แชร์

บทที่88 หมู่บ้านไร้นาม

last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-03-06 12:40:35

วิญญาณยุทธ์ปราณธาตุไฟที่ถูกปลดปล่อยออกมายามที่หนิงอ้ายฝึกฝนวิชายุทธได้แฝงไปด้วยความร้อนและความเเข็งแกร่งเป็นอย่างมาก บทเวทย์ต่าง ๆ ที่หนิงอ้ายถือครองอยู่นั้นเรียกได้ว่าอาณุภาพของบทเวทย์ดังกล่าวไปทบทวีคูณมากเพิ่มขึ้นหลายเท่า

พื้นที่ส่วนด้านหลังเรือนพักได้แปรเปลี่ยนเป็นลานฝึกขนาดย่อม ด้วยเพราะหนิงอ้ายได้ร่ายเวทย์ป้องกันที่เสริมความเเข็งแกร่งไปอีกหลายชั้น เสียงระเบิดดังต่อเนื่องที่เกิดจากฝึกฝนเคล็ดวิชาจึงไม่อาจหลุดลอดออกไปสร้างความรำคานแก่ศิษย์พี่ท่านอื่นที่อยู่ไปไม่ไกลจากเรือนพัก

หนิงอ้ายมุ่งเน้นในการใช้วิญญาณยุทธ์ปราณธาตุไฟของตนเป็นหลัก เพราะถึงอย่างไรเเล้วการเรียกใช้วิญญาณยุทธ์เเต่ละปราณธาตุนั้นล้วนต่างเหมือนกันทั้งสิ้น เพียงต้องอาศัยประสบการณ์ความคุ้นชินเสียมากกว่า แม้ว่าจะใช้ปราณธาตุน้ำตามเคล็ดวิชาคัมภีร์เบญจธาตุได้เเล้วก็จริง เเต่ถึงอย่างไรหนิงอ้ายยังต้องคอยฝึกฝนอยู่เสมอเพื่อให้เกิดความเชี่ยวชาญคุ้นชินมากกว่านี้

สำหรับปราณธาตุต่อไปตามคัมภีร์เบญจธาตุที่หนิงอ้ายต้องศึกษา หลังจากปราณธาตุน้ำนั่นก็คือปราณธาตุลม เรียกได้ว่าเป็นปราณธาตุที่เป็นอิสระอย่างยิ่ง สามารถเคลื่อนไหวกระจายไปทั่วสารทิศอีกทั้งยังยากที่จะควบคุมให้อยู่นิ่งได้ ดังนั้นหากผู้ฝึกตนที่มีวิญญาณยุทธ์ปราณธาตุลมไม่มีความมั่นคงทางจิตใจรวมไปถึงสมาธิที่มากเพียงพอเเล้วนั้น ก็จะส่งผลให้เกิดความแปรปรวนในร่างกายได้ ร้ายแรงที่สุดถึงขั้นว่าหากจุดตันเถียรเกิดรอยร้าวหรือแตกสลายขึ้นมา เส้นทางชีวิตในฐานะผู้ฝึกตนในยุทธภพคงต้องสิ้นสุดลงไปอย่างแน่นอน

ดังนั้นแล้วก่อนที่จะเริ่มศึกษาปราณธาตุลมจากในคัมภีร์เบญจธาตุ หนิงอ้ายตั้งใจว่าเขานั้นจะฝึกฝนตัวเองโดยการนั่งสมาธิกำหนดลมหายใจให้มั่นคงทางจิตวิญญาณที่มากกว่านี้ เสียงของท่านผู้เฒ่าได้บอกกับเด็กหนุ่มว่า สำหรับการเตรียมตัวก่อนที่จะเริ่มศึกษาคัมภีร์นี้นอกจากสามารถที่จะนั่งสมาธิกำหนดจิตใจได้ในทุกวันแล้วก็สามารถใช้โอสถจิตวิญญาณได้เช่นกัน

