“อะไรนะ ข้าน่ะหรืออยากเป็นพระชายาของเจ้าอ๋องหน้าโหดนั่น”
“คุณหนูเจ้าคะ! พูดเช่นนั้นหาได้ไม่ นี่ท่านเป็นอะไรไปเจ้าคะเหตุใดจึงได้กล่าวถึงเชื้อพระวงศ์เช่นนั้น ท่านอ๋องเป็นถึงหมิงชินอ๋อง อ๋องแม่ทัพใหญ่คุมดินแดนบูรพาที่ผู้คนยำเกรง เป็นคนที่น่าชื่นชมและ…”
“พอเถอะ ๆ เอาล่ะข้ารู้แล้วว่าเขายิ่งใหญ่ เทียมฟ้าทัดเทียมฮ่องเต้มากเพียงใด”
“คุณหนูนี่ท่านมิได้ชื่นชอบท่านอ๋องแล้วหรือเจ้าคะ”
“เขามาจับข้าถึงในจวน เอาไปขังไว้ในคุกใต้ดินแล้วปล่อยให้จางลี่เหมยมาทำร้ายข้า คนเช่นนี้เจ้ายังจะให้ข้าชอบเขาได้ลงอีกงั้นหรือ ข้ามิใช่คนโง่เช่นนั้นสักหน่อย”
“แต่ว่าก่อนหน้านี้…”
“ก่อนหน้านั้นก็คือเรื่องที่ผ่านมาแล้ว ตอนนี้ข้าตาสว่างแล้วล่ะ”
“นี่ท่านตัดใจจากท่านอ๋องได้แล้วจริง ๆ หรือ ท่านแปลกไปมากเลยนะเจ้าคะ”
“แปลกหรือ เจ้าจะบอกว่าก่อนหน้านั้นข้า… เฮ้อ นั่นสินะข้าพอจะเข้าใจแล้ว”
นางจำได้ว่าเจ้าของร่างคลั่งรักอ๋องผู้นี้มากเพียงใด ต่อให้เขาพูดจาแรง ๆ ใส่นางหรือแม้จะโยนของที่นางให้ออกมานอกจวนต่อหน้า กงเหรินซินก็ไม่สนใจและคิดว่าท่านอ๋องเพียงแค่กริ้วเท่านั้น นางไม่เคยลดละต่อความพยายามจนเป็นที่กล่าวขานทั่วทั้งเมืองหลวง
“ช่างโง่จริง ๆ เสียด้วยสิ”
“เจ้าคะคุณหนู”
“เปล่า ๆ ไม่มีอะไร เจ้าออกไปเถอะข้าอยากอยู่คนเดียวสักพัก”
“เจ้าค่ะ”
เมื่อได้เดินสำรวจในจวนแม่ทัพที่กว้างใหญ่นี้ นางก็พบว่าทั้งจวนมีพื้นที่กว้างมากจริง ๆ เรือนของนางจะอยู่ทางตะวันตกและพี่ชายคนรองจะพักอยู่ที่เรือนใหญ่ บัดนี้บิดาและพี่ชายคนโตของนางจะไม่อยู่ นางใช้เวลาถึงสองวันกว่าจะเดินสำรวจจนรอบและพบว่าด้านหลังมีโรงฝึกอาวุธและชายป่าหลังจวนก็เหมาะที่จะฝึกวรยุทธ์
“เช่นนี้ก็เยี่ยมไปเลย หากฝึกวิชาที่นี่ก็ไม่ต้องมีผู้ใดรบกวน… หอหลัวต๋า ใช่แล้วต้องไปที่นั่นก่อน”
สองวันถัดมา / ในเมือง
“คุณหนูเจ้าคะ ท่านแน่ใจหรือว่าอยากจะมาที่หอหลัวต๋า ที่นั่นมิได้เหมาะ… คุณหนู”
“อาเจิงเจ้านั่งรอข้าอยู่ที่นี่ ข้าจะไปคนเดียว"
“แต่ว่ามันอันตราย ข้าจะปล่อยให้ท่านไปคนเดียวหาได้ไม่”
