ราวกับต้องมนต์เมื่อเขาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้ม เธอยังคงจ้องมองเขานิ่งค้างในอ้อมแขนแกร่งอยู่อย่างนั้นไม่ขยับไปไหนความรู้สึกคิดถึงอ้อมกอดเกิดขึ้นมาในใจ จนเธอต้องพยายามตั้งสติและดึงตัวเองออกจากอ้อมกอดของเขา นรินทร์ไม่กล้าที่จะมองใบหน้าหล่อคมนั้นตรงๆ
“ไม่เป็นไรค่ะ แต่ก็ขอบคุณนะคะ”
เธอเอ่ยขึ้นมาแก้เขิน ก่อนจะรีบลุกขึ้นแล้วเดินออกจากตัวปราสาทไปโดยมีสายตาคู่หนึ่งจ้องมองตามแผ่นหลังนั้นด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม …ในที่สุดเขาก็ปรากฏกายมาเจอเธอได้เสียที ตามคำสาปที่เขาได้สาปตัวเองด้วยความรู้สึกผิดครั้งในอดีตหลายพันปีที่ผ่านมาเอาไว้ว่า
…หากตัวข้าหานางในดวงใจมิเจอ นางมิก้าวเท้าลงเหยียบเมืองข้าแล้วไซร้…ก็หาออกจากกายทิพย์สังขารนี้ได้ไม่…
…จักเกิดก็มิได้ จักตายก็มิได้ ทรมานจากความคำนึงถึงห่วงหาอาวรณ์ไปชั่วกัปชั่วกัลป์…
“รู้จักหนุ่มหล่อคนนั้นเหรอ? หรือพี่แอบนัดกิ๊กมาที่นี่? เห็นนะว่านั่งกอดกันอยู่ข้างใน” มินตราเดินเข้ามาหาหัวหน้าทีมด้วยสีหน้าที่อมยิ้มกรุ่มกริ่มเธออดที่จะแซวหัวหน้าทีมของตนที่ตอนนี้ใบหน้าแดงราวกับไปวิ่งมาราธอนมาอย่างไรอย่างนั้น
“บ้า! กอดกันอะไรพูดไปเรื่อย ต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์นะใครจะกล้าทำ…แค่อุบัติเหตุต่างหาก” นรินทร์ตอบไปอย่างไม่รู้ตัวเลยว่าหน้าเธอแดงแค่ไหน มินตราไม่วายร้องแซวก่อนจะพยักเพยิดหน้าไปทางตัวปราสาทที่หนุ่มหล่อเมื่อครู่กำลังเดินลงมาพร้อมกับจดจ้องสายตาทางนรินทร์ด้วยรอยยิ้ม
“ฮั่นแน่! …นู่นๆ…ลงมาหาพี่แล้ว เขามองมาทางนี้ด้วย” มินตราพยักเพยิดใบหน้าไปทางเขาแล้วหัวเราะคิกคัก กระแซะไหล่นรินทร์ให้มอง ก่อนนรินทร์จะหันไปส่งยิ้มกลับไปให้หนุ่มคนนั้น และเขาก็เดินตรงมาหาเธอตามที่มินตราบอก
“คุณครับ”
“คะ?”
