใหญ่ท่ามกลางบรรยากาศสงบเย็น ศัตรูของบิดากลับซุ่มโจมตีเปรมที่ยังเป็นเพียงเด็ก ไม่อาจปกป้องตัวเองได้ทัน และเด็กชายอีกคน อิน ในวัยเด็กที่อายุน้อยกว่าพี่เปรมตั้งหลายปี ร่างเปื้อนฝุ่น ผิวคล้ำต่ำศักดิ์ แต่ดวงตาใสซื่อกลับกล้าหาญเกินตัว เขากระโจนเข้ามาขวางดาบที่ฟาดลง พาวิ่งหนีสุดแรงเกิดเพื่อช่วยชีวิตเปรมไว้

วันนั้น บิดาของเปรมสิ้นใจคาเรือ แต่ในโลกที่พังครืนลง เปรมกลับมีแสงเล็ก ๆ ที่ชื่อ “อิน”

อินที่ทำให้เปรมผู้เคร่งขรึม เจ้าระเบียบ และไม่เคยยิ้มกลับมีชีวิตชีวาขึ้นมาทีละน้อย จนวิษณุไม่อาจหลอกตัวเองได้อีกต่อไป

เขามองเห็นมัน เห็นว่าตำแหน่งที่เคยเป็นของเขา ถูกแทนที่แล้ว

> “ข้าจึงต้องกำจัดมันไป ให้พ้นทาง"

เขาเสนอเงิน แลกตัวอินไปขายในตลาดทาสไม่ใช่เพราะใจร้าย แต่เพราะอยากทวงพื้นที่ข้างกายเปรมคืน

แต่นั่นไม่ใช่ชัยชนะ เปรมไม่ได้กลับมาหาเขา หากแต่กลายเป็นเพียงเงามืดที่ไม่มีใครเข้าถึงได้อีกเลย เขาเฝ้าทำดี อ่อนโยน ประจบสอพลอทุกวิถีสุดท้ายก็แต่งกับปิ่นแก้ว หวังเพียงให้ตนเองมีข้ออ้างได้อยู่ใกล้

แล้ววันหนึ่ง อินก็กลับมา ยังมีชีวิต แข็งแรง ยิ้มแย้ม ราวกับไม่เคยเจ็บ และเปรม... ก็กลับมายิ้มอีกครั้ง

ยิ้มในแบบที่ไม่เคยมอบให้ใครนอกจากอิน

แววตานั้น ฆ่าวิษณุให้ตายไปทีละนิดอินกลับมาในฐานะเจ้าของหัวใจที่เขาไม่เคยได้ครอบครอง

และเขารู้ดีว่า ครั้งนี้...

จะไม่มีการไถ่บาปอีกต่อไป

เขาเลยคิดแผนเป่าหู จัดการเข้าไปเป็นตัวกลางแทรกระหว่างทั้งคู่ โดยการตีเนียนสนิทสนมกับบ่าวอย่างอิน ที่พูดน้อยและมักจะมีท่าทีที่ดูระมัดระวังอยู่เสมอ

" เจ้ารู้หรือไม่ ว่าคุณพี่เปรมมองเจ้าเช่นไรอิน " น้ำเสียงเย้ยหยันของวิษณุคอยพูดกรอกหูอินอยู่เสมอทุกคราที่พบหน้า

" ข้าดูก็รู้ว่าเจ้า รักนายตัวเองมากกว่าแค่การจงรักพักดี "

" แต่ใครจะรู้ว่าถ้า เจ้าได้สบหวังกับนายเข้าจริง คนที่จะกลายเป็นขี้ปากคนคือนายของเจ้า "

" เช่นนั้นก็ลองขึ้นไปดูบนเรือนด้วยตาตัวเองเสีย "

ใช่แล้วเขาคือบุคคลต้นเหตุที่นำพาอินไปสู่ความจริง ที่เกินจะรับได้ เขารู้ว่าทั้งอินและเปรมรักกัน แต่แค่ทั้งคู่มีฐานะที่ต่างชั้นและเพศที่วิปลาสเลยทำให้ไม่มีใครกล้า แม้แต่จะบอกความในใจต่อกัน

วิษณุเขาเลยกำจัดต้นเหตุ ด้วยปลายเหตุเสีย ในเมื่ออินรักคุณพี่เปรม ก็ย่อมไม่มีทางให้คนรักถูกตราหน้าว่าเป็นพวกผิดเพศไปตลอดชีวิตแน่..

ในเงามืดหลังโรงเหล้า ยังคงมีสายตาคู่หนึ่งจับจ้องคนภายในโต๊ะของร้านเหล้า อย่างสั่นคลอน

ปิ่นแก้วยืนตัวแข็ง หน้าซีดเผือด ร่างสั่นเทิ้มราวใบไม้กลางลมแรง ใต้ผ้าคลุมหนา น้ำตาของนางไหลรินอาบสองแก้มโดยไร้เสียง

ข้างกายนางคือ "สาย" บ่าวผู้ภักดี ที่เคยช่วยเลี้ยงดูนางมาตั้งแต่วัยเยาว์ กุมแขนนางแน่น สายตาเต็มไปด้วยความสงสารและสั่นสะท้านพอกัน

"คุณหนู... เรากลับกันเถอะเจ้าค่ะ ตรงนี้มันอันตราย..."

ปิ่นแก้วส่ายหน้า น้ำตาหยดสุดท้ายร่วงหล่นจากปลายคางนาง เสียงในหัวตีก้องไม่หยุด เสียงของสามีที่เคยอ่อนโยน กลับกลายเป็นคำพูดต่ำช้าต่อพี่ชายของตนเอง

“...ข้าคิดผิดหรือ...ข้าคิดผิดมาตลอดจริงๆ หรือ...”

นางพูดแผ่วราวกับลมหายใจสุดท้าย ทว่าในดวงตานั้นเริ่มแปรเปลี่ยนจากความเจ็บปวดเป็นความแน่วแน่

มือขาวสะอาดของนางยกขึ้นเช็ดน้ำตา ก่อนจะดึงผ้าคลุมให้แน่นกว่าเดิม

"กลับเรือน สาย เราต้องกลับไปหาพี่เปรมก่อนที่ผัวข้าจะมาถึง"

"แล้วคุณหนูจะทำเช่นไรต่อไปเจ้าคะ?"

