แชร์

บทที่​16 โชคชะตา ฟ้าลิขิต

last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-02-07 16:30:33

กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วทั้งห้อง ร่างไร้วิญญาณที่ถูกชโลมด้วยโลหิตสีแดงฉานมากมายชวนให้รู้สึกคลื่นเหียนอยู่ไม่น้อยแก่ผู้พบเห็น แต่ด้วยทุกคนในที่นี้ต่างโลดแล่นอยู่ในเส้นทางของผู้ฝึกตนเป็นเวลาหลายปี ดังนั้นย่อมเคยพบเจอเหตุการณ์ฆ่าฟันเช่นนี้ทั้งสิ้น ที่น่าแปลกใจคือหนิงอ้ายที่เป็นผู้ลงมือกระทำนั้นกลับไร้ความตกใจราวกับว่านี่เป็นสิ่งที่คุ้นชินเสียอย่างนั้น

''นักฆ่าเหล่านี้แม้จะเป็นร่างไร้วิญญาณไปแล้วก็จริง แต่อย่างไรขึ้นชื่อว่าผู้ฝึกตนย่อมมีพลังลมปราณไหลเวียนอยู่ในจุดชีพจรทั่วทั้งร่างกายที่ไม่แตกต่างไปจากสัตว์อสูร หากปล่อยทิ้งเอาไว้เช่นนี้คงเสียเปล่าเป็นแน่ เช่นนั้นข้าจะนำร่างไร้วิญญาณของนักฆ่าเหล่านี้ให้กับเจียวซิ่นขอรับ...''

แม้ว่าสิ่งที่หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นมาจะชวนให้ตกตะลึงในความรู้สึก เพราะการที่สัตว์อสูรในพันธะสามารถดูดซับลมปราณจากร่างไร้วิญญาณของสัตว์อสูรนั้นไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน แล้วยิ่งกับร่างไร้วิญญาณของผู้ฝึกตนเช่นนี้ย่อมไม่เคยมีผู้ใดกระทำทั้งสิ้น แต่ถึงอย่างไรคำกล่าวของหนิงอ้ายก็ไม่มีผิดถูกเช่นกัน

หวังฮุ่ยได้สั่งการองครักษ์ทั้งสามให้แยกย้ายกันไปเก็บกวาดร่างไร้วิญญาณของนักฆ่าสังหารที่นับดูแล้วมีจำนวนมากถึงสิบร่างเลยทีเดียวก่อนที่จะรวบรวมไว้ตรงบริเวณด้านข้างของเรือน บ่าวรับใช้ที่เหลือต่างรีบเร่งทำความสะอาดและสำรวจความเสียหายที่เกิดขึ้น เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นเรียบร้อยจึงได้แยกย้ายกันไปพักผ่อนเพราะล่วงเลยเวลามามากแล้ว

''คุณชายจะจัดการร่างไร้วิญญาณของนักฆ่าสังหารเหล่านี้อย่างไรดีขอรับ?'' ลู่ซีถามออกมา

วูบ!

มหาพฤกษารัตนะทมิฬสัตว์อสูรในพันธะของหนิงอ้ายได้ปรากฏขึ้นอีกครั้ง ด้วยตอนนี้หนิงอ้ายเป็นถึงราชทินนามจักรพรรดิวิญญาณขั้นสามัญแล้ว ดังนั้นเจียวซิ่นที่เป็นสัตว์อสูรในพันธะจึงถือได้ว่าเป็นสัตว์อสูรที่นับว่าเป็นการพัฒนาก้าวกระโดดเลยทีเดียว รูปลักษณ์จำแลงของอีกฝ่ายตอนนี้ไม่ต่างไปจากต้นไม้โบราณที่ยังคงไร้ซึ่งใบเช่นเดิมเพียงแต่มีลวดลายสีแดงคล้ำสีเขียวเข้มสลับไปมา เมื่อเทียบกับครั้งแรกที่ได้พบเจอกันในตอนนี้ผิวส่วนเปลือกด้านนอกเป็นสีน้ำตาลดำสนิทหาได้เหมือนตอนนี้ไม่

''จัดการได้เลยนะเจียวซิ่น...''