“ไม่เป็นไร หากว่ามีเจ้าไปด้วยข้าจะยิ่งลำบาก เจ้านั่งรออยู่ที่นี่”
“เจ้าค่ะ”
อาเจิงเดินตามเหรินซินที่สวมชุดบุรุษ ซึ่งไปขโมยมาจากห้องของพี่ชายคนโตมาสวม เมื่อเดินเข้ามาในโรงเตี๊ยมขนาดใหญ่ที่อยู่ใจกลางเมืองหลวง อาเจิงจึงเดินแยกไปนั่งรอที่โต๊ะส่วนนางเดินไปที่โต๊ะของผู้ดูแลทันที
“คุณชายท่านนี้ มิทราบว่ามีสิ่งใดให้ข้าช่วยหรือไม่ขอรับ”
“เมฆาจรดพสุธา ไม่มีสิ่งใดที่ไม่รู้”
ผู้ดูแลมองหน้าคู่สนทนาด้วยความสนใจก่อนจะตอบกลับมา
“เจ็ดบรรพตมีสิ่งใดกั้นอยู่”
กงเหรินซินดึงพัดขึ้นมาพร้อมกับหันมายิ้มและตอบกลับในประโยคสุดท้าย
“ทุกสรรพสิ่งล้วนดุจหมอกควัน ไม่มีสิ่งใดที่ไร้คำตอบหากต้องการ”
ผู้ดูแลคำนับให้นางหนึ่งครั้งก่อนที่จะให้คนพานางเดินขึ้นไปยังชั้นสองของโรงเตี๊ยมชื่อดัง ตอนนี้กงเหรินซินฟื้นฟูวรยุทธ์ได้เกือบทั้งหมดแล้ว เหลือเพียงบำรุงร่างกายของเจ้าของร่างให้ทนเหนื่อยได้มากกว่านี้อีกนิดนางก็จะเป็นเยว่ชิงชิงในร่างของกงเหรินซินได้อย่างสมบูรณ์
ห้องลับ
เพียงแค่เดินขึ้นมาบนชั้นสองนางก็ได้พบกับความแปลกใจที่ต้องเดินไปยังห้องลับที่อยู่ด้านหลังซึ่งถูกทำขึ้นมาเพื่องานนี้โดนเฉพาะ เมื่อเปิดเข้าไปก็พบบุคคลสวมหน้ากากนั่งรออยู่ด้านใน
“คุณหนูท่านนี้ มิทราบว่าวันนี้มีสิ่งใดให้หอหลัวต๋ารับใช้งั้นหรือ”
เพียงปราดเดียวผู้ที่นั่งอยู่ก็ทราบทันทีว่านางมิใช่ผู้ชาย นับว่าเป็นยอดฝีมืออย่างแท้จริง กงเหรินซินไม่อ้อมค้อมเช่นกันเพราะนางเองก็เคยอยู่ในยุทธภพมาก่อน จึงยื่นกระดาษให้เขาทันที
“ข้าต้องการสิ่งนี้”
ผู้ดูแลรับกระดาษมาและเปิดอ่านดู เมื่ออ่านดูในกระดาษสลับกับเงยหน้าขึ้นมามองนางก็เกิดคำถามชวนอยากรู้ขึ้นมา
“กระบี่อ่อนงั้นหรือ แล้วต้องทำจากเหล็กตงหยวนชั้นดี คุณหนูท่านคิดเช่นไรจึงอยากจะสั่งให้หอหลัวต๋าของเราหาสิ่งนี้ให้ เจ้าเป็นสตรีที่ดูบอบบาง…เหตุใดจึงต้องการสิ่งนี้”
เพียงพริบตาเดียวดาบที่ชั้นก็ถูกนางดึงมาและพาดมาที่คอของผู้ดูแลทันที องครักษ์สองคนด้านหลังพร้อมชักดาบออกมาแต่กงหลินซินก็ดึงดาบออกมาและโยนกลับไปสวมในฝักอย่างแม่นยำได้เช่นเดิม