หญิงสาวเม้มริมฝีปากแน่น ดวงตาที่เคยอ่อนโยนบัดนี้ลุกวาบด้วยเพลิงแห่งการตัดสินใจ

"ข้าจะไม่ปล่อยให้มันทำร้ายพี่ข้าได้อีกแม้แต่นาทีเดียว"

ปิ่นแก้วเร่งฝีเท้าก้าวหนีออกจากเงามืดหลังโรงเหล้า เสียงหัวใจเต้นระรัวจนแทบกลบเสียงฝีเท้าของตนเอง น้ำตาที่เพิ่งหยุดไหลกลับมาอีกระลอกเพราะแรงตัดสินใจที่ถาโถมเข้ามาจนใจแทบแตกสลาย

ทว่ายามที่นางกับสายเลี้ยวโค้งเพื่อหลบออกจากตรอกแคบ เสี้ยวกระโปรงของนางก็ติดกับไม้ผุที่โผล่พ้นพื้น นางสะดุดล้มลงอย่างแรง

“คุณหนู!”

สายรีบเข้าประคอง แต่นางกลับรีบยันตัวลุกขึ้นเอง ไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว

เสียงแก้วกระทบโต๊ะจากโรงเหล้าดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมเสียงตะโกนของชายเมา

“ใครน่ะ?!”

ปิ่นแก้วกลืนน้ำลายลงคอ เงยหน้าขึ้นมองสายตาสั่นระริกของสาย

“รีบไปเถอะ... อย่าหยุด... อย่าหันกลับมา...”

เรือแจวลำเล็กเคลื่อนตัวเร็วเหนือความเร็วปกติของบ่าวหญิงผู้เคยแต่ช่วยคุณหนูเก็บดอกไม้ในสวน

“เร็วอีก สาย! เร็วกว่านี้!”

เสียงปิ่นแก้วสั่นเครือ แม้แววตาจะแข็งกร้าวแต่น้ำเสียงนั้นสั่นสะท้านไปถึงขั้วหัวใจ

“เจ้าค่ะคุณหนู... แต่พวกมันจะ...?”

“อย่าหันกลับไปมองมันอีก... ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น”

มือของปิ่นแก้วกำแน่น ริมฝีปากเม้มแนบ สะโพกที่ยังเจ็บจากการล้มไม่มีแม้แต่เสียงครางออกมา

ครู่ต่อมา

หลวงวิษณุก้าวออกจากโรงเหล้าหลังได้ยินเสียงเอะอะจากตรอกด้านข้าง เขาหรี่ตาเพ่งมองความมืดที่เริ่มสงบลง ไม่มีเงาใครอีกแล้ว

แต่ทันทีที่เขาเหลือบลงไปที่พื้น...

แสงจากโคมไฟน้ำมันในมือของเด็กคนขายเหล้า สะท้อนแวววาวของสิ่งหนึ่งกลางพื้นดิน

“...หืม?”

เขาก้มลงเก็บสิ่งนั้นขึ้นมา

"ปิ่นปักผมหรือ..."

เสียงเขาแผ่วลงอย่างแปลกประหลาด

ปิ่นปักผมเงินแท้ลายเครือเถา กลางกลีบบัวลงยา สีแดงเข้มงดงามจับตา ของที่เขาเคยซื้อให้ภรรยาเมื่อครั้งแต่งงานใหม่ ๆ สิ่งที่นางมักปักไว้ข้างศีรษะทุกครั้งยามออกเรือน

ดวงตาคมของหลวงวิษณุกระตุกวาบในเงามืด

"...แม่ปิ่นแก้ว..."

ริมฝีปากเขาเริ่มคลี่ยิ้มอย่างเชื่องช้า

เขาหันกลับไปยังโรงเหล้า ทิ้งความมืดไว้เบื้องหลังอย่างมีแผนในใจ

มือของเขากำปิ่นปักผมแน่น... ราวกับกำหัวใจของนางภรรยาไว้ในกำมือเสียแล้ว

ใต้แสงจันทร์รางเลือน ณ เรือนรองแห่งหนึ่งในเขตรั้ววัง

ลมค่ำพัดเอื่อยผ่านช่องหน้าต่างไม้ไผ่สาน พัดผ้าม่านสีหม่นให้ปลิวไหวอย่างแผ่วเบา แสงตะเกียงน้ำมันวางบนชั้นไม้เตี้ยส่งเงาสะบัดไหวบนผนังเรือน เงาร่างของชายหนุ่มผู้หนึ่งเอนกายพิงหมอนขวานบนฟูกฟาง ดวงตาทอดมองเพดานไม้เหนือศีรษะอย่างเงียบงัน

เสียงประตูบานเล็กเปิดออกช้า ๆ ตามด้วยฝีเท้าเบาจนแทบไม่ได้ยิน

"คุณพี่เปรม..." เสียงแผ่วสั่นสะท้อนออกมาจากริมฝีปากหญิงสาวผู้หนึ่ง

ชายหนุ่มละสายตาจากเพดาน เหลือบมองน้องสาวด้วยดวงตาที่กร่อนลงจากกาลเวลา ทั้งอ่อนล้าและระมัดระวัง

"กลับมาเร็วจัง..." เขากระซิบแผ่ว ริมฝีปากแทบไม่ขยับ

ปิ่นแก้วก้าวเข้ามาใกล้ นั่งลงข้างเตียง พลางยกมือขึ้นจับมือพี่ชายแน่น แววตาเธอเปียกชื้นไปด้วยความคั่งค้างของอารมณ์หลากหลายที่พยายามกลั้นไว้ตลอดทางกลับเรือน

"คุณพี่พูดถูกเจ้าค่ะ... พี่เปรม พูดถูกหมดเลย..." เสียงเธอสั่น ราวกับลมหายใจจะแตกเป็นเสี่ยง

เปรมมองน้องสาวนิ่ง ก่อนค่อย ๆ ขยับลำตัวขึ้นพิงหมอน หายใจเข้าแผ่ว ๆ แล้วถามเบา ๆ

"เขาทำอะไร... มันทำอะไรเจ้าปิ่นแก้ว!?"

ปิ่นแก้วส่ายหน้า สะกดกลั้นน้ำตาอย่างสุดความสามารถ

"ข้าแอบไปดูเอง ข้าเห็นเขา...กับคนของศัตรูเจ้าคุณพ่อ เขาพูดถึงพี่...พูดถึงแผนการลอบทำร้าย พี่...มันจริงทั้งหมด"

เปรมเงียบ ไม่ได้ตกใจ ไม่ได้มีแม้รอยแปลกใจในดวงตา เขาหลับตาช้า ๆ แล้วเอ่ยเพียงว่า

"ข้ารู้... วิษณุมันไม่เคยรักใครจริง แม้กระทั่งตนเอง"

หญิงสาวสะอื้นไห้ เสียงขาดห้วง มือบีบมือพี่ชายแน่นยิ่งขึ้น

"แล้วที่มัน...เข้ามาในเรือน มันแตะต้องพี่...พูดจาไม่เหมาะ...พี่ต้องทนอย่างนี้อีกนานเท่าไร..."