สิ้นเสียงของหนิงอ้าย บริเวณโดยรอบส่วนโคนต้นของอสูรมหาพฤกษารัตนะทมิฬได้ปรากฏเป็นกับดักบุปผามรณะสีแดงเลือดนี้มีรูปลักษณ์คล้ายกับแจกันทรงสูงมีฝาปิด รยางค์สีเขียวเข้มยืดยาวทำหน้าที่ไม่ต่างแขนขาที่จับร่างไร้วิญญาณเข้าไปยังส่วนด้านในที่มีของเหลวไว้สำหรับดูดซึมโดยเฉพาะ ใช้เวลาเพียงไม่นานร่างไร้วิญญาณนับสิบร่างได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยไร้ซึ่งเสียงใดให้รับรู้ราวกับเป็นความตายอันสงบยิ่ง ไม่คาดคิดว่าอสูรสังกัดปราณธาตุไม้ที่เกิดการกลายพันธ์จะสามารถทำเช่นนี้ได้

''ขอบใจมากนะเจียวซิ่น เจ้ากลับเข้าไปพักผ่อนเสียเถอะ!'' หนิงอ้ายลูบอีกฝ่ายไปเบา ๆ ก่อนที่ร่างจำแลงนี้จะหายเข้าไปในมิติจิต

วูบ!

''ข้าว่าคุณชายกลับเข้าเรือนไปอาบน้ำชำระร่างกายก่อนดีกว่าขอรับ นี่ก็เป็นเวลาดึกมากแล้ว...''

''เช่นนั้นรบกวนท่านลุงฮุ่ยเฝ้าระวังในคืนนี้ด้วยนะขอรับ เผื่อพวกมันอีกกลุ่มจะย้อนกลับมา'' หนิงอ้ายหันหน้าบอกกับหวังฮุ่ยที่ยืนอยู่ด้านข้าง ก่อนที่จะเดินตามลู่ซีกลับเข้าไปในเรือนไปในทันที...

แสงแดดสะท้อนเป็นประกายระยิบระยับ สายลมอ่อนพัดเฉื่อยตลบอบอวนไปด้วยกลิ่นหอมจากดอกไม้นานาชนิด เสียงนกและแมลงตัวเล็ก ๆ ต่างขับขานเป็นท่วงทำนองไพเราะเสนาะหู เขาสัมผัสได้ว่าเยว่ซินผู้เป็นมารดามีเรื่องราวอึดอัดอยู่ภายในใจเป็นอย่างมากเเต่นางเลือกที่จะไม่เอ่ยอันใดออกมา หลังจากทานมื้อเช้าเสร็จสิ้นหนิงอ้ายจึงชวนลู่ซีไปยังลานฝึกตรงป่าไผ่หลังเรือน ด้วยเพราะรับรู้ได้ว่ามารดาคงมีเรื่องพูดคุยปรึกษาที่เขาไม่อาจอยู่รับฟังได้ตอนนี้

หนิงอ้ายมุ่งตรงไปยังบริเวณส่วนด้านของหลังเรือนเล็ก ที่ตอนนี้ถูกปรับเปลี่ยนเป็นลานกว้างสำหรับฝึกฝนวรยุทธ ด้วยสภาพโดยรอบโอบล้อมไปด้วยป่าไผ่เรียงรายเป็นซุ้มสวยงามร่มรื่น อากาศเต็มไปด้วยพลังลมปราณฟ้าดินอันบริสุทธิ์ไหลเวียนหนาแน่นกว่าบริเวณอื่นในจวนตระกูลจางด้วยเพราะแรงหนุนจากจี้หยกโลหิตที่หนิงอ้ายสวมใส่อยู่ตลอดเวลานั่นเอง

