“ปลาชนิดนี้ปกติแล้วในวังหลวงจะไม่นิยมกินเพราะมีก้างมาก แต่ข้าจำได้ว่าปลาตะเพียนมีรสหวานหอมต่างจากปลาชนิดอื่น แม้จะคาวน้อยกว่าแต่ก็ยังถือว่ามีก้างมากจึงเป็นจุดด้อยของปลาชนิดนี้ ไม่ได้จัดอยู่ในหมู่ของปลาเนื้อแน่นเช่นนั้นการนำมาประกอบอาหารจึงรู้สึกด้อยลงไปไม่เหมือนปลาชนิดอื่นแต่ในวันนี้แม่นางน้อย นำพริกเสฉวนมาปรุงรสทำให้เนื้อปลามีความโดดเด่นแม้ปลาจะกินยากไปหน่อย แต่ความยากของการเลาะเอาก้างออกเพื่อที่จะได้ชิมรสชาติของปลาสดๆ ทำให้รู้สึกว่าคุ้มค่านี่เองคือหัวใจของอาหารอร่อย “
หยางลี่พยักหน้าขึ้นลงเห็นด้วยคำพูดของขันทีกวงซุน เสี่ยวหนี่ตะลึงตาค้างตบมือดังๆ ให้กับคำพูดของขันทีกวงซุน
“โห่ หลักการสุดๆ เป็นกรรมการมาสเตอร์เชฟป่าวนี่ นับถือๆ แบบนี้เชิญกินได้ตามสบายข้าละชอบจริงๆ คนที่รู้คุณค่าของอาหารและสามารถพูดชมได้อย่างมีศิลปะ “
“จริงๆ นะเจ้าค่ะคุณหนู หือปลานี่อร่อยจริงๆ เสี่ยวอี้ไม่เคยกินปลาที่ไหนอร่อยเท่ากับปลาย่างฝีมือคุณหนูมาก่อน”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่เท่าไหร่ๆ พูดแบบนี้ข้าก็เขินสิ “
คนทั้งหมดล้อมวงกินปลาย่างอย่างเอร็ดอร่อยก่อนที่หยางลี่จะขอตัวกลับเสี่ยวหนี่ยังแบ่งปลาตะเพียนตัวใหญ่ เสี่ยวหนี่ดึงปลาออกจากพวกใช้เถาวัลย์รอยไว้เสียบเข้าไปในกิ่งไม้ใช้หิ้วปลาแบบบ้านๆ ยื่นส่งให้หยางลี่
“เอานี่ ให้ท่าน เอากลับไปด้วยเผื่อระหว่างทางท่านหิวอีก”
หยางลี่อมยิ้มมองใบหน้าภาคภูมิใจของเสี่ยวหนี่แต่ก็ยอมรับไม้มาถือไว้ก่อนส่งให้ขันกวงซุนถือต่อ
” คุณหนูเจ้าขาไม่มีใครหิวระหว่างทางหรอกเจ้าค่ะ “เสี่ยวอี้กระตุกแขนเสี่ยวหนี่เบาๆ
“หึย คนเราก็หิวกันได้ทั้งนั้น อย่างน้อยก็มีปลาของข้าเป็นเสบียงในการเดินทาง ว่าแต่สหายผู้นี้เป็นคนที่ไหน”
“บ้านข้าอยู่ในเมืองหลวง หลังที่ใหญ่ที่สุด”
“หึยๆ แสดงว่าท่านบ้านรวยใช่ไหม ดีๆ ข้าชอบคบคนรวย”
“ฝ่า....คุณชาย อย่าได้ล้อคุณหนูเล่นแบบนั้นเลยขอรับ เดี๋ยวคุณหนูจะเข้าใจผิด ความจริงแล้วเราก็แค่พ่อค้าเดินทางรอนแรม ตอนนี้มุ่งหน้ายังวังหลวงก็เท่านั้น”
“ช่างเถอะ เอาปลาข้าไปแล้วคิดถึงข้าด้วยนะ หยอกหยอกกก ฮ่าฮ่าฮ่า”
ขันทีกวงซุนอดจะจ้องมองใบหน้าหยางลี่ที่เหมือนจะกลั้นขำไว้ไม่อยู่ นานแค่ไหนกันนะที่ไม่เห็นฝ่าบาทของเขาอารมณ์ดีขนาดนี้
ชวีหยาเดินไปเดินมา ใกล้เวลาเย็นแล้วแต่หยางลี่ยังไม่กลับจากการล่าสัตว์