ด้วยเพราะเป็นโอสถเฉพาะเจาะจงมากเกินไปรวมไปถึงมีเเต่นักปรุงโอสถระดับหกเท่านั้นที่สามารถหลอมสร้างปรุงโอสถชนิดนี้ได้ หากไม่นับว่าเป็นโอสถที่หาได้ยาก มูลค่าต่อหนึ่งเม็ดโอสถก็ค่อนข้างที่จะสูงมากเลยทีเดียว คำกล่าวว่าเพียงเเค่มีเงินก็ไม่สามารถซื้อได้ก็คงไม่เกินจริงไปนักเพราะส่วนใหญ่เเล้วโอสถนี้มักจะถูกหลอมสร้างขึ้นมาให้ตัวเองเสียมากกว่า

การปรากฎตัวของโอสถจิตวิญญาณในหอประมูลเเต่ละครั้งย่อมสร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่ว จากกลุ่มอิทธิพลระดับสูงหรือตระกูลใหญ่ต่าง ๆ เจ้าชายในราชวงศ์หรือแม้กระทั่งสำนักศึกษาน้อยใหญ่ ต่างหวังที่จะครอบครองโอสถนี้ทั้งสิ้น

หนิงอ้ายที่ฟังจบก็รู้ได้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องง่ายดายสักเท่าไหร่นัก การได้มาซึ่งโอสถเม็ดนี้มีความเป็นไปน้อยมาก หรือหากตนต้องคอยนั่งดูดซับปราณฟ้าดินเพื่อเสริมความเเข็งแกร่งของจิตวิญญาณนั้นคงเป็นอีกหลายสิบปีให้หลังเป็นแน่ เเต่เมื่อได้ยินท่านบรรพบุรุษบอกว่าหากสามารถหากระดูกวิญญาณสัตว์อสูรที่มากไปด้วยจิตวิญญาณและสามารถนำมาประสานเข้ากับร่างกายได้ปัญหาเหล่านี้ก็จะได้รับการเเก้ไข

ขอเพียงว่าหลังจากที่ได้ประสานเข้ากับร่างกายเเล้ว ให้ทำการดูดซับปราณฟ้าดินและโคจรปราณในร่างกายไปตามเคล็ดวิชาสยบอัสนีเมฆา เมื่อมีความกล้าแกร่งในจิตวิญญาณที่เพิ่มขึ้นก็จะสามารถเริ่มศึกษาปราณธาตุลมตามเคล็ดวิชาคัมภีร์เบญจธาตุได้เเล้วนั่นเอง...

เช้าวันนี้หนิงอ้ายตั้งใจจะไปอาคารส่วนกลางเพื่อทำการเเลกเปลี่ยนโอสถก่อนที่จะไปหาท่านอาจารย์ของตนเพื่อไปสอบเลื่อนขั้นนักปรุงโอสถ ย่างก้าวทะยานหมื่นลี้ที่เป็นเคล็ดวิชาตัวเบาของเขามีความพริ้วไหวรวดเร็วยิ่ง เพียงชั่วครู่จากเรือนพักก็มาถึงจุดหมายที่ต้องการเเล้วเด็กหนุ่มไม่รอช้าก้าวเท้าเดินเข้าไปในทันที

"มีอะไรให้ข้าช่วยเหลืออย่างนั้นรึ..." ซุนเกาเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าผู้ที่เดินเข้ามานั้นเป็นผู้ใด

"คำนับเหล่าซุนขอรับ วันนี้ข้านำโอสถมาแลกแต้มคะเเนนและต้องการเเลกเปลี่ยนเป็นสมุนไพรด้วยขอรับ..." หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นพร้อมกับโค้งตัวเล็กน้อย พร้อมกับหยิบขวดโอสถจากเเหวนมิติของตอนออกมา

"โอสถห้ามเลือดระดับสองสิบห้าเม็ด โอสถลมปราณระดับสองสิบเม็ด โอสถรักษาระดับสองยี่สิบเม็ด ล้วนเเต่มีความบริสุทธิ์ครบสิบส่วนทั้งสิ้น..."

"ความสามารถในการปรุงโอสถระดับได้ภายในไม่กี่วันเช่นนี้ สมกับเป็นตัวประหลาดน้อยที่ตาเฒ่าเหวินคัดเลือกมาเสียจริง เเล้วเจ้าไปไปสอบเลื่อนขั้นนักปรุงโอสถเเล้วหรือยังเล่า??" ผู้อาวุโสซุนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงชื่นชมพร้อมกับถามกลับเด็กหนุ่มด้วยความสงสัย

"วันนี้ท่านอาจารย์จะพาข้าไปสอบเลื่อนระดับขอรับเหล่าซุน..."

