/ แฟนตาซี / วิถีสุริยะพิชิตเวหา / บทที่ 13 วันเปิดการศึกษาของศิษย์หน้าใหม่

공유

บทที่ 13 วันเปิดการศึกษาของศิษย์หน้าใหม่

วันที่สำนักเทียนหยางกลับมาเปิดการฝึกฝนใหม่อีกครั้ง ยามนี้ศิษย์ระดับสูงอย่างชิงซิ่วและลิ่วเฉียงที่อยู่ในระดับแปดซึ่งตอนนี้ก็ต่างแยกย้ายกันไปเก็บตัวเพื่อฝึกฝนพลังปราณให้แข็งแกร่งกว่าเดิม ซึ่งก็ไม่รู้ว่าใครจะทะลวงเข้าสู่ระดับเก้าก่อนกัน 

ฟางหรงคนงามตอนนี้ก็ออกเดินทางไปรวบรวมสมุนไพรที่เหลืออยู่อีกสิบเจ็ดชนิด เมื่อมีเหตุด่วนเหตุร้ายเมื่อไหร่จึงค่อยกลับมายังสำนักเทียนหยาง ส่วนเรื่องการฟื้นฟูรักษาก็เป็นหน้าที่ของศิษย์สายตรงของนางที่รับไว้ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในระดับสองและระดับหนึ่งเป็นผู้ดูแลศิษย์ที่บาดเจ็บหรือเจ็บป่วย

ในเวลานี้ศิษย์ระดับเจ็ดอย่างเฉินเจิ้งเป็นผู้มีระดับปราณสูงสุดในสำนัก 

ส่วนเจ้าสำนักกู่เจิ้งไม่มีใครรู้ว่าอยู่ที่ไหน หากเขาอยากมาก็จะมาเอง

ในยามนี้ฟ่านหวงและเจียงเยว่ก็ทำหน้าที่เฝ้าสำนักเช่นกัน จากเหตุการณ์เมื่อหนึ่งปีก่อนที่เหลือจางอี้หมิงเฝ้าเมืองแค่คนเดียวทำให้จำเป็นต้องหาแนวทางป้องกันใหม่ที่ไม่เสี่ยงมากเกินไป

ทางด้านจางอี้หมิง แม้จะมีสถานะเป็นศิษย์ระดับห้า แต่ในเวลานี้ก็นับเป็นศิษย์ไร้ประโยชน์ มีหรือไม่มีนับว่าไม่ต่างกัน ต่อให้ปีศาจระดับล่างบุกมาในเวลานี้ก็ยากจะสู้ได้

เหล่าศิษย์หน้าใหม่ที่ผ่านการทดสอบ ต่างทยอยเดินทางกันเข้ามาในเขตสำนัก หลินหนิงดรุณีแรกรุ่นวัยเพียงสิบหกปีร่างกายเพรียวบาง ผู้มีใบหน้างดงาม ตาโต ผิวขาวราวหยก เดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้ม เข้าไปยังโต๊ะลงทะเบียนที่ศิษย์ระดับหนึ่งกำลังตั้งโต๊ะลงทะเบียนอยู่

เมื่อลงทะเบียนแล้ว หลินหนิงได้ผลัดเปลี่ยนชุดเป็นชุดคลุมสีขาวซึ่งเป็นสีประจำสำนัก ผิวขาวของนางเมื่ออยู่ภายใต้อาภรณ์สีขาวแล้วยิ่งส่องสว่างมากขึ้นกว่าเก่า

ไม่นานนักหวงจื่อรั่วก็เดินเข้ามาในชุดสีดำพร้อมหอกยาวสะพายหลัง เป็นที่ชัดเจนว่านางเป็นผู้ฝึกยุทธ์มาก่อน ซึ่งก็ไม่แปลกอะไร เพราะสำนักเทียนหยางนั้นรับทั้งผู้ฝึกยุทธ์และบัณฑิตเข้ามาฝึกฝนอยู่แล้ว