“ท่านหัวหน้าองครักษ์ต้องรบกวนท่านแล้วล่ะ แถวนี้ถึงจะไม่มีอันตรายใดๆ แต่ฝ่าบาทกับกวงซุนอาจจะหลงทางได้ ท่านตามฝ่าบาทให้ข้า “
ตงเจี้ยนประสานมือตรงหน้า สั่งการกับองครักษ์นับสิบนาย
” กระจายกำลังอารักขาฝ่าบาทกลับกระโจมที่พัก “ตงเจี้ยนควบม้าออกจากที่พักอย่างรวดเร็ว
เสี่ยวหนี่กับเสี่ยวอี้เดินกลับเรือนคหบดีของตระกูลโจว เสียงควบม้ามาแต่ไกลมาจากทางด้านหลัง เสี่ยวอี้ดึงแขนเสี่ยวหนี่ให้หลบข้างทาง ฝีเท้าม้าหยุดลงเบื้องหลังของสองสาว
“แม่นางน้อยทั้งสองไม่ต้องกลัว ข้ามีเรื่องจะถามอะอะ ระวังงู! “
งูตัวหนึ่งตกใจเสียงฝีเท้าม้าตกลงมาจากต้นไม้เหนือหัว แต่คนที่ไวกว่างูคือหัวหน้าองครักษ์ตงเจี้ยนคว้าคอเจ้างูตัวนั้นไว้ก่อนที่จะร่วงลงบนศีรษะของเสี่ยวหนี่
“ย้ากกกกกกกฉับ” งูตัวใหญ่กัดฉับเข้าที่ข้อมือของตงเจี้ยนในทันทีเพราะเจ้างูเองก็ตกใจไม่น้อย ตงเจี้ยนกัดฟันข่มความเจ็บปวดก้มพินิจพิจารณาลักษณะของงูตัวนั้น เสี่ยวหนีอ้าปากค้างรีบเข้าประชิดตัวตงเจี้ยนคว้าคองูตัวใหญ่เหวี้ยงไปเสียอีกทาง
ตงเจี้ยนจะตกใจอะไรก่อนระหว่างเสี่ยวหนีคว้าคองูอย่างว่องไวปานหมองูหรือว่าตกใจที่เสี่ยวหนีมีใบหน้างดงาม
“แย่แล้ว เราต้องรีบ ต้องรีบแล้วพิษกำลังจะเล่นเข้าสู่หัวใจและตัวจะชาและต่อมาตาพร่ามัว อย่าหลับนะท่าน อย่าหลับนะ ไม่อย่างนั้นท่านจะตาย งูอะไร ตายแล้วต้องงูแมวเซาแน่เลย ตามที่เรียนลูกเสือมาเขาบอกว่าพิษงูแมวเซาจะทำให้ง่วงนอน (เอาจริงๆ เสี่ยวหนีก็รู้จักแต่งูแมวเซาจากเพลงงูแมวเซา งูแมวเซานั่นแหละ) ห้ามหลับ ตาปรือแล้ว เสี่ยวอี้ทำอย่างไรดี เสี่ยวอี้มีมีดไหมเปิดปากแผล ดูดเอาพิษออก”
ลากตงเจี้ยนลงจากหลังม้า เอื้อมมือตบไปที่ใบหน้าของตงเจี้ยนจนหน้าสั่นสองสามทีแล้วก้มลงดูพิษงูที่ข้อมือ ถ่มออก ดูดแล้วถ่มออก ตงเจี้ยนยิ้มส่ายหน้าไปมา
“แม่นางน้อยงูนี่คืองูสิงไม่มีพิษหรอก”
“งูสิง หางูมันสิงได้ด้วยหรือ แย่แล้วหมอปลา หมอปลาต้องเขาแล้ว ฟิชด็อกเตอร์ต้องมาแล้ว”
“คุณหนูเจ้าขา งูสิงคืองูที่ไม่มีพิษแล้วคืองูสิงนี่คือชื่อของมันเจ้าค่ะ” เสี่ยวหนี่ยิ้มแห้งๆ
“อ้าวเหรอ” ปล่อยมือตงเจี้ยนทันที ตงเจี้ยนเอื้อมมืออีกข้างเช็ดคราบเลือดที่ติดที่มุมปากให้อย่างอ่อนโยน เสี่ยวหนีมองข้อแขนที่เลือดไหลเป็นทางเพราะเขี้ยวของงูที่ฝังลงไปลึกไม่เบา
“เลือดออกนี่ ไปทำแผลที่บ้านข้าดีไหม บ้านข้าอยู่ตรงนี้เอง” ชี้มือไปยังเรือนคหบดีที่ยิ่งใหญ่ของหางโจวบ้านสกุลโจว
