เพราะเหล้ารัมที่ดื่มเข้าไปหลายแก้ว และเพราะจิตใจที่ไม่มั่นคงของเฟรญ่า นั่นทำให้เธอคิดว่าเธออยากจะหลบหนีไป..ถึงแม้ว่าเธอจะหนีมามากพอแล้วก็ตาม
ดวงตาของมาร์เซลเบนสายตามองใบหน้าที่กำลังขึ้นเป็นแดงระเรื่อของฤทธิ์ของสุรา ดวงตาสีน้ำทะเลของเธอฉ่ำวาวและปรือปรอยทว่าในแววตานั้นมีความโศกเศร้าที่ราวกับว่าเธอพร้อมจะตายได้ทุกเมื่อ สตรีอายุไม่น่าจะเกินยี่สิบห้าแต่มีแววตาราวกับสตรีที่มีอายุมากกว่านั้น ตัวแปรในเรื่องนี้คือแกรนด์ดยุคจามิน อย่างงั้นเหรอ เขาคนนั้นสามารถทำให้ใบหน้าที่งดงามของพี่สาวคนสวยเต็มไปด้วยร่องรอยความเศร้าหมองขนาดนี้เลยหรือ? “ทำไมถึงอยากจะหนีล่ะครับ” “...ข้าคิดว่าทหารรับจ้างจะยอมทำตามสิ่งที่ว่าจ้างทุกอย่างซะอีก” มาร์เซลส่งเสียงร้อง “หึ” ออกมาเบาๆ “นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนว่าจ้างให้ข้าลักพาตัว..ตัวเองนะครับ คำสั่งที่ไม่เคยทำมาก่อน ข้าจะต้องสอบถามรายละเอียดให้ดีหน่อยสิ” ร่างกายของเฟรญ่าโอนเอนเล็กน้อยขณะพูด เธอซบใบหน้าลงบนฝ่ามือของตัวเอง “นี่คือความรู้สึกแบบไหนกันครับ การหลบหนีของท่านมันคือการหลบหนีเพราะว่าท่านทำผิดอย่างนั้นหรือ?” “ไม่ใช่นะ! ข้าไม่ได้ทำผิดเลย!!” เป็นอีกฝ่ายต่างหากที่ทำผิดต่อข้า “อ่า..เช่นนั้นก็เป็นฝั่งของแกรนด์ดยุคจามินสินะครับทื่ทำผิด” ชื่อที่เฟรญ่าไม่คิดว่าจะได้ยินจากปากของเขา ถูกพูดออกมาด้วยใบหน้าที่เรียบเฉยของทหารรับจ้างที่นั่งอยู่เบื้องหน้าของเธอ เฟรญ่ากลืนน้ำลายลงคอที่แห้งผากกับสถานการณ์เบื้องหน้าที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เขามีหูตาที่ว่องไวมากกว่าที่เธอคิดเอาไว้ซะอีก “เจ้าแอบตามข้างั้นหรือ” “ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย แต่ข้าบังเอิญไปเห็นในตอนที่ท่านพูดคุยกับแกรนด์ดยุคต่างหาก” บังเอิญ..ในความคิดของเฟรญ่ามันไม่มีเรื่องบังเอิญอยู่หรอกในโลกใบนี้น่ะ “สรุปว่าที่พี่อยากจะหลบหนีจากแกรนด์ดยุค เพราะเขาต้องการจะทำร้ายท่านงั้นเหรอครับ” เฟรญ่าลดสายตาลงมาเล็กน้อย เธอลดสายตาก้มมองมือของตัวเองเงียบๆ “ข้าไม่อยากเจอเขา ไม่อยากเห็นหน้า..” “ท่านหวาดกลัวเขาขนาดนั้นเลย?” “ไม่ใช่แบบนั้น ที่ข้าหลบหนีไปไม่ใช่เพราะว่าข้าหวาดกลัวเขา แต่มันเป็นเพราะข้ากลัวว่าตัวเองจะตรงปรี่เข้าไปฆ่าเขาต่างหาก..