เดือนห้า รัชศกเทียนเหอปีที่เจ็ดสิบหก¹
ยามรัตติกาลล่วงเลย อากาศเย็นเยียบจับขั้วหัวใจ ดุจไอเหมันต์แผ่ปกคลุมไปทั่วสารทิศ
แม้จันทราจะทอแสงนวลผ่อง แต่ก็มิอาจขับไล่ความมืดมิดที่เข้าปกคลุมดวงจิตของ ตู้เยี่ยนอวี่ ไปได้เลย เธอนอนแน่นิ่งอยู่บนผืนเตียงไม้แข็งกระด้าง ไม่อาจขยับเขยื้อนกาย ดุจท่อนไม้ที่ถูกทอดทิ้งริมธาร ใบหน้าซีดขาวดุจกระดาษ แสงเทียนริบหรี่ในมุมห้องส่องกระทบใบหน้าของเธอ เผยให้เห็นเค้าโครงอ่อนเยาว์ที่ไม่คุ้นตา
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน” เสียงกระซิบแผ่วเบาเล็ดลอดจากลำคอแห้งผาก ราวกับไม่ใช่เสียงของตนเอง สองตาเบิกโพลง พยายามปรับโฟกัสกับภาพที่เห็นตรงหน้า
ภาพจำสุดท้ายของตู้เยี่ยนอวี่ในวัยยี่สิบสี่ปี ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์แผนปัจจุบันนั้น คือแสงไฟสว่างจ้าจากรถยนต์ที่กำลังพุ่งเข้าใส่ เสียงยางบดถนน และความเจ็บปวดเสียดแทงไปทั่วร่าง
ทว่า…
บัดนี้ความรู้สึกเหล่านั้นกลับเลือนหายไปสิ้น มีเพียงความมึนงงและอาการปวดร้าวบริเวณศีรษะที่หลงเหลืออยู่
“นี่ฉันยังไม่ตายเหรอเนี่ย ?” เธอพยายามขยับนิ้วมืออย่างเชื่องช้า ความรู้สึกแปลกประหลาดไหลเวียนไปทั่วฝ่ามือ ดุจกระแสธารวารีที่ไหลวนในเส้นเลือด นิ้วมือที่เคยเรียวยาวแข็งแกร่งจากการจับเข็มฉีดยา บัดนี้กลับดูบอบบางและเล็กจ้อยยิ่งนัก
“คุณหนูฟื้นแล้ว !”
เสียงอุทานปนความยินดีของหญิงสาววัยสิบเจ็ดสิบแปดปี ผู้มีใบหน้ากลมมนน่าเอ็นดู ดวงตากลมโตเป็นประกาย นางรีบก้าวเข้ามาใกล้เตียง พลางใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดหน้าผากของเยี่ยนอวี่อย่างเบามือ
“เธอเป็นใคร ?” เยี่ยนอวี่พยายามเปล่งเสียงอีกครา แต่กลับแหบพร่าจนแทบไม่ได้ยิน
หญิงสาวผู้นั้นนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ ดวงตาฉายแววกังวล
“คุณหนูจำบ่าวไม่ได้หรือเจ้าคะ บ่าวชื่อ เสี่ยวจู เป็นบ่าวรับใช้ของคุณหนูมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยเลยนะเจ้าคะ”
เยี่ยนอวี่ขมวดคิ้วแน่น
คำว่าคุณหนู และบ่าวดังก้องอยู่ในโสตประสาท ดุจระฆังยามเช้าที่ดังสนั่น ภาพในห้วงความคิดของเธอฉายซ้ำราวกับม้วนภาพยนตร์เก่า ๆ ห้องพักที่เรียบง่ายในอพาร์ตเมนต์ กลิ่นยาฆ่าเชื้อในโรงพยาบาล เสียงอึกทึกครึกโครมของมหานคร สิ่งเหล่านี้กลับกลายเป็นความทรงจำอันเลือนรางไปเสียแล้ว
“ที่นี่ที่ไหน ?” เธอถามเสียงแผ่วอีกครั้ง พร้อมกวาดสายตามองไปรอบห้องที่ประดับประดาด้วยข้าวของเครื่องใช้แบบโบราณ ราวกับหลุดมาจากภาพวาดในพิพิธภัณฑ์ ผ้าห่มผืนหนาที่คลุมกายอยู่เป็นผ้าทอหยาบ ๆ เตียงนอนทำจากไม้เนื้อแข็ง หน้าต่างไม้ที่ปิดสนิท และแสงเทียนที่ให้ความสว่างเพียงน้อยนิด ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่คุ้นเคยแม้แต่น้อย
เสี่ยวจูถอนหายใจเฮือกใหญ่ คล้ายความกังวลถาโถมเข้ามาอีกครา
“คุณหนูคงจะทรงไข้หนักจนหลงลืมไปชั่วขณะนะเจ้าคะ นี่คือเรือนเล็กของสกุลตู้ในหมู่บ้านซีหลินเจ้าค่ะ”
หมู่บ้านซีหลิน ? สกุลตู้ ?