นอกจากนี้หนิงอ้ายยังทำที่ออกกำลังเองโดยเลียนแบบจากโลกเดิม ทางซ้ายมือของลานฝึกเขาได้จัดการขุดหลุมฝังเสาไม้ที่มีความสูงลดหลั่นกันมาวางเรียงเป็นทางยาว ด้านบนพาดด้วยไม้เนื้อดียาวไปตามแนวเสา ทางขวางได้วางไม้ลักษณะคล้ายกับบันไดไว้สำหรับการออกกำลังแขนคล้ายกับบาร์โหนเพื่อเพิ่มความแข็งแรงและยืดหยุ่น อีกด้านหนึ่งได้ทำการปักเสาขนาดใหญ่ข้างลานฝึกด้านขวาหลายต้นโดยด้านบนจะถูกเจาะรูเพื่อเสียบไม้เนื้อดีทนทานและแขวนถุงผ้าที่ห่อหุ้มหนาหลายชั้นด้านในถูกยัดนุ่นของแต่ละชั้นผ้าเช่นเดียวกันซึ่งเขาเอาไว้สำหรับการซ้อมท่าทางมวยไทยตามที่เขาได้ฝึกมาก่อนหน้านี้

ตรงกลางของลานฝึกได้ปรับหน้าดินให้เรียบไว้สำหรับฝึกฝนการต่อสู้โดยเฉพาะ ก่อนหน้านี้ทั้งเขาและลู่ซีมักจะทำการประลองกันในทุกสามวันอยู่เสมอ เพื่อทดสอบฝีมือรวมไปถึงการใช้บทเวทย์ต่างเพื่อให้ร่างกายคุ้นชินกับสิ่งเหล่านี้มากที่สุดยามที่ต้องลงการประลอง โดยแต่ละครั้งจะมีกฎข้อห้ามในการประลองฝีมือซึ่งจะเปลี่ยนไปในทุกครั้งไม่เหมือนเดิม บางครั้งใช้ได้เพียงแค่วรยุทธ์ บางครั้งงดใช้ปราณธาตุในการต่อสู้ บางครั้งห้ามใช้บทเวทย์หรือแม้กระทั่งมีการกำหนดพื้นที่เล็ก ๆ หากถูกผลักออกจากเขตดังกล่าวก็จะเป็นผู้แพ้ไป ข้อดีของการฝึกแบบนี้ก็คือยิ่งมีข้อจำกัดหรือกฎข้อห้ามในการประลองเท่าใดก็จะยิ่งท้าทายความสามารถมากยิ่งขึ้นตามไปด้วย

สำหรับหนิงอ้ายแล้วต่อให้เขาออกกำลังและฝึกฝนวรยุทธ์ได้คล่องแคล่ว รวมไปถึงการใช้บทเวทย์ในการต่อสู้หรือสถานการณ์ต่าง ๆ ร่างกายของหนิงอ้ายในตอนนี้ก็ยังคงรูปลักษณ์บอบบางเช่นเดิมแทบไม่เปลี่ยน มีเพียงความสูงเท่านั้นที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย แม้รูปร่างของเขาจะดูสูงโปร่งกว่าสตรีในวัยเดียวกันหรือกับท่านแม่แล้วด้วยความสูงถึงร้อยเจ็ดสิบห้า แต่เมื่อเทียบกับบุรุษทั่วไปหนิงอ้ายก็ยังสูงน้อยกว่าถึงครึ่งศรีษะ