เขาสมควรตาย เป็นคนที่สมควรตายมากจริงๆ!!” หัวคิ้วของเฟรญ่าขมวดเข้าหากัน เธอก้มหน้าลงอีกครั้งเพื่อสงบสติอารมณ์ของตัวเองลง ในขณะที่มือของมาร์เซลกำลังตักเหล้ารัมเติมใส่แก้วไม้ให้เธอ นี่มันเรื่องน่าสนุกมากกว่าที่เขาคิดเอาไว้ซะอีก สตรีตัวเล็กที่ดูท่าทางแสนจะบอบบางผู้นี้กำลังบอกว่านางจะฆ่าแกรนด์ดยุคแห่งจามินล่ะ แสดงว่าหมอนั่น..คงจะเคยทำร้ายนางอย่างแสนสาหัสเลยสินะ “ดื่มนี่ก่อนสิครับ ท่านดูเหมือนคนที่กำลังคอแห้ง” เฟรญ่ายกแก้วไม้ขึ้นมาดื่มอีกครั้ง พร้อมกับหยาดน้ำตาที่คลอหน่วยอยู่บนดวงตา เธอกำลังหักห้ามใจไม่ให้ตัวเองร้องไห้ออกมา.. แต่การหักห้ามใจนั้นมันไม่พ้นสายตาของมาร์เซลไปได้หรอก เขาลุกขึ้นก่อนจะย้ายไปนั่งข้างๆ เธอ มาร์เซลยกมือขึ้นมาแล้วจับเข้าที่ศีรษะของเฟรญ่าเพื่อให้เธอเอนศีรษะมาซบเข้าที่ไหล่ของเขา “วันนี้ข้าว่างนะครับ ข้าว่างมากพอที่จะรับฟังปัญหาของพี่สาวทั้งคืนเลยล่ะ หากว่าท่านอยากจะร้องไห้หรืออยากระบายเรื่องราวที่อัดแน่นในใจออกมา..ข้ายินดีรับหน้าที่นั่นนะครับ” เราพึ่งพบเจอกันเมื่อช่วงบ่ายวันนี้เอง เธอไม่ได้สนิทกับเขาและไม่รู้เรื่องอะไรที่เกี่ยวกับทหารรับจ้างผู้นี้เลยสักนิดเดียว แต่น่าแปลกที่อ้อมกอดของเขามันอบอุ่นมากทีเดียว เฟรญ่าไม่รู้ว่าที่เธอรู้สึกแบบนี้เพราะชื่อของเขาที่มันดันไปตรงกับชื่อเจ้าของมีด หรือว่าเป็นเพราะเธอเมากันแน่ แต่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เธอเก็บเงียบเรื่องราวความเจ็บปวดที่เคยได้รับมาเพียงคนเดียวโดยตลอด เพราะไม่อยากจะเอาเรื่องที่มันยังไม่เกิดขึ้นในครั้งนี้ไปเล่าให้กับคนในครอบครัวฟัง จะดีแค่ไหนหากว่าเธอได้เล่าเรื่องที่อัดแน่นในใจพวกนี้ให้กับใครสักคนฟัง “ในตอนที่ข้ายังเป็นเด็ก เพราะเป็นลูกนอกสมรสที่เกิดจากแม่ที่เป็นสาวชาวบ้านทำให้ ภรรยาหลวงของท่านพ่อ ไม่ค่อยชอบข้าเท่าไหร่นัก..” เธอหลับตาลงพร้อมกับเริ่มเล่าเรื่องราวที่น่าจะพอเล่าได้ให้แก่ทหารรับจ้างผู้นี้ฟัง ส่วนมาร์เซลเขาทำหน้าที่ผู้ฟังที่ดี มือของเขากระชับอ้อมแขนที่กำลังโอบไหล่ของเธอเอาไว้เพื่อประคองให้เธอยังสามารถนั่งอยู่ได้ในอ้อมแขนของเขา “ข้าถูกพาไปที่บ้านท่านพ่อในตอนที่ข้าอายุเก้าขวบ ก่อนหน้านั้นข้าเป็นเพียงเด็กชาวบ้านธรรมดาๆ แต่ถึงอย่างนั้นเราสองแม่ลูกก็มีความสุขมากทีเดียว ครั้งแรกที่ข้าได้เห็นหน้าท่านพ่อ ข้ารู้สึกดีใจที่ตัวเองจะได้มีครอบครัวเหมือนกับเพื่อนคนอื่นๆ แต่พอข้าเข้าไปในบ้านหลังใหญ่..