เปรมหลับตาอยู่ชั่วครู่ ก่อนค่อยๆ ลืมขึ้นอีกครั้ง ดวงตาเขานิ่งสนิท…แต่เย็นจัด เหมือนเงาน้ำที่ไม่สะท้อนดาวบนฟ้าอีกต่อไปแล้ว

เสียงของปิ่นแก้วยังคงก้องในหู

...หากเจ้ารู้ ว่าพี่ต้องทนอะไรมาบ้าง เจ้าคงไม่มีวันถามเช่นนี้... ไม่สิ พี่ไม่อยากให้เจ้ารับรู้เลยด้วยซ้ำ เจ้าไม่ควรต้องมารับรู้เรื่องอัปยศ สวะแบบนี้

เขาเหลือบมองเพดานไม้เก่า ใจของเขาไม่อยู่ตรงนี้อีกต่อไปแล้ว แต่มันย้อนกลับไป

ความทรงจำในเงาเรือน ตลอดหลายวันที่ผ่านมา

เรือนเงียบสงบยามค่ำ ระแนงไม้โปร่งระบายกลิ่นดอกโมกจางๆ ลมไหวเบา ๆ แต่ภายในห้องของเปรมกลับร้อนราวไฟคลอก

เปรมนั่งสงบอยู่ข้างตะเกียง มือถือพัดนิ่ง เขาไม่ได้นอนอีกตามเคย เพราะเขารู้... มันจะมา

เสียงบานบานไม้ถูกเลื่อนเบา ๆ ตามด้วยกลิ่นยาต้มจากเสื้อของหลวงวิษณุ...กลิ่นที่ปิ่นแก้วบอกว่า “อบอุ่นและปลอดภัย”

แต่สำหรับเปรม มันคือกลิ่นของคนที่แทรกตัวเข้ามาในชีวิตโดยที่ไม่มีสิทธิ์

“ข้ายกยามเฝ้าเรือนให้ผู้อื่นคืนนี้”

เสียงนั้นเย็นเรียบ แต่เต็มไปด้วยนัยยะ

“จะได้ไม่รบกวนเราสองคน”

เปรมไม่ตอบ เขาแค่พับพัดแล้ววางช้า ๆ หันไปสบตาอีกฝ่ายตรง ๆ ตาต่อดวงตา

“กลับไปเรือนท่านเถิด ปิ่นแก้วคงรออยู่”

แต่วิษณุไม่ขยับ กลับเดินเข้ามาใกล้กว่าเดิม จนเงาของเขาทาบทับตัวเปรมบนพื้นไม้

“พี่เปรม...”

เสียงนั้นแผ่ว ราวกับวิงวอนแต่กดดัน

“ท่านรู้ไหม...ว่าท่านทำให้ข้าบ้าคลั่ง”

เปรมลุกขึ้นยืน แววตานิ่งสงบแต่แข็งกร้าว

“บ้าเพราะอยากได้ในสิ่งที่ไม่ควรได้ หรือบ้าเพราะลืมไปแล้วว่าเจ้าแต่งกับน้องข้า”คำพูดที่ไม่ได้ปริปากออกไป ได้แต่บ่นในใจแล้วจ้องมองคนตรงหน้าอย่างโกรธแค้น

คืนก่อนหน้า ในห้องหนังสือ

เปรมตั้งใจอ่านหนังสืออยู่ตามลำพัง เพราะปิ่นแก้วนอนพักไม่สบาย

หลวงวิษณุผลักประตูเข้ามาเงียบ ๆ โดยไม่แจ้งก่อน เขาเอาน้ำขิงมาอ้างว่า “ปิ่นแก้วฝากให้”

แต่เปรมไม่หลงเชื่อ เพราะปิ่นแก้วไม่ดื่มของและนางก็น่าจะรู้ว่าข้าไม่ชอบขิงเช่นกัน

“ท่านควรออกไป” เขาพูดเรียบ ๆ

วิษณุวางถาดแล้วโน้มตัวต่ำ

“ท่านควรเป็นของข้า...ไม่ใช่เป็นแค่พี่ชายเมียข้า”

เสียงกระซิบข้างหูเหมือนมีเข็มนับพันเลาะลงข้างต้นคอ

เปรมกลืนน้ำลาย ไม่ใช่เพราะหวั่น แต่เพราะกำลังสะกดความโกรธ เขากัดฟันกรอด ถ้าไม่ติดว่าเขากำลังเล่นบทความจำเสื่อมอยู่ เขาคง…

“ข้าไม่ใช่ของผู้ใด”

น้ำเสียงเปรมเยือกเย็นดุจเหล็ก

“และท่านก็ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะคิดเช่นนั้น ”

ความอดกลั้นใกล้สิ้นสุด

เปรมนั่งคิดเงียบ ๆ ในห้องนอน มองผ้าคลุมไหล่ของปิ่นแก้วที่แขวนไว้

เขาไม่เคยบอกน้องสาวว่า “ผู้ชายที่เธอรักที่สุดในชีวิต กำลังจ้องเขาเหมือนเหยื่อที่รอวันกลืนกิน”

“ถ้าไม่ติดว่าข้าต้องเสแสร้ง...มันคงไม่รอดมือข้าไปนานขนาดนี้”

เสียงเปรมเบา ริมฝีปากแสยะนิด ๆ ดวงตานั้น...ไม่มีแววลังเลอีกต่อไป

มีเพียงความแน่วแน่...และ การรอคอยเวลาที่เหมาะสมจะลากคนบาปออกมาสู่แสงตะวัน

"ตราบใดที่ข้ายังไม่รู้ว่ามันทำไปเพื่อใคร ข้าจะยังทน...เพื่อเอาให้ถึงรากถึงโคน"

"ไม่! พี่ต้องหนี พี่ต้องออกไปจากที่นี่ ข้าจะพาพี่ไปเอง ข้าจะติดต่ออิน จะให้เขามารับพี่ในคืนนี้"

เสียงปิ่นแก้วฟังดูแข็งแรงกว่าครั้งไหน ๆ ราวกับตัดสินใจแล้วทั้งชีวิต เปรมยิ้มจาง ๆ พร้อมส่ายหน้า

"เจ้าไม่ควรเข้ามายุ่ง... ข้ารู้ว่าเจ้ารักข้า แต่ถ้าข้าหนี เจ้าจะปลอดภัยไหม? หากข้าตาย ข้าก็อยากตายโดยไม่ให้มันมีโอกาสทำร้ายเจ้าอีก"