"หากตาเฒ่าพวกนั้นรู้ว่าพวกเรามีศิษย์ในตำนักที่มีความสามารถเป็นนักปรุงโอสถระดับหนึ่งตั้งเเต่สิบห้าสิบหกปีเช่นนี้ ชักอยากจะเห็นหน้าของพวกนั้นยิ่งนัก..." ผู้อาวุโสซุนเอ่ยออกมาพร้อมกับยิ้มเล็กน้อย

"เงื่อนไขการแลกโอสถกับแต้มคะเเนนก็เป็นเช่นเดิม วันนี้เจ้าจะได้ไปทั้งหมดเป็นสามร้อยแต้มคะเเนน เอาละ!! ส่งป้ายหยกประจำตัวของเจ้ามาข้าจะถ่ายโอนแต้มคะเเนนให้..."

"เหล่าซุน ข้าอยากจะขอฝากโอสถที่ข้าปรุงขึ้นขายที่ในเมืองด้วยได้หรือไม่ขอรับ..."หนิงอ้ายถามขึ้นเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายพยักหน้าตกลงเด็กหนุ่มจึงนำของออกจากแหวนมิติของตนในทันที

"ขวดนี้เป็นโอสถห้ามเลือดระดับหนึ่งทั้งหมดสี่สิบเม็ดล้วนมีความบริสุทธิ์อยู่ที่แปดส่วน ขวดนี้เป็นโอสถรักษาระดับหนึ่งจำนวนห้าสิบเม็ดความบริสุทธิ์ระดับเจ็ด สำหรับขวดสุดท้ายนี้เป็นโอสถลมปราณระดับหนึ่งจำนวนสามสิบเม็ดความบริสุทธิ์เจ็ดส่วนขอรับ..."

"แม้จะเป็นโอสถระดับหนึ่งก็จริง ขอเพียงเเค่มีความบริสุทธิ์เกินหกส่วนขึ้นไปก็ใช้ได้เเล้ว เดี๋ยวข้าจัดการให้ เเล้วนี่เจ้าต้องการเเลกสมุนไพรด้วยอย่างนั้นรึ??"

"ตอนนี้ข้าเริ่มฝึกฝนหลอมสร้างปรุงโอสถระดับสองเเล้ว แม้ว่าสวนสมุนไพรข้างเรือนข้าจะปลูกสมุนไพรไปบางส่วนเเล้วก็จริง เเต่อย่างไรก็จำเป็นต้องใช้สมุนไพรระดับสองอยู่บ้างเช่นกันขอรับ..."

"ข้าต้องการสมุนไพรตามสูตรโอสถห้ามเลือด โอสถลมปราณและโอสถพื้นฟู ข้าอยากฝึกฝนสูตรพื้นฐานเหล่านี้ให้แม่นยำก่อนที่จะเริ่มศึกษาโอสถเฉพาะในภายหลังขอรับ..." หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นพร้อมกับอธิบายเหตุผลของตนให้ผู้อาวุโสตรงหน้า

"เเล้วเจ้าต้องการขวดโอสถด้วยเลยหรือไม่??'

"ครั้งก่อนหน้าที่ได้รับมาถือว่ายังเพียงพออยู่ขอรับ..." หนิงอ้ายตอบกลับไปอีกครั้งก่อนที่ชายชราจะหายไปตรงด้านหลังพร้อมกับกลับมาอีกครั้งในเวลาไม่นาน

"ขอบคุณเหล่าซุนอีกครั้งนะขอรับ อีกสองอาทิตย์ข้างหน้าข้าจะมาอีกครั้ง...." เมื่อได้ของครบทุกอย่างได้ตามที่ต้องการเเล้วเด็กหนุ่มจึงเก็บของทั้งหมดลงในเเหวนมิติในทันที

เสร็จสิ้นทุกอย่างเเล้วนั้น หนิงอ้ายจึงกลับไปที่เรือนพักของตนพร้อมกับพาต้าเฮยออกมาด้วยในครั้งนี้เนื่องจากว่าใกล้ยามซื่อเเล้ว วันนี้ท่านอาจารย์จะพาไปสอบเลื่อนระดับนักปรุงโอสถที่มีป้ายยืนยันรับรอง เมื่อไปถึงหน้าเรือนพักก็เห็นว่าอาจารย์ของตนกำลังคุยกับศิษย์พี่ห้าของตนอยู่

"คำนับท่านอาจารย์และศิษย์พี่ไป๋ขอรับ..."