สิ่งแรกที่เกิดขึ้นคือ แม่ของข้าถูกวางยาพิษ มันผสมเข้ามาในอาหารที่เราสองแม่ลูกทานเข้าไปทุกวัน ทุกวันจนแม่ของข้าล้มป่วย ส่วนข้าก็เริ่มซึมขึ้นเรื่อยๆ จากฤทธิ์ของยา..แน่นอนว่าความเป็นอยู่ของเราสองแม่ลูกไม่ได้รับความสนใจจากท่านพ่อที่พาเราเข้าไปอยู่ในนั้น แม่เลี้ยงเริ่มทรมานข้ามากขึ้นเรื่อยๆ ทุบตี สาดน้ำร้อนใสร่างกายของข้า สั่งให้ข้าคุกเข่าอยู่ทั้งคืน ข้าพยายามอยู่ที่บ้านนั้นด้วยความเจียมตัว เพื่อไม่ให้แม่เลี้ยงโกรธไปมากกว่านี้ แต่ไม่ว่าข้าจะหลบซ่อนและทำเหมือนตัวเองไม่มีตัวตนมากแค่ไหนแต่นางก็หาเรื่องมาทรมานข้าได้ตลอด ในตอนที่ข้ายังเป็นเด็กข้าสงสัยนะว่าข้าผิดอะไรนักหนา จนเมื่อข้าเติบโตขึ้นมาข้าจึงรู้ว่าข้าผิด..ผิดตั้งแต่ที่เกิดมาแล้ว” มาร์เซลลดสายตามองหน้าของเฟรญ่า นางมีใบหน้าที่งดงามและผิวกายที่เนียนละเอียด เขาเอื้อมมือไปเลิกแขนเสื้อของนางขึ้นมาเล็กน้อย แล้วก็พบรอยแผลเป็นมากมายบนนั้น ส่วนที่โผล่พ้นร่มผ้าไม่มีรอยแผลอะไรเลย แต่ร่างกายภายใต้ร่มผ้าของนางเต็มไปด้วยรอยแผลเป็นน้อยใหญ่และรอยถูกน้ำร้อนลวก “บางส่วนหายไปแล้วเพราะว่าพี่ชายของข้าเชิญนักบุญมารักษา ในความโชคร้ายของข้าก็มีพี่ชายที่เป็นเหมือนความโชคดีเพียงหนึ่งเดียว” ดวงตาของเขาสั่นไหวเล็กน้อย คราแรกเขาคิดว่านางจะเล่าเรื่องของแกรนด์ดยุคให้ฟัง แต่คิดไม่ถึงว่านางจะเล่าเรื่องของตัวเองให้เขาฟัง ดูจากร่องรอยแผลเป็นพวกนี้ แสดงว่าคนที่ทำร้ายนาง..จงใจทำร้ายในส่วนที่คนอื่นมองไม่เห็นสินะ “ท่านทน..มีสภาพเช่นนั้นมากี่ปีกัน” เฟรญ่าแค่นหัวเราะออกมา “เจ็ดปีมันเป็นเจ็ดปีที่เหมือนกับอยู่ในนรกเลยล่ะ”มาร์เซลพึ่งรู้ว่าการนั่งเรือสำเภามันไม่ใช่เรื่องสนุกเลยแม้แต่นิดเดียว เขาออกเดินทางมายังเมืองทางใต้พร้อมกันกับเฟรญ่า นี่คือการดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ของเราก่อนที่เขาจะกลับไปทำงานในตำแหน่งดยุคอย่างเป็นทางการ เราทั้งคู่เคยพูดเอาไว้ว่าอยากจะล่องเรือมาเที่ยวที่เมืองทางใต้มาชมทะเลที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน และในยามนี้เราก็กำลังอยู่กลางทะเลบนเรือสำเภาที่ค่อนข้างจะเป็นพื้นที่ส่วนตัว เพราะว่าเขาเหมาเรือลำนี้เอาไว้ เพื่อมากับเฟรญ่าเพียงแค่สองคนเท่านั้นแต่เขาอาเจียนไปสิบรอบแล้วเห็นจะได้ เพราะเขาไม่เคยนั่งเรือมาก่อน“ออกมานั่งมองทะเลดูไหม เผื่ออาการของเจ้าจะดีขึ้น”อันที่จริงแค่ได้มองหน้าสวยๆ ของเธอก็ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นแบบมากๆ แล้ว เขาจับมือของเฟรญ่าเอาไว้ก่อนจะซบใบหน้าลงไปบนไหล่ของเธอ“รักนะครับ..