จางอี้หมิงมองตามถัวเค่อชีผู้นั้น เขารู้ดีว่าศิษย์ระดับสามผู้นั้นริษยาเขามาตลอด เหตุที่อายุเท่ากัน แต่จางอี้หมิงเข้าสำนักก่อน ได้เป็นศิษย์สายตรงของกู่เจิ้ง และทะลวงด่านขึ้นสู่ระดับสูงสำเร็จ แต่ถั่วเค่อชีผู้นั้นทำได้เพียงระดับสามเท่านั้น
“หากข้าได้พลังปราณกลับคืนเพียงนิด เจ้าจะเป็นคนแรกที่บิดาจะสั่งสอน!”
จางอี้หมิงลอบคิดในใจ ก่อนจะเดินนำหลินหนิงและหวงจื่อรั่วไปเพื่อรับฟังคำชี้แจง
จางอี้หมิงยืนข้างหวงจื่อรั่ว ลอบมองใบหน้างดงามหมดจดของนาง ก่อนจะกระซิบกับนางเบาๆ “ที่นี่ศิษย์ระดับศูนย์จะต้องนอนร่วมกัน แต่แบ่งแยกชายหญิง เจ้าควรเลิกปลอมเป็นชายได้แล้ว”
หวงจื่อรั่วมองเขาตอบด้วยสายตาเย็นชา “ข้าไม่ได้ปลอม”
“เห็นชัดว่าเจ้าปลอมเป็นชายยังเถียงว่าไม่ได้ปลอมอีก” จางอี้หมิงคิดในใจ แต่ได้แค่ยิ้มออกมา
“ข้าเป็นสตรี” หวงจื่อรั่วตอบออกมาสั้นๆ
“ศิษย์ระดับศูนย์ทุกคน จงจับคู่กันเพื่อเข้าที่พัก! ใครไม่มีคู่จงรีบหาภายในเวลานี้” เสียงของถัวเค่อชีดังชัดเจน ทุกคนในห้องต่างหันไปมองซึ่งกันและกัน บ้างจับคู่ได้ทันที บ้างยังลังเล
หลินหนิงที่ยืนอยู่ข้างหวงจื่อรั่ว หันมาหานางด้วยดวงตากลมโตที่สดใส พร้อมกล่าวด้วยเสียงอันสดใสเหมือนระฆังเล็กๆ “จื่อรั่ว เจ้าจะจับคู่กับข้าหรือไม่?”
หวงจื่อรั่วมองหลินหนิงด้วยแววตานิ่งสงบ ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ “อืม”
ทันทีที่ได้คำตอบ หลินหนิงยิ้มกว้างด้วยความดีใจและรีบวิ่งไปรับกุญแจห้องจากผู้ดูแล นางกลับมาพร้อมกุญแจในมือ “ห้องของเราอยู่ตึกทิศตะวันตก เรือนหมายเลขหก!”
หวงจื่อรั่วยิ้มบางๆ และพยักหน้ารับอีกครั้ง แม้สีหน้าจะเรียบนิ่ง แต่ในใจก็รู้สึกดีใจที่ได้สหายที่น่าสนใจอย่างแม่นางน้อยผู้นี้
เมื่อทุกคนรับกุญแจเรียบร้อยแล้ว ถัวเค่อชีก็ประกาศอีกครั้ง “ทุกคนฟังให้ดี! ข้าจะให้เวลาหนึ่งชั่วยามในการนำสัมภาระไปเก็บที่ห้องพัก จากนั้นจงกลับมารวมตัวกันที่นี่เพื่อเริ่มต้นศึกษา!”
เสียงตอบรับดังขึ้นทั่วห้องโถง ทุกคนเริ่มทยอยแยกย้ายกันไปยังห้องพักของตน
ขณะที่หลินหนิงจูงมือหวงจื่อรั่วเดินออกจากห้องโถง หวงจื่อรั่วหันไปมองจางอี้หมิงที่ยังยืนข้างๆ ก่อนถามว่า “แล้วท่านล่ะ?”
