“ท่านอ๋องงั้นหรือ เขามาทำอะไรที่นี่ข้าไม่อยากพบเขา ข้าไม่ไป”
“ไม่ไปไม่ได้เจ้าค่ะ คุณชายรองสั่งให้ท่านออกไปพบท่านอ๋องเจ้าค่ะ”
“อะไรนะ ทั้ง ๆ ที่พี่รองเป็นคนที่ถวายฎีกาฟ้องร้องเขาแต่เหตุใดจึงได้พาเขามาที่นี่กัน”
“เรื่องนี้ข้าว่าคุณหนูออกไปพบท่านอ๋องก็คงจะทราบดีเจ้าค่ะ”
“แค่ได้ยินชื่อก็หงุดหงิดแล้ว เหตุใดต้องไปพบหน้าเจ้าอ๋องหน้าโหดผู้นั้นด้วย”
“คุณหนูเจ้าคะ!”
“เอาเถอะ ไปก็ไปสิผู้ใดกลัวกันเล่า”
กงเหรินซินจำเป็นต้องวางรายงานที่อ่านค้างเอาไว้ในห้อง นางเก็บเอาไว้ในกล่องอย่างดีก่อนจะเดินออกมาจากห้องที่มีอาเจิงรออยู่ ไม่นานเมื่อเดินถึงห้องโถงก็พบว่าพี่ชายคนรองกำลังนั่งสนทนากับท่านอ๋องอยู่
“ท่านมาทำอะไรที่นี่”
สายตาของนางบ่งบอกได้ทันทีว่าไม่ยินดีต้อนรับผู้มาเยือน หมิงเว่ยเซียวหันมามองใบหน้าที่ยังดูซีดเซียว แต่สายตากับแข็งกร้าวไม่ต่างกับวันที่เขามาพบนางครั้งก่อน
“น้องสาม! อย่าเสียมารยาท”
“เสียมารยาทงั้นหรือ...”
“คุณหนูเจ้าคะ”
กงเหรินซินถอนหายใจแรง ๆ หนึ่งครั้งเพื่อให้ผู้ที่นั่งอยู่ได้รู้ตัวว่านางมิได้ยินดีที่ได้พบเขาแม้แต่น้อย นางคำนับย่อพอเป็นพิธีเพื่อทักทายเขา
“ถวายบังคมท่านอ๋องเพคะ”
“คุณหนูสามยังบาดเจ็บอยู่ไม่ต้องมากพิธีหรอก ที่ข้ามา…”
“เช่นนั้นก็ควรจะรีบบอก ข้าจะได้ไม่ต้องเสียเวลา”
เพียงแค่คำเดียวกลับทำให้ท่านอ๋องกัดกรามแน่น เดิมทีเขาเพียงคิดว่ากงเหรินซินแค่ไร้มารยาทและดื้อดึงตามประสาเท่านั้น แต่ไม่คิดว่าเรื่องในครั้งก่อนที่เขาพานางไปสอบสวนยังคุกใต้ดิน จะทำให้นางมีท่าทางเช่นนี้ได้
“เจ้านั่งก่อนเถอะ กระหม่อมต้องขอประทานอภัยท่านอ๋องด้วยพ่ะย่ะค่ะคือว่าน้องสาม...”