คำตอบเหล่านี้ยิ่งทำให้ตู้เยี่ยนอวี่สับสนงุนงงดุจอยู่ในเขาวงกต เธอพยายามนึกย้อนถึงญาติมิตร หรือแม้แต่ชื่อสกุลที่คุ้นเคย แต่ก็ไม่มีใครปรากฏขึ้นในห้วงความคิดของเธอเลย
“ฉั- ขะ ข้าชื่อตู้เยี่ยนอวี่หรือ ?” เธอลองเอ่ยชื่อที่ได้ยินออกมาอย่างตะกุกตะกัก พยายามเป็นอย่างมากที่จะไม่ให้หลุดคำพูดแปลก ๆ
เสี่ยวจูพยักหน้าหงึกหงัก “ใช่เจ้าค่ะ คุณหนูตู้เยี่ยนอวี่ สตรีที่ใคร ๆ ก็ต่างบอกว่าเพียบพร้อม” นางยิ้มอย่างโล่งใจเล็กน้อย “ดูท่าคุณหนูจะดีขึ้นแล้ว บ่าวจะรีบไปแจ้งฮูหยินและท่านผู้เฒ่าเจ้าค่ะ”
กล่าวจบเสี่ยวจูก็รีบร้อนวิ่งออกไปจากห้อง ทิ้งให้ตู้เยี่ยนอวี่จมอยู่กับความคิดอันวุ่นวายดุจเส้นด้ายที่พันกันยุ่งเหยิง
“ตู้เยี่ยนอวี่ ชื่อนี้ไม่คุ้นหูเลยแม้แต่น้อย” เธอพึมพำกับตนเอง พลางยกมือขึ้นลูบใบหน้าบอบบางของตนเอง สัมผัสที่รับรู้คือผิวที่เนียนนุ่มดุจไข่มุก และโครงหน้าที่เล็กกว่าที่เคยเป็น
“นี่ไม่ใช่ร่างของข้า” ความคิดนี้ผุดขึ้นในสมอง ดุจฟ้าผ่าลงกลางใจ “นี่ฉันทะลุมิติมาหรือนี่ ? เรื่องแบบนี้มีจริงในโลกใบนี้ด้วยหรือไงกัน ?”
ความจริงอันน่าตกใจนี้ทำให้หัวใจของตู้เยี่ยนอวี่เต้นระรัว ดุจกลองศึกที่รัวขึ้นในยามสงคราม เธอพยายามรวบรวมสติ ค่อย ๆ ทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด ตั้งแต่จุดจบในโลกเดิม จนกระทั่งฟื้นขึ้นมาในร่างใหม่นี้
“ตอนนี้ฉันอยู่ในร่างของเด็กสาววัยสิบสี่ปีสินะ” เธอทอดถอนใจยาว พลางมองสำรวจร่างกายของตนเองใต้ผ้าห่มผืนหนา “แต่ก่อนฉันเคยเป็นถึงแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ แต่ทำไมตอนนี้ถึงกลายเป็นเด็กน้อยไปเสียได้”
ความรู้สึกอ้างว้างและโดดเดี่ยวเข้าครอบงำจิตใจ ดุจนกน้อยที่พลัดหลงจากรัง
ไม่มีที่พึ่งพิง สิ่งที่เคยเป็นความจริงในชีวิตของเธอตอนนี้ได้แปรเปลี่ยนไปสิ้นเชิง ทว่าในความสิ้นหวังนั้น แววตาของนางก็ฉายประกายแห่งความมุ่งมั่น ดุจแสงหิ่งห้อยที่ยังคงส่องสว่างในความมืดมิด
“จะร้องไห้คร่ำครวญไปก็ไม่ได้ช่วยอะไร” เธอกล่าวกับตนเองอย่างเด็ดเดี่ยว “ในเมื่อฟ้าดินลิขิตให้ฉันมาอยู่ในร่างนี้แล้ว ก็ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ได้ !”