หันกลับไปเต็มตัวแอบยิ้มเล็กน้อย ท่ามกลางท่าทีของรุ่นน้องที่กำลังล้อเลียนแซวเธออยู่ นรินทร์หันสายตามองรุ่นน้องของตนเล็กน้อย ก่อนที่เธอจะดึงสายตากลับมาเผชิญหน้ากับหนุ่มคนนั้น…ที่เธอเขินเพราะเขาหน้าเหมือนผู้ชายโบราณในฝันต่างหาก แต่นี่คือคนเป็นๆยืนอยู่ตรงหน้าเลยเป็นใครจะไม่เขินล่ะ ซ้ำยังแต่งตัวดีตามยุคตามสมัยเสียอีก
“คือว่า ถ้าไม่รังเกียจ…ผมพึ่งซื้อบ้านหลังใหญ่ตรงท้ายหมู่บ้านและพึ่งย้ายเข้ามาอยู่เลย…”
“คะ? นี่คุณคะ เราพึ่งเจอกันไม่ถึงสิบนาทีเลยจะชวนไปบ้านแล้วเหรอคะ?” นรินทร์เอ่ยดักอย่างรู้ทัน
“ไม่ใช่อย่างนั้นครับ อย่าเข้าใจผิด…แค่อยากจะชวนเที่ยวชมหมู่บ้านด้วยกัน”
“ไปค่ะ…เอ่อ อ๋อ…เที่ยวหมู่บ้าน...ไปก็ได้ค่ะ ว่าแต่ทำไมถึงชวนฉันล่ะคะ?” เผลอตอบสวนขึ้นมาทันควันก่อนที่เขาจะพูดจบด้วยซ้ำ แต่ก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินประโยคท้ายเพราะมันไม่ใช่อย่างที่เธอคิดเลยสักนิด ใบหน้าสวยทำทีเสียดายไม่น้อย
“ท่าทางคุณดูเหมือนไม่น่าใช่คนแถวนี้ น่าจะเป็นคนของนิตยสารชื่อดังที่รถตู้จอดอยู่หน้าบ้านของผู้ใหญ่บ้าน ผมก็คนรุ่นใหม่อยากให้ที่นี่เป็นที่รู้จักและเจริญขึ้นเหมือนกัน”
“คุณเคยเป็นหนุ่มบ้านป่าที่นี่เหรอคะ?”
“ครับ ผม…เกิดที่นี่และพึ่งได้กลับมา” เขาไม่ได้พูดโกหกเลย เพราะเขาเกิดที่นี่และอยู่ที่นี่มานานหลายพันปี ที่เขาบอกว่าพึ่งกลับมาที่นี่ได้เพราะคำสาปของตัวเองที่ขังตัวเองไว้ใต้บาดาลในท้องนที(ทะเล)เมืองพรหมกายโลกไว้ แม้จะออกมาช่วยชาวบ้านที่เข้ามากราบไหว้ร้องขอบ้างแต่ไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้นาน เพราะที่นี่มีแต่ความทรงจำมากมายกับนางใจดวงใจที่เฝ้ารอ
เขามองหน้าเธออย่างรอคำตอบ แต่ระหว่างที่มองใบหน้าเค้าโครงเดิมไม่เปลี่ยนไปเลยของเธอนั้นยิ่งทำให้เขารู้สึกเจ็บในใจ คิดถึงจนอยากจะดึงเข้ามากอดแต่ทำไม่ได้ ภาพที่เธอสลายหายไปต่อหน้าเขานั้นมันผุดขึ้นมาจนทำให้น้ำตาเอ่อคลอ นรินทร์เห็นอย่างนั้นก็ขมวดคิ้วมองหน้าเขาอย่างสงสัยที่อยู่ ๆเขาก็ยืนน้ำเอ่อต่อหน้าต่อตา…
"เหตุใดน้องจึ่งทำร้ายใจพี่เช่นนี้..."
"เจ้าพี่..."
"ถึงจักตั้งสัจจะวาจาแลกมณีนาคากับพี่ น้องก็จักหนีตามชายผู้นั้นไปหรือ?"
"น้องมิได้..."
"ความรักที่พี่มีให้ มิเพียงพอต่อใจน้องหรือ..." เสียงเข้มพูดสั่นเครือ ดวงตาเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำตาใสที่ยากนักที่จะได้เห็นจากชายนักรบ เขาจับจ้องไปยังหญิงอันเป็นที่รักด้วยสายตาฉายแววเจ็บปวดเสียเหลือเกิน ก่อนจะปัดปราดสายตาคมจดจ้องมองไปยังนาคาหนุ่มที่ยืนเคียงข้างคนรักของตนอย่างโกรธแค้น
"มันทรยศเจ้าพี่ให้เสื่อมเสียเกียรติเพคะ...ซ้ำยังเหยียบหยามน้ำใจเจ้าพี่..."