“เอาเถอะข้าพอจะเข้าใจคุณชายรองไม่ต้องเอ่ยมากความ เรื่องในครั้งก่อนข้ามีส่วนผิดที่ทำให้นางถูกทำร้าย ถ้าอย่างไรข้าขอคุยกับนางเป็นการส่วนตัวสักครู่ได้หรือไม่”
“ไม่ได้ หากท่านอยากพูดอะไรก็รีบพูดมา ข้าไม่มีเวลาจะฟังท่านมาก ไม่ต้องประดิษฐ์คำมากมายข้ามิใช่เชื้อพระวงศ์เช่นพวกท่าน”
“น้องสาม อย่าเสียมารยาท”
กงเหรินซินไม่แม้แต่จะมองพี่ชายของตนเอง สายตาของนางหันมามองพักตร์ที่เย็นชาและคมคาย แม้ว่าเขาจะไม่ได้ทำสีหน้าโมโหเฉกเช่นวันแรกที่นางพบก็ตาม
“ไม่เป็นไร ข้าไม่ถือโทษนางหรอกคุณชายรอง”
“เช่นนั้นกระหม่อมคงต้องขอตัวก่อน เชิญพระองค์ตามสบายพ่ะย่ะค่ะ”
“ขอบใจมาก”
นับตั้งแต่นางก้าวเข้ามายังห้องโถงนี้ สายตาของเหรินซินก็จดจ้องมายังหมิงเว่ยเซียวอย่างไม่ลดละ แต่หาใช่ความชื่นชมอย่างเดิมไม่ กลับเป็นแววตาของคนที่กำลังโกรธและแค้นเคือง
ท่านอ๋องหันไปมององครักษ์ข้างกาย แม้ว่าตันฉินจะไม่ได้อยากออกไป แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งก่อนเขาเองก็มีส่วนผิดที่ปล่อยให้จางลี่เหมยเข้าไปทำร้ายนางที่คุกใต้ดินได้
“ที่ข้ามาที่นี่ในวันนี้เพราะอยากจะขอโทษเจ้า”
“ไม่จำเป็นเพคะ หม่อมฉันไม่รับ”
“กงเหรินซิน เรื่องครั้งก่อนที่เกิดขึ้นข้ามีส่วนผิด”
“หึ แค่มีส่วนผิดงั้นหรือ ท่านพาข้าออกจากจวนไปสอบสวนในคุกซึ่งเป็นที่คุมขังนักโทษเดนตาย อีกทั้งยังปล่อยให้สตรีของท่านเข้าไปทำร้ายข้าถึงในนั้น หายไปเกือบครึ่งเดือนพึ่งจะนึกได้ว่าจะต้องมาขอโทษ ไม่คิดว่าท่านอ๋องจะความรู้สึกช้าเช่นนี้”
‘คำพูดของนางช่างร้ายกาจสมกับที่ร่ำลือ ข้าพึ่งจะเคยประสบพบเจอกับสตรีที่ปากร้ายเช่นนี้ กงเหรินซินเจ้าเป็นคนเช่นไรกันแน่นะ’
“ขอโทษด้วยที่ข้ามิได้มาเร็วกว่านี้ เพราะเห็นว่าเจ้ายังบาดเจ็บและข้าเองก็…”
“ท่านคงต้องรีบกลับไปดูแลน้องสาวสินะ เช่นนั้นก็รีบกลับไปเถอะ”
หมิงเว่ยเซียวทำตัวไม่ถูกเลยจริง ๆ เมื่อกงเหรินซินที่เปลี่ยนไปมากถึงขนาดที่เขารู้สึกเกร็งเวลาคุยกับนาง เมื่อก่อนแค่เขาหันไปมองนางก็มักจะทำเอียงอายและยิ้มให้ แม้เขาจะกล่าวตำหนิหรือทำเป็นไม่สนใจแต่นางก็มักจะไม่ยอมแพ้ แต่นี่นางนั่งนิ่ง ๆ และมองเขาด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปมากถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน หรือว่าเกิดจากเรื่องในวันนั้นที่คุกใต้ดินในจวนอ๋องของเขา
“เรื่องในวันนั้นข้าเป็นคนผิดเอง ดังนั้นจึงได้ส่งยาชั้นดีมาให้เจ้าหลังจากที่ทราบเรื่อง โชคดีที่เจ้าดีขึ้นแล้วมิเช่นนั้น…”
“ท่านว่าอะไรนะ ยาที่ข้ากิน…”
กงเหรินซินพึ่งจะรู้ว่ายาที่ใช้รักษาอาการของนางก่อนหน้านี้ถูกส่งมาจากจวนท่านอ๋อง มิน่าเล่าอาการของนางจึงได้ฟื้นตัวเร็ว ยังเหลือเพียงแผลที่ถูกแส้ของจางลี่เหมยฟาดเท่านั้นที่ยังไม่หายดี นางยังรู้สึกเจ็บจนบางครั้งก็เผลอนั่งห่อหลังเพราะความแสบร้าวซึ่งท่านอ๋องทรงทราบดีว่าผิวเนื้อของสตรีบอบบางเช่นนางย่อมทนไม่ได้แน่
“วันนี้ที่ข้ามาก็เพื่อมาขอโทษ เรื่องที่ข้าเป็นต้นเหตุทำให้เจ้าบาดเจ็บ แล้วก็แวะมาเยี่ยมเจ้าด้วย”
“ขอบพระทัยท่านอ๋องเพคะ หม่อมฉันสบายดีแล้วเพคะ เช่นนั้นหากไม่มีอะไรแล้ว...”
