สายใยระหว่างแม่ลูกที่ถักทอในแก่นวิญญาณมารน้อยทำให้เขารู้ว่าเวลานี้นางหายไปอยู่ในที่แสนไกล ถึงอย่างนั้นก็ยังคงหวังลึก ๆ และนั่งรอมารดาอยู่ที่เดิม
ทว่า ผ่านไปวันแล้ววันเล่า ในใจของอีนั่วเศร้าหมองและคิดถึงนางยิ่งนักจึงตัดสินใจอย่างเด็ดขาด ไม่เกรงกลัวว่าจะมีอันตรายใด ๆ เกิดขึ้นกับตัวเองพลันใช้พลังมารหายตัวเข้าสู่แดนสวรรค์ในพริบตา
อีนั่วรีบพุ่งไปที่ตำหนักเทพดาราในทันที ไม่ข้องแวะที่ใดเพราะห่วงว่าจะมีใครสังเกตเห็นตัวตนมารปีศาจ คอยแอบอยู่ในมุมมืด พรางตัวราวกับเป็นอากาศ แล้วกวาดสายตามองหามารดา
“ท่านแม่...” เขาเผลอเรียกออกไปแบบนั้นอย่างเคยแต่หยุดชะงักไปเพราะรู้สึกได้ว่าหญิงสาวตรงหน้ามีอะไรแปลกไปจากเดิม นางกำลังหัวเราะและยิ้มให้คนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ โดยไม่รู้สึกตัวเลยว่าเลือดเนื้อเชื้อไขตัวน้อย ๆ รอนางเพียงลำพัง
อีนั่วพึมพำกับตัวเองด้วยความสลด “ท่านแม่ลืมข้าอีกแล้วหรือ” เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้นไปได้ หากลืมทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในแดนมนุษย์ไปแล้ว อย่างน้อยควรจำเขาได้บ้าง ถึงอย่างไรก็มีสายใยผูกพันกันมา
เวลานั้น สวีลู่ชิงกำลังพูดคุยหารือกับพี่ชายของตนและเทพเซียนคนอื่น ๆ ด้วยสีหน้าจริงจัง แม้สวีต้าเฟิงจะพยายามหาวิธีช่วยเหลือน้องสาว แต่นางกลับปฏิเสธและยืนยันว่าจะทำอย่างเดิม
ยิ่งเห็นว่าจอมมารล่าถอยทัพกลับไปอย่างง่ายดายแสดงว่าเขาอาจจะได้รับบาดเจ็บไปไม่น้อย ย่อมเป็นโอกาสอันดีที่นางจะได้ทำหน้าที่อย่างสุดท้ายให้เสร็จสิ้นเสียที
“ลู่ชิง เหตุใดจึงไม่ลองทางอื่นก่อน” เทพวายุมีสีหน้ากังวลพยายามโน้มน้าวใจคนตรงหน้า แต่นางกลับตัดสินใจเด็ดขาดเหมือนทุกครั้ง
“ท่านพี่” เทพดารากุมมือคนข้างกายเอาไว้เพราะเข้าใจความรู้สึกของเขาเป็นอย่างดี ยามที่นางลงไปเผชิญด่านเคราะห์แดนมนุษย์ เขาต้องรับมือกับความสูญเสียไม่น้อยเช่นกันและถ้าหากเป็นไปได้คงอยากรั้งน้องสาวคนสำคัญเอาไว้ให้ถึงที่สุด