"มาแล้วอย่างนั้นรึ อาจารย์คุยกับศิษย์พี่ของเจ้าพอดี..." เหวินหวู่รับคำนับจากเด็กหนุ่มพร้อมกับเอ่ยทักขึ้น

"ขอรับท่านอาจารย์ ก่อนหน้าข้าไปอาคารส่วนกลางเพื่อเเลกเปลี่ยนโอสถมาขอรับ"

"ศิษย์พี่อวยพรให้เจ้าสอบเลื่อนขั้นได้สำเร็จสมใจหวัง เจ้าก็อย่ากดดันตัวเองด้วยเล่า..." ไป๋เหลียนฮวาอวยพรให้กับเด็กหนุ่มผู้เป็นศิษย์น้องของตน

ศิษย์น้องของนางผู้นี้มากไปด้วยพรสวรรค์อย่างเเท้จริง ฟังว่าโอสถระดับหนึ่งก็สามารถปรุงออกมาความบริสุทธิ์ทั้งสิบส่วนได้เเต่ครั้งเเรก อีกทั้งไม่กี่วันหลังจากนั้นเด็กหนุ่มก็สามารถปรุงโอสถระดับสองบางชนิดได้เเล้ว เมื่อเทียบกับช่วงอายุของอีกฝ่ายเพียงเท่านี้นับว่าโดดเด่นมากเลยทีเดียว

"ขอบคุณศิษย์พี่ไป๋ข้าจะทำให้ดีที่สุดขอรับ!!!" หนิงอ้ายตอบกลับไปอย่างหนักเเน่น

"เช่นนั้นข้าขอตัวลาก่อนนะเจ้าคะท่านอาจารย์...."

"อาจารย์ขอฝากดูเเลทางนี้ด้วยเล่า อย่าให้เจ้าลูกลิงพวกนั้นออกไปซุกซนที่ใด..." เหวินหวู่รับคำของศิษย์หญิงเพียงคนเดียวของตน ไป๋เหลียนฮวาเอ่ยลาเด็กหนุ่มอีกเล็กน้อยก่อนที่เเยกตัวไปจัดการธุระที่อาจารย์ได้มอบหมายหน้าที่ให้

"เจ้าคงใช้ก้าวย่างทะยานหมื่นลี้ได้อย่างคล่องแคล่วเเล้วใช่หรือไม่??'' เหวินหวู่ถามขึ้นแม้จะพอดูออกตั้งเเต่ในการทดสอบก่อนหน้า วิชาตัวเบาของตระกูลหวังนั้นอีกฝ่ายสามารถใช้ได้อย่างเชี่ยวชาญเลยทีเดียว

"ขอรับท่านอาจารย์..." หนิงอ้ายตอบกลับไปด้วยความเขินอายเล็กน้อย พริบตานั้นร่างของชายชราร่างเล็กที่เป็นอาจารย์ได้ทะยานตัวหายไปเเล้ว ไม่รอช้าเด็กหนุ่มจึงรีดเค้นลมปราณใช้วิชาตัวเบาของตนในทันที

เงาร่างของชายชราอยู่ตรงหน้าถือว่าเป็นระยะที่ห่างไกลพอสมควร จากที่หนิงอ้ายรับรู้มาก่อนว่าชายชรานั้นเป็นผู้ฝึกตนระดับราชันวิญญาณขั้นสูงอีกเพียงครึ่งก้าวก็จะบรรลุถึงระดับเทพยุทธ์วิญญาณซึ่งติดอยู่ในขั้นนี้มานานเเล้วหลายสิบปี ความแตกต่างเมื่อเทียบกับหนิงอ้ายแล้วคงไม่ต่างไปจากเด็กน้อยที่พึ่งหัดเดินที่ริอาจเทียบผู้ใหญ่วัยกลางคนผู้หนึ่ง

