/ แฟนตาซี / วิถีสุริยะพิชิตเวหา / บทที่ 25 ฝึกขี่อาวุธ

공유

บทที่ 25 ฝึกขี่อาวุธ

ในยามเย็น ลมเย็นพัดโชยไปทั่วลานฝึกด้านหลังบ้านพัก จางอี้หมิง ยืนถือดาบเล่มหนึ่งไว้ในมือ เขาหลับตาลง สูดลมหายใจลึก แล้วเริ่มโคจรลมปราณในร่างกายแบบย้อนกลับ การไหลเวียนพลังปราณครั้งนี้ราบรื่นและง่ายดายกว่าครั้งก่อนๆ

“ปฏิกิริยาจากการหลับนอนกับแม่นางฉีเหอหรือนี่ รู้แบบนี้ข้าควรทำให้นางมีจิตคิดลึกซึ้งต่อข้ามากกว่านี้ การคืนสู่สมดุลลมปราณก็คงไม่ยากนัก” เขาพึมพำ

เมื่อโคจรลมปราณได้ระดับนึง จางอี้หมิงจึงค่อยๆ วางดาบลงกับพื้น เขาปลดปล่อยพลังปราณลงในดาบ ดาบเล่มนั้นเริ่มสั่นสะท้านเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆ ลอยขึ้นเหนือพื้นดิน

ดาบเล่มนี้สะท้อนแสงรางๆ จางอี้หมิงก้าวขึ้นไปยืนบนดาบอย่างมั่นคง ท่าทางของเขาแสดงถึงความชำนาญ แม้จะไม่ได้ขี่ดาบมานาน แต่ร่างกายยังจดจำวิธีทรงตัวบนดาบได้ดี

“น่าจะไปได้สวย”

เขาสั่งให้ดาบเริ่มบิน ดาบค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไปอย่างช้าๆ ความเร็วเพิ่มขึ้นทีละน้อย เขาลอยสูงขึ้นเหนือยอดไม้ ลมเย็นปะทะใบหน้า แต่…

เปรี๊ยะ!

เสียงพลังปราณสะดุด ดาบเริ่มเสียสมดุล ก่อนจะดิ่งลงพื้น!

จางอี้หมิงดีดตัวลงก่อนดาบจะตกกระแทกพื้น เขาม้วนตัวกลางอากาศแล้วลงมายืนอย่างสง่างาม แม้จะไม่ได้บาดเจ็บ แต่ความผิดพลาดนี้ทำให้เขาขมวดคิ้ว

“พลังคงยังไม่พอสินะ…”

เขาไม่ละความพยายาม วนเวียนฝึกเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แม้จะพอควบคุมดาบได้เป็นบางครั้ง แต่ก็มักจะหล่นลงกลางทางทุกครั้ง พลังปราณที่ใช้ในการขี่ดาบทำให้ร่างกายของเขาสิ้นเปลืองพลังงานอย่างมาก

“เปลืองพลังงานมากเกินไป ข้ายังต้องฝึกอีกมาก…”

ในจังหวะนั้นเอง เสียงหวานใสแต่ทรงอำนาจของ ศิษย์พี่เจียงเยว่ ดังมาจากในบ้าน

“ต้มน้ำยาเสร็จแล้ว! เจ้ารีบมาแช่ตัวได้เลย!”

เสียงนั้นดึงจางอี้หมิงออกจากความเหนื่อยล้า เขาเงยหน้าขึ้น แล้วตะโกนตอบกลับไป

“ตกลง ศิษย์พี่ ข้าจะเข้าไปเดี๋ยวนี