บรรดาพี่น้องร่วมบิดาที่เป็นบุรุษอีกสองคนต่างมีร่างกายที่สูงใหญ่แม้จะอายุน้อยกว่าเขาก็ตาม หนิงอ้ายได้แต่ปลอบใจว่าตอนนี้เขาเป็นเพียงแค่อายุสิบห้าปีเท่านั้นยังมีเวลาให้ร่างกายได้เติบโตมากกว่านี้อีก แต่ถึงอย่างไรก็ตามพละกำลังของเขานั้นพูดได้ว่าเกือบเทียบเท่ากับร่างเดิมในโลกเก่าของเขาเสียด้วยซ้ำ เมื่อชั่งใจดูและหาเหตุผลปลอบใจได้แล้วเขาก็พอทำใจยอมรับได้อยู่บ้าง

''ตอนนี้เจียวซิ่นเป็นอย่างไรบ้างขอรับหลังจากกินร่างไร้วิญญาณของพวกนักฆ่าเมื่อคืนที่ผ่านมามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นหรือไม่ขอรับ?'' ลู่ซีเอ่ยถามขึ้น จริงอยู่ที่ว่าสัตว์อสูรของหนิงอ้ายสามารถจะดูดซับลมปราณจากร่างไร้วิญญาณของสัตว์อสูรเพื่อยกระดับพลังวิญญาณ เเต่กับร่างของผู้ฝึกตนนั้นทั้งเขาและคุณชายต่างไม่แน่ใจเท่าใดนักว่าจะเกิดผลดีหรือผลเสียต่อมันเท่าใดเมื่อคิดอย่างนี้จึงเป็นกังวลใจอยู่บ้างด้วยความเป็นห่วง

''ข้าลองเรียกเเล้วเเต่เจียวซิ่นไม่มีการตอบกลับ คงต้องใช้เวลาในการปรับสมดุลอยู่เป็นแน่เพราะเหล่าบรรดาร่างไร้วิญญาณของนักฆ่าเหล่านั้นต่างมีระดับสูงไม่น้อย...'' หนิงอ้ายเอ่ยตอบกลับลู่ซีไป เเต่เขาเชื่อว่าสิ่งนี้ย่อมส่งผลดีแก่เจียวซิ่นมากกว่าผลเสีย เพราะหากสามารถดูดซับพลังปราณจากร่างของสัตว์อสูรได้แล้ว สำหรับร่างไร้วิญญาณของผู้ฝึกตนก็คงให้ผลลัพธ์ที่ไม่แตกต่าง

''คุณชายอยู่คนเดียวได้ใช่หรือไม่? ข้าต้องขอตัวไปจัดการความเรียบร้อยที่เรือนช่วยบ่าวรับใช้คนอื่น ๆ ขอรับ''

''เจ้าไปเถอะไม่ต้องห่วงข้า อย่างไรโดยรอบนี้ต่างอยู่ในเขตแดนที่ท่านลุงฮุ่ยได้เสริมความแข็งแกร่งแล้ว อีกทั้งบรรดาองครักษ์ก็อยู่ไม่ไกลจากจุดนี้อีกด้วย...'' เมื่อลู่ซีเห็นว่าทุกอย่างเป็นไปตามที่คุณชายของตนได้กล่าว เขาจึงสบายใจขึ้นไม่น้อยก่อนที่จะแยกตัวกลับไปทางเรือนพัก

สองเท้าของหนิงอ้ายก้าวเดินอย่างมั่นคงไปยังบริเวณส่วนกลางป่าไผ่อันเป็นที่ประจำในการดูดซับลมปราณฟ้าดิน สถานที่ลับแห่งนั้นเต็มไปด้วยความสงบร่มรื่น เวลาที่ลมพัดมาบรรดาต้นไผ่สีเขียวสบายตาต่างเอนไปตามเเรงลมส่งเสียงเสียงเบา ๆ ราวกับต้องการปลอบประโลม เมื่อไปถึงใจกลางของป่าไผ่เเล้วหนิงอ้ายจึงทรุดตัวนั่งลงครุ่นคิดในบางสิ่ง

กลางคืนที่ผ่านมาหนิงอ้ายรู้สึกตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าทุกสิ่งที่อยู่รอบตัวของเขานั้นว่างเปล่าไร้ซึ่งสรรพสิ่งหันมองไปทางใดมีเเต่ความมืดมิดสุดลูกหูลูกตา…

'นี่มันที่ใดกัน?' หนิงอ้ายเอ่ยพร้อมมองไปโดยรอบสังเกตทุกอย่างอย่างระมัดระวัง

วูบ!