“กระบวนท่ารวดเร็วว่องไวดุจสายลม พลิ้วไหวดุจน้ำแต่ใจร้อนดุจไฟ ท่านมาจากสำนักไป๋ซานเพียงแต่ผู้ที่ใช้กระบวนท่านี้ข้าได้ข่าวว่านางตายไปแล้วมิใช่หรือ”
“ท่านจะหาสิ่งที่ข้าต้องการได้เร็วที่สุดเมื่อใด”
ผู้ดูแลมองกงเหรินซินอย่างพินิจอีกครั้ง ก่อนจะตัดสินใจตอบนางไป
“ครึ่งเดือนเป็นอย่างน้อยเพราะต้องให้ช่างเหล็กฝีมือดีทำขึ้นมา”
“นั่นช้าเกินไป สิบวัน”
“หึหึ สมกับเป็นยอดหญิงในยุทธภพ แต่ข้ากลับไม่เคยทราบเลยว่าคุณหนูตระกูลแม่ทัพจะเคยร่ำเรียนที่สำนักกระบี่อันดับหนึ่งมาก่อน”
“ว่าราคามาเถอะ ข้ายังมีอีกเรื่องอื่นที่จะให้ท่านทำ”
“สองร้อยตำลึง รับแต่เงินสดไม่มีมัดจำ ต้องจ่ายราคาเต็มเท่านั้น”
ตั๋วเงินวางลงบนโต๊ะทันที
“นี่…”
“ข้าจ่ายให้ท่านสองร้อยห้าสิบตำลึง หวังว่าจะเร่งมือทำเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด หากว่าได้ก่อนสิบวันยิ่งดี”
“เช่นนั้นข้ารับรองว่าท่านจะได้รับสินค้าที่พึงใจแน่นอน คุณหนูกงท่านมีเรื่องใดที่จะให้หอหลัวต๋าจัดการอีก”
“ที่แท้ท่านก็รู้ตั้งแต่แรกว่าข้าเป็นใคร สมกับเป็นหอสืบข่าวอันดับหนึ่งที่รอบรู้ทุกเรื่องในใต้หล้า หวังว่าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวังนะ”
กระดาษอีกแผ่นถูกส่งไปให้ผู้ดูแลหอหลัวต๋า เมื่อเขาอ่านเสร็จจึงได้หันมามองหน้านางซึ่งเขาแอบนึกสงสัยอยู่ไม่น้อย
“ท่านต้องการทราบเรื่องของสำนักไป๋ซานงั้นหรือ”
“ใช่ ข้ายินดีจ่ายตามที่ท่านเรียกมาแต่ขอทราบโดยละเอียด”
“เช่นนั้นรอสักครู่ ข้าจะให้คนคัดรายงานมาให้ว่าแต่ท่านต้องการทราบเรื่องใดเป็นพิเศษหรือไม่”
“ข้าอยากทราบเรื่องราวตั้งแต่ก่อนที่เจ้าสำนักคนเก่าตาย และสถานการณ์ของสำนักไป๋ซานในตอนนี้ว่าเป็นอย่างไรบ้าง”
“เช่นนั้นท่านรอสักครู่ ข้าจะรีบให้คนจัดการให้”
กงเหรินซินควักเงินออกมา แต่ผู้ดูแลกลับยกมือขึ้นมาห้ามนางอีกครั้ง
“คุณหนูกง ข้ายินดีที่ได้ร่วมงานกับท่าน แต่จำนวนเงินที่ท่านจ่ายมาให้มากพอที่จะทำงานสองอย่างนี้แล้ว อย่างมากแค่ข่าวของสำนักไป๋ซานก็ไม่เกินสามสิบตำลึง พวกข้าทำการค้าอย่างยุติธรรม ท่านจ่ายมาเกินแล้วดังนั้น เงินที่เหลือท่านเก็บเอาไว้เถอะ”