ผู้ฝึกยุทธ์จะมีโอกาสก้าวหน้ามากกว่าในสายต่อสู้ อย่างลิ่วเฉียง เฉินเจิ้ง และฟ่านหวง ต่างเป็นผู้ฝึกตนในสายพลังยุทธ์ ส่วนบัณฑิตมีโอกาสก้าวหน้าในสายพลังเวท เฉกเช่น ชิงซิ่ว ฟางหรง เจียงเยว่ 

ส่วนจางอี้หมิงนั้นนับเป็นศิษย์ที่มีคุณสมบัติพิเศษที่เจ้าสำนักหมายมั่นปั้นมือเป็นอย่างมาก เพราะมีความก้าวหน้าทั้งด้านพลังยุทธ์และพลังเวท เพียงแต่บัดนี้เขาหมดสภาพไปแล้ว และไม่รู้เมื่อไหร่จะฟื้นฟูสำเร็จ

หวงจื่อรั่วผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดสีขาว นางยังคงเลือกแต่งกายคล้ายบุรุษอยู่ แม้ว่าใบหน้าของนางจะงดงามหมดจดไม่แตกต่างอันใดกับเทพธิดาก็ตาม

“หวงจื่อรั่ว เจ้ามาแล้หรือ”

เสียงใสๆ ของหลินหนิงดังขึ้นพร้อมรอยยิ้มอันสดใสแสนเป็นมิตร

หวงจื่อรั่วหันมองตามเสียงนั้น “เจ้ามาเร็วนี่”

ทั้งสองคนรู้จักกันและสนิทสนมกันอย่างรวดเร็วตั้งแต่วันสอบ ซึ่งก็คือเมื่อวานนี้ อาจเป็นเพราะพลังพิเศษหรืออะไรบางอย่างของหลินหนิงที่สามารถดึงดูดคนที่ไม่น่าจะเป็นมิตรกับใครได้แบบหวงจื่อรั่ว นับเป็นความแตกต่างที่ลงตัว

“เอะอะ เสียงดัง ไร้คุณสมบัติผู้ดี”

เสียงปริศนาของชายคนหนึ่งดังขึ้น สตรีทั้งสองเหลียวหันตามเสียงนั้น เป็นบุรุษหน้าตาดีผู้หนึ่งเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มที่คล้ายกำลังเหยียดหยามผู้หนึ่งเดินเข้ามาพร้อมพัดในมือ

เห็นได้ชัดว่าชายผู้นี้เป็นคุณชายสูงศักดิ์จากตระกูลขุนนางใหญ่ จากท่าทางก็น่าจะเป็นบัณฑิตด้วย

“สตรีนางหนึ่งก็เสียงดังทักทายผู้คนไปทั่ว อีกคนก็ถืออาวุธ ช่างไร้การศึกษายิ่งนัก”

“เจ้าว่าอะไร?”

เสียงอันสดใสของหลินหนิงแปรเปลี่ยนเป็นขุ่นเคือง

“คุณชายซุนว่าอะไรก็เรื่องของคุณชายซุน เจ้าไม่คู่ควรได้รับคำตอบ”

สมุนน้อยคนหนึ่งของคุณชายสูงศักดิ์ผู้นี้กล่าวขึ้น คุณชายสูงศักดิ์ผู้นี้มีคนสนิทที่ผ่านการสอบติดตามมาด้วยสองคน ซึ่งก็น่าจะเป็นบุตรของขุนนางระดับต่ำลงมา ซึ่งรับหน้าที่เป็นผู้อารักขาเพื่อเลียแข้งเลียขาแทนบิดาของเขา

“คุณชายอันใด ข้าเห็นเพียงแค่สุนัขตัวหนึ่งเท่านั้น”

หนิงหนิงเหมือนถูกกระตุ้นโทสะจนมิอาจควบคุมวาจา จากนิมิตในภวังค์เมื่อวันสอบ ไม่แปลกที่นางจะไม่ชอบพวกคุณชายสูงศักดิ์ที่อวดเบ่งใส่ผู้คน

“จับตัวนางไว้!”