หญิงสาวน้ำตาไหลพราก "ข้าไม่กลัวตาย ข้ากลัวพี่จะหายไป... กลัวจะไม่มีพี่เปรมให้ข้าอยู่ข้าง ๆ อีก"

เปรมโน้มตัวช้า ๆ โอบไหล่น้องสาวไว้แน่น ในอ้อมกอดที่ไม่เคยได้ใช้มากนักตลอดชีวิต

"ข้ารู้... ข้ารู้ว่าเจ้ารักข้าไม่ต่างจากตอนเด็ก แต่เจ้าก็ต้องอยู่รอด เจ้าต้องมีชีวิตที่ปลอดภัย"

เสียงเงียบลงครู่หนึ่ง มีเพียงเสียงลมหายใจสองพี่น้องผสานกับเสียงแมลงยามราตรี

"...และข้า...ข้ารักเจ้าที่สุด ปิ่นแก้ว"

เสียงฝีเท้ากระชั้นใกล้ของอินดังก้องในโถงเรือนหลังใหญ่ เขาผ่านประตูครัวเข้ามาอย่างเงียบเชียบตามแผนที่ปิ่นแก้ววางไว้ ทาสหนุ่มผู้มีดวงตาคมลึกประหนึ่งพายุเงียบ มองเห็นร่างเปรมนั่งรออยู่ตรงมุมหนึ่งของห้อง ดวงตาทั้งสองคู่สบกัน หนึ่งเต็มไปด้วยความคิดถึง อีกหนึ่งเต็มไปด้วยความเสียหายที่โลกใบนี้เคยทิ้งไว้

“อิน...”

เปรมเรียกชื่อเขาเบา ๆ เหมือนกลัวว่ามันจะเป็นแค่ภาพฝัน

อินไม่ตอบอะไร แต่เดินเข้ามากอดเปรมแน่นจนอีกฝ่ายต้องหลับตากลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ กลิ่นเหงื่อจาง ๆ และอ้อมแขนที่เคยคุ้นย้ำเตือนถึงวันคืนเก่า ๆ ที่ไม่มีใครกล้าคิดว่าจะหวนกลับมาได้

“ขอโทษที่ผมมาช้า...” อินกระซิบ

“แต่วันนี้ผมจะไม่ปล่อยให้คุณอยู่ที่นี่อีกแล้ว”

“แต่ข้ายังไปไม่ได้...” เปรมผละออกเล็กน้อย หันไปมองประตูอีกด้านที่เชื่อมกับเรือนใน

“น้องข้ายังอยู่ที่นี่ ปิ่นแก้วยังอยู่กับมัน…”

เสียงฝีเท้าเริ่มใกล้เข้ามา เสียงฝืนของรองเท้าหนังลากผ่านพื้นกระดานดังขึ้นเป็นจังหวะใกล้เคียงกับเสียงหัวใจที่เต้นระรัวของทั้งสามคน

“ไปกับผมก่อนเถอะครับคุณเปรม!” อินจับแขนอีกฝ่ายแน่น

“ข้าไปไม่ได้! ข้าจะไม่ทิ้งน้องสาวข้าไว้กับไอ้คนระยำแบบนั้นอีก! ข้าสูญเสียลุงเพิ่มไปแล้ว... ข้าจะไม่เสียปิ่นแก้วไปอีกคน!”

“คุณพี่เปรม!” ปิ่นแก้วเอ่ยเสียงสั่น ขณะที่มือทั้งสองรีบตวัดผ้าพับเก็บเข้ากระจาด แล้วเข้ามากอดพี่ชายแน่นอย่างคนที่ยอมจำนนต่อโชคชะตาเพียงชั่วขณะ

"ท่านต้องรักษาตัวให้ดี... แล้วรีบกลับมา จัดการมันให้ได้... จัดการแทนข้าด้วย...”

เปรมส่ายหน้าช้า ๆ น้ำตาเอ่อในดวงตาอย่างไร้เสียงสะอื้น “พี่ไม่มีวันทิ้งเจ้าไว้หรอก เจ้าเป็นคนสุดท้ายที่พี่มี...”

เสียงไม้เท้าตีพื้นดังขึ้นใกล้เรื่อย ๆ เหมือนปีศาจในเงามืด อินกัดฟันกรอด สายตาเด็ดเดี่ยวมองปิ่นแก้ว เขารู้ดีว่าถ้ายังอยู่ที่นี่แม้แต่วินาทีเดียว เปรมอาจไม่รอด

อินจำต้องยื่นไม้ตายเขายกมือทุบเบา ๆ ที่ท้ายทอยของเปรมจนอีกฝ่ายหมดสติในอ้อมแขนเขา

“ขอโทษนะ...คุณเปรม”

มือปิ่นแก้วสั่นน้อย ๆ ก่อนจะยัดกระดาษแผ่นหนึ่งใส่มือของอิน

“พาเขาไปที่นี่...ปลอดภัยแน่ ข้าฝากพี่ข้าไว้กับเจ้านะ..อิน”

อินพยักหน้า น้ำตารื้น เขาไม่เอ่ยคำสัญญาใด ๆ แต่สายตานั้นพูดแทนทั้งหมด

ทันทีที่เขาแบกร่างของเปรมขึ้นหลัง อินก็วิ่งพรวดออกไปยังทางลับหลังเรือนที่ปิ่นแก้วเตรียมไว้ ม่านลมยามค่ำกระพือเบา ๆ ขณะที่เงาร่างทั้งสองหายลับไปกับความมืด

ปิ่นแก้วเช็ดน้ำตาเร็ว ๆ แล้วกลับมานั่งเย็บผ้าในโถงเรือน หัวใจยังเต้นแรงไม่หาย แสงตะเกียงบนโต๊ะกระพริบไหวเหมือนรู้ว่าลมพายุกำลังจะโหมกระหน่ำ

“กลับมาแล้วหรือเจ้าคะคุณพี่...” ปิ่นแก้วเอ่ยเสียงเรียบขณะสามีก้าวขึ้นเรือน

ชายผู้มีรอยยิ้มเป็นแค่หน้ากากเข้ามาทักทายอย่างไม่แยแส

“วันนี้มีใครมาเยี่ยมเรือนบ้างหรือเปล่า...น้องหญิง?”