ครู่หนึ่ง เสียงฝีเท้าก็ดังใกล้เข้ามา พร้อมกับเสียงพูดคุยแผ่วเบา
ประตูห้องเปิดออกเผยให้เห็นหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่ง สวมอาภรณ์เรียบง่ายแต่ดูสะอาดสะอ้าน ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม ดวงตาฉายแววห่วงใย นางเดินตรงเข้ามาที่เตียง พลางจับมือของเยี่ยนอวี่อย่างอ่อนโยน
“อวี่เอ๋อร์ เจ้าฟื้นแล้วหรือลูก ? รู้หรือไม่ว่าเจ้าทำให้แม่ใจหายใจคว่ำไปหมด”
ตู้เยี่ยนอวี่มองสตรีผู้นั้นด้วยความรู้สึกแปลกแยก แม้จะมิเคยพบพานมาก่อน แต่แววตาและสัมผัสที่อบอุ่นของนางก็ทำให้หัวใจที่เย็นชาของเยี่ยนอวี่อบอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย
“ท่านเป็นมารดาของข้าหรือเจ้าคะ ?” เยี่ยนอวี่ถามออกไปตรง ๆ
สตรีผู้นั้นหัวเราะเบา ๆ “บุตรสาวข้าช่างพูดจาแปลกไปเสียจริง ป่วยหนักจนจำมารดาไม่ได้เชียวหรือนี่ ?”
นางหันไปสบตากับชายสูงวัยผู้หนึ่งที่เดินตามเข้ามา ใบหน้ามีรอยเหี่ยวย่น แต่ดวงตาเปี่ยมไปด้วยความปรานี
“นายท่านผู้เฒ่า ฮูหยิน คุณหนูอวี่เอ๋อร์ก็จำข้าไม่ได้เช่นกันเจ้าค่ะ” เสี่ยวจูกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก
ชายสูงวัยผู้นั้นมีหนวดเครายาวสีขาวประปราย ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความสงบดุจพระสงฆ์ในวิหาร เดินเข้ามาใกล้เตียง พลางวางมือลงบนศีรษะของเยี่ยนอวี่อย่างแผ่วเบา
“มิเป็นไรหรอกลูกรัก เพียงป่วยหนักจนความจำเลอะเลือนไปชั่วขณะเท่านั้น พักผ่อนให้มาก แล้วทุกอย่างก็จะดีขึ้นเอง” เขาพูดด้วยน้ำเสียงปลอบโยน
ตู้เยี่ยนอวี่มองบุคคลทั้งสามตรงหน้า แม้จะมิใช่ครอบครัวที่แท้จริงของเธอ แต่ความห่วงใยที่พวกเขามอบให้ก็สัมผัสได้ถึงจิตใจอย่างลึกซึ้ง
“ข้าปวดหัวเจ้าค่ะ” เธอกล่าว เพื่อหลีกเลี่ยงการตอบคำถามที่อาจทำให้ความลับของเธอถูกเปิดเผย
“เช่นนั้นก็พักผ่อนเถิดลูกรัก” มารดาของร่างนี้กล่าว พลางใช้มือลูบผมของเธออย่างแผ่วเบา “เสี่ยวจู เจ้าคอยดูแลคุณหนูให้ดี”
“เจ้าค่ะฮูหยิน” เสี่ยวจูรับคำอย่างนอบน้อม
เมื่อบุคคลทั้งสองเดินออกไปจากห้อง เหลือเพียงตู้เยี่ยนอวี่กับเสี่ยวจู ความเงียบก็เข้าปกคลุมอีกครา
“เสี่ยวจู เจ้าเล่าเรื่องราวของข้าให้ฟังได้หรือไม่ ?” ตู้เยี่ยนอวี่ตัดสินใจใช้โอกาสนี้ในการรวบรวมข้อมูล