เสี่ยวหนี่ ที่นั่งกลางภูเขาเอกสารและปึกบัญชี เสี่ยวหนี่นั่งอยู่ที่ศาลาเล็กกลางสวน มือยังคงจัดเอกสารบัญชีและจดหมายร่างไว้มากมาย เสียงของเสี่ยวอี้ที่วิ่งกลับมาแว่วเข้ามาอย่างตื่นเต้น“คุณหนูเจ้าขาาา ข้าไปตามใต้เท้าอินเฉามาแล้วเจ้าค่ะ เขายินดีมากทีเดียวที่คุณหนูกลับมา”เสียงก้าวเท้าที่หนักแน่นและสงบก็ดังใกล้เข้ามา พ่อบ้านในชุดผ้าสีเข้มมองดูสะอาดเรียบร้อยก้าวเข้ามาหยุดยืนหน้าศาลา ร่างสูงใหญ่ของเขาท่าทางสุขุม ดวงตาคมสงบ สีหน้านิ่งแต่ไม่เย็นชา เขาเคยเป็นเงาของท่านโจวหลิวเยว่ อินเฉาผู้ไม่เคยห่างกายเจ้าบ้านแม้ครึ่งก้าวยามที่ค้าขายที่ทางสายไหม “คารวะคุณหนูรอง” อินเฉาโค้งตัวอย่างสุภาพ เสียงนุ่มทุ้มหนักแน่น เสี่ยวหนี่ลุกขึ้นเล็กน้อยแล้วยิ้มจางๆ “ท่านอาอินเฉา…ข้าดีใจที่ท่านยินดีกลับมาที่นี่”อินเฉาเงยหน้ามองเสี่ยวหนี่ ดวงตาหนักแน่นแฝงแววอ่อนโยน “ตราบใดที่บ้านโจวยังตั้งอยู่ ข้าย่อมไม่ไปไหน ในครานั้นนายท่านไม่อาจเดินทางค้าขายข้าเลยคิดว่าชีวิตข้าเงียบเหงาเหลือเกินคิดถึงช่วงเวลาที่ได้เดินทางรอนแรมเพื่อส่งสินค้า วันนี้ข้าจะไม่ยินดีได้อย่างไรในเมื่อคุณหนูอยากจะสานต่องานของนายท่านโจวข้า อินเฉา ยินด
กลิ่นหอมจากสมุนไพรต้มยาจางๆ ลอยล่องปะทะจมูก เสี่ยวหนี่ยืนเท้าเอวกลางลานหน้าบ้านใหญ่ของตระกูลโจว ดวงตาวับวาวเปล่งประกายเอาจริงเอาจังเหมือนนายช่างเอกผู้คุมงาน ทว่าใบหน้านั้นยังคงหวานละมุนในแบบของคุณหนูผู้เรียบร้อย“เจ้าไปช่วยช่างตีไม้ย้ายเสาโน่นให้ข้าหน่อย ส่วนตรงระเบียงห้ามใครเหยียบเด็ดขาด ข้าติดป้ายไว้แล้ว” เสียงใสของเสี่ยวหนี่ตวัดสั่งงานด้วยความคล่องแคล่ว ขณะมือหนึ่งกุมกระดาษแบบร่างของโรงเตี๊ยมที่วาดด้วยตนเองบ่าวไพร่ที่เคยชินกับความเงียบสงบของบ้านโจว บัดนี้กลับขะมักเขม้น เร่งมือตามคำสั่งของคุณหนูรองราวกับคนละคน ใบหน้าทุกคนแม้จะเหนื่อย แต่ก็มีรอยยิ้มจางๆ เพราะต่างเห็นความพยายามของคุณหนูรองที่ตั้งใจจะชุบชีวิตบ้านหลังนี้ใหม่อีกครั้ง“คุณหนูเหนื่อยหน่อยนะเจ้าคะ แต่พวกเราจะทำให้ดีที่สุดเลย” สาวใช้คนหนึ่งถือค้อนไว้ในมือ หันมายิ้มให้เสี่ยวหนี่ด้วยความชื่นชมเสี่ยวหนี่พยักหน้ารับพลางยิ้มให้ “ถ้าทุกอย่างเรียบร้อย ข้าจะทำเกี๊ยวน้ำใส่พุทราแดงกับซี่โครงตุ๋นแจกทุกคนเลย”เสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้นทั่วลาน เสี่ยวอี้ที่ยืนถือน้ำชาสมุนไพรอยู่ข้างๆ กระซิบเบาๆ“คุณหนูเจ้าคะ ตอนนี้ท่านโจวกำลังหลับอยู่นะ