“ไม่มีเจ้าค่ะ ข้าอยู่แต่ตรงนี้ เย็บปักทั้งวัน…”

เขาเดินตรงไปยังห้องเก็บของ ก่อนจะเปิดประตู ห้องว่างเปล่าไร้เงาเปรม วิษณุหันกลับมา ดวงตาเย็นชาวาวโรจน์

“มันหายไปไหน”

“ข้า...ข้าไม่รู้...” ปิ่นแก้วกัดฟันตอบ

เสียงฝีเท้าของเขาหนักแน่นจนพื้นเรือนสั่น ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงกดต่ำและอันตราย

“วันนี้ข้าเห็นเจ้าไปออกไปที่โรงเหล้า... เจ้าแอบรู้เรื่องข้าใช่มั้ย ปิ่นแก้ว?”

เงียบ...มีเพียงเสียงหัวใจที่เต้นสู้ตายของหญิงสาว เธอยังไม่ตอบอะไร...เพราะเกมเพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น

แต่สำหรับเปรม มันคือกลิ่นของคนที่แทรกตัวเข้ามาในชีวิตโดยที่ไม่มีสิทธิ์

“ข้ายกยามเฝ้าเรือนให้ผู้อื่นคืนนี้”

เสียงนั้นเย็นเรียบ แต่เต็มไปด้วยนัยยะ

“จะได้ไม่รบกวนเราสองคน”

เปรมไม่ตอบ เขาแค่พับพัดแล้ววางช้า ๆ หันไปสบตาอีกฝ่ายตรง ๆ ตาต่อดวงตา

“กลับไปเรือนท่านเถิด ปิ่นแก้วคงรออยู่”

แต่วิษณุไม่ขยับ กลับเดินเข้ามาใกล้กว่าเดิม จนเงาของเขาทาบทับตัวเปรมบนพื้นไม้

“พี่เปรม...”

เสียงนั้นแผ่ว ราวกับวิงวอนแต่กดดัน

“ท่านรู้ไหม...ว่าท่านทำให้ข้าบ้าคลั่ง”

เปรมลุกขึ้นยืน แววตานิ่งสงบแต่แข็งกร้าว

“บ้าเพราะอยากได้ในสิ่งที่ไม่ควรได้ หรือบ้าเพราะลืมไปแล้วว่าเจ้าแต่งกับน้องข้า”คำพูดที่ไม่ได้ปริปากออกไป ได้แต่บ่นในใจแล้วจ้องมองคนตรงหน้าอย่างโกรธแค้น

คืนก่อนหน้า ในห้องหนังสือ

เปรมตั้งใจอ่านหนังสืออยู่ตามลำพัง เพราะปิ่นแก้วนอนพักไม่สบาย

หลวงวิษณุผลักประตูเข้ามาเงียบ ๆ โดยไม่แจ้งก่อน เขาเอาน้ำขิงมาอ้างว่า “ปิ่นแก้วฝากให้”

แต่เปรมไม่หลงเชื่อ เพราะปิ่นแก้วไม่ดื่มของและนางก็น่าจะรู้ว่าข้าไม่ชอบขิงเช่นกัน

“ท่านควรออกไป” เขาพูดเรียบ ๆ

วิษณุวางถาดแล้วโน้มตัวต่ำ

“ท่านควรเป็นของข้า...ไม่ใช่เป็นแค่พี่ชายเมียข้า”

เสียงกระซิบข้างหูเหมือนมีเข็มนับพันเลาะลงข้างต้นคอ

เปรมกลืนน้ำลาย ไม่ใช่เพราะหวั่น แต่เพราะกำลังสะกดความโกรธ เขากัดฟันกรอด ถ้าไม่ติดว่าเขากำลังเล่นบทความจำเสื่อมอยู่ เขาคง…

“ข้าไม่ใช่ของผู้ใด”

น้ำเสียงเปรมเยือกเย็นดุจเหล็ก

“และท่านก็ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะคิดเช่นนั้น ”

ความอดกลั้นใกล้สิ้นสุด

เปรมนั่งคิดเงียบ ๆ ในห้องนอน มองผ้าคลุมไหล่ของปิ่นแก้วที่แขวนไว้

เขาไม่เคยบอกน้องสาวว่า “ผู้ชายที่เธอรักที่สุดในชีวิต กำลังจ้องเขาเหมือนเหยื่อที่รอวันกลืนกิน”

“ถ้าไม่ติดว่าข้าต้องเสแสร้ง...มันคงไม่รอดมือข้าไปนานขนาดนี้”

เสียงเปรมเบา ริมฝีปากแสยะนิด ๆ ดวงตานั้น...ไม่มีแววลังเลอีกต่อไป

มีเพียงความแน่วแน่...และ การรอคอยเวลาที่เหมาะสมจะลากคนบาปออกมาสู่แสงตะวัน

"ตราบใดที่ข้ายังไม่รู้ว่ามันทำไปเพื่อใคร ข้าจะยังทน...เพื่อเอาให้ถึงรากถึงโคน"

"ไม่! พี่ต้องหนี พี่ต้องออกไปจากที่นี่ ข้าจะพาพี่ไปเอง ข้าจะติดต่ออิน จะให้เขามารับพี่ในคืนนี้"

เสียงปิ่นแก้วฟังดูแข็งแรงกว่าครั้งไหน ๆ ราวกับตัดสินใจแล้วทั้งชีวิต เปรมยิ้มจาง ๆ พร้อมส่ายหน้า

"เจ้าไม่ควรเข้ามายุ่ง... ข้ารู้ว่าเจ้ารักข้า แต่ถ้าข้าหนี เจ้าจะปลอดภัยไหม? หากข้าตาย ข้าก็อยากตายโดยไม่ให้มันมีโอกาสทำร้ายเจ้าอีก"

หญิงสาวน้ำตาไหลพราก "ข้าไม่กลัวตาย ข้ากลัวพี่จะหายไป... กลัวจะไม่มีพี่เปรมให้ข้าอยู่ข้าง ๆ อีก"

เปรมโน้มตัวช้า ๆ โอบไหล่น้องสาวไว้แน่น ในอ้อมกอดที่ไม่เคยได้ใช้มากนักตลอดชีวิต

"ข้ารู้... ข้ารู้ว่าเจ้ารักข้าไม่ต่างจากตอนเด็ก แต่เจ้าก็ต้องอยู่รอด เจ้าต้องมีชีวิตที่ปลอดภัย"

เสียงเงียบลงครู่หนึ่ง มีเพียงเสียงลมหายใจสองพี่น้องผสานกับเสียงแมลงยามราตรี

"...และข้า...ข้ารักเจ้าที่สุด ปิ่นแก้ว"

เสียงฝีเท้ากระชั้นใกล้ของอินดังก้องในโถงเรือนหลังใหญ่ เขาผ่านประตูครัวเข้ามาอย่างเงียบเชียบตามแผนที่ปิ่นแก้ววางไว้ ทาสหนุ่มผู้มีดวงตาคมลึกประหนึ่งพายุเงียบ มองเห็นร่างเปรมนั่งรออยู่ตรงมุมหนึ่งของห้อง ดวงตาทั้งสองคู่สบกัน หนึ่งเต็มไปด้วยความคิดถึง อีกหนึ่งเต็มไปด้วยความเสียหายที่โลกใบนี้เคยทิ้งไว้

“อิน...”