"พอแล้วคีภัทรา...ทหารนาคาของข้า!! จับมเหสีไปขัง! ห้ามผู้ใดปล่อยนางหากมิใช่คำสั่งผู้ข้า!" สิ้นเสียงของเจ้าจอมนาคา เหล่านาคาบริวารก็เข้าไปจับตัวผู้เป็นมเหสี รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏบนใบหน้าของคีภัทราที่จ้องมองนรินธราราวกับว่าตนเป็นผู้ถือชัย
"ประเดี๋ยวก่อนเจ้าพี่..." หญิงสาวร้องเรียกผู้เป็นสวามีด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน แต่เขากลับหันหลังลาลับเดินจากไปโดยไม่แม้แต่จะฟังความจากหญิงผู้เป็นที่รักสักเพียงหนึ่งประโยค ภาพที่เห็นตรงหน้ามันทำให้ยากนักที่จะทำใจรับฟัง...ถึงยืนฟังใจก็ค้านขัดคิดแต่ว่าเป็นเพียงลมปาที่โป้ปด
หญิงสาวทอดถอนหายใจมองแผ่นหลังแกร่งนั้นเดินจากไปจนลับตาพร้อมกับคีภัทราที่เดินเคียงข้างไปไม่ห่าง ในใจลึกๆแอบหวังให้ผู้เป็นสวามีใจเย็นลงพอที่จะรับฟังนางก่อนค่อยจัดแจงแถลงไขความเข้าใจผิดนี้
แต่ทว่า....
"นี่คือคำสั่งพญาเพชรแก้ว!! ประหารนางให้ดับสิ้นเสีย!! อีกทั้งคำสาปนี้เพื่อเจ้า...มิว่าชาตินี้หรือชาติไหนอย่าได้ปลงใจรักกันอีก!! ขอให้ยากที่จะพานพบมันทุกชาติไป!!"
".... มิว่าชาตินี้หรือชาติไหนจักภพภูมิใด...ข้าก็จักขอรักท่านเพชรแก้วดวงใจของผู้ข้าทุกชาติไป..."
"ประเดี๋ยวก่อน!!! นรินธรา!!!!!"
ฉัวะ!!!.....
สิ้นคำสัตย์เสียงสุดท้ายปลายน้ำตา...พระขันธ์มายาลงปัดปักที่อก...
คมขันธ์ฉีกฉกดวงแก้วดับสลาย...เจ้าเรือนกายใกล้มลายหายสิ้นไป...
นาคาหนุ่มวิ่งล้มลุกคลุกเข้าหา...ช้อนกอดร่างกายานางสะอื้นไห้...
โอ้ นวลน้องพี่เข้าใจผิดพลาดไป...ไยเจ้ามาดับสิ้นใจก่อนเล่าความ...
นี้หาใช่คำสั่งของพี่ไม่...แล้วเหตุใดเจ้าจึงยอมให้ดับขันธ์....
พี่มาช้าเกินไปห้ามไม่ทัน...จนร่างน้องพลันสลายหายสิ้นไป...
“คุณเป็นหรือเปล่าคะ?” นรินทร์เอ่ยเรียกหลังจากที่เห็นว่าเขาเหม่อมองเธออยู่นาน ชายหนุ่มตรงหน้ายิ้มออกมาบางๆก่อนจะตอบเธอ
“ไม่ครับ…ไม่เป็นอะไร”
“แต่น้ำตาของคุณ…”
“คงจะฝุ่นเข้าตาน่ะครับ”
พูดไปพลางเบือนหน้าหนีเช็ดน้ำตาที่เอ่อคลออย่างเงียบๆ นรินทร์พยักหน้ายอมเข้าใจแม้ในใจจะเต็มไปด้วยคำถาม แต่ก็ไม่กล้าที่จะถามออกไป…อีกอย่างน้ำตาของคนตรงหน้ามันทำให้เธอรู้สึกเศร้าตามไปด้วยเสียอย่างนั้น เธอเลือกที่จะไม่คิดมากอและคิดเอาเองว่าตัวเธอเป็นขี้สงสารแค่นั้น
“ถ้าอย่างนั้น…พรุ่งนี้มาเจอกันที่นี่ก็ได้ค่ะ” นรินทร์เอ่ยขึ้นก่อนที่หนุ่มคนนั้นจะพยักหน้ายิ้มๆ