“ขอบคุณผู้ดูแล”
“มิกล้า ๆ เชิญท่านนั่งดื่มชารอสักครู่ ข้าจะรีบให้คนนำรายงานมาให้ท่าน”
“ขอบคุณ ต้องรบกวนท่านแล้ว”
เมื่อได้รายงานจากหอหลัวต๋า กงเหรินซินจึงรีบเดินออกมาจากโรงเตี๊ยมและตรงกลับจวนทันทีก่อนที่กงอวี้หานจะกลับถึงจวน เมื่อมาถึงก็รีบเปลี่ยนชุดและเครื่องแต่งกายและรีบอ่านรายงานที่ได้มาจากหอหลัวต๋า ซึ่งนับว่ารายละเอียดแทบจะไม่ต่างกับสิ่งที่นางเคยประสบมาราวกับได้กลับไปยังคืนนั้นอีกครั้ง แต่นางเปิดอ่านเพียงไม่นานอาเจิงก็เดินเข้ามาแจ้งว่ามีคนผู้หนึ่งมารอพบนางอยู่ที่โถงด้านหน้า
“คุณหนูเจ้าคะ”
“มีอะไร เหตุใดเจ้าทำหน้าตาตระหนกเช่นนี้”
“ท่านอ๋องมาขอพบคุณหนูเจ้าค่ะ ตอนนี้พระองค์ประทับอยู่กับคุณชายรองที่ห้องโถงด้านหน้าเจ้าค่ะ”
สามวันถัดมา“เสด็จแม่ ยังอีกไกลหรือไม่เพคะ”“ไหนว่าเจ้าจะไม่บ่นอย่างไรเล่าเซียนเอ๋อร์ นี่แค่ทางขึ้นเขาเองเจ้าก็บ่นเสียแล้ว”“ข้าแค่รู้สึกเวียนหัวเพราะรถม้ามันโยกนี่เพคะ”“มานั่งตักพ่อเถอะจะได้นิ่มหน่อย มาสิ”หมิงชิงเซียนขยับไปนั่งตักบิดาซึ่งทั้งกว้างและนิ่มเมื่อท่านอ๋องวางตำราลงและหันมามองหน้าพระชายาที่แง้มหน้าต่างและเริ่มมองออกไปข้างนอก“เจ้าคงไม่คิดที่จะอยู่ที่สำนักไป๋ซานนานนักหรอกนะ ถึงอย่างไรตอนนี้เจ้าก็เป็นพระชายาหมิงชินอ๋อง หาใช่สตรีอันดับหนึ่งในยุทธภพไม่”“ท่านกังวลเกินไปแล้ว ข้าแค่อยากจะมองดูรอบ ๆ เท่านั้นว่าต่างไปจากเดิมหรือไม่”“เสด็จพ่อ ลูกจะต้องมาฝึกที่นี่จริง ๆ หรือเพคะ”“เจ้าอยากจะมาหรือไม่เล่าเซียนเอ๋อร์”“ลูกเองก็ไม่รู้ แต่ลูกอยากจะเก่งเหมือนเสด็จแม่เพคะ”“เจ้าเป็นลูกของแม่ก็ต้องเก่งและยอดเยี่ยมเหมือนแม่เจ้าอยู่แล้ว ยอดหญิงอันดับหนึ่งในใต้หล้ามีเพียงเสด็จแม่ของเจ้าเท่านั้น”“แต่เหตุใดบางคืนข้าถึงได้ยินเสียงท่านแม่ร้องแปลก ๆ เล่าเพคะ”เหรินซินหันมามองพักตร์ท่านอ๋องในทันทีเมื่อได้ยินเสียงบุตรสาวกล่าวขึ้นมา ท่านอ๋องนึกขำเมื่อเห็นใบหน้าของพระชายาที่เริ่มแดงจัดจนถึงใบหู“เซ