เปรมเรียกชื่อเขาเบา ๆ เหมือนกลัวว่ามันจะเป็นแค่ภาพฝัน

อินไม่ตอบอะไร แต่เดินเข้ามากอดเปรมแน่นจนอีกฝ่ายต้องหลับตากลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ กลิ่นเหงื่อจาง ๆ และอ้อมแขนที่เคยคุ้นย้ำเตือนถึงวันคืนเก่า ๆ ที่ไม่มีใครกล้าคิดว่าจะหวนกลับมาได้

“ขอโทษที่ผมมาช้า...” อินกระซิบ

“แต่วันนี้ผมจะไม่ปล่อยให้คุณอยู่ที่นี่อีกแล้ว”

“แต่ข้ายังไปไม่ได้...” เปรมผละออกเล็กน้อย หันไปมองประตูอีกด้านที่เชื่อมกับเรือนใน

“น้องข้ายังอยู่ที่นี่ ปิ่นแก้วยังอยู่กับมัน…”

เสียงฝีเท้าเริ่มใกล้เข้ามา เสียงฝืนของรองเท้าหนังลากผ่านพื้นกระดานดังขึ้นเป็นจังหวะใกล้เคียงกับเสียงหัวใจที่เต้นระรัวของทั้งสามคน

“ไปกับผมก่อนเถอะครับคุณเปรม!” อินจับแขนอีกฝ่ายแน่น

“ข้าไปไม่ได้! ข้าจะไม่ทิ้งน้องสาวข้าไว้กับไอ้คนระยำแบบนั้นอีก! ข้าสูญเสียลุงเพิ่มไปแล้ว... ข้าจะไม่เสียปิ่นแก้วไปอีกคน!”

“คุณพี่เปรม!” ปิ่นแก้วเอ่ยเสียงสั่น ขณะที่มือทั้งสองรีบตวัดผ้าพับเก็บเข้ากระจาด แล้วเข้ามากอดพี่ชายแน่นอย่างคนที่ยอมจำนนต่อโชคชะตาเพียงชั่วขณะ

"ท่านต้องรักษาตัวให้ดี... แล้วรีบกลับมา จัดการมันให้ได้... จัดการแทนข้าด้วย...”

เปรมส่ายหน้าช้า ๆ น้ำตาเอ่อในดวงตาอย่างไร้เสียงสะอื้น “พี่ไม่มีวันทิ้งเจ้าไว้หรอก เจ้าเป็นคนสุดท้ายที่พี่มี...”

เสียงไม้เท้าตีพื้นดังขึ้นใกล้เรื่อย ๆ เหมือนปีศาจในเงามืด อินกัดฟันกรอด สายตาเด็ดเดี่ยวมองปิ่นแก้ว เขารู้ดีว่าถ้ายังอยู่ที่นี่แม้แต่วินาทีเดียว เปรมอาจไม่รอด

อินจำต้องยื่นไม้ตายเขายกมือทุบเบา ๆ ที่ท้ายทอยของเปรมจนอีกฝ่ายหมดสติในอ้อมแขนเขา

“ขอโทษนะ...คุณเปรม”

มือปิ่นแก้วสั่นน้อย ๆ ก่อนจะยัดกระดาษแผ่นหนึ่งใส่มือของอิน

“พาเขาไปที่นี่...ปลอดภัยแน่ ข้าฝากพี่ข้าไว้กับเจ้านะ..อิน”

อินพยักหน้า น้ำตารื้น เขาไม่เอ่ยคำสัญญาใด ๆ แต่สายตานั้นพูดแทนทั้งหมด

ทันทีที่เขาแบกร่างของเปรมขึ้นหลัง อินก็วิ่งพรวดออกไปยังทางลับหลังเรือนที่ปิ่นแก้วเตรียมไว้ ม่านลมยามค่ำกระพือเบา ๆ ขณะที่เงาร่างทั้งสองหายลับไปกับความมืด

ปิ่นแก้วเช็ดน้ำตาเร็ว ๆ แล้วกลับมานั่งเย็บผ้าในโถงเรือน หัวใจยังเต้นแรงไม่หาย แสงตะเกียงบนโต๊ะกระพริบไหวเหมือนรู้ว่าลมพายุกำลังจะโหมกระหน่ำ

“กลับมาแล้วหรือเจ้าคะคุณพี่...” ปิ่นแก้วเอ่ยเสียงเรียบขณะสามีก้าวขึ้นเรือน

ชายผู้มีรอยยิ้มเป็นแค่หน้ากากเข้ามาทักทายอย่างไม่แยแส

“วันนี้มีใครมาเยี่ยมเรือนบ้างหรือเปล่า...น้องหญิง?”

“ไม่มีเจ้าค่ะ ข้าอยู่แต่ตรงนี้ เย็บปักทั้งวัน…”

เขาเดินตรงไปยังห้องเก็บของ ก่อนจะเปิดประตู ห้องว่างเปล่าไร้เงาเปรม วิษณุหันกลับมา ดวงตาเย็นชาวาวโรจน์

“มันหายไปไหน”

“ข้า...ข้าไม่รู้...” ปิ่นแก้วกัดฟันตอบ

เสียงฝีเท้าของเขาหนักแน่นจนพื้นเรือนสั่น ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงกดต่ำและอันตราย

“วันนี้ข้าเห็นเจ้าไปออกไปที่โรงเหล้า... เจ้าแอบรู้เรื่องข้าใช่มั้ย ปิ่นแก้ว?”