ขณะที่หนิงอ้ายเดินสำรวจไปพื้นที่โดยรอบนั้นพลันปรากฏเเสงสีขาวรัศมีเจิดจ้าขึ้นบริเวณตรงหน้า เมื่อรัศมีเเสงสีขาวหายไปจึงปรากฏเป็นเงาร่างบางเบา ใบหน้างามนั้นประดับด้วยรอยยิ้ม ดวงตากลมโตสีดำบริสุทธิ์ชวนให้หลงไหล เส้นผมสีปีกกายาวสยายไปถึงกลางหลังที่ถูกมัดเพียงครึ่ง ปิ่นหยกแกะสลักเนื้องามที่ปักอยู่ดูคุ้นตายิ่ง ไม่ต้องเรียกใช้เนตรแห่งสวรรค์ก็รับรู้ได้ทันทีว่าเงาของร่างกายดังกล่าวที่มีรูปร่างหน้าตาที่เหมือนกับเขาราวกับแกะแตกต่างกันเพียงสีผม หนิงอ้ายมั่นใจว่าร่างที่ปรากฏตรงหน้าจางหนิงอ้ายเจ้าของร่างตัวจริง

'เจ้าต้องการร่างกายของเจ้าคืนใช่หรือไม่? จางหนิงอ้าย...' หนิงอ้ายถามออกไปอย่างคาดเดา

'ในที่สุดเราก็เจอกันเสียทีนะขอรับ...พี่ชาย' ร่างวิญญาณของเด็กหนุ่มไม่เลือกที่จะตอบคำถาม

'พี่ชาย? เจ้าหมายถึงอย่างไรกัน...' นทีถามกลับไปด้วยความสงสัย

'ความจริงแล้วท่านแม่เยว่ซินได้ให้กำเนิดบุตรชายถึงสองคนในคืนนั้น แต่ด้วยเพราะโชคชะตาสวรรค์ลิขิตท่านจึงได้จากโลกใบนี้ไปอย่างน่าเสียดายและได้เกิดใหม่ในโลกที่ท่านจากมา...'

'เมื่อถึงคราวที่ข้าสิ้นวาสนาแล้ว ประจวบเหมาะกับท่านในโลกนั้นได้สิ้นใจเช่นกัน ด้วยสายใยแห่งพันธะที่พันผูกจึงได้หนุนนำให้ท่านเข้ามาอยู่ในร่างกายของข้าเช่นนี้ขอรับ...'

'เจ้ามาพบข้าเพื่ออะไรหรือต้องการเอาร่างนี้คืนใช่หรือไม่?'

'ไม่เลยขอรับเวลาของข้าได้หมดลงแล้ว... '

'เช่นนี้ไม่ต่างไปจากข้าเป็นฝ่ายที่แย่งร่างกายของเจ้าคงไม่ผิดไปนัก'

'หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ ยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่ข้ายังไม่อาจบอกท่านได้ในตอนนี้ แต่อยากให้ท่านระลึกไว้เสมอว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ล้วนมีเหตุผลทั้งสิ้นขอรับ...'