จางอี้หมิงยิ้มและโบกมือเบาๆ “ไม่มีปัญหา”
หวงจื่อรั่วพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะเดินตามหลินหนิงออกไป
แม้จางอี้หมิงจะลงมาเรียนร่วมกับศิษย์ระดับศูนย์ แต่สถานะของเขาก็ยังคงอยู่ ไม่จำเป็นต้องนอนรวมกับศิษย์คนอื่นแต่อย่างใด
หลังจากทุกคนทยอยแยกย้ายไปยังห้องพักของตน ตอนนี้เหลือเพียง จางอี้หมิง ที่ยังยืนอยู่เพียงลำพังพร้อมพัดในมือที่โบกเบาๆ
ถัวเค่อชี ที่สังเกตเห็นเขาไม่ยอมไปเสียที เดินผ่านมาก็พูดออกมาลอยๆ ด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “ทำตัวแปลกแยก พวกไร้ประโยชน์ อยู่ที่ไหนก็ไร้ค่า!”
คำพูดนั้นทำให้จางอี้หมิงชะงักเล็กน้อย เขาหันไปมองถัวเค่อชีด้วยสายตาเรียบเฉย ก่อนจะปาพัดในมือพุ่งไปยังถัวเค่อชีอย่างรวดเร็ว
ฉัวะ!
พัดนั้นพุ่งชนกับสมุดในมือของถัวเค่อชีจนสมุดเล่มหนาหล่นลงกระแทกพื้น เสียงดังไปทั่วห้องโถงใหญ่
จางอี้หมิงปัดมือตัวเองเบาๆ มีท่าทีไม่สะทกสะท้าน พร้อมพูดลอยๆ อย่างท้าทาย
“ดูเหมือนฝีมือด้านการฝึกยุทธ์ของข้าจะยังไม่ตก ถ้าพลังปราณข้ากลับคืนมา บิดาคงได้เห็นโลหิตแล้ว”คำพูดนั้นเหมือนน้ำมันที่ราดลงบนกองไฟ ถัวเค่อชี โกรธจนเลือดขึ้นหน้า เขาตวาดออกมาด้วยเสียงอันดัง
“คนไร้ประโยชน์อย่างเจ้า! อย่าได้ปากดีให้มากนัก!”จากนั้นเขาหยิบพัดที่ตกอยู่ขึ้นมา ก่อนจะใส่พลังปราณเข้าไปในการปาครั้งนี้ พัดนั้นถูกเขาปากลับไปด้วยความเร็วและแรงกว่าที่จางอี้หมิงทำก่อนหน้านี้
ฟิ้ว!
พัดพุ่งตรงไปยังจางอี้หมิงอย่างรุนแรงราวกับอาวุธสังหาร แต่แทนที่จางอี้หมิงจะแสดงท่าทีตกใจ เขากลับยิ้มมุมปากเล็กน้อย
“มีแค่พลังปราณแต่อย่างอื่นอ่อนหัด” เขาพึมพำ ก่อนจะเอียงตัวเบี่ยงหลบพัดด้ามนั้นด้วยความแม่นยำและรวดเร็ว ราวกับกำลังเต้นรำกลางสนามยุทธ์
พัดนั้นเฉียดร่างของจางอี้หมิงไปเพียงปลายเส้นผม ก่อนจะตกกระทบพื้นอย่างไร้พลัง
จางอี้หมิงเดินไปหยิบพัดขึ้นมาอย่างใจเย็น พลางปัดฝุ่นออกจากด้ามพัดเบาๆ เขาเงยหน้าขึ้นมองถัวเค่อชี ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“อีกหนึ่งชั่วยามสินะ บิดาขอตัวไปนอนก่อนแล้วกัน”กล่าวจบ เขาหมุนตัวเดินจากไป ทิ้งให้ถัวเค่อชีมองตามแผ่นหลังของเขาด้วยความโกรธจัด แต่ทำอะไรไม่ได้
“จางอี้หมิง ข้าไม่มีวันยอมให้เจ้าเหนือกว่าอีกแล้ว!”