กระนั้น วิธีที่แน่นอนและง่ายดายอยู่ตรงหน้า มีสรรพสิ่งหลายชีวิตเป็นเดิมพัน นางจึงไม่อาจละเลยหน้าที่นั้นไปได้
“อย่างน้อย ข้ายังต้องรับอสนีบาตสวรรค์สิบเก้าครั้ง ท่านพี่คงจะได้เห็นข้าอีกนานเจ้าค่ะ” รอยยิ้มสดใสปรากฏบนใบหน้างาม ดวงตาสีฟ้ายังเป็นประกายแม้จะรู้ว่าหลังเสร็จสิ้นด่านเคราะห์อสนีบาตแล้ว แก่นวิญญาณของนางจะสูญสลายไปตลอดกาล
อีนั่วได้ยินแผนการที่ชัดเจนมากกว่าเดิม เขารู้แค่เพียงว่ามารดาเป็นเทพชั้นสูงมีหน้าที่กำจัดบิดาผู้เป็นจอมมารจึงพาตัวนางไปอาศัยอยู่ในแดนที่เขาสร้างขึ้นมาเพื่อหยุดยั้งไม่ให้เทพดาราทำตามแผนได้สำเร็จ
เขาไม่เคยคิดเลยว่าพลังเทพบรรพกาลที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดจะดึงสติมารดากลับมาเป็นเทพดาราคนเก่า ทั้งยังลบเลือนเรื่องราวในอดีตยามเป็นมนุษย์จนหมดสิ้น
มารน้อยเพียงต้องการอยู่กับมารดาอย่างสงบ เขาอุตส่าห์คิดว่าทำเช่นนี้แล้ว ทั้งมารดาและบิดาจะไม่สูญสลายไปที่ใด
“ท่านแม่ เหตุใดจึงยังคิดทำเช่นนั้นเล่า” เขาพึมพำอยู่คนเดียว นึกอยากวิ่งไปกอดนางเหลือเกิน แต่เพราะรอบข้างมีเทพเซียนอยู่ด้วยจำนวนมาก มารน้อยจึงไม่กล้าย่างกรายเข้าไปใกล้
ในขณะที่สวีลู่ชิงบอกกับทุกคนไปอย่างนั้น ไม่ถึงสองชั่วยามต่อมา นางก็ยืนอยู่ตรงกลางลานกว้างบนยอดเขาที่สูงที่สุดของภพสวรรค์ สีหน้าเตรียมพร้อมรับทัณฑ์ทรมานพลันหลับตาลง
เสียงท้องฟ้าคำรามกระหึ่มไปทั่วแดน สายฟ้าเปรี้ยงปร้างสาดลงมารอบข้างลานลงทัณฑ์สร้างความขนลุกน่ากลัวให้คนบริเวณนั้นเป็นอย่างมาก
เซียนผู้น้อยที่อยู่โดยรอบมองขึ้นไปยังยอดเขาด้านบน ต่างพากันถอนหายใจและชื่นชมความเด็ดเดี่ยวของเทพดารา
ลานลงทัณฑ์มีไว้สำหรับเทพเซียนผู้กระทำความผิดใหญ่หลวงหรือต้องผ่านด่านเคราะห์เพื่อบรรลุ แต่นางยืนอยู่ตรงนั้นเพราะหน้าที่
ดวงตาสีฟ้าของอีนั่วสั่นระริก ไม่อยากให้มารดาบาดเจ็บ พลางหันซ้ายหันขวาไม่รู้จะทำอย่างไรดี หากแต่นึกออกเพียงอย่างเดียวว่าคนที่จะช่วยมารดาได้คือผู้ใด
พรึ่บ!