เงียบ...มีเพียงเสียงหัวใจที่เต้นสู้ตายของหญิงสาว เธอยังไม่ตอบอะไร...เพราะเกมเพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • บัญชารักคุณหลวง   ข้ามาหาแล้วหนา

    หลังจากพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลครบกำหนดสองวันตามคุณหมอสั่ง ธีรัชก็ได้กลับมาที่บ้านของตนเองอีกครั้ง บ้านที่เขาควรจะเคยคุ้นแต่กลับรู้สึกแปลกตา เหมือนกลายเป็นแค่ฉากในละครที่ไม่ได้ฉายให้ใครดู เขาเดินช้า ๆ ผ่านห้องนั่งเล่น มองเครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องครัวล้ำสมัย ตู้เย็น ทีวี และโซฟานุ่ม ๆ ที่เคยนั่งดูซีรีส์กับตัวเองในทุกคืนวันศุกร์จนลากไปเช้าของอีกวัน... ชีวิตที่สะดวกสบายและบ้านหลังใหญ่โตที่เขาสร้างมันขึ้นจากน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง ด้วยความภาคภูมิใจที่แต่ก่อนเขาต้องรู้สึกดีใจและมีความสุขทุกครั้งที่ได้กลับมาเหยียบที่แห่งนี้แต่ครั้งนี้ทำไมมันกลับไม่อุ่นเหมือนอ้อมแขนของใครบางคนที่เขาคิดถึงจับใจ หรือเพียงเพราะโลกใบนี้ ไม่มีคุณเปรมอยู่ด้วย...ธีรัชนั่งลงกับพื้นเบา ๆ ตรงระเบียงหลังบ้าน ลมฤดูหนาวพัดแผ่วผ่านใบหญ้า เสียงนกกระจอกยังคงร้องเจื้อยแจ้วไม่รู้วันเวลาผ่านไปแค่ไหนสำหรับพวกมัน ต่างจากหัวใจของธีรัชที่เหมือนหยุดเดินตั้งแต่วันนั้น วันที่เขาจาก “บ้าน” หลังหนึ่งในยุคต้นรัตนโกสินทร์กลับมาเขาหลับตา สูดลมหายใจเข้าเต็มปอด แต่ก็ไม่ได้กลิ่นดอกมะลิที่เคยหอมกรุ่นในยามเช้า กลิ่นหอมน้ำอบไทยที่มักจะติดต

  • บัญชารักคุณหลวง   หวงกลับคืน

    ทินกรรุ่งอรุณ แสงแดดอุ่น ๆ สาดผ่านม่านผืนบาง ละไล้ลงบนใบหน้าของอินที่ยังนอนนิ่งอยู่บนเตียง เปรมยืนอยู่มุมห้องอย่างเงียบเชียบ จนเมื่อหมอที่เขาเรียกมาตรวจอาการเดินออกมาจากห้อง อินหันไปมองด้วยสายตาเป็นกังวล“เขาเป็นอย่างไรบ้างขอรับท่านแพทย์?” เสียงเปรมเต็มไปด้วยความห่วงใยแพทย์หมอถอนหายใจเบา ๆ ก่อนเอ่ยคำวินิจฉัย “จากที่ฉันตรวจดูทั้งหมดแล้ว คิดว่านายคนนี้น่าจะแพ้พิษบางอย่างที่สะสมในร่างกาย และเพิ่งจะแสดงอาการออกมา โชคดีที่ตรวจพบเร็ว ฉันจัดยาไว้ให้แล้ว ให้กินเช้าเย็นนะหลวงเปรม”เปรมพยักหน้ารับด้วยสีหน้าเครียด“ที่สำคัญ ช่วงนี้อย่าให้เขาใช้ร่างกายหนัก ๆ ยิ่งถ้ามีไข้ พิษจะยิ่งกระจายเร็วขึ้น ต้องระวังให้ดี”“ขอรับ… ขอบพระคุณมากขอรับท่านแพทย์ขอบคุณจริง ๆ”คุณเปรมส่งหลวงแพทย์หมอจนลับสายตา ก่อนจะรีบกลับเข้าห้อง เขาเปิดประตูเบา ๆ เหมือนกลัวเสียงจะไปรบกวนคนป่วย บนเตียง อินนอนเอนพิงหมอนอยู่ก่อนแล้ว ดวงตากลมใสสบกับเขาอย่างแนบแน่น มีแววซุกซนผสมความอ่อนล้าอยู่ในนั้น“ไม่ต้องทำหน้ากังวลขนาดนั้นก็ได้นะครับ” อินพูดเบา ๆ น้ำเสียงพยายามกลั้วหัวเราะ “ผมสบายดีม๊ากก ตอนนี้ก็ไม่ได้รู้สึกอะไรแล้ว ไม่เป็นไรหรอกน

  • บัญชารักคุณหลวง   ลางสังหรณ์

    แสงแดดยามสายทอดผ่านม่านโปร่งบางภายในโถงของเรือนหลังใหญ่ เสียงจิบน้ำชาดังแผ่วเบาท่ามกลางความเงียบสงบที่อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของใบชาและมะลิอบแห้งเปรมนั่งเอนหลังบนเบาะรองตัวยาว ร่างกายที่เคยแบกรับภาระหนักอึ้งมาหลายวันคล้ายได้หย่อนคลายเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน เขาสวมเสื้อผ้าเรียบง่าย ผ้าคลุมบางสีอ่อนพาดบ่า ใบหน้าเริ่มมีรอยอ่อนล้าจาง ๆ แต่แววตายังคงหนักแน่นและแน่วแน่เช่นเดิมอินนั่งอยู่พื้นข้าง ๆ มือหนึ่งหยิบหนังสือ อีกมือก็ไม่วายวางไว้บนขาของคนรัก พยักหน้าเบา ๆ รับฟังอย่างตั้งใจ แม้บทสนทนาที่เอ่ยออกมาจะชวนให้ใจสั่นไม่น้อย“อีกไม่กี่วัน…” เปรมเอ่ยเสียงเรียบ ขณะทอดสายตามองออกไปยังสวนหลังบ้าน“หลวงวิษณุจะถูกนำตัวไปประหาร พร้อมกับ พักพวกอีกสามคน”อินชะงักมือที่กำลังเปิดหน้ากระดาษ เสียงคำว่า “ประหาร” กระแทกเข้าหูราวกับสายลมหนาวเฉียบ เขาเงยหน้ามองอีกคน ดวงตาเต็มไปด้วยความตกใจ แต่ไม่ได้เอ่ยขัด เพราะเข้าใจดีว่านี่ไม่ใช่เรื่องของความแค้นส่วนตัวธรรมดา หากแต่เป็น ความยุติธรรมที่คนบาปสมควรได้รับเปรมวางถ้วยชาอย่างแผ่วเบา ก่อนจะหันมาสบตาอินตรง ๆ“ข้ารู้ว่าเจ้าหวั่นใจ แต่การลอบสังหาร เจตนาโค่นล้มอำนาจ