เสี่ยวจูยิ้มกว้างออกมาทันทีที่ได้ยิน ก่อนจะค่อย ๆ เอ่ยเล่าเรื่องราวต่าง ๆ
“ได้เจ้าค่ะ คุณหนูเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของท่านผู้เฒ่าตู้และฮูหยิน ท่านผู้เฒ่าเป็นบัณฑิตผู้คงแก่เรียน มีความรู้ความสามารถ แต่ไม่ชอบความวุ่นวาย จึงเลือกมาใช้ชีวิตอย่างสงบในหมู่บ้านซีหลินแห่งนี้ ส่วนฮูหยินก็เป็นแม่ศรีเรือนที่ดี มีฝีมือในการเย็บปักถักร้อยและทำอาหารเลิศรส”
เสี่ยวจูเล่าเรื่องราวของตระกูลตู้ให้ฟังอย่างละเอียด ตั้งแต่ประวัติความเป็นมาของท่านผู้เฒ่าตู้ การใช้ชีวิตที่เรียบง่ายในหมู่บ้าน ไปจนถึงเหตุการณ์ที่ตู้เยี่ยนอวี่ล้มป่วยด้วยไข้หนักและสลบไปหลายวัน
“คุณหนูเพิ่งอายุสิบสี่ปีเจ้าค่ะ” เสี่ยวจูกล่าวสรุป “แต่คุณหนูเป็นเด็กที่ฉลาดเฉลียว เรียนรู้เร็ว ทั้งยังมีความเมตตาต่อผู้คน ยามว่างมักจะไปช่วยบ่าวรับใช้ทำงานบ้าน หรืออ่านตำราต่าง ๆ ในห้องสมุด”
ตู้เยี่ยนอวี่รับฟังเรื่องราวเหล่านั้นอย่างตั้งใจ
สิ่งที่เสี่ยวจูเล่ามานั้นช่างแตกต่างจากชีวิตเดิมของเธอลิบลับ แต่ก็ทำให้ฉุกคิดได้ว่าอย่างน้อยร่างนี้ก็มีครอบครัวที่อบอุ่นและมีพื้นเพที่ดี
“ข้าเข้าใจแล้ว” เธอตอบสั้น ๆ พลางหลับตาลงช้า ๆ พยายามประมวลข้อมูลทั้งหมดที่ได้รับ
ในความมืดมิดของเปลือกตา ตู้เยี่ยนอวี่เห็นภาพของโลกเดิมเลือนลางลงไปทุกที โดยที่มีความทรงจำใหม่เริ่มเข้ามาแทนที่ทีละน้อย
“ไม่ว่าโลกนี้จะเป็นยังไง ฉันก็จะใช้ชีวิตให้ดีที่สุด” เธอปวารณาในใจ ดุจนักรบที่ตั้งมั่นในคำปฏิญาณ “ในเมื่อฟ้าส่งฉันมาแล้ว ฉันก็จะไม่ยอมให้ตัวเองต้องจมปลักอยู่กับความทุกข์ระทม”
————————
¹รัชศกเทียนเหอปีที่เจ็ดสิบหก (天和七十六年 – เทียนเหอ ชี่สือลิ่วเหนียน) เป็นการระบุปีตามแบบจีนโบราณ
เทียนเหอ (天和) แปลว่าฟ้าสัมพันธ์ หรือสันติแห่งสวรรค์ เป็นชื่อรัชศก (年号 – เนี่ยนฮ่าว) ซึ่งเป็นชื่อยุคสมัยที่จักรพรรดิทรงตั้งขึ้นเพื่อใช้เรียกปีในรัชสมัยของพระองค์ ส่วนปีที่เจ็ดสิบหก (七十六年) หมายถึง ปีที่ 76 ในรัชศกนั้น