รักที่สุดเลย”เฟรญ่าไม่รู้ว่าเพราะอายุที่เขาเด็กกว่ามันเกี่ยวข้องด้วยรึเปล่า แต่เขาทำให้เธอรู้สึกราวกับมีลูกสุนัขตัวใหญ่ที่กำลังออดอ้อนเธอตลอดเวลา มาร์เซลติดการสัมผัสมากๆ เขาจะต้องจับมือหรือไม่ก็กอดและหอมแก้มเธอตลอดเวลา และเธอเองก็ชื่นชอบการแสดงความรักเช่นนั้นมากทีเดียว เฟรญ่าจึงไม่เคยผลักไสหรือว่าดุเขาในเร
บอกตามตรงว่านี่คงจะเป็นงานแต่งที่เจ้าสาวสบายมากที่สุดในจักรวรรดิแห่งนี้ เฟรญ่าแทบไม่ต้องจัดเตรียมอะไรเลยเพราะว่าพี่เจนนีสและลิเวียจัดเตรียมเอาไว้ให้อย่างเรียบร้อยหมดทุกอย่างแล้ว เธอเพียงสวมชุดเจ้าสาวที่แสนงดงามและเข้าร่วมงานแต่งเท่านั้นเองเฟรญ่าหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อมาร์เซลพาเธอออกมาจากงานแต่งที่แสนยิ่งใหญ่ เขาพาเธอมาที่คฤหาสน์ฮอร์ตันที่เราพึ่งได้รับมาเป็นของขวัญแต่งงาน และในห้องนอนก็เต็มไปด้วยกลิ่นหอมของดอกกุหลาบ มันทั้งหอมหวานและเย้ายวนมากทีเดียว“เจ้ากำลังข้ามขั้นพิธีแต่งงานอยู่นะมาร์เซล เราไม่ควรด่วนชิงเข้าหอก่อนที่งานเลี้ยงจะเริ่ม..”เขาส่งยิ้มให้เธอในขณะที่กำลังถอดกระดุมเสื้อของตัวเองออกมา เขาอดทนมานานมากพอสมควร อดทนแล้วอดทนอีกเพราะว่าเฟรญ่าพึ่งจะฟื้นขึ้นมาจากอาการบาดเจ็บ เพราะอย่างนั้นเขาจึงไม่ได้แตะต้องเธอเลย แต่วันนี้เขาอดทนไม่ไหวอีกแล้ว“ไม่เห็นจะต้องสนใจแขกที่เข้ามาร่วมงานเลยนี่ นี่คืองานแต่งของเราและข้าอยากอยู่กับท่าน..เข้าหอเร็วหน่อยคงไม่เป็นไรหรอกครับ หรือว่าพี่กังวล"เฟรญ่าดึงผ้าคลุมหน้าของเธอออกไป เธอไม่ได้ยืนมองมาร์เซลถอดชุดอยู่เฉยๆ แต่เธอเองก็ถอดชุดเดรสแต่งงานออกเช่
บัตรเชิญของงานแต่งเลดี้ทีเซียส วีรสตรีที่ร่วมการกอบกู้เดียลอร์ลนั้นถูกส่งให้แก่ขุนนางมากมายในจักรวรรดิ บอกตามตรงว่าในตอนที่เฟรญ่าเห็นชื่อและรูปวาดของตัวเองเด่นหราอยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์เธอค่อนข้างตกใจมากพอสมควร เพราะเธอไม่คิดว่าเรื่องที่มาร์เซลกล่าวออกมานั้นมันจะเป็นเรื่องจริง“ให้ตายเถอะ ข้ารับมือกับคำว่าวีรสตรีอะไรพวกนั้นไม่ไหวจริงๆ”ลิเวียหัวเราะออกมา“เจ้าคู่ควรกับมันนะเฟร เรื่องความรักที่แสนอบอุ่นนี้ก็ด้วย มาร์เซลคือบุรุษที่ดีมากทีเดียว”ลิเวียกล่าวพร้อมกับสวมสร้อยคอที่มีสีเดียวกับดวงตาของเฟรญ่าลงไปบนลำคอยาวระหง เพื่อนเพียงคนเดียวของเธอแต่งงานแล้ว เฟรญ่าคือสตรีที่งดงามมากๆ ในสายตาของลิเวีย เราพบเจอกันเพราะพี่เจนนีสมาทำงานที่ทีเซียสและพี่สาวก็ร้องขอให้เธอมาเป็นเพื่อนกับเฟรญ่า เพราะสงสารที่เฟรญ่าอยู่คนเดียวในคฤหาสน์ที่แสนกว้างใหญ่ และนั่นทำให้ลิเวียได้มาพบเจอกับคาร์เตอร์ จนได้แต่งงานและเป็นจักรพรรดินีทุกวันนี้เพราะความสามารถของเฟรญ่าเลยเธอถึงได้มีความสุขมากๆ ในช่วงเวลาที่เฟรญ่ากำลังจะได้แต่งงาน เพราะมันเหมือนกับว่าครั้งนี้เป็นเธอแล้วนะที่ได้ส่งเฟรญ่าไปให้ถึงฝั่งฝันกับความรักที่ดีงา
มาทอสพาเฟรญ่าและเจนนีสเดินทางกลับมาที่เมืองหลวงพร้อมกันในอีกสองสัปดาห์ต่อมา คาร์เตอร์ตั้งขบวนเพื่อรอรับการกลับมาของเฟรญ่า ทันทีที่เธอเดินลงมาจากรถม้า คาร์เตอร์ก็พุ่งตัวเข้าไปกอดเฟรญ่าเอาไว้มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นมา และหนึ่งในเรื่องราวเหล่านั้นมันกำลังสั่นคลอนพี่ชายที่แสนกล้าหาญของเธออย่างหนักเลยสินะเฟรญ่าพบเจอคาร์เตอร์ในครั้งแรกตอนที่เธออายุสิบสี่ปี เขาคือองค์รัชทายาท ตามสายเลือดแล้วท่านพี่มาทอสคือน้องชายขององค์จักรพรรดิผู้เป็นพ่อของคาร์เตอร์ เราทั้งคู่จึงถูกเลี้ยงดูมาด้วยกันและสนิทสนมกันมากทีเดียว เพราะแผลในใจที่เคยได้รับจากแม่เลี้ยงทำให้เฟรญ่านั้นหวาดกลัวผู้คนเป็นอย่างมาก อีกทั้งท่านพี่มาทอสก็งานยุ่งมากเพราะในช่วงเวลานั้นท่านพี่มาทอสรับตำแหน่งดยุคมาจากท่านพ่อแล้ว ทำให้เขาไม่มีเวลามาคอยดูแลน้องสาวต่างแม่สักเท่าไหร่นัก ผู้ที่ดูแลและสนิทสนมกับเฟรญ่ามากที่สุดคือคาร์เตอร์ ลูกพี่ลูกน้องของเธอ เขาพยายามเข้าหาเธอในทุกวัน ชวนเธอออกไปข้างนอก และเป็นผู้ที่พาเธอก้าวเดินไปยังงานเลี้ยงในแวดวงสังคม“ฟังนะเฟร จะไม่มีใครหน้าไหนกล้าดูถูกเจ้าทั้งนั้น พี่จะปกป้องเจ้าเองเพราะอย่างนั้นไม่ต้องกังวลหรื