“เดี๋ยวก่อน”
ท่านอ๋องทรงหยิบขวดยาออกมาจากปกเสื้อและเดินนำมาวางที่โต๊ะข้าง ๆ นาง เขามองดูสีหน้าและอาการของคนตรงหน้า บัดนี้แม้แต่ความเอียงอายหรือใบหน้าที่มักจะแดงก่ำเพียงแค่เขาเดินเข้ามาใกล้ ๆ ก็ไม่มีให้เห็น ราวกับว่านางมิใช่กงเหรินซินที่เคยรู้จักมาตลอดหลายปีนี้
“นี่คือสิ่งใดเพคะ”
“ยาต้านชวนเป็นยาสมานแผลชั้นดีที่ได้มาจากแดนบูรพา ข้ารู้ว่าที่หลังของเจ้ายังมีรอยแผลจากแส้ดังนั้นจึงได้ให้คนนำมาให้ หวังว่าจะช่วยให้อาการบาดเจ็บของเจ้าดีขึ้น”
“ยาต้านชวน” ยาสมานแผลชั้นดีที่นางก็รู้จักเป็นอย่างดี อาจารย์ของนางมักจะใช้ยานี้มาให้นางรักษาแผลที่ได้มาจากการฝึกกระบี่ เมื่อเห็นขวดยาก็ทำให้นางรู้สึกคิดถึงจนแสดงสีหน้าแปลก ๆ ออกมา ทำให้หมิงเว่ยเซียวรู้สึกแปลกใจเมื่อนางหยิบขวดยานั้นไปทันที
“ขอบพระทัยท่านอ๋องเพคะ”
“เหตุใดเจ้าจึงดูดีใจเพียงเพราะยาแค่ขวดเดียว”
“ข้า.. คือหม่อมฉัน… ไม่มีอะไรเพคะ”
ท่านอ๋องรู้สึกแปลกพระทัยไม่น้อยเมื่อคนตรงหน้าใช้น้ำเสียงที่อ่อนโยนลงกับเขา เพียงแค่ยาขวดเดียวแต่กลับทำให้นางเปลี่ยนท่าทีไปเช่นนี้ นี่ถึงจะเป็นท่าทางของกงเหรินซินที่เขาคุ้นเคย
“แม้ว่าวันนี้ข้าจะมาเยี่ยมเจ้า แต่เรื่องที่เจ้าถูกคนทำร้ายในจวนข้า กับเรื่องที่เกิดขึ้นในวังเป็นคนละเรื่องกัน ต่อให้เสด็จพ่อจะสั่งมิให้สืบสวนต่อแต่ข้า…”
กงเหรินซินหุบยิ้มและเปลี่ยนท่าทีไปในทันทีเมื่อท่านอ๋องตรัสเรื่องนี้ออกมา นางหันไปมองพักตร์ที่เริ่มตรัสแบบไม่เต็มน้ำเสียงเมื่อเห็นสายตาเย็นชาของนางอีกครั้ง
“ท่านว่าอย่างไรนะ เช่นนั้นที่ท่านมาในวันนี้ก็เพียงแค่อยากจะบอกว่า ต่อให้ข้าถูกทำร้ายที่จวนของท่านจนปางตายก็ยังไม่คิดที่จะหยุดสงสัยว่าข้าเป็นผู้ลอบสังหารน้องสาวของท่านงั้นหรือ”
“เรื่องที่เจ้าถูกทำร้าย ข้าสั่งลงโทษผู้กระทำผิดอย่างเต็มที่ไปแล้ว และเรื่องที่เกิดขึ้นแน่นอนว่าต้อง…นั่นเจ้าทำอะไร”