ณ ลานฝึกยุทธ์ลับของสำนักพันเงาบรรยากาศอบอวลไปด้วยไอสังหารและจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ จอมยุทธ์แห่งสำนักพันเงาแต่ละคนล้วนเป็นยอดฝีมือที่มีเพลงยุทธ์เฉพาะตัวที่ร้ายกาจ แต่การต่อสู้ของพวกเขานั้นเป็นไปในลักษณะฉายเดี่ยว ดุจพยัคฆ์ร้ายที่ล่าเหยื่อโดยลำพังกู้เหยียนหลงในฐานะอดีตแม่ทัพใหญ่ กำลังพยายามหลอมรวมคมดาบที่กระจัดกระจายเหล่านี้ให้กลายเป็นกองกำลังที่แข็งแกร่งและเป็นหนึ่งเดียว“เพลงยุทธ์ของพวกท่านร้ายกาจ แต่ขาดซึ่งการประสานงาน!” เขากล่าวเสียงดังฟังชัด “ในสนามรบที่แท้จริง การรบเพียงลำพังไม่ต่างอะไรกับการหาที่ตาย! พวกท่านต้องเรียนรู้ที่จะเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนทัพ เป็นตาให้สหาย เป็นโล่ให้พวกพ้อง!”ในตอนแรก เหล่าจอมยุทธ์ผู้หยิ่งทระนงในฝีมือของตนต่างแสดงความไม่พอใจ แต่หลังจากที่ได้ประลองและพ่ายแพ้ให้แก่กลยุทธ์ทางการทหารอันเหนือชั้นของกู้เหยียนหลง พวกเขาก็ยอมรับในตัวบุรุษผู้นี้อย่างสุดหัวใจในขณะเดียวกัน ณ ห้องปรุงยาลับของสำนักนายหญิงแห่งเงาได้นำยอดพิษ และสมุนไพรหายากในยุทธภพที่นางรวบรวมไว้มามอบให้ตู้เยี่ยนอวี่ศึกษา ตู้เยี่ยนอวี
ภายในห้องโถงลับของสำนักพันเงา อากาศยังคงอบอวลไปด้วยความเงียบงัน นายหญิงแห่งเงาจ้องมองตู้เยี่ยนอวี่ด้วยสายตาที่ล้ำลึกดุจมหาสมุทร ยากที่จะหยั่งถึงความคิดของนาง“ข้อเสนอเป็นพันธมิตร ช่างเป็นวาจาที่อาจหาญยิ่งนัก จากดาวที่เคยเจิดจรัสอยู่บนฟากฟ้าของราชสำนัก แต่บัดนี้กลับร่วงหล่นลงมาสู่ดินโคลนแห่งนี้” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยตู้เยี่ยนอวี่มิได้สะทกสะท้าน“ดาวที่ร่วงหล่น หากยังคงมีแสงในตัวเอง ย่อมสามารถกลับไปส่องสว่างบนฟากฟ้าได้อีกครั้งเจ้าค่ะ” นางกล่าวตอบอย่างไม่ลดละ “พวกเรามิได้มาเพื่อขอความเมตตา แต่มาเพื่อเสนอความร่วมมือที่จะเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย”นางได้อธิบายถึงภัยคุกคามทั้งหมดที่แผ่นดินกำลังเผชิญ ทั้งแผนการควบคุมจิตใจขององค์ชายจ้าวเฟิง และความเหี้ยมโหดของพรรคเมฆาโลหิตที่กำลังแทรกซึมไปทั่วทุกหนแห่ง ส่วนกู้เหยียนหลงก็ได้ชี้ให้เห็นถึงภัยทางการทหาร หากรองแม่ทัพจ้าวคุนสามารถยึดอำนาจในกองทัพได้สำเร็จ ชายแดนของต้าเฉินก็จะเปิดอ้ารอรับการรุกรานจากแคว้นเวยทันทีนายหญิงแห่งเงารับฟังทั้งหมดอย่างตั้งใจ นานแสนนานที่นางนั