เมื่อเฟรญ่าทำท่าไม่เชื่อ มาร์เซลก็หัวเราะออกมาเสียงดัง เขาจับมือเธอพร้อมกับพาเธอวิ่งไปยังงานเทศกาลของเดียลอร์ลที่ในยามนี้มีชาวบ้านมากมายกำลังเต้นรำอยู่ตามท้องถนน บนใบหน้าหล่อเหลานั้นมีรอยยิ้มฉายชัดอยู่ มันเป็นรอยยิ้มที่ทำให้ดวงตาของเฟรญ่านั้นพร่ามัวไปในทันทีราวกับว่ารอยยิ้มของเขามันแฝงไปด้วยเวทมนตร์แค่เขายิ้มก็ทำให้หัวใจของเธออ่อนลงยวบยาบ ฝ่ามือของเราเกาะกุมกันไว้โดยไร้คำพูด มาร์เซลหยุดเดินพร้อมกับหมุนตัวมาหาเธอ เขายกมือขึ้นมาจับเอวของเธอเอาไว้ ก่อนจะยกขึ้นเล็กน้อยแล้วพาเธอหมุนตัวตามจังหวะของเครื่องดนตรีพื้นเมือง เฟรญ่าหยักยิ้มขึ้นมาในทันที หัวใจของเธอมันเต้นผิดจังหวะในทุกครั้งที่อยู่กับเขา มันคือความรักที่ไม่รู้เหมือนกันว่าจะอธิบายเช่นไร แต่ในยามที่เธอมองเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา มันทำให้เธอมีความสุขได้โดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย บางทีความหวังของเธอก็เป็นเรื่องง่ายๆอย่างเช่นการคาดหวังให้มาร์เซลมีความสุขตลอดไป..“เวลาที่ท่านยิ้มออกมามันสวยมากเลยนะครับ..”ในวันที่พบเจอกันครั้งแรก เขาก็เชื่อมั่นในพรหมลิขิตในทันทีว่าคนรักของเขาจะต้องเป็นเธอเท่านั้น บางสิ่งในอกค่อยๆ แผ่ซ่านออกมา หัวใจที่เย็นย
งานเทศกาลในครั้งนี้จัดขึ้นมาในฤดูที่กำลังปลูกพืชผล เมืองเดียลอร์ลนั้นได้รับผลกระทบเป็นวงกว้างเพราะอย่างนั้น บารอนดีแลนจึงหารือกับชาวบ้านจัดงานนี้ขึ้นมา เพื่อให้บรรยากาศในเดียลอร์ลนั้นดีขึ้นมา ก่อนหน้านั้นกับบางคนที่เผชิญหน้ากับความสูญเสีย พวกเขาไม่อยากแม้แต่จะหายใจต่อไปดีแลนรู้สึกผิดกับชาวเมืองมากทีเดียว กับการตัดสินใจที่ผิดพลาดของเขา เพราะอย่างนั้นเขาจึงพยายามที่จะฟื้นฟูเดียลอร์ลขึ้นมาใหม่เพื่อให้ที่นี่กลับมามีบรรยากาศที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขเช่นเดิมเฟรญ่าเดินไปบนถนนหนทางที่เต็มไปด้วยนักเดินทาง ไม่ว่าจะถามเธอสักกี่ครั้ง เฟรญ่าก็ยังคงตอบได้ในทันทีว่าเดียลอร์ลคือเมืองที่เธอชอบมากที่สุด ความธรรมดาของที่แสนพิเศษ“ไม่เจอกันนานเลยนะเฟร..”ดีแลนเดินเข้ามาทักทายเฟรญ่าด้วยใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม“อื้ม ที่นี่เหมือนเดิมเลยนะคะ เหมือนเดียลอร์ลที่ข้ารู้จัก”เฟรญ่าจุดยิ้มที่แสนงดงามบนใบหน้าของเธอ เธอคิดว่าดีแลนเองก็คงจะได้รับผลกระทบทางจิตใจเช่นเดียวกัน“ขาของเจ้า..มันหายดีเป็นปกติแล้วสินะ”เฟรญ่าก้มมองเท้าของตัวเอง เธอพ่นลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ถึงแม้จะรู้สึกแปลกๆ อยู่บ้างในยามที่ไ