แม้ว่าย่างก้าวทะยานหมื่นลี้จะเป็นเคล็ดวิชาตัวเบาของตระกูลหวังที่ขึ้นชื่อ เเต่ถึงอย่างนั้นตระกูลเหวินของท่านอาจารย์ก็หาใช่ตระกูลธรรมดาสามัญเช่นกัน ยิ่งเคล็ดวิชาล้ำค่าถูกเรียกใช้โดยผู้ฝึกตนระดับสูงเช่นนี้จึงยิ่งเสริมอานุภาพไปอีกหลายเท่าตัว

ครึ่งชั่วยามถัดมาหนิงอ้ายเห็นว่าอาจารย์ได้ยืนรออยู่เเล้ว ก่อนที่หนิงอ้ายจะเอ่ยสิ่งใดออกมานั้น เหวินหวู่ก็ได้มอบโอสถลมปราณระดับเจ็ดให้กับเด็กหนุ่ม

"ด้วยพลังวิญญาณเทวะวิญญาณขั้นต้นที่พึ่งเลื่อนระดับมาได้ไม่กี่วัน สามารถใช้ย่างก้าวทะยานหมื่นลี้ด้วยความเร็วได้เช่นนี้ ตาเฒ่าหวังคงภูมิใจในตัวเจ้าเป็นอย่างมาก เอาละ!! จงนั่งดูดซับปราณฟ้าดินและโอสถนี้เสีย อาจารย์จะไปสำรวจแถวนี้เสียก่อน..."

"ขอรับท่านอาจารย์..." หนิงอ้ายรับคำพร้อมกับพร้อมกับโคจรลมปราณตามวิถี และปล่อยให้ต้าเฮยได้ออกมาเที่ยวเล่นอยู่ในบริเวณนี้

ระยะทางจากตัวสำนักไปถึงจุดหมายในครั้งนี้นั้น หากจะมองว่าอยู่ใกล้ก็ได้ หรืออาจจะมองว่าอยู่ห่างไกลก็ได้เช่นกัน แม้หนิงอ้ายไม่รู้ว่าจุดหมายที่ท่านอาจารย์จะพาไปนั้นจะเป็นที่ใด ตัวของหนิงอ้ายล้วนเชื่อฟังทำตามทั้งสิ้นอย่างไม่มีข้อแม้

หนึ่งชั่วยามหลังจากหนิงอ้ายที่ใช้วิชาตัวเบา ตรงหน้าเห็นเป็นหมู่บ้านหนึ่งที่ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นถิ่นทุรกันดารในโลกเดิมของเขาไม่น้อย ฟังว่าเมืองนี้เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ ไม่มีชื่อที่ซ่อนตัวอยู่ในเขตหุบเขา

ทุกครั้งที่เหวินหวู่ออกจากสำนักอาจจะด้วยเพราะภารกิจที่ได้รับมาหรืออาจเป็นการตามหาสมุนไพร หากว่ามีเวลามากเพียงพอตนก็จะแวะอยู่ทุกครั้งเหมือนในครั้งนี้ ทุกคนในหมู่บ้านแม้ไม่ทราบชื่อของชายชรา เเต่ถึงอย่างนั้นก็มีชื่อเรียกขานโดยทั่วกันว่าหมอเทวดา

ด้วยความห่างไกลจากความสะดวกสบายหลายด้าน อีกทั้งหมู่บ้านไร้ชื่อนี้ยังมีอาณาเขตติดกับค่ายกลป้องกันของทางสำนัก จึงมีความแปรปรวนของลมปราณฟ้าดินเป็นอย่างมาก ความหนาแน่นของลมปราณฟ้าดินนี้ยังได้เรียกสัตว์อสูรระดับสูงเข้ามาในบริเวณนี้เช่นกัน