บรรยากาศตึงเครียดจนแทบระเบิด รองแม่ทัพจ้าวคุนยืนอยู่ที่ปากประตูด้วยรอยยิ้มแห่งผู้ชนะ สาส์นลับในมือของเขาเปรียบดั่งตราบาปที่ประทับลงบนชะตากรรมของคนทั้งสาม“ยอมจำนนเสียเถิดเหล่ากบฏ ! หลักฐานมัดตัวแน่นหนาถึงเพียงนี้ พวกเจ้ายังจะดิ้นรนไปไย !”กู้เหยียนหลงและจางอู๋จีชักอาวุธออกมาทันที แววตาของพวกเขาแน่วแน่และพร้อมที่จะสู้ตาย แม้จะรู้ว่านี่คือการต่อสู้ที่ไร้ซึ่งความหวังก็ตามทว่า ในขณะที่การปะทะกำลังจะเกิดขึ้น ตู้เยี่ยนอวี่กลับก้าวออกมาขวางคนทั้งสองไว้“รอก่อนเจ้าค่ะ !” นางกระซิบ “การต่อสู้ในยามนี้ คือสิ่งที่พวกมันต้องการที่สุด”นางล้วงหยิบเอาลูกกลอนกระเบื้องเคลือบขนาดเล็กออกมาจากแขนเสื้อ มันดูเป็นเพียงของประดับธรรมดาชิ้นหนึ่ง“สิ่งนี้... จะซื้อเวลาให้เราได้สามลมหายใจ”สิ้นคำพูด นางก็ขว้างลูกกลอนนั้นลงบนพื้นอย่างแรงเพล้ง !แทนที่จะเป็นควันพิษ สิ่งที่ระเบิดออกมากลับเป็นลำแสงสีขาวที่สว่างจ้าจนแสบตา พร้อมกับเสียงแหลมสูงที่กรีดลึกเข้าไปในโสตประสาท เหล่าองครักษ์และจ้าวคุนต่างยกมือขึ้นปิดตาและหูด้วยความเจ็บปวด โลกทั้งใบของพวกเขากลายเป็นสีขาวโพลนและเงียบงันไปชั่วขณะ“เร็วเข้า !”ในสามลมหายใจแห่งค
ช่วงเวลาหลายสัปดาห์ต่อมา บรรยากาศในวังหลวงสงบสุขลงอย่างเห็นได้ชัด ถุงหอมหนิงอันของตู้เยี่ยนอวี่ดูเหมือนจะได้ผลชะงัด เหล่าขุนนางและเชื้อพระวงศ์มีท่าทีที่ผ่อนคลายและจิตใจที่แจ่มใสขึ้น ความขัดแย้งเล็ก ๆ น้อย ๆ ลดลงจนแทบไม่ปรากฏกู้เหยียนหลงเองก็ประสบความสำเร็จในการปรับเปลี่ยนกำลังพล เขาสามารถโยกย้ายคนของรองแม่ทัพจ้าวคุนออกไปจากตำแหน่งสำคัญ และแทนที่ด้วยนายทหารรุ่นใหม่ที่มีความสามารถและภักดีได้อย่างราบรื่นดูเหมือนว่าฝ่ายของพวกเขาจะกุมชัยชนะและควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ทั้งหมด ทว่า นี่เป็นเพียงความสงบก่อนพายุจะโหมกระหน่ำอย่างแท้จริงหอเหมยแดงยังคงเปิดให้บริการตามปกติ ภายใต้เสียงดนตรีอันไพเราะและกลิ่นกำยานหอมกรุ่น นักดนตรีขลุ่ยมายาในม่านลูกปัดกำลังสนทนากับนักปลอมแปลงเอกสารมือหนึ่งของยุทธภพ“ข้าต้องการสาส์นลับฉบับหนึ่ง ที่มีลายมือของจางอู๋จี แต่เนื้อความต้องเป็นบทเพลงที่พวกเราบรรเลง” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เยียบเย็นแผนการหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความระแวงได้เริ่มต้นขึ้นแล้วอย่างเงียบงัน///ณ กระทรวงกลาโหมหลายวันต่อมา…