“เมื่อหนึ่งปีครึ่งที่ผ่านมา...” เสียงของนักเล่านิทานเกริ่นเล่า“ครั้งนั้นปักษาอัคคีบุกเข้าโจมตีอาณาจักรต้าเฉิง มีศิษย์แห่งสำนักเทียนหยางผู้หนึ่ง นามว่า เสี่ยวต้าหมิง ออกกำจัดปักษาอัคคีผู้นั้น ทว่า เป็นที่น่าเสียดาย หลังจากกำจัดปักษาอัคคีได้ วีรบุรุษเสี่ยวต้าหมิงผู้นั้น ก็ได้จากโลกนี้ไปตลอดการ”มารดามันเถอะ! เจ้าเล่าเรื่องของข้าไม่พอ ยังตั้งชื่อข้าว่าเสี่ยวต้าหมิง คนอันใดมีทั้งใหญ่ทั้งเล็กในตัวเอง เท่านั้นไม่พอ ยังบังอาจสาปแช่งให้ข้าตายเมื่อนักเล่านิทานเล่าเรื่องจบ จางอี้หมิงก็เดินปรี่เข้าไปสอบถาม“ท่านเสี่ยวต้าหมิงช่างยิ่งใหญ่น่าเคารพยิ่ง” จางอี้หมิงกล่าววาจาชื่นชมตัวเอง “ข้าอยากทราบว่า เป็นผู้ใดเล่าเรื่องนี้ให้กับเจ้าฟัง”นักเล่านิทานยกมื่อคารวะทีหนึ่ง “เรียนคุณชายท่านนี้ ผู้ที่ถ่ายทอดเรื่องราวนี้ให้กับข้าน้อยฟัง คือ ท่านปราจารย์ซ่งอิน แห่งสำนักเทียนหยาง”“!!!”จางอี้หมิงยืนนิ่งครู่หนึ่ง ก่อนให้รางวัลตอบแทนนักเล่านิทานไปสามอีแปะ พลางคิดในใจ “เจ้าซ่งอินเป็นปรมาจารย์ตั้งแต่เมื่อไหร่ ข้าออกมาจากสำนักแค่เดือนเดียวก็คิดแต่งตั้งตัวเองแล้ว
ณ เมืองหลวงของอาณาจักรต้าเฉิง เขตเมืองชั้นในของเมืองคึกคักไปด้วยผู้คน แม้จะไม่แออัดเท่าเขตเมืองชั้นนอก แต่ก็ถือว่ามีจำนวนมากพ่อค้าแม่ค้าต่างเปิดร้านกันอย่างขมีขมัน*(กะตือรือร้น) กลิ่นหอมของหมั่นโถวร้อนๆ ลอยมาจากแผงขายอาหาร เสียงตะโกนเรียกลูกค้าของพ่อค้าแม่ค้าแข่งกันดังก้องทั่วถนน ไม่ว่าจะร้านของกินหรือร้านเครื่องประดับ ต่างแข็งขันกันอย่างเข้มข้นจางหลันซือ บุตรสาวของท่านอ๋องจางส่วง นั่งอยู่ในรถม้าสีดำขลับ ประดับลวดลายดอกเหมยงามสง่า นางเป็นสตรีที่ได้รับการกล่าวขานว่างามเลิศ ทั้งยังมีนิสัยซุกซนข้างกายนางมีซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำตัวของพี่ชายของนาง จางอี้หมิง สตรีผู้มีใบหน้างดงามราวเทพธิดาในอาภรณ์สีชมพูอ่อนอันเรียบง่าย ที่ขับเน้นผิวขาวผุดผ่องของนางให้ดูอ่อนโยนดุจบุปผาแรกแย้มซงเอ๋อร์มิใช่เพียงสาวใช้ธรรมดา แต่นางเป็นว่าที่อนุภรรยาของจางอี้หมิง และเป็นสตรีที่ได้รับความรักใคร่จากคนในตระกูลจาง และถูกให้ความสำคัญในระดับสูงรถม้าของทั้งสองแล่นผ่านถนนสายหลักของเมือง สายตาของจางหลันซือก็สะดุดเข้ากับผู้คนที่ยืนต่อแถวยาวเหยียดไปจนสุดสายตา คล้ายกำลังรอคอยบางสิ่งบา