กงเหรินซินโยนขวดยาคืนไปให้ท่านอ๋องที่ยืนตรัสอยู่ตรงหน้านาง แววตาแข็งกร้าวทำให้คู่สนทนาซึ่งเป็นถึงองค์ชายถึงกับชะงักไปในทันที พร้อมกับความตกใจและแปลกใจกับท่าทางที่นางแสดงออกมา
“ในเมื่อพระองค์มิได้ตั้งใจจะมาเยี่ยมอย่างที่ปากพูด เช่นนั้นยานี่ขออภัยที่หม่อมฉันมิอาจรับไว้ได้ หากท่านอ๋องไม่มีเรื่องใดแล้วหม่อมฉันขอตัวก่อน ทูลลาเพคะ”
สามวันถัดมา“เสด็จแม่ ยังอีกไกลหรือไม่เพคะ”“ไหนว่าเจ้าจะไม่บ่นอย่างไรเล่าเซียนเอ๋อร์ นี่แค่ทางขึ้นเขาเองเจ้าก็บ่นเสียแล้ว”“ข้าแค่รู้สึกเวียนหัวเพราะรถม้ามันโยกนี่เพคะ”“มานั่งตักพ่อเถอะจะได้นิ่มหน่อย มาสิ”หมิงชิงเซียนขยับไปนั่งตักบิดาซึ่งทั้งกว้างและนิ่มเมื่อท่านอ๋องวางตำราลงและหันมามองหน้าพระชายาที่แง้มหน้าต่างและเริ่มมองออกไปข้างนอก“เจ้าคงไม่คิดที่จะอยู่ที่สำนักไป๋ซานนานนักหรอกนะ ถึงอย่างไรตอนนี้เจ้าก็เป็นพระชายาหมิงชินอ๋อง หาใช่สตรีอันดับหนึ่งในยุทธภพไม่”“ท่านกังวลเกินไปแล้ว ข้าแค่อยากจะมองดูรอบ ๆ เท่านั้นว่าต่างไปจากเดิมหรือไม่”“เสด็จพ่อ ลูกจะต้องมาฝึกที่นี่จริง ๆ หรือเพคะ”“เจ้าอยากจะมาหรือไม่เล่าเซียนเอ๋อร์”“ลูกเองก็ไม่รู้ แต่ลูกอยากจะเก่งเหมือนเสด็จแม่เพคะ”“เจ้าเป็นลูกของแม่ก็ต้องเก่งและยอดเยี่ยมเหมือนแม่เจ้าอยู่แล้ว ยอดหญิงอันดับหนึ่งในใต้หล้ามีเพียงเสด็จแม่ของเจ้าเท่านั้น”“แต่เหตุใดบางคืนข้าถึงได้ยินเสียงท่านแม่ร้องแปลก ๆ เล่าเพคะ”เหรินซินหันมามองพักตร์ท่านอ๋องในทันทีเมื่อได้ยินเสียงบุตรสาวกล่าวขึ้นมา ท่านอ๋องนึกขำเมื่อเห็นใบหน้าของพระชายาที่เริ่มแดงจัดจนถึงใบหู“เซ
แปดปีต่อมา“ชิงเซียน ได้เวลาอาบน้ำแล้ว”“เพคะเสด็จแม่ แต่ว่าข้ายังอยากฝึกดาบอยู่”“วันนี้พอแค่นี้ก่อนเถอะ น้าอันเมี่ยนของเจ้าเหนื่อยแล้วอีกเดี๋ยวเสด็จพ่อเจ้าก็จะกลับมาจากในวัง จะถูกตำหนิเอาได้นะ”“ก็ได้เพคะ”“ข้าพานางไปเองเพคะ”“ฝากเจ้าด้วยนะอาเจิง”“เพคะพระชายา”อาเจิงพา “หมิงชิงเซียน” บุตรสาวของท่านอ๋องในวัยสี่ขวบครึ่งไปอาบน้ำตามคำสั่งของพระชายากงเหรินซิน ไม่นานเมื่อทั้งคู่เดินไปท่านอ๋องก็กลับเข้ามาในตำหนัก พระองค์เดินตรงมาหานางที่นั่งรออยู่ศาลาริมสวนซึ่งชิงเซียนใช้ฝึกดาบกับอันเมี่ยน“ท่านพี่”“เหตุใดเจ้าถึงได้มานั่งที่นี่คนเดียว เซียนเอ๋อร์เล่าไปไหนแล้ว”“ข้าให้อาเจิงพานางไปอาบน้ำแล้วเพคะ เหตุใดวันนี้ท่านพี่จึงกลับเร็วนักเล่าเพคะ”“รีบกลับมาหาเจ้าน่ะสิ เตรียมของทุกอย่างแล้วหรือ”“เสร็จเรียบร้อยแล้วเพคะ อากาศเริ่มเย็นลงอีกแล้วคิดว่าครั้งนี้คงไม่หนาวเท่าปีก่อน หยางเอ๋อร์จะได้ไม่ลำบากมาก”“เจ้าก็เอาแต่เป็นห่วงบุตรชายของเจ้า เขาไปฝึกที่สำนักไป๋ซานร่วมปีแล้วน่าจะชินกับอากาศแล้วกระมัง อีกอย่างยังมีอาจารย์อย่างเฉินกวนคอยส่งข่าวมาให้ไม่ขาด ยังเป็นห่วงอีกหรือ”“แต่หยางเอ๋อร์ยังเด็กนะเพคะ เส
“อ๊าา…. อ๊าา ไม่ไหวแล้ว มันจุกมาก อื้อ….”เหรินซินทั้งกัดฟัน ทั้งอ้าปากระบายความเสียวออกมาเมื่อท่านอ๋องจับบั้นท้ายนางกระแทกลงมาถี่ ๆ เพื่อรับมังกรยักษ์ที่สอดอยู่ด้านใน ไม่นานร่างเล็กก็ถูกเขาจับพลิกให้นอนตะแคง ขาข้างหนึ่งถูกยกขึ้นมา อ้อมกอดของพระสวามีกระชับเข้ามาจนชิดและถูกเขากระแทกอีกครั้ง พร้อมกับหน้าอกที่ถูกนิ้วสากหนานั้นบดขยี้ที่ยอดจนแตะทางสวรรค์ไปอีกครั้ง“อ๊าา….”ครึ่งชั่วยามถัดมา“ท่านพี่เพคะ พอแล้วได้หรือไม่ข้าขอพัก อ๊าา!!”หน้าต่างทุกบาน รวมถึงประตูถูกลงกลอนจนหมดสิ้น บัดนี้เหรินซินได้หลงกลท่านอ๋องเพราะคำพูดหวาน ๆ นั่นเสียแล้ว ใครจะคิดว่าหลังจากที่เปิดประตูให้พระสวามีเข้ามา นางจะไม่ได้พักและแทบจะหายใจไม่ทันอยู่แล้วกับศึกรักที่โหมกระหน่ำ จนเผาไหม้ทุกอย่างที่ขวางหน้าเช่นนี้“อ๊าา ท่านพี่ อย่าเลียนะ! เราพึ่งจะ อ๊าา….”แต่ท่านอ๋องมิได้ใส่ใจ ลิ้นของเขายังคงซอกซอนเข้าไปยังร่องรักที่เปียกชื้นทั้งน้ำของเขาและนาง เหรินซินเหงื่อไหลท่วมและแทบจะสิ้นเรี่ยวแรงแต่ก็มิอาจทัดทานความปรารถนาของท่านอ๋องที่มีต่อนางได้“อ๊าา….”เป็นอีกครั้งที่นางถึงฝั่งสวรรค์ แต่ท่านอ๋องก็มิได้เว้นช่วงให้นางพักเลยจร
ท่านอ๋องเดินไปยังเรือนหลังที่ตอนนี้เริ่มเงียบลงแล้วหลังจากที่รอสาวใช้ของเหรินซินเดินออกมา เว่ยเซียวที่หลบอยู่ด้านหลังก็ค่อย ๆ ไปที่ประตูแต่ปรากฏว่าประตูถูกลงกลอนเอาไว้“อะไรเนี่ย ปิดประตูงั้นหรือ”“ท่านคิดว่าจะเข้ามาในห้องข้าได้ง่าย ๆ งั้นหรือ”“เจ้า! ร้ายนักนะอาซิน”เสียงของเหรินซินดังออกมาจากด้านในเขาจึงรู้ว่าติดกับเข้าแล้ว พระชายาของเขามิใช่คนโง่ที่จะไม่รู้แผนการตื้นเขินเช่นนี้ แต่ในเมื่อพ่อตาสอนมาแล้วทุกอย่าง เช่นนั้นคืนนี้เขาจะไม่มีทางยอมแพ้เป็นอันขาด“อาซิน… เปิดประตูให้ข้าเข้าไปหน่อยสิ ข้าอยากจะคุยกับเจ้าจริง ๆ นะ อีกอย่าง…”“ท่านกลับไปดื่มสุรากับพี่ใหญ่และท่านพ่อจะดีกว่า มายืนอยู่ตรงนี้ก็ไม่มีความหมาย หม่อมฉันไม่มีทางเปิดประตูให้พระองค์”“เจ้ากลายเป็นคนใจร้ายเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน เจ้าจะยอมให้สามีของตัวเองถูกยุงกัดตายอยู่ตรงนี้งั้นหรือ หากเจ้าไม่เปิดข้าก็จะยืนเฝ้าอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหนทั้งนั้น คอยดูสิว่าข้าจะตายก่อนหรือว่าเจ้าจะใจอ่อนก่อน”“เช่นนั้นก็เชิญท่านอ๋องยืนเฝ้ายามหน้าประตูต่อไปนะเพคะ จะได้รู้ว่าเหล่าองครักษ์ต้องลำบากเพียงใด”“เดี๋ยวสิ! นี่กงเหรินซินมันจะเกินไปแล้ว อย่าใ
สองเดือนถัดมา“ยอดไปเลย ข้าพึ่งจะเคยเห็นกระบวนท่าของ “กระบี่วารีพิสุทธิ์” เต็มตาก็วันนี้เอง เว่ยเซียวท่านเริ่มสงสัยตั้งแต่เมื่อใดว่านางมิใช่ซินเอ๋อร์แต่เป็นเยว่ชิงชิง"“ครั้งแรกที่ข้าเห็นนางแอบฝึกที่โรงฝึกของพวกเจ้าข้าก็เริ่มสงสัยว่านางมิใช่กงเหรินซิน ยอดไปเลยใช่ไหมเล่า”“เรื่องอัศจรรย์เช่นนี้ ไม่คิดมาก่อนเลยว่าจะเกิดขึ้นจริง ๆ”“นั่นสิ ว่าแต่เจ้าเถอะตอนที่ไปสำนักไป๋ซาน ไม่เห็นเคยบอกข้าเลยว่านางคือใคร”“ตอนนั้นข้ารับปากท่านพ่อแล้วว่าจะไม่เปิดเผยฐานะของนาง และจะไม่บอกว่าตัวเองเป็นใคร ได้แต่เฝ้ามองนางห่าง ๆ และคอยช่วยเหลือในสิ่งที่ข้าพอจะช่วยได้ ทั้งกระบี่ที่ท่านพ่อสั่งทำแล้วมอบให้และเงินที่ฝากเอาไว้กับอาจารย์โดยไม่บอกให้นางรู้”“ข้านับถือเจ้านะที่ปกปิดความลับมาได้นานขนาดนี้ หากเป็นข้าก็คงอยากจะเผยตัวตนตั้งแต่แรก”“ใช่ว่าข้าไม่อยาก เพียงแต่ว่า…”“เพราะกงเหรินซินสินะ ปากเจ้าพร่ำบ่นนางและด่านางเป็นประจำแต่ก็รักนางมากไม่ต่างกังกงอวี้หาน”“นั่นเป็นสิ่งที่ข้าเสียใจมากที่สุดในฐานะพี่ชาย ข้าควรจะดีกับนางเหมือนที่อวี้หานทำ”ท่านอ๋องตบไหล่ของจ้าวหนาน สหายและเพื่อนร่วมสำนักของเขา ท่านอ๋องพอจะรู้
สามวันถัดมา / สุสานสกุลกง “ซินเอ๋อร์ เนี่ยเอ๋อร์ พวกเจ้าคงจะได้พบกันแล้วสินะ ฝากดูแลนางด้วยนะ”“ซินเอ๋อร์ พี่ใหญ่ไม่เคยอยากจะทะเลาะกับเจ้าเลยสักครั้ง พี่ทำผิดต่อเจ้าที่คอยเปรียบเทียบเจ้ากับคนอื่น ชาติหน้าหากมีจริงขอให้พี่ได้มีโอกาสเป็นพี่ชายที่ดีของเจ้าอีกสักครั้งเถอะนะ”ตุ๊กตาไม้ที่แกะด้วยมือของกงจ้าวหนานวางลงที่หน้าป้ายวิญญาณน้องสาวผู้ล่วงลับ เขาทำมันขึ้นมาระหว่างออกศึกและเก็บเอาไว้นานกว่าสิบปีแต่ไม่มีโอกาสได้ให้กงเหรินซิน เพียงเพราะนางเอาแต่โวยวายและโมโหทุกคนที่ไม่เข้าข้างนาง เขาจึงเก็บตุ๊กตาไม้นี้เอาไว้ตลอด กงอวี้หานเดินมาตบไหล่ของพี่ใหญ่ที่ยืนอยู่หน้าป้ายวิญญาณของน้องสาวที่ทำขึ้นมาในสุสานของสกุลกง“พี่ใหญ่ท่านอย่าคิดมากเลย ซินเอ๋อร์เองก็มิได้โกรธท่านจริง ๆ หรอก ที่นางเอาแต่ใจก็แค่อยากให้ท่านหันไปสนใจนางเท่านั้นเอง”“ข้าไม่เคยได้มีโอกาสขอโทษ หรือทำดีกับซินเอ๋อร์เลยสักครั้ง จนกระทั่ง…”“พี่ใหญ่ ตอนนี้คนร้ายก็ได้ชดใช้ให้กับน้องเล็กแล้ว ท่านอย่าได้โทษตัวเองอีกเลยนะเจ้าคะ”“เจ้าพูดถูก แม้ว่านางจะไม่อยู่แล้วแต่ตอนนี้เจ้าเองก็อยู่ในร่างของนาง ทำดีกับเจ้าก็ไม่ต่างกับทำดีกับนาง”“ใช่แล้ว