แปดปีต่อมา“ชิงเซียน ได้เวลาอาบน้ำแล้ว”“เพคะเสด็จแม่ แต่ว่าข้ายังอยากฝึกดาบอยู่”“วันนี้พอแค่นี้ก่อนเถอะ น้าอันเมี่ยนของเจ้าเหนื่อยแล้วอีกเดี๋ยวเสด็จพ่อเจ้าก็จะกลับมาจากในวัง จะถูกตำหนิเอาได้นะ”“ก็ได้เพคะ”“ข้าพานางไปเองเพคะ”“ฝากเจ้าด้วยนะอาเจิง”“เพคะพระชายา”อาเจิงพา “หมิงชิงเซียน” บุตรสาวของท่านอ๋องในวัยสี่ขวบครึ่งไปอาบน้ำตามคำสั่งของพระชายากงเหรินซิน ไม่นานเมื่อทั้งคู่เดินไปท่านอ๋องก็กลับเข้ามาในตำหนัก พระองค์เดินตรงมาหานางที่นั่งรออยู่ศาลาริมสวนซึ่งชิงเซียนใช้ฝึกดาบกับอันเมี่ยน“ท่านพี่”“เหตุใดเจ้าถึงได้มานั่งที่นี่คนเดียว เซียนเอ๋อร์เล่าไปไหนแล้ว”“ข้าให้อาเจิงพานางไปอาบน้ำแล้วเพคะ เหตุใดวันนี้ท่านพี่จึงกลับเร็วนักเล่าเพคะ”“รีบกลับมาหาเจ้าน่ะสิ เตรียมของทุกอย่างแล้วหรือ”“เสร็จเรียบร้อยแล้วเพคะ อากาศเริ่มเย็นลงอีกแล้วคิดว่าครั้งนี้คงไม่หนาวเท่าปีก่อน หยางเอ๋อร์จะได้ไม่ลำบากมาก”“เจ้าก็เอาแต่เป็นห่วงบุตรชายของเจ้า เขาไปฝึกที่สำนักไป๋ซานร่วมปีแล้วน่าจะชินกับอากาศแล้วกระมัง อีกอย่างยังมีอาจารย์อย่างเฉินกวนคอยส่งข่าวมาให้ไม่ขาด ยังเป็นห่วงอีกหรือ”“แต่หยางเอ๋อร์ยังเด็กนะเพคะ เส
“อ๊าา…. อ๊าา ไม่ไหวแล้ว มันจุกมาก อื้อ….”เหรินซินทั้งกัดฟัน ทั้งอ้าปากระบายความเสียวออกมาเมื่อท่านอ๋องจับบั้นท้ายนางกระแทกลงมาถี่ ๆ เพื่อรับมังกรยักษ์ที่สอดอยู่ด้านใน ไม่นานร่างเล็กก็ถูกเขาจับพลิกให้นอนตะแคง ขาข้างหนึ่งถูกยกขึ้นมา อ้อมกอดของพระสวามีกระชับเข้ามาจนชิดและถูกเขากระแทกอีกครั้ง พร้อมกับหน้าอกที่ถูกนิ้วสากหนานั้นบดขยี้ที่ยอดจนแตะทางสวรรค์ไปอีกครั้ง“อ๊าา….”ครึ่งชั่วยามถัดมา“ท่านพี่เพคะ พอแล้วได้หรือไม่ข้าขอพัก อ๊าา!!”หน้าต่างทุกบาน รวมถึงประตูถูกลงกลอนจนหมดสิ้น บัดนี้เหรินซินได้หลงกลท่านอ๋องเพราะคำพูดหวาน ๆ นั่นเสียแล้ว ใครจะคิดว่าหลังจากที่เปิดประตูให้พระสวามีเข้ามา นางจะไม่ได้พักและแทบจะหายใจไม่ทันอยู่แล้วกับศึกรักที่โหมกระหน่ำ จนเผาไหม้ทุกอย่างที่ขวางหน้าเช่นนี้“อ๊าา ท่านพี่ อย่าเลียนะ! เราพึ่งจะ อ๊าา….”