คุณชายแซ่ซุนผู้นั้นสั่งสมุนทั้งสองเข้าล้อมจับหลินหนิง แต่ทันใดนั้นเองหวงจื่อรั่วก็กระแทกหอกลงพื้นเสียงดัง

ปัง!

หวงจื่อรั่วไม่มีคำพูดอันใด มีเพียงสายตาอันแข็งกร้าวเย็นชาของนางเท่านั้นที่สะกดสร้างความกลัวให้แก่ทั้งสามคนนั้นยับยั้งการลงมือ

แปะ! แปะ! แปะ!

เสียงด้ามพัดกระทบมือดังมาแต่ไกล ท่ามกลางศิษย์หน้าใหม่ที่ล้อมวงดูการทะเลาะเบาะแว้งก็ปรากฎชายผู้หนึ่งเดินฝ่าวงล้อมเข้ามา ไม่ใช่ใครอื่น เขาคือจางอี้หมิง

จางอี้หมิงแต่งกายด้วยชุดสีขาวของสำนักคล้ายกับศิษย์ระดับศูนย์คนอื่น มือถือพัดคล้ายกับบัณฑิต แต่หลังของเขาสะพานดาบไว้สองด้ามคล้ายกับนักยุทธ์ ท่าทางแปลกตาไม่เหมือนคนทั่วไป

“มีมหรสพให้ชมตั้งแต่วันแรกที่เข้าศึกษาช่างดีจริงๆ”

“เกี่ยวอะไรกับเจ้า?” คุณชายซุนผู้นั้นยังคงไม่ลดละที่จะหาเรื่อง  

จางอี้หมิงเปิดตำราเล่มหนึ่งออกมาก่อนจะโยนเข้าไปกลางวง “พวกเจ้าไม่อ่านคู่มือนักศึกษากันหรือ กฎข้อสิบแปด ห้ามศิษย์ในสำนักต่อสู้กัน หากจะต่อสู้ต้องไปที่ลานประลองเท่านั้น”

หวงจื่อรั่วหยิบตำรามาดูก่อนจะเก็บหอกเก็บไว้ที่หลังของนางตามเดิม

ทันใดนั้นก็มีเสียงจากบุรุษผู้หนึ่งดังขึ้น “แยกย้ายกันได้แล้ว”

เขาผู้นั้นคือศิษย์ระดับสามของสำนักนามว่า ถัวเค่อชี ซึ่งเขาจะต้องทำหน้าที่เป็นอาจารย์ ในสำนักเทียนหยางแห่งนี้ผู้ที่ทำหน้าที่เป็นอาจารย์ของพวกระดับศูนย์คือพวกระดับสาม ส่วนพวกระดับสองกับหนึ่งจะเป็นผู้ช่วยสอน

ถัวเค่อชีหันไปทางคุณชายซูนผู้นั้นแล้วกล่าวอย่างนอบน้อม “ขอเชิญคุณชายเข้าห้องเรียน”

เมื่อคุณชายซุนผู้นั้นเดินจากไปแล้ว ถัวเค่อชีก็กล่าวลอยๆ ขึ้นว่า “ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง สวะไร้ประโยชน์!”