อีนั่วหายตัววับไปยังสถานที่แห่งหนึ่งด้วยใจร้อนรน แต่เมื่อเข้าไปในนั้นแล้วกลับเดินหน้าต่อไม่ง่ายเลย มารน้อยกำลังอดทนกับแรงกดดันราวกับจะบีบเขาให้แหลกเป็นจุณ
ลมหายใจหอบเหนื่อย ดวงตาพร่ามัว แต่สองขายังคงพยายามก้าวไปเรื่อย ๆ ลึกเข้าไปในสุสานวิญญาณเทพเซียน
“ท่านพ่อ...” เขาฝืนเปล่งเสียงเรียกคนที่อยู่ไกลโพ้นเพราะคิดว่าตัวเองกำลังต้านทานพลังนั้นไม่ไหว
เขาเป็นเพียงครึ่งมารแรกเกิดจึงไม่อาจทนไปได้มากกว่านี้ “ท่านพ่อ!” เสียงสุดท้ายตะโกนดังก้องเรียกสติของจอมมารที่กำลังถูกหลอมกลืนกินอยู่ใจกลางสุสาน
กงจื่อเย่หันขวับทันทีที่ได้ยินเสียงเรียกของคนคุ้นเคย แม้จะไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด แต่เขากลับคิดถึงเสียงเล็ก ๆ ของมารน้อยโดยไม่รู้ตัว
หลังจากนั่งนิ่งอยู่ใจกลางสุสานวิญญาณมานาน เขารู้สึกว่างเปล่าไม่มีสิ้นสุด ในใจนึกว่ามาถึงตรงนี้แล้วจะได้พบกับคนที่รอคอย แต่กลายเป็นว่าอู๋เยว่ชิงไม่ได้อยู่ที่นั่น
เมื่อได้พบความจริงร่างกายพลันไร้เรี่ยวแรง ทรุดตัวนั่งคุกเข่าหมดอาลัยตายอยาก มองซ้ายมองขวากลับไม่เจอนางแต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรถึงยังมีความหวังว่านางจะต้องปรากฏตัว เข้าใจว่าเทพเซียนที่ยังไม่กลับสู่สถานะเดิมต้องมาอยู่ในสุสาน
ไม่อย่างนั้น นางจะหายไปที่ใดได้ เขาไม่อาจยอมรับได้ว่าอู๋เยว่ชิงแตกสลายชั่วนิรันดร์
"อีนั่ว เหตุใดจึงเข้ามาที่นี่” เขาเอ่ยถามบุตรชายพลางร่ายพลังมารสร้างข่ายอาคมปกป้อง
“ท่านแม่... ช่วยท่านแม่ด้วย” น้ำเสียงมารน้อยตะกุกตะกัก พูดด้วยความยากลำบาก น้ำตาคลอเพราะกลัวว่าจะสูญเสียนางไปอีกครั้ง
“หมายความว่าอย่างไร เจ้าเจอนางแล้วหรือ” ดวงตาสีม่วงแดงเป็นประกายขึ้นมาทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น “มารดาเจ้าอยู่ที่ใด รีบบอกข้ามา”
เพียงพริบตาเดียว อีนั่วถูกส่งกลับไปอยู่ภพมาร เขาสั่งสมุนทั้งสามให้ดูแลมารน้อยในระหว่างที่เขาไม่อยู่ให้ดีเพราะไม่อยากให้อีนั่วตามไปยังภพสวรรค์ด้วย
การปรากฏตัวอีกครั้งของจอมมารทำให้เหล่าเซียนแตกตื่นรีบแจ้งข่าวทุกคนในนั้นให้เตรียมรับมือ หากแต่กงจื่อเย่ไม่ได้สนใจผู้ใดเดินดุ่มเข้าไปไม่เกรงกลัวเพราะเป้าหมายหนึ่งเดียวตรงหน้า