จางอี้หมิงบุตรชายเพียงคนเดียวของท่านอ๋องจางส่วง ถูกจอมมารปีศาจทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส นอนหลับไปนับปี เมื่อตื่นขึ้น พบว่าพลังปราณสูญเสียสมดุลจนใช้งานไม่ได้ข้างกายของเขามีแม่นางซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำกายและว่าที่อนุภรรยาในอนาคตคอยเฝ้าดูแลไม่ห่างหนทางที่ง่ายที่สุดคือฝึกฝนใหม่แบบย้อนกลับเพื่อปรับสมดุลพลังปราณ หนทางที่ยากที่สุดคือหาสมุนไพรหายากสิบแปดชนิด และหนทางสุดท้ายคือ บำเพ็ญคู่กับสตรีพรหมจรรย์ เขาจึงจำเป็นต้องเลือกหนทางการฝึกฝนร่วมกับเหล่าศิษย์หน้าใหม่ ซึ่งถือว่าง่ายดายและปัญหาน้อยที่สุดเขาได้พบเจอกับแม่นางหลินหนิงผู้มีความน่ารักสดใสดวงตากลมโต ได้รู้จักแม่นางหวงจื่อรั่วผู้มีใบหน้าหมดจดงดงามราวเทพธิดาเพิ่มมากขึ้น แม้นางจะเป็นคนของจวนอ๋องแต่ทว่าความสนิทมีน้อยนัก จนกระทั่งได้มาฝึกร่วมกันอีกครั้งการฝึกฝนใหม่ในครั้งนี้ได้พบกับถัวเค่อชี ผู้มีใจริษยาต่อจางอี้หมิงมาตลอด พบกันคราวนี้ถัวเค่อชีต้องปฏิบัติหน้าที่เป็นอาจารย์ผู้ฝึกฝนจางอี้หมิง ซึ่งนี่เป็นโอกาสที่ดีที่เขาจะได้ "ข่ม" จางอี้หมิงบ้าง แต่แล้วเรื่องราวกลับไม่เป็นเช่นนั้นแต่ถึงอย่างไรก็แล้วแต่ จางอี้หมิ
ที่ชั้นเก้าของหอเทียนหยาง ศิษย์สายตรงทั้งเจ็ดคนของสำนักกู่เจิ้งมารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตา บรรยากาศในห้องสงบเงียบ ทว่าครุกรุ่นไปด้วยแรงกดดันทุกคนล้วนเป็นศิษย์ระดับสูง ผู้ที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างเข้มงวด ทุกคนคุกเข่าคารวะอาจารย์เจ้าสำนักกู่เจิ้ง ซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมกับสายตาที่ล้ำลึกเกินหยั่งถึงเจ้าสำนักโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้น พลางกวาดสายตามองไปรอบห้อง เขามองพวกเขาอย่างเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบแต่หนักแน่นว่า“ปีที่แล้ว ลัทธิมารแดนปีศาจเคลื่อนไหว ครั้งนี้ ลัทธิมารแดนสวรรค์เคลื่อนไหว เป็นข้าเองที่หละหลวมในการป้องกัน… หลังจากนี้ จะไม่มีครั้งที่สาม”แววตาของเจ้าสำนักฉายประกายแน่วแน่ เขาโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้นนั่งลงบนเบาะของตนเอง จากนั้นเขาเองก็ทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะกลางห้อง หยิบใบชามาบดด้วยมืออย่างประณีต ก่อนจะเทน้ำร้อนลงในถ้วย เสียงไอร้อนพวยพุ่งขึ้นแตะจมูก กลิ่นหอมอ่อนๆ ของชาแผ่ซ่านไปทั่วห้อง เจ้าสำนักสูดกลิ่นหอมของชาเบาๆ ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงสงบ“เห็นที พวกเราคงต้องจริงจังกับเรื่องศิลาเฝิ่นเหิงกันบ้างแล้ว นี่อาจไม่ใช่เพียงแค่เรื่อ