이 책을 계속 무료로 읽어보세요.
QR 코드를 스캔하여 앱을 다운로드하세요

최신 챕터

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 52 นิทาน

    “เมื่อหนึ่งปีครึ่งที่ผ่านมา...” เสียงของนักเล่านิทานเกริ่นเล่า“ครั้งนั้นปักษาอัคคีบุกเข้าโจมตีอาณาจักรต้าเฉิง มีศิษย์แห่งสำนักเทียนหยางผู้หนึ่ง นามว่า เสี่ยวต้าหมิง ออกกำจัดปักษาอัคคีผู้นั้น ทว่า เป็นที่น่าเสียดาย หลังจากกำจัดปักษาอัคคีได้ วีรบุรุษเสี่ยวต้าหมิงผู้นั้น ก็ได้จากโลกนี้ไปตลอดการ”มารดามันเถอะ! เจ้าเล่าเรื่องของข้าไม่พอ ยังตั้งชื่อข้าว่าเสี่ยวต้าหมิง คนอันใดมีทั้งใหญ่ทั้งเล็กในตัวเอง เท่านั้นไม่พอ ยังบังอาจสาปแช่งให้ข้าตายเมื่อนักเล่านิทานเล่าเรื่องจบ จางอี้หมิงก็เดินปรี่เข้าไปสอบถาม“ท่านเสี่ยวต้าหมิงช่างยิ่งใหญ่น่าเคารพยิ่ง” จางอี้หมิงกล่าววาจาชื่นชมตัวเอง “ข้าอยากทราบว่า เป็นผู้ใดเล่าเรื่องนี้ให้กับเจ้าฟัง”นักเล่านิทานยกมื่อคารวะทีหนึ่ง “เรียนคุณชายท่านนี้ ผู้ที่ถ่ายทอดเรื่องราวนี้ให้กับข้าน้อยฟัง คือ ท่านปราจารย์ซ่งอิน แห่งสำนักเทียนหยาง”“!!!”จางอี้หมิงยืนนิ่งครู่หนึ่ง ก่อนให้รางวัลตอบแทนนักเล่านิทานไปสามอีแปะ พลางคิดในใจ “เจ้าซ่งอินเป็นปรมาจารย์ตั้งแต่เมื่อไหร่ ข้าออกมาจากสำนักแค่เดือนเดียวก็คิดแต่งตั้งตัวเองแล้ว

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 51 ชายผู้เขียนอักษร

    ณ เมืองหลวงของอาณาจักรต้าเฉิง เขตเมืองชั้นในของเมืองคึกคักไปด้วยผู้คน แม้จะไม่แออัดเท่าเขตเมืองชั้นนอก แต่ก็ถือว่ามีจำนวนมากพ่อค้าแม่ค้าต่างเปิดร้านกันอย่างขมีขมัน*(กะตือรือร้น) กลิ่นหอมของหมั่นโถวร้อนๆ ลอยมาจากแผงขายอาหาร เสียงตะโกนเรียกลูกค้าของพ่อค้าแม่ค้าแข่งกันดังก้องทั่วถนน ไม่ว่าจะร้านของกินหรือร้านเครื่องประดับ ต่างแข็งขันกันอย่างเข้มข้นจางหลันซือ บุตรสาวของท่านอ๋องจางส่วง นั่งอยู่ในรถม้าสีดำขลับ ประดับลวดลายดอกเหมยงามสง่า นางเป็นสตรีที่ได้รับการกล่าวขานว่างามเลิศ ทั้งยังมีนิสัยซุกซนข้างกายนางมีซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำตัวของพี่ชายของนาง จางอี้หมิง สตรีผู้มีใบหน้างดงามราวเทพธิดาในอาภรณ์สีชมพูอ่อนอันเรียบง่าย ที่ขับเน้นผิวขาวผุดผ่องของนางให้ดูอ่อนโยนดุจบุปผาแรกแย้มซงเอ๋อร์มิใช่เพียงสาวใช้ธรรมดา แต่นางเป็นว่าที่อนุภรรยาของจางอี้หมิง และเป็นสตรีที่ได้รับความรักใคร่จากคนในตระกูลจาง และถูกให้ความสำคัญในระดับสูงรถม้าของทั้งสองแล่นผ่านถนนสายหลักของเมือง สายตาของจางหลันซือก็สะดุดเข้ากับผู้คนที่ยืนต่อแถวยาวเหยียดไปจนสุดสายตา คล้ายกำลังรอคอยบางสิ่งบา