ข่ายอาคมป้องกันสำแดงฤทธิ์กีดกั้นไม่ให้จอมมารย่างกรายเข้ามายังแดนศักดิ์สิทธิ์ กองทัพสวรรค์รุดหน้าเรียงแถวป้องกันเหมือนอย่างตอนที่เขาขึ้นมาที่นี่ครั้งแรก
“ถอยไป” เขาโพล่งออกมาเพียงสั้น ๆ
“...” ทุกคนนิ่งเฉย ไม่อาจทำตามได้เพราะไม่รู้จุดประสงค์ของจอมมาร
ดวงตาสีม่วงแดงมองขึ้นไปด้านบนยอดเขาที่มีสายฟ้ากระพริบเป็นระยะ พลันคิดในใจ “อยู่ใกล้เพียงนี้แล้ว เหตุใดข้าจึงสัมผัสถึงเจ้าไม่ได้เลย”
จอมมารไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาจึงสัมผัสตัวตนของนางไม่ได้ ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าทุกอย่างเป็นความตั้งใจของเทพดาราที่ตัดขาดทุกสิ่งจากเขา แม้จะมีเมล็ดพันธุ์ต้นไม้แห่งชีวิตหยั่งรากแต่เพราะนางใช้พลังเทพบรรพกาล ไม่ว่าจะอู๋เยว่ชิงหรือสวีลู่ชิง นางจึงไม่มีทั้งความทรงจำและตัวตนให้จอมมารรับรู้ได้อีกต่อไป
รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดบนใบหน้า กงจื่อเย่กวาดสายตาไม่แยแสมองดูผู้คนที่ยืนล้อม “สวีลู่ชิง ตามนางมาให้ข้า ไม่เช่นนั้นแล้ว ข้าจะทำลายที่แห่งนี้ให้ราบคาบ”
ใครต่อใครที่ได้ยินเสียงนั้นต่างพากันมองหน้าอีกฝ่าย สายตาเลิ่กลั่กแต่เมื่อเทพปฐพีและเทพวายุปรากฏกายขึ้นเพื่อนำทัพสวรรค์ พวกเขาจึงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมรอฟังคำสั่ง
“ไม่นึกว่าจะได้เจอมารน้อยเร็วเพียงนี้” ห่าวอู๋กล่าวกับคนตรงหน้า ในมือถือหอกเทพบรรพกาลเอาไว้ พลังสีขาวทองวนเวียนรอบตัวพร้อมโจมตี
“ข้าไม่ได้อยากมาเจอเจ้า” กงจื่อเย่ส่ายหน้า “ตามสวีลู่ชิงมาให้ข้า”
ห่าวอู๋นึกสงสัยว่าเหตุใดจอมมารจึงเรียกหานาง จึงถามเทพวายุว่า “หรือมารน้อยนั่นรู้แผนของเราแล้ว”
“เป็นไปไม่ได้” สวีต้าเฟิงขมวดคิ้ว “หากเขารู้แผนแล้วคงเข้าโจมตีพร้อมพรรคพวกเหมือนเมื่อครั้งนั้น แต่เวลานี้กลับมาเพียงลำพัง ทั้งยังอยู่นิ่งไม่คิดจะเรียกดาบเขี้ยวอสูรออกมาเสียด้วยซ้ำ”
เทพปฐพีไม่อาจทนความสงสัยนั้นได้จึงโพล่งออกไปตรง ๆ “เจ้าอยากพบนางทำไม หรือว่าเจ้ารู้อะไรมา”
“แผนสังหารข้าน่ะหรือ แน่นอนว่าต้องรู้ แต่ที่ข้าอยากพบนาง นั่นก็เพราะว่านางเป็นภรรยาของข้า”