ในห้องประชุมลับใต้ดิน บรรยากาศเงียบสงัดจนได้ยินเสียงเปลวเทียนสั่นไหว ใบหน้าของกู้เหยียนหลงและจางอู๋จีเคร่งขรึมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หลังจากที่ตู้เยี่ยนอวี่ได้เปิดเผยความจริงอันน่าสะพรึงกลัวเกี่ยวกับเครื่องหอมในหอเหมยแดง“พวกมันมิได้ต้องการแค่ราชบัลลังก์ แต่ต้องการควบคุมวิญญาณของขุนนางทั้งแผ่นดิน” จางอู๋จีกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่า “นี่คือแผนการที่ชั่วร้ายและทะเยอทะยานเกินกว่าที่ผู้ใดจะคาดคิด”“การบุกทำลายหอเหมยแดงในยามนี้เป็นไปไม่ได้” กู้เหยียนหลงวิเคราะห์ “นั่นเท่ากับเป็นการเปิดศึกโดยตรง และจะทำให้องค์ชายจ้าวเฟิงมีข้ออ้างในการเคลื่อนไหวทางการทหารทันที”“ถูกต้องเจ้าค่ะ” ตู้เยี่ยนอวี่กล่าวขึ้น ดวงตาของนางสงบนิ่งดุจน้ำในบ่อลึก แต่กลับฉายประกายแห่งความเด็ดเดี่ยว “ในเมื่อพิษเข้าทางลมหายใจ ยาแก้ก็ต้องออกฤทธิ์ผ่านลมหายใจเช่นกัน”นางได้เสนอแผนการที่แยบยลและเหนือความคาดหมาย นั่นคือการสร้างยาถอนพิษที่มองไม่เห็นขึ้นมาต่อกรตู้เยี่ยนอวี่ใช้เวลาหลายวันขลุกตัวอยู่แต่ในห้องปรุงยา นางศึกษ
เงาจันทร์ทาบทาลงบนตรอกซอกซอยอันมืดมิดของเมืองหลวง ตู้เยี่ยนอวี่และกู้เหยียนหลงเร้นกายออกจากหอเหมยแดงอย่างเงียบเชียบ บรรยากาศที่เคยหรูหราฟู่ฟ่า บัดนี้กลับให้ความรู้สึกน่าขยะแขยงราวกับสุสานที่ประดับประดาอย่างงดงามแต่ซ่อนเร้นไว้ด้วยซากศพและความเน่าเฟะทั้งสองมิได้เอ่ยวาจาใด ๆ ตลอดทาง แต่ในใจกลับปั่นป่วนดุจพายุคลั่ง ภาพของรองแม่ทัพจ้าวคุนที่หายลับเข้าไปในประตูทางลับนั้น ยังคงติดตาตรึงใจราวกับถูกเหล็กร้อนนาบ///ณ ที่พำนักลับของจางอู๋จีบรรยากาศในห้องประชุมใต้ดินนั้นหนักอึ้งและเยียบเย็นยิ่งกว่าค่ำคืนในฤดูเหมันต์“รองแม่ทัพแห่งต้าเฉิน คือหนอนบ่อนไส้” กู้เหยียนหลงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่กดต่ำจนน่ากลัว กำปั้นของเขากำแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน ในฐานะแม่ทัพใหญ่ การมีผู้ทรยศอยู่ในตำแหน่งสูงถึงเพียงนี้ ถือเป็นความล้มเหลวและความอัปยศอดสูอย่างใหญ่หลวงจางอู๋จีถอนหายใจยาว“ข้าเคยสงสัยในตัวจ้าวคุนมานานแล้ว” เขากล่าว “ฐานะทางการเงินของเขาเติบโตขึ้นอย่างผิดปกติในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ข้ามิเคยมีหลักฐานมัดตัวเขาได้เลยแม้แต่ชิ้นเดียว จนกระทั่งวัน