แม้จะดูเป็นผลดีสำหรับสัตว์อสูรและสมุนไพรต่าง ๆ เเต่ถึงอย่างนั้นสิ่งเหล่านี้ก็ส่งผลเสียต่อผู้คนในหมู่บ้าน เนื่องจากได้รับกระทบบางอย่างจึงไม่สามารถปลุกพลังวิญญาณได้ แรงอาฆาตตามสัญชาติญาณของสัตว์อสูรที่เเผ่ออกมาทั้งตั้งใจหรือไม่ตั้งใจนั้นก็ส่งผลให้ร่างกายของทุกคนในหมู่บ้านไม่ค่อยเเข็งรงเท่าไหร่นัก ซึ่งก็ได้ความเมตตาจากเหวินหวู่ที่คอยมาดูเเลที่นี่อยู่เสมอไม่ขาด

การกระทำโดยที่ไม่หวังตอบเเทนนี้ยิ่งส่งเสริมให้ตัวตนของเหวินหวู่ผู้เป็นอาจารย์ยิ่งสูงส่งในสายตาของหนิงอ้าย ยิ่งทำให้เด็กหนุ่มยิ่งเคารพในความเมตตาและคุณธรรมของอาจารย์ของตนคนนี้อีกหลายเท่า

หลังจากเดินทางไปอีกไม่กี่ชั่วยาม บรรยากาศรอบตัวจึงมืดครึ้มลง ห้วงเวลาเเห่งรัตติกาลค่อยคืบคลานมาอย่างช้า ๆ ภาพตรงหน้าคือหมู่บ้านไร้ชื่อนี้ที่อาจารย์ได้กล่าวถึง เป็นไปตามที่อาจารย์ได้บอกไว้ก่อนหน้า ด้วยสภาพแวดล้อมที่มองไปทางทิศใดก็เจอเเต่ภูเขาสูง เเม่น้ำขนาดกลางใหญ่ที่ไหลผ่านเป็นดั่งเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงชาวบ้านในที่นี้

บ้านเรือนที่มีเพียงไม่กี่สิบหลังเท่านั้น บ้างก็ทำขึ้นจากดิน บ้างก็ทำจากไม้สลับกันไป เขาที่เป็นผู้ฝึกตนยังสัมผัสได้ว่าลมปราณฟ้าดินที่อยู่โดยรอบนี้มีความหนาแน่นและบริสุทธิ์ด้อยไปจากพื้นที่ในตำหนักของตนไม่กี่ส่วนเท่านั้น ทุกพื้นที่ต่างมีกลิ่นอายของสัตว์อสูรระดับสูงที่คาดว่าน่าจะเป็นสัตว์อสูรระดับนภาขึ้นไป หากว่าเทียบกับผู้ฝึกตนเเล้วก็ถือได้ว่าเป็นตัวตนราชทินนามเทวะวิญญาณหรือราชทินนามราชันวิญญาณเลยทีเดียว กับชาวบ้านทั่วไปที่ไม่ได้เป็นผู้ฝึกตนแล้ว กลิ่นอายเหล่านี้จึงไม่ต่างไปจากดาวข่มที่คอยบั่นทอนพลังชีวิตกันเลยทีเดียว

ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!

ไม่ทันหนิงอ้ายที่กำลังจะเอ่ยขึ้นเพื่อเตือนให้กับอาจารย์ เสียงระเบิดหนึ่งดังขึ้นจากทิศทางของหมู่บ้านเรียกความสนใจจากทั้งสองไม่ต้องเอ่ยสิ่งใดให้มากความ เหวินหวู่สบตามองหนิงอ้ายก่อนที่จะพุ่งตัวไปทางทิศที่มีเสียงดังเมื่อครู่นี้ ไม่รอช้าหนิงอ้ายจึงเร่งลมปราณของตนพร้อมกับใช้เคล็ดวิชาตัวเบาที่คุ้นเคยในทันที...

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   ( -จบเล่ม ปฐมบท 3.2- ) บทที่ 174 ความวุ่นวายที่สิ้นสุดลง

    ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 173 สมบัติเทพมารจุติ

    ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 172 การปรากฎตัวของผู้ขายวิญญาณ

    คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 171 ผู้ท้าทายที่กล้าหาญ

    การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 170 กฎเกณฑ์ที่เปลี่ยนแปลงไป

    หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 169 ผู้ผ่านการทดสอบ

    ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status