“ผมชื่อ พชร หรือเรียกผมว่า พัชรก็ได้ครับ”
“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ฉันชื่อนรินทร์” พูดออกไปด้วยน้ำเสียงดีใจที่ได้รู้ชื่อเขาเสียที อุตส่าห์เก๊กท่าอยู่นานรอให้เขาเอ่ยแนะนำตัวก่อน ใบหน้าสวยยิ้มร่าอย่างไม่ปิดบังว่าถูกใจผู้ชายคนนี้ เธอไม่สนว่าจะเคยเสียใจกับสามีเก่าแค่ไหน ในเมื่อหย่าแล้วก็คือหาคนใหม่ได้ คนเราจะเศร้าทำไมนานล่ะ
“ครับ คุณ...นรินทร์”
หลังจากที่ได้ทำความรู้จักกันรวมถึงแนะนำมินตราแล้ว นรินทร์และเขาก็แลกช่องทางการติดต่อกันเหมือนคนทั่วไปก่อนจะแยกย้ายกันไปเพราะเขาบอกว่ามีธุระ แต่ความจริงแล้วเขานั้นยังคงแปลงกายหยาบไม่ได้เสถียรนักแม้มีพลังมากแค่ไหนก็ตาม จนกว่าเธอคนนั้นจะรำถวายเจ้าปู่ที่ชาวบ้านจะรำทุกปีและมันก็ใกล้เวลาเต็มทีแล้ว
หลังจากเหตุการณ์ในครั้งนั้นจิตใจของนรินทร์ก็ไม่เคยสงบยังคงนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นบางครั้งก็เหม่อลอยอยู่นานไม่ได้สติ เธอแทบไม่มีสมาธิในการทำงาน แม้ว่าสภาพร่างกายของนรินทร์จะฟื้นตัวจนเกือบจะหายดี แต่สภาพจิตใจของนรินทร์ไม่ได้ดีขึ้นเลยแม้แต่น้อยยังคงเซื่องซึมหวาดผวาทุกครั้งที่ได้ยินเสียงดังตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาเธอพยายามทุกวิถีทางที่จะหาเขาให้เจอแม้กระทั่งเดินทางไปยังหมู่บ้านบูรบุรีทุกๆสุดสัปดาห์แต่ทว่าทางที่เธอเคยไปกลับไม่มีอยู่ ไม่ว่ายังไงเธอก็ไม่สามารถไปถึงที่นั่นได้เธอพยายามติดต่อพชรและแสงศรทั้งข้อความทั้งโทรศัพท์แต่สิ่งที่ได้ยินคือไม่มีเลขหมายที่เธอต้องการติดต่อ นรินทร์พยายามหาข้อมูลทุกสิ่งทุกอย่างที่จะเชื่อมโยงกับพชรแต่ก็ไม่คืบหน้าเลยเหมือนเธอกำลังวนอยู่ในอ่าง ตั้งแต่วันนั้นนรินทร์ไม่เคยได้พบพชรหรือแสงศรอีกเลยราวกับว่าพวกเขาไม่เคยเดินเข้ามาในชีวิตเธอ แต่รอยแผลบนตัวเธอยังคงย้ำเตือนว่าเรื่องราววันนั้นมันเกิดขึ้นจริงๆเขามีตัวตนจริงๆ ‘ฮือ...ทำยังไงฉันถึงจะติดต่อคุณได้คะพชร ฉันคิดถึงคุ
“ข้ามิได้มาเพื่อเข่นฆ่าผู้ใด ท่านจงวางใจในข้า” พญานกเอ่ย ก่อนจะกระพือปีกสีน้ำเงินนั้นพัดเข้าหาพญานาคทั้งสองมีเพียงมันตราที่กระเด็นกลิ้งออกไปตามแรงพัดนั้น มิอาจต้านแรงพญาครุฑาได้ พญาเพชรแก้วเหลียวมองพญานกนั้นก่อน พญาทศยันต์จ้องมองพญาเพชรแก้วก่อนจะเอ่ยขึ้น“ข้าจักจัดการนางเอง” ว่าแล้วก็กระพือปีกบินขึ้นสง โฉบเฉี่ยวคว้าร่างของนาคีสีเขียวตองอ่อนนั้นขึ้นสู่น่านฟ้า มุ่งหน้าไปยังอีกฝากฝั่งของมหานทีพระครูบามันที่เห็นว่าเรื่องราวสงบลงแล้ว