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   ความเดิมภาคที่แล้ว

    จางอี้หมิงบุตรชายเพียงคนเดียวของท่านอ๋องจางส่วง ถูกจอมมารปีศาจทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส นอนหลับไปนับปี เมื่อตื่นขึ้น พบว่าพลังปราณสูญเสียสมดุลจนใช้งานไม่ได้ข้างกายของเขามีแม่นางซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำกายและว่าที่อนุภรรยาในอนาคตคอยเฝ้าดูแลไม่ห่างหนทางที่ง่ายที่สุดคือฝึกฝนใหม่แบบย้อนกลับเพื่อปรับสมดุลพลังปราณ หนทางที่ยากที่สุดคือหาสมุนไพรหายากสิบแปดชนิด และหนทางสุดท้ายคือ บำเพ็ญคู่กับสตรีพรหมจรรย์ เขาจึงจำเป็นต้องเลือกหนทางการฝึกฝนร่วมกับเหล่าศิษย์หน้าใหม่ ซึ่งถือว่าง่ายดายและปัญหาน้อยที่สุดเขาได้พบเจอกับแม่นางหลินหนิงผู้มีความน่ารักสดใสดวงตากลมโต ได้รู้จักแม่นางหวงจื่อรั่วผู้มีใบหน้าหมดจดงดงามราวเทพธิดาเพิ่มมากขึ้น แม้นางจะเป็นคนของจวนอ๋องแต่ทว่าความสนิทมีน้อยนัก จนกระทั่งได้มาฝึกร่วมกันอีกครั้งการฝึกฝนใหม่ในครั้งนี้ได้พบกับถัวเค่อชี ผู้มีใจริษยาต่อจางอี้หมิงมาตลอด พบกันคราวนี้ถัวเค่อชีต้องปฏิบัติหน้าที่เป็นอาจารย์ผู้ฝึกฝนจางอี้หมิง ซึ่งนี่เป็นโอกาสที่ดีที่เขาจะได้ "ข่ม" จางอี้หมิงบ้าง แต่แล้วเรื่องราวกลับไม่เป็นเช่นนั้นแต่ถึงอย่างไรก็แล้วแต่ จางอี้หมิ

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 50 จากลา (จบภาค1)

    ที่ชั้นเก้าของหอเทียนหยาง ศิษย์สายตรงทั้งเจ็ดคนของสำนักกู่เจิ้งมารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตา บรรยากาศในห้องสงบเงียบ ทว่าครุกรุ่นไปด้วยแรงกดดันทุกคนล้วนเป็นศิษย์ระดับสูง ผู้ที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างเข้มงวด ทุกคนคุกเข่าคารวะอาจารย์เจ้าสำนักกู่เจิ้ง ซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมกับสายตาที่ล้ำลึกเกินหยั่งถึงเจ้าสำนักโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้น พลางกวาดสายตามองไปรอบห้อง เขามองพวกเขาอย่างเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบแต่หนักแน่นว่า“ปีที่แล้ว ลัทธิมารแดนปีศาจเคลื่อนไหว ครั้งนี้ ลัทธิมารแดนสวรรค์เคลื่อนไหว เป็นข้าเองที่หละหลวมในการป้องกัน… หลังจากนี้ จะไม่มีครั้งที่สาม”แววตาของเจ้าสำนักฉายประกายแน่วแน่ เขาโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้นนั่งลงบนเบาะของตนเอง จากนั้นเขาเองก็ทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะกลางห้อง หยิบใบชามาบดด้วยมืออย่างประณีต ก่อนจะเทน้ำร้อนลงในถ้วย เสียงไอร้อนพวยพุ่งขึ้นแตะจมูก กลิ่นหอมอ่อนๆ ของชาแผ่ซ่านไปทั่วห้อง เจ้าสำนักสูดกลิ่นหอมของชาเบาๆ ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงสงบ“เห็นที พวกเราคงต้องจริงจังกับเรื่องศิลาเฝิ่นเหิงกันบ้างแล้ว นี่อาจไม่ใช่เพียงแค่เรื่อ

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 49 บำเพ็ญคู่ปรับสมดุลลมปราณ

    จางอี้หมิงนั่งนิ่งตาค้าง ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่มองนัยน์ตาของศิษย์พี่คนงาม ที่ฉายแววความร้อนฉ่า ริมฝีปากสีแดงเรื่อยังคงหลงเหลือรสชาติของสุรา นางจ้องมองเขาด้วยสายตาที่ทำให้หัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกจากอก“เจ้ารู้จักการบำเพ็ญคู่หรือไม่?” นางกระซิบถามด้วยเสียงแผ่วเบา ราวกับเสียงลมพัดผ่านในค่ำคืน จางอี้หมิงรู้สึกได้ถึงสัมผัสจากปลายนิ้วของนางที่ลากไล้เบาๆ บนแผ่นอกของเขา“ท่านเมาแล้ว” จางอี้หมิงพยายามตั้งสติ แต่เสียงของเขากลับสั่นไหว เจียงเยว่ยิ้มมุมปาก ก่อนจะยกมือเรียวขึ้นปิดริมฝีปากเขา“ข้าตั้งใจเมา” นางตอบเบาๆ สายตาของนางเต็มไปด้วยแรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานใช่สิ หากไม่เมาท่านจะกล้าเช่นนี้หรือจางอี้หมิงมองดูนางอย่างหลงใหล มือของเจียงเยว่วางแนบลงบนแผ่นอกของเขา หัวใจของเขาเต้นรัวจนแทบไม่เป็นจังหวะ ก่อนที่เสียงกระซิบของนางจะดังขึ้นอีกครั้ง“หรือว่าเจ้าไม่ต้องการ?”เขาสูดหายใจเข้าลึก สบตากับนางก่อนจะตอบเสียงพร่า “ข้าเองก็คิดแบบเดียวกับท่าน”ข้าหมายตาท่านมาตลอด!จากนั้น จางอี้หมิงก็รวบตัวเจียงเยว่เข้ามาอุ้มขึ้น นางแนบตัวเข้าหาเขาโดยไม

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 48 กักตัวที่บ้านพัก

    จางอี้หมิงยืนนิ่งอยู่กลางสมรภูมิ ดวงตาเรียบเฉยจ้องมองร่างไร้วิญญาณของถัวเค่อชีที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น เลือดสีเข้มค่อย ๆ ไหลซึมไปตามพื้นดิน กลิ่นคาวโชยขึ้นมาปะปนกับไอเย็นของค่ำคืนเขาสูดลมหายใจลึก ก่อนจะเก็บดาบประจำกายเข้าฝัก เสียง “แกร๊ก” ของดาบที่เลื่อนเข้า ที่ฟังดูดังก้องกังวาลท่ามกลางความเงียบงันเขาหันกลับไปทางศิษย์พี่หญิงเจียงเยว่ที่ยังนอนอ่อนล้าอยู่บนพื้น หญิงสาวมีใบหน้าซีดเซียว เหงื่อเย็นชื้นบนหน้าผาก ผมดำยาวหลุดรุ่ยออกจากปิ่นปักบางส่วน ดวงตาของนางยังคงสั่นไหวด้วยความเหนื่อยล้าและความตึงเครียดจางอี้หมิงเดินไปนั่งลงข้าง ๆ นาง แล้วเหลียวหันไปมองหน้านางเบา ๆ“เป็นข้าที่ทำให้เจ้าเดือดร้อน…” เสียงของเจียงเยว่แผ่วเบาราวสายลมของนางเอ่ยขึ้นจางอี้หมิงส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“เป็นข้าที่ตัดสินใจเอง ไม่เกี่ยวกับท่าน”แววตาของศิษย์พี่เจียงเยว่อันแน่นไปด้วยความสับสนความซึ้งใจ กับความกังวล แม้นี่จะเป็นสิ่งที่สมควรจะทำ แต่ก็นับว่าขัดต่อกฎของสำนักเช่นกันเสียงฝีเท้าหลายคู่ดังขึ้นจากด้านหลัง ศิษย์พี่ของสำนักเร่งร

더보기
좋은 소설을 무료로 찾아 읽어보세요
GoodNovel 앱에서 수많은 인기 소설을 무료로 즐기세요! 마음에 드는 책을 다운로드하고, 언제 어디서나 편하게 읽을 수 있습니다
앱에서 책을 무료로 읽어보세요
앱에서 읽으려면 QR 코드를 스캔하세요.
DMCA.com Protection Status