  • บัญชารักคุณหลวง   น้ำเดือดที่ดับไฟกองเล็ก

    แสงแดดยามสายทอดผ่านหมู่เมฆลงมากระทบผิวน้ำในท่าเรือ เกลียวคลื่นเบาๆ ซัดกระทบข้างลำเรือสำเภาอย่างสม่ำเสมอ เสียงเชือกเสียดสีกับเสากระโดง สลับกับเสียงกลาสีเรือร้องสั่งงานก้องไปทั่วท่าเรือ เปรมยืนอยู่ที่หัวท่า ชุดเครื่องแบบขุนนางขอบทองดูขรึมขลัง เขากำลังไล่ตรวจตราสินค้าที่ถูกขนลงจากเรือ สำรวจบัญชีรายชื่อสินค้าจากแดนไกลพลางใช้แววตาเคร่งขรึมพินิจทุกรายละเอียดทว่ากระแสลมเย็นที่พัดมากลับนำพาบางสิ่งมาให้เขา กลาสีเรือชาววิลาทคนหนึ่งเดินตรงเข้ามาหา มอบจดหมายเก่าๆ ซองขาดปลายให้โดยไม่เอ่ยคำใด เปรมรับไว้ด้วยความสงสัย ครั้นเปิดจดหมายอ่าน ความสงบของเช้าวันนั้นก็ถูกฉีกทึ้งข้อความที่เขาได้อ่านนั้นสั้น เรียบง่าย แต่ราวกับเสียงระเบิดในอก> “รีบกลับมาดูผลงานข้าสิขอรับคุณพี่เปรม ก่อนที่มันจะตายน่ะ”เส้นเลือดที่ขมับเขาปูดพองขึ้น มือข้างหนึ่งกำกระดาษจนยับยู่ยี่ ขณะที่อีกมือแทบสั่นเทา ใจของเปรมกระโจนไปข้างหน้าเร็วกว่าความคิด เขารู้ดี ใครเป็นคนทำเรื่องนี้ได้ และมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่กล้าเยาะหยันเขาเช่นนี้ หลวงวิษณุ“รีบส่งกำลังตามจับหลวงวิษณุเดี๋ยวนี้!” เขาสั่งเสียงกร้าวกับทหารที่ติดตามมาด้วย" มันยังอยู่พ

  • บัญชารักคุณหลวง   ภาระที่ต้องแบกรับ

    เสียงฝีเท้าดังสม่ำเสมอบนพื้นไม้สักของตำหนักฝ่ายในเรือน เปรมเดินกลับมายังห้องพักชั้นบนอย่างเหนื่อยล้า แขนเสื้อถูกร่นขึ้นครึ่งหนึ่ง เหงื่อชื้นผุดบนหน้าผากแต่ไม่ทันได้ซับ เจ้าตัวก็ทรุดตัวลงกับเก้าอี้ไม้ฝังลายอย่างหมดแรงบนโต๊ะข้างเตียงมีจดหมายหนึ่งฉบับวางอยู่เรียบร้อย ลายมือเจ้าหนุ่มคนรักวางซองกระดาษไว้แนบด้วยใบไม้สีเขียวที่แห้งไปบ้างจากการเดินทางไกล เปรมมองมันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะแกะเปิดด้วยมือที่ยังเปรอะหมึกจากเอกสารเมื่อบ่ายเขาอ่านมันช้าๆ เงียบๆ ไม่มีใครในที่นี้รู้ว่าอินเขียนอะไรในนั้น ไม่มีเสียงหัวเราะ ไม่มีน้ำตา มีเพียงรอยยิ้มบางที่คลี่ออกบนใบหน้าของชายหนุ่มผู้เก็บงำความรู้สึกจนคนรอบตัวเรียกเขาว่า ‘คุณเปรมจอมบึ้งตึง’เปรมยกใบไม้นั้นขึ้นแนบจมูก สูดกลิ่นจาง ๆ ที่หลงเหลืออยู่พลางหลับตาลงอย่างเงียบเชียบ ก่อนจะเปิดสมุดบันทึกเก่าหนังวัว หย่อนใบมะลิลงบนหน้าหนึ่งที่ยังว่าง แล้วจดบางสิ่งไว้ด้วยลายมือเรียบร้อยเพียงไม่กี่คำ"ยังมีบ้านให้กลับเสมอ"เขามองออกไปยังท้องฟ้ากลางคืนผ่านหน้าต่าง บนฟ้าคืนนี้เต็มไปด้วยหมู่ดาว และพระจันทร์ทรงกลดก็สุกสว่างอย่างสงบ เป็นค่ำคืนที่สวยงามเกินกว่าจะเก็บไว้ในควา

  • บัญชารักคุณหลวง   ฝากดูแลแทนข้าที

    หลายต่อหลายวันผ่านไปไวเหมือนโกหก เพราะวันนี้กลับเป็นวันที่ต้องส่งคนรักออกไปทำงานไกลตัวเสียแล้ว รุ่งเช้าตรู่ แสงแดดแรกของวันทอดผ่านหน้าต่างเรือนไทยส่องสะท้อนกับผืนน้ำที่สงบเงียบ เสียงไก่ขันยังไม่ทันจางหาย อินก็ตื่นขึ้นมาอย่างรู้งาน เขาเตรียมน้ำท่าร้อนอุ่นอย่างพอดี กลิ่นมะลิจากเกลืออาบน้ำที่ตั้งใจผสมด้วยมือของตนเองลอยคลุ้งทั่วห้อง อินขัดผิวและเช็ดตัวให้เปรมอย่างอ่อนโยน ทุกจังหวะของนิ้วและฝ่ามือเหมือนตั้งใจจดจำสัมผัสของคนรักไว้ในใจ“คุณเปรม…” อินพูดขึ้นในขณะที่กำลังติดกระดุมเสื้อผ้าให้ “ถ้าเดินทางไปถึงที่โน่นแล้ว อย่าลืมเขียนจดหมายมาหาผมนะครับ อย่างน้อยก็...เดือนละสองฉบับก็ยังดี”เปรมยกมือขึ้นลูบศีรษะของอินเบา ๆ “เจ้าจะไม่เขียนตอบกลับข้ารึ?”“ผมกลัวว่าจะเขียนไม่ทันคุณเปรมต่างหาก” อินแสร้งเบะปาก พลางส่งยิ้มละมุน “แค่คิดถึงก็แทบจะเขียนทุกวันอยู่แล้ว”เปรมหัวเราะในลำคอเบา ๆ ก่อนจะกดจูบลงที่หน้าผากอีกฝ่ายแผ่วเบา เป็นจูบที่เต็มไปด้วยความรัก ความห่วงใย และความเสียดายเมื่อถึงเวลาต้องไปที่ท่าเรือ อินช่วยขนของและจัดแจงทุกอย่างอย่างคล่องแคล่ว เขายกกระเป๋า ผูกเชือกมัดปากถุง เดินขึ้นลงเรือจนเหงื่

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status