จอมมารพาสวีลู่ชิงกลับมายังดินแดนสุญญตาที่เวลานี้แปรเปลี่ยนกลายเป็นบ้านของเราอย่างที่เขาพูด ที่รกร้างกว้างใหญ่แต่เดิมไม่มีอะไรอยู่ข้างในนั้นเลย กลับมาครั้งนี้สวีลู่ชิงได้เห็นว่าเรือนไม้หลังใหญ่สองชั้นลอยโดดเด่นอยู่ใจกลาง ดอกจื่อเถิงสีม่วงขาวเลื้อยประดับห้อยระย้าสวยงามยิ่งนักพื้นน้ำโดยรอบสะท้อนแสงอาทิตย์ยามเช้าระยิบระยับ และหากท้องฟ้าสดใสถูกแทนที่ด้วยจันทรา ผืนฟ้าก็จะเต็มไปด้วยละอองดาวกงจื่อเย่เนรมิตสรรพสิ่งขึ้นมาเพื่อรอต้อนรับนางกลับมายังที่ที่เป็นบ้านของเราดินแดนตรงกลางระหว่างภพมารกับภพสวรรค์ บ้านที่พวกเขาจะได้อยู่ร่วมกันชั่วนิรันดร์“อีนั่ว ข้าฝากให้เจ้าดูแลไข่ใบนั้นให้ดี ยังจำได้หรือไม่” จอมมารถามบุตรชายเพราะเห็นเขามักจะพาลี่เซียนเที่ยวเล่นกับเทพ
นับตั้งแต่การจากไปของบุตรสาวสวีลู่ชิงตกอยู่ในความเศร้าสร้อย ความรู้สึกของนางในเวลานี้เหมือนกระตุ้นความทรงจำบางอย่างที่หลงลืมไปแล้ว สัมผัสได้เพียงว่าครั้งหนึ่งนางคงเคยสูญเสียลูกไปในช่วงเวลานี้กงจื่อเย่คอยอยู่เคียงข้างและดูแลนางไม่ให้ขาดตกบกพร่อง ทำหน้าที่สามีเป็นอย่างดีเพื่อให้นางข้ามผ่านความเจ็บปวดครั้งนี้ไปให้ได้หญิงสาวเอนศีรษะพิงไหล่กว้างของคนข้างกาย เอ่ยพึมพำว่า “ลูกสาวของเราคงจะสุขสบายดีอยู่ที่ไหนสักแห่งใช่หรือไม่”สามีของนางจึงตอบอย่างมั่นใจ “อืม ลูกสาวของเรากำลังเล่นสนุกสนานกับเพื่อนใหม่ของนาง ไม่มีเรื่องใดให้เจ้าต้องกังวลเลยลู่ชิง”รอยยิ้มบางปรากฏบนใบหน้าของหญิงสาว “เจ้าช่างสรรหาคำปลอบใจได้แปลกยิ่งนัก ลี่เซียนกำลังเล่น
เก้าเดือนต่อมาเด็กครึ่งมารคนที่สองได้ฤกษ์ถือกำเนิด เด็กหญิงตัวน้อยมีดวงตาสีม่วงแดงเหมือนบิดา เรือนผมสีขาวคล้ายมารดา หน้าตาน่ารักน่าชังยิ่งนักสวีลู่ชิงมองหน้าลูกสาวพลางนึกถึงอีนั่วจึงเอ่ยปากบอกสามีที่นั่งอยู่ข้างกัน “เจ้าเคยอยากรู้ว่าลูกสาวของเราจะหน้าตาเหมือนผู้ใดใช่หรือไม่”“อืม” กงจื่อเย่ยิ้มกว้าง“นางหน้าตาเหมือนเจ้าไม่มีผิด” สวีลู่ชิงไล้แก้มเด็กน้อยด้วยความเอ็นดูทันใดนั้นจึงได้ยินเสียงคุ้นเคยร้องเรียกนางจากหน้าบ้าน สวีลู่ชิงเดินไปดูลาดเลาจึงได้เห็นคนที่ไม่คาดคิดว่าจะได้พบเจออีกครั้ง“ท่านแม่” อีนั่ววิ่งเข้ามากอดนางด้วยความคิดถึงเพราะถูกกักบริเวณจึง