แต่ยังไม่ทันจะสิ้นประโยค น้ำเสียงของไทเฮาก็ตัดบทขึ้นกลางลำอย่างสงบแต่เฉียบขาด“ตอนนี้ ข้าไม่สนใจเรื่องนั้น”ประโยคนั้น...เหมือนดาบฟันลงกลางเวทีสนทนา ทุกเสียงในห้องเงียบลงทันที ดวงตาของกุ้ยเฟยที่เคยมั่นคงสั่นไหววูบหนึ่ง จี้เหวินเองก็ชะงักนิ่งไปเช่นกันไทเฮาทรงทอดพระเนตรรอบห้องอีกครั้ง ดวงเนตรคมเฉียบของพระนางกวาดผ่านทุกคนราวจะเจาะทะลุเสื้อผ้าและเกราะป้องกันในจิตใจ แล้วตรัสช้าๆ ชัดทุกถ้อยคำ“เรื่องความรักของผู้ใดกับผู้ใด…ข้ามิใช่คนใส่ใจ” พระนางทอดพระเนตรไปทางกุ้ยเฟยชวีหยาอีกครั้ง“สิ่งที่ข้าต้องการรู้…คือเหตุใดเจ้าจึงกล้าใช้สิทธิ์ที่เจ้ามิได้ครอบครอง กล้าทำเกินอำนาจโดยไม่สนว่าอยู่ภายใต้คำสั่งใคร ข้าเตือนเจ้ามาแล้วครั้งหนึ่ง ไม่ให้ล้ำเส้น...แต่เจ้ากลับทำซ้ำอีก ทั้งยังพยายามโยงความหึงหวงมาเป็นข้ออ้าง เห็นตนเป็นหญิงสูงศักดิ์แล้วจะจับใครเล่นงานตามอำเภอใจได้กระนั้นหรือ”น้ำเสียงไทเฮาเยือกเย็นแต่เฉือนลึกยิ่งกว่ามีด“เจ้าเป็นถึงธิดาขุนนางใหญ่เก่าแก่ เจ้าน่าจะรู้ดีที่สุดว่าธรรมเนียมคืออะไร สิทธิ์อันใดคือของใคร หรือว่าเจ้าคิดว่า...หากเจ้าขึ้นเป็นฮองเฮาเมื่อไร เจ้าก็จะมีสิทธิ์เหยียบหัวทุกคนในวัง”
ไทเฮามีพระบัญชาให้จัดการสอบสวนอย่างเร่งด่วน โดยเรียกตัวผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายเข้าสอบถามต่อหน้าพระพักตร์ ทั้งหมดถูกเชิญเข้ามาในห้องสอบสวนอย่างเงียบเชียบ ไม่มีบุคคลภายนอก ไม่มีองครักษ์เฝ้าประตู มีเพียงกลุ่มเล็กๆ ที่เป็นแกนกลางของเรื่อง“เรื่องในนี้ห้ามแพร่งพรายปิดประตูทุกบานไล่คนไม่เกี่ยวข้องออกไป”บัญชาจากไทเฮาถึงจะพยายามไม่ให้ชื่อเสียงของซวีหยามัวหมอง หากแต่การกระทำแบบนี้นั้นก็ไม่ต่างจากการตบหน้ากุ้ยเฟยซวีหยาในห้องใหญ่แห่งพระตำหนักกลาง บรรยากาศเยือกเย็น ไทเฮานั่งบนบัลลังก์สูงสุด ดวงตาคมกริบจับจ้องมายังกุ้ยเฟยชวีหยาที่ยืนนิ่งด้วยสายตาเคร่งเครียด ท่าทางเกร็งจนแทบขยับไม่ได้ ด้านข้างยังมีฮ่องเต้หยางลี่ใบหน้าผ่อนคลายแต่แฝงความเด็ดขาด ส่วนองค์ชายรองอวี่หรงยืนอยู่ใกล้ๆ รับฟังอย่างเงียบเชียบไม่แสดงอารมณ์ใดๆไทเฮาผลักพัดอย่างเบาๆ เริ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นแต่เปี่ยมด้วยอำนาจ“ข้าต้องการฟังจากปากของพวกเจ้าโดยตรง… ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ได้ยินมาว่าสองสามวันนี้พวกเจ้าที่เอาแต่เล่นสนุกไม่เคยเห็นหัวข้า”สายพระเนตรมองตรงไปยังเซียหยาเป็นคนแรก“นางในฝึกหัดนางนั้นเจ้าพูดมา”เซียหยาซึ่งคุกเข่าอยู่ขยับก