แต่ท่านอ๋องมิได้ใส่ใจ ลิ้นของเขายังคงซอกซอนเข้าไปยังร่องรักที่เปียกชื้นทั้งน้ำของเขาและนาง เหรินซินเหงื่อไหลท่วมและแทบจะสิ้นเรี่ยวแรงแต่ก็มิอาจทัดทานความปรารถนาของท่านอ๋องที่มีต่อนางได้“อ๊าา….”เป็นอีกครั้งที่นางถึงฝั่งสวรรค์ แต่ท่านอ๋องก็มิได้เว้นช่วงให้นางพักเลยจร
ท่านอ๋องเดินไปยังเรือนหลังที่ตอนนี้เริ่มเงียบลงแล้วหลังจากที่รอสาวใช้ของเหรินซินเดินออกมา เว่ยเซียวที่หลบอยู่ด้านหลังก็ค่อย ๆ ไปที่ประตูแต่ปรากฏว่าประตูถูกลงกลอนเอาไว้“อะไรเนี่ย ปิดประตูงั้นหรือ”“ท่านคิดว่าจะเข้ามาในห้องข้าได้ง่าย ๆ งั้นหรือ”“เจ้า! ร้ายนักนะอาซิน”เสียงของเหรินซินดังออกมาจากด้านในเขาจึงรู้ว่าติดกับเข้าแล้ว พระชายาของเขามิใช่คนโง่ที่จะไม่รู้แผนการตื้นเขินเช่นนี้ แต่ในเมื่อพ่อตาสอนมาแล้วทุกอย่าง เช่นนั้นคืนนี้เขาจะไม่มีทางยอมแพ้เป็นอันขาด“อาซิน… เปิดประตูให้ข้าเข้าไปหน่อยสิ ข้าอยากจะคุยกับเจ้าจริง ๆ นะ อีกอย่าง…”“ท่านกลับไปดื่มสุรากับพี่ใหญ่และท่านพ่อจะดีกว่า มายืนอยู่ตรงนี้ก็ไม่มีความหมาย หม่อมฉันไม่มีทางเปิดประตูให้พระองค์”“เจ้ากลายเป็นคนใจร้ายเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน เจ้าจะยอมให้สามีของตัวเองถูกยุงกัดตายอยู่ตรงนี้งั้นหรือ หากเจ้าไม่เปิดข้าก็จะยืนเฝ้าอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหนทั้งนั้น คอยดูสิว่าข้าจะตายก่อนหรือว่าเจ้าจะใจอ่อนก่อน”“เช่นนั้นก็เชิญท่านอ๋องยืนเฝ้ายามหน้าประตูต่อไปนะเพคะ จะได้รู้ว่าเหล่าองครักษ์ต้องลำบากเพียงใด”“เดี๋ยวสิ! นี่กงเหรินซินมันจะเกินไปแล้ว อย่าใ
สองเดือนถัดมา“ยอดไปเลย ข้าพึ่งจะเคยเห็นกระบวนท่าของ “กระบี่วารีพิสุทธิ์” เต็มตาก็วันนี้เอง เว่ยเซียวท่านเริ่มสงสัยตั้งแต่เมื่อใดว่านางมิใช่ซินเอ๋อร์แต่เป็นเยว่ชิงชิง"“ครั้งแรกที่ข้าเห็นนางแอบฝึกที่โรงฝึกของพวกเจ้าข้าก็เริ่มสงสัยว่านางมิใช่กงเหรินซิน ยอดไปเลยใช่ไหมเล่า”“เรื่องอัศจรรย์เช่นนี้ ไม่คิดมาก่อนเลยว่าจะเกิดขึ้นจริง ๆ”“นั่นสิ ว่าแต่เจ้าเถอะตอนที่ไปสำนักไป๋ซาน ไม่เห็นเคยบอกข้าเลยว่านางคือใคร”“ตอนนั้นข้ารับปากท่านพ่อแล้วว่าจะไม่เปิดเผยฐานะของนาง และจะไม่บอกว่าตัวเองเป็นใคร ได้แต่เฝ้ามองนางห่าง ๆ และคอยช่วยเหลือในสิ่งที่ข้าพอจะช่วยได้ ทั้งกระบี่ที่ท่านพ่อสั่งทำแล้วมอบให้และเงินที่ฝากเอาไว้กับอาจารย์โดยไม่บอกให้นางรู้”“ข้านับถือเจ้านะที่ปกปิดความลับมาได้นานขนาดนี้ หากเป็นข้าก็คงอยากจะเผยตัวตนตั้งแต่แรก”“ใช่ว่าข้าไม่อยาก เพียงแต่ว่า…”“เพราะกงเหรินซินสินะ ปากเจ้าพร่ำบ่นนางและด่านางเป็นประจำแต่ก็รักนางมากไม่ต่างกังกงอวี้หาน”“นั่นเป็นสิ่งที่ข้าเสียใจมากที่สุดในฐานะพี่ชาย ข้าควรจะดีกับนางเหมือนที่อวี้หานทำ”ท่านอ๋องตบไหล่ของจ้าวหนาน สหายและเพื่อนร่วมสำนักของเขา ท่านอ๋องพอจะรู้
สามวันถัดมา / สุสานสกุลกง “ซินเอ๋อร์ เนี่ยเอ๋อร์ พวกเจ้าคงจะได้พบกันแล้วสินะ ฝากดูแลนางด้วยนะ”“ซินเอ๋อร์ พี่ใหญ่ไม่เคยอยากจะทะเลาะกับเจ้าเลยสักครั้ง พี่ทำผิดต่อเจ้าที่คอยเปรียบเทียบเจ้ากับคนอื่น ชาติหน้าหากมีจริงขอให้พี่ได้มีโอกาสเป็นพี่ชายที่ดีของเจ้าอีกสักครั้งเถอะนะ”ตุ๊กตาไม้ที่แกะด้วยมือของกงจ้าวหนานวางลงที่หน้าป้ายวิญญาณน้องสาวผู้ล่วงลับ เขาทำมันขึ้นมาระหว่างออกศึกและเก็บเอาไว้นานกว่าสิบปีแต่ไม่มีโอกาสได้ให้กงเหรินซิน เพียงเพราะนางเอาแต่โวยวายและโมโหทุกคนที่ไม่เข้าข้างนาง เขาจึงเก็บตุ๊กตาไม้นี้เอาไว้ตลอด กงอวี้หานเดินมาตบไหล่ของพี่ใหญ่ที่ยืนอยู่หน้าป้ายวิญญาณของน้องสาวที่ทำขึ้นมาในสุสานของสกุลกง“พี่ใหญ่ท่านอย่าคิดมากเลย ซินเอ๋อร์เองก็มิได้โกรธท่านจริง ๆ หรอก ที่นางเอาแต่ใจก็แค่อยากให้ท่านหันไปสนใจนางเท่านั้นเอง”“ข้าไม่เคยได้มีโอกาสขอโทษ หรือทำดีกับซินเอ๋อร์เลยสักครั้ง จนกระทั่ง…”“พี่ใหญ่ ตอนนี้คนร้ายก็ได้ชดใช้ให้กับน้องเล็กแล้ว ท่านอย่าได้โทษตัวเองอีกเลยนะเจ้าคะ”“เจ้าพูดถูก แม้ว่านางจะไม่อยู่แล้วแต่ตอนนี้เจ้าเองก็อยู่ในร่างของนาง ทำดีกับเจ้าก็ไม่ต่างกับทำดีกับนาง”“ใช่แล้ว