สามเดือนต่อมาระหว่างที่สวีลู่ชิงกำลังเก็บผักกาดอยู่ในสวนข้างบ้าน นางได้ยินเสียงกุบกับดังมาแต่ไกลผิดวิสัยการเดินทางของคนในหมู่บ้านแห่งนี้จึงรีบออกมาดูใบหน้าของใครบางคนทำให้นางดีใจยิ่งนัก รีบตะโกนบอกใต้เท้าสวีและฮูหยินที่พักผ่อนอยู่ข้างในได้รู้ว่า “ท่านพี่กลับมาแล้วเจ้าค่ะ”ทุกคนออกมายืนรอรับคุณชายสวีหน้าบ้าน ส่วนกงจื่อเย่เดินมากอดเอวคุณหนูเอาไว้เหมือนอย่างเคยครั้นได้เห็นบุตรชายคนโตใกล้ ๆ ใต้เท้าสวีและฮูหยินจึงได้เห็นว่าร่างกายของเขามีแต่รอยแผลเต็มไปหมด เลือดสีแดงแห้งติดเกราะและเสื้อผ้าทว่า คุณชายสวีไม่ได้กังวลเรื่องนั้นแม้แต่น้อย “ท่านพ่อ ท่านแม่ ลู่ชิง” เขาเอ่ยเรียกทั้งสามคนสีหน้าระรื่น “ข้าล้างมลทินให้สกุลสวีได้สำเร็จแล้วขอรับ”
แม้จอมมารจะคิดหลายอย่างอยู่ในหัวแต่เวลานี้ยังไม่ใช่จังหวะที่ดีนักเพราะเขาต้องใช้โอกาสนี้พาสวีลู่ชิงหนีจากหอเยว่ส่างก่อนที่จะถูกใครจับได้ใครหลายคนคงคิดว่าพวกเขาใช้เวลาอยู่ร่วมกันทั้งคืน กว่าจะรู้ตัวว่านักโทษกบฏแอบหนีออกไปกับแขกที่ไม่เห็นหน้าค่าตาก็คงทิ้งห่างจากพวกเขาไปหลายชั่วยามแล้ว“หนีอย่างนั้นหรือ” นางเอ่ยถามให้แน่ใจ ความกังวลถาโถมเข้ามาไม่หยุดเพราะเกรงว่าทุกคนจะมีอันตรายไปด้วย“เชื่อใจข้าหรือไม่” กงจื่อเย่ถามแต่เพียงเท่านั้น แววตาของเขาจริงจังเสียจนนางไม่นึกสงสัยอันใดอีกจึงกุมมือเขาไว้แน่นแล้วหนีไปด้านหลังด้วยกันทาสหนุ่มฝืนตัวเองเร่งรีบไปให้ถึงจุดที่เขาผูกม้าเอาไว้ ขาข้างที่เคยบาดเจ็บสร้างความทรมานให้เขาอย่างยิ่งแม้จะผ่านมานานมากแล้วก็ตาม
สองเดือนต่อมาอีนั่วมาหาสวีลู่ชิงอย่างเช่นเคย ก่อนเข้าไปยังห้องรับรองก็นั่งดูหลิวอิงอิงดีดพิณ ขับร้องเพลงเสียงก้องกังวานด้วยความรื่นเริงใจจนกระทั่งมองเห็นบุรุษผู้หนึ่งในคำทำนายโชคชะตาของมารดาเจ้าตัวตะลึงงันไม่คิดว่ามนุษย์อย่างเขาจะดูมีรัศมีเหมือนเทพสวรรค์ พลันกวาดตามองรอบตัวต้องตกใจยิ่งกว่าเดิมเมื่อได้เห็นรอยยิ้มเยือกเย็นจากเทพชั้นสูง ผู้มีดวงตาสีฟ้า ผมขาวเหมือนผู้เป็นมารดาหากแต่อีนั่วยังทำใจดีสู้เสือคิดว่านั่นคือบิดาที่แปลงกายมาจึงยิ้มตอบกลับไปทักทายเทพวายุหายตัววับมาอยู่ข้างเขาในทันทีจนสมุนปีศาจแข็งทื่อเพราะรู้ว่าคนตรงหน้าคือสวีต้าเฟิงตัวจริง หลิวอิงอิงที่นั่งอยู่ตรงกลางลานแสดงถึงกับดีดเพลงพิณเพี้ยนไปสองจังหวะคิดจะหนีหายเอาตัวรอดก่อนผู้ใดแต่ถูกแส้บ่วงของเทพวายุตวัดรัดตัวนางเอาไว้