ท่านจึงเดินเข้ามาหาพญาเพชรแก้วที่กลับร่างกายหยาบเป็นพชรด้วยท่าทีสงบนิ่ง มองดูจ้าวจอมผู้เป็นใหญ่ช้อนกอดร่างของนางอันเป็นที่รักร่ำไห้ปานจะขาดใจอย่างเวทนาสงสาร“นางยังมิสิ้นใจหรอกท่าน…จิตของนางยังคงช่วยค้ำยันชีวิตและร่างกายนี้เอาไว้อยู่” พระครูบามันเอ่ยว่าแล้วร่างโปร่งใสของนรินธราก็ปรากฏอยู่ต่อหน้าเขา ร่ำไห้นั่งลงเคียงข้างพชร พลางเอื้อมมือไปจับมือหนาของเขาที่กำลังพยายามช่วยชีวิตของนรินทร์ พลังเหนือธรรมชาติของทั้งสองดวงจิตผสมผสานกันเพื่อช่วยหญิงสาวตรงหน้า&l
“ข้าคอยตักเตือนเจ้าแล้ว…คีภัทรา!! แต่เจ้ากลับไม่มีทีท่าจักสำนึก!! จงกลับลงไปจมสู่ใต้ธาราชั่วนิรันดร์เสีย” ดวงตาสีน้ำผึ้งจ้องมองคีภัทราอย่างเกรี้ดกราด โกรธแค้นเคืองใจนางตรงหน้าที่เคยรักเหมือนดั่งพี่น้อง ค่อยวางร่างของนรินทร์ลงกับพื้นอย่างเบามือทั้งน้ำตา ลุกขึ้นมาหุนหันย่างก้าวเข้าหาพญานาคีห้าเศียรตรงด้วยโทสะ ดวงตาฉายแววอาฆาตต้องการจักปลิดชีพนางเสีย“หยุดก่อนท่าน…จงระงับโทสะแล้วไตร่ตรองดูเสียเถิดท่านพญานาคราชผู้ยิ่งใหญ่ หากท่านพลาดพลั้งไปสิ่งที่ท่านทำมามันก็สูญเปล่า…อย่าได้ต่อเวรต่อกรรมกันเลย ให้มันเป็นหน้าที่ของเวรกรรมที่นางจะต้องได้รับผลนั้นเองเสียเถิด”เสียงนุ่มเย็นดังขึ้นอยู่กึ่งกลางระหว่างทั้งสอง ก่อนจะปรากฏร่างของพระครูบามันเดินเข้ามาขวางทางทั้งคู่ด้วยท่าทีที่นิ่งสงบ พชรยังคงไม่คลายโทสะลงจ้องมองพระครูและคีภัทราสลับกันไปมา“มันมิใช่กิจของท่าน จงอย่าได้แส่!” คีภัทราเอ่ยขึ้นอย่างไม่เคารพ เวลานี้นางเองก็อยากจะทวงขอความรักจากชายตรงหน้าเช่นกัน หากมิได้ความรักก็ขอต่อเวรต่อกรรมจองจำพบเจอกันมันไปทุกภพทุกช
รถตู้หยุดอยู่ที่ขอบหน้าผาหมิ่นเหม่เหมือนจะตกลงไปอยู่รอมร่อ แต่เพราะลำกายของงูใหญ่นั้นพันเกี่ยวรถตู้เอาไว้ ชูคอหันหน้ามาทางรถที่พชรและนรินทร์นั่งอยู่ราวกับกำลังต่อรอง ท่ามกลางเสียงกรีดร้องด้วยความกลัวของคนในรถดังออกมาจนได้ยินชัดคนในรถต่างพากันหาที่ยึดเหนี่ยวไว้อีกฝั่งก็พญานาคอีกฝั่งก็หน้าผาทุกคนต่างเริ่มร้องไห้ด้วยความหวาดกลัวมีเพียงนิลนนท์ที่พอจะมีสติแต่เขาเองก็ปฎิเสธไม่ได้ว่ากลัวไม่ต่างกันสายตาของนิลนนท์มองไปรอบรถตู้อย่างน้อยน่าจะมีอะไรพอช่วยได้บ้างแต่ทว่ามีเพียงเข็มขัดนิรภัยเท่านั้นอย่างน้อยหากตกลงไปก็ยังพอมีโอกาสรอด“ทุกคนรัดเข็มขัด! ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นอย่าถอดออกเด็ดขาด” นิลนนท์พยายามทำเสียงแข็งทั้งที่ในใจหล่นวูบ“ฮืออ พี่นิลมินกลัวนี่มันฝันใช่ไหม” มินตราร้องไห้ด้วยความกลัว“กูอยู่นี่ไม่ต้องกลัว” เทวินปลอบมินตราก่อนจะรีบรัดเข็มขัดของตัวเองและหันไปสำรวจของมินตรา“นายท่านครับ…” แสงศรหันไปเรียกผู้เป็นเจ้านายด้วยสีหน้าจริงจัง พชรพยักหน้าก่อนที่แสงศรจะหักรถกลับไปยังที่เกิดเหตุ
ในคราวแรกความสัมพันธ์ของเธอและเขานั้นพึ่งจะได้ตกลงปลงใจกันได้เพียงวันเดียวก็เกิดเรื่อง เธอรับรู้ความจริงในตัวตนของเขาและปฏิเสธเขาด้วยความกลัวและเกรงขามในบทบาทที่เขาเป็น แต่คราวนี้เธอรับรู้ถึงตัวของเขาทั้งหมดและยอมรับมัน ยอมรับใจตัวเองที่หลงรักเขาไปแล้วตั้งแต่แรกเจอทั้งที่เธอไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนอีกทั้งเรื่องราวความสัมพันนธ์ของเธอและเขามันก็เลยเถิดมาถึงขนาดนี้แล้ว เธอก็อยากจะลองดูสักตั้งเหมือนกัน อยากมองเขาในฐานะผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่ใช่สิ่งศักดิ์หรือสิ่งลี้ลับอะไรทำนองนั้นแม้ว่าเธอไม่รู้เลยว่า…อะไรจะเกิดขึ้นกับอนาคตความรักของเธอ…“เลิกหวานกันสักแป๊บได้ไหมคะ มินอิจฉาไปหมดแล้วเนี่ย” มินตราเอ่ย ขณะที่ทุกคนนั่งทานอาหารกันพร้อมหน้ารวมถึงภากรณ์และพนิตาที่ลอบมองพชรและนรินทร์เป็นระยะด้วยสีหน้าไม่พอใจเท่าไหร่นักที่เห็นทั้งสองคนตักอาหารให้กันไปมองตากันหวานเชื่อมโดยไม่สนใจคนรอบข้างราวกับว่าโลกทั้งใบมีแค่พวกเขา“ไม่กงไม่กินมันละ เลี่ยน!” พนิตาวางช้อนส้อมลงอย่างใส่อา
ภากรณ์ลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกเมื่อยล้าเขามองไปรอบๆห้องก็พบว่านี่คือห้องของเขาไม่ใช่ห้องของนรินทร์และคนที่นอนอยู่ข้างๆคือพนิตา“นิตา นิตา!”“อื้ม อะไรคะกรณ์เสียงดังจังเลย”“ทำไมคุณมาอยู่นี่ แล้วไอ้พชรล่ะ”“ไม่รู้สิคะ เมื่อคืนนิตาจำได้ว่าอยู่กับคุณพชร”พนิตารวบรวมสติพยายามนึกถึงเมื่อคืนเธอจำได้ว่าพชรกำลังจะจูบเธอแล้วแท้ๆ พนิตานึกเสียดายและมองไปที่ภากรณ์อย่างหัวเสีย “แล้วคุณล่ะ กลับมาตอนไหนเรื่องนรินทร์ล่ะว่าไง?” ภากรณ์ได้ยินอย่างนั้นก็ฉุกคิดในหัวพอตั้งสติได้ก็ไม่รอช้ารีบลุกพรวดออกไปยังห้องของนรินทร์ทันทีด้วยความหงุดหงิด ต้องเป็นพชรทุกทีที่เข้ามาได้ทันเวลามันเสียทุกครั้ง คิดๆแล้วก็เจ็บใจทางด้านมันตราได้แอบออกมาพบคีภัทราด้วยเส้นทางด้านหลังของคฤหาสน์ เห็นผู้มีพระคุณยืนรออยู่ก็รีบเข้าไปหาด้วยความดีอกดีใจ แต่ทว่านางตรงหน้าก