'ข้าก็ได้เเค่คิดอยู่เช่นกันว่าจะได้เจอเจ้าบ้างหรือไม่ แล้วที่นี่เป็นที่ใดโลกแห่งวิญญาณอย่างนั้นรึ?' นทีเปลี่ยนเรื่องคุยพร้อมกับสังเกตไปโดยรอบ

'ใช้คำนั้นได้เช่นกันขอรับ สถานที่เเห่งนี้มีเพียงจิตวิญญาณที่ได้รับการยอมรับเท่านั้นจึงจะเข้ามาได้…' ร่างโปร่งเเสงของเด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นพร้อมกับยกยิ้มเล็กน้อย

'เจ้าเสียใจหรือไม่?' หนิงอ้ายถามกลับไป

'เสียใจ? ข้าเพียงเสียใจที่หลังจากนี้จะไม่ได้รับการโอบกอดจากท่านแม่แล้วเพียงเท่านั้น อย่างไรข้าฝากท่านดูเเลมารดาของเราให้ดีที่สุดและขอฝากลู่ซีบ่าวรับใช้คนสนิทที่คอยอยู่เคียงข้างข้าเสมอด้วยนะขอรับ...' หนิงอ้ายรู้สึกราวกับว่าถูกฝากฝังสิ่งที่สำคัญที่สุดของอีกฝ่ายไว้ สิ่งที่วิญญาณเด็กหนุ่มเรียกร้องนั้นไม่ได้หนักหนาเลยสักนิด แม้เขาจะอยู่ในร่างนี้ได้ไม่นานเเต่ก็สัมผัสได้ถึงความรักที่ตนได้รับจากมารดาและการดูเเลที่ได้รับโดยเฉพาะลู่ซีนั้นไม่ใช่เป็นเเค่บ่าวคนสนิทเเต่เป็นเพื่อนสนิทคนเเรกในโลกนี้ของเขาเสียด้วยซ้ำ

'จากนี้เจ้าไม่ต้องเป็นกังวลสิ่งใด สัญญาว่าจะทำให้ดีที่สุดไว้ใจข้าได้อย่างแน่นอน...' หนิงอ้ายตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงมั่นคง เป็นดั่งคำสัตย์สัญญาระหว่างทั้งสอง

'ถึงเวลาที่ข้าต้องไปในที่ที่สมควรเเล้ว หวังว่าซักวันหนึ่งเราทั้งสองจะได้พบกันอีกนะขอรับ...' ทันทีที่กล่าวจบ ใบหน้างดงามเผยยิ้มออกมาราวกับว่าได้ปลดค้างสิ่งที่อยู่ในใจไปเสียสิ้น

'จากนี้ไปร่างกายนี้เป็นของท่านแล้วอย่างสมบูรณ์...' เสียงของเด็กหนุ่มดังขึ้นก่อนที่สติของหนิงอ้ายจะดับวูบไปโดยไม่ทันตั้งตัว

ร่างวิญญาณของเด็กหนุ่มได้สลายกลายเป็นรัศมีแสงสีขาวนวลเลือนรางเป็นกลุ่มหมอกควันลอยไปทั่วบริเวณ บางส่วนล่องลอยโอบล้อมไปทั่วทั้งตัวของหนิงอ้ายและร่างวิญญาณของเด็กหนุ่มตรงหน้า ไม่ถึงชั่วจิบชาก็พลันเลือนหายไปสิ้น บริเวณพื้นดังกล่าวเหลือเพียงเเต่สถานที่อันมืดมิดสุดสายตาไร้ที่สิ้นสุดราวกับว่าเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ไม่เกิดขึ้น ต่อไปนับจากนี้ หนทางจะเป็นอย่างไรล้วนขึ้นอยู่กับว่าหนิงอ้ายผู้นี้จะขีดเขียนเส้นทางเดินใหม่อย่างไร?

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   ( -จบเล่ม ปฐมบท 3.2- ) บทที่ 174 ความวุ่นวายที่สิ้นสุดลง

    ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 173 สมบัติเทพมารจุติ

    ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 172 การปรากฎตัวของผู้ขายวิญญาณ

    คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 171 ผู้ท้าทายที่กล้าหาญ

    การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 170 กฎเกณฑ์ที่เปลี่ยนแปลงไป

    หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 169 ผู้ผ่านการทดสอบ

    ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status