จางอี้หมิงนั่งนิ่งตาค้าง ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่มองนัยน์ตาของศิษย์พี่คนงาม ที่ฉายแววความร้อนฉ่า ริมฝีปากสีแดงเรื่อยังคงหลงเหลือรสชาติของสุรา นางจ้องมองเขาด้วยสายตาที่ทำให้หัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกจากอก“เจ้ารู้จักการบำเพ็ญคู่หรือไม่?” นางกระซิบถามด้วยเสียงแผ่วเบา ราวกับเสียงลมพัดผ่านในค่ำคืน จางอี้หมิงรู้สึกได้ถึงสัมผัสจากปลายนิ้วของนางที่ลากไล้เบาๆ บนแผ่นอกของเขา“ท่านเมาแล้ว” จางอี้หมิงพยายามตั้งสติ แต่เสียงของเขากลับสั่นไหว เจียงเยว่ยิ้มมุมปาก ก่อนจะยกมือเรียวขึ้นปิดริมฝีปากเขา“ข้าตั้งใจเมา” นางตอบเบาๆ สายตาของนางเต็มไปด้วยแรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานใช่สิ หากไม่เมาท่านจะกล้าเช่นนี้หรือจางอี้หมิงมองดูนางอย่างหลงใหล มือของเจียงเยว่วางแนบลงบนแผ่นอกของเขา หัวใจของเขาเต้นรัวจนแทบไม่เป็นจังหวะ ก่อนที่เสียงกระซิบของนางจะดังขึ้นอีกครั้ง“หรือว่าเจ้าไม่ต้องการ?”เขาสูดหายใจเข้าลึก สบตากับนางก่อนจะตอบเสียงพร่า “ข้าเองก็คิดแบบเดียวกับท่าน”ข้าหมายตาท่านมาตลอด!จากนั้น จางอี้หมิงก็รวบตัวเจียงเยว่เข้ามาอุ้มขึ้น นางแนบตัวเข้าหาเขาโดยไม
จางอี้หมิงยืนนิ่งอยู่กลางสมรภูมิ ดวงตาเรียบเฉยจ้องมองร่างไร้วิญญาณของถัวเค่อชีที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น เลือดสีเข้มค่อย ๆ ไหลซึมไปตามพื้นดิน กลิ่นคาวโชยขึ้นมาปะปนกับไอเย็นของค่ำคืนเขาสูดลมหายใจลึก ก่อนจะเก็บดาบประจำกายเข้าฝัก เสียง “แกร๊ก” ของดาบที่เลื่อนเข้า ที่ฟังดูดังก้องกังวาลท่ามกลางความเงียบงันเขาหันกลับไปทางศิษย์พี่หญิงเจียงเยว่ที่ยังนอนอ่อนล้าอยู่บนพื้น หญิงสาวมีใบหน้าซีดเซียว เหงื่อเย็นชื้นบนหน้าผาก ผมดำยาวหลุดรุ่ยออกจากปิ่นปักบางส่วน ดวงตาของนางยังคงสั่นไหวด้วยความเหนื่อยล้าและความตึงเครียดจางอี้หมิงเดินไปนั่งลงข้าง ๆ นาง แล้วเหลียวหันไปมองหน้านางเบา ๆ“เป็นข้าที่ทำให้เจ้าเดือดร้อน…” เสียงของเจียงเยว่แผ่วเบาราวสายลมของนางเอ่ยขึ้นจางอี้หมิงส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“เป็นข้าที่ตัดสินใจเอง ไม่เกี่ยวกับท่าน”แววตาของศิษย์พี่เจียงเยว่อันแน่นไปด้วยความสับสนความซึ้งใจ กับความกังวล แม้นี่จะเป็นสิ่งที่สมควรจะทำ แต่ก็นับว่าขัดต่อกฎของสำนักเช่นกันเสียงฝีเท้าหลายคู่ดังขึ้นจากด้านหลัง ศิษย์พี่ของสำนักเร่งร