เสี่ยวหนี่แทบลืมหายใจ หัวใจเต้นแรงจนเจ็บหน้าอก ขาแทบไร้แรง แต่สุดท้ายก็ฝืนก้าวออกวิ่งไปยังเรือนในด้วยฝีเท้าสะเปะสะปะ บานประตูถูกผลักออกอย่างแรง ร่างของโจวหลิวเยว่เอนพิงหมอนข้างเรียบง่าย ใบหน้าซีดเผือด เหงื่อซึมทั่วหน้าผาก สายตาพร่ามัว แต่ทันทีที่เห็นร่างเล็กในชุดคลุมฝุ่นก้าวเข้ามา ใบหน้าอ่อนแรงนั้นกลับแย้มยิ้ม“...หนี่เอ๋อร์...ลูกพ่อกลับมาแล้ว...” เสียงแหบพร่าเปล่งออกเบาๆ ทว่าทุกถ้อยคำชัดเจน“ท่านพ่อ...” เสี่ยวหนี่ทรุดเข่าลงข้างเตียง ดวงตาแดงก่ำก่อนจะพรั่งพรูด้วยหยาดน้ำตา นางจับมือของพ่อเอาไว้ มือที่เคยอบอุ่นมั่นคง ตอนนี้กลับเย็นชืดและเบาจนแทบไม่มีแรงบีบตอบ โจวหลิวเยว่พยักหน้าเบาๆ ยิ้มให้เสี่ยวหนี่ทั้งที่แทบลืมตาไม่ขึ้น “ดีแล้ว...กลับมาทันเห็นหน้ากันอีกครั้ง...ไม่ต้องห่วงอะไร พ่อ...ไว้ใจเจ้า หนี่เอ๋อร์คือความภูมิใจที่สุดของพ่อ...”“ไม่ต้องพูดแล้วเจ้าค่ะ พักก่อน… ลูกจะหาท่านหมอที่ดีที่สุดสำหรับท่านพ่อ” เสี่ยวหนี่สะอื้นพึมพำ เอาผ้าชุบน้ำซับเหงื่อให้พลางกุมมือนั้นแน่น สะเทือนใจจนเสียงสั่นไม่เป็นคำ แต่โจวหลิวเยว่กลับยิ้มจางๆ ดวงตาพร่าที่เคยอ่อนโยนยิ่งนักมองบุตรสาวด้วยความรักยิ่ง “บ้า
บานประตูเปิดออกอย่างเงียบงัน ร่างสูงของโจวชัวก้าวเข้ามาอย่างองอาจ ด้านข้างคือองค์หญิงสิบสี่อันหรูในอาภรณ์สีชมพูอ่อนงามละมุน ทั้งคู่ต่างคารวะพร้อมเพรียง“กระหม่อมขอถวายพระพรฝ่าบาท”โจวชัวประสานมือนอบน้อม “หม่อมฉันอันหรู ขอถวายพระพรเพคะ” อันหรูเหลือบตามองตงเจี้ยนที่ยืนอยู่ไม่ไกลนักหยางลี่พยักหน้ารับ“มาเถิด มีเรื่องอันใดหรือถึงได้พร้อมใจกันมาเข้าเฝ้าเช่นนี้”น้ำเสียงอ่อนโยนถึงแม้จะกำลังเศร้าสร้อยอยู่ก็ตามโจวชัวขยับกายก้าวออกมานิดหนึ่ง สายตาแน่วแน่ ริมฝีปากขยับเอ่ยด้วยเสียงหนักแน่น “กระหม่อมมาในฐานะว่าที่ไท่จื่อแห่งแคว้นซีเป่ย ขอพระบรมราชานุญาตและพระเมตตาจากฝ่าบาท ขอทัพสนับสนุนจากเมืองหลวงหนึ่งกอง เพื่อประกันความสงบในพิธีแต่งตั้งตำแหน่งไท่จือของข้าในอีกไม่กี่วันข้างหน้า”หยางลี่เลิกคิ้วเล็กน้อย แล้วยิ้มบางๆ“เหตุใดจึงต้องขอกองทัพพิทักษ์งานแต่งตั้งของท่านเล่าไท่จือ ท่านคงไม่คิดว่าจะมีใครกล้าทำเรื่องอุกอาจในวันพิธี แล้วขอทัพของเราไปเพื่ออะไรกัน”อันหรูก้าวออกมาครึ่งก้าว เสียงของนางดังขึ้นอย่างมั่นใจแต่เปี่ยมด้วยกิริยางาม“พี่ใหญ่เพคะ..ไท่จือไม่กล้าพูดเรื่องนี้ในงานรื่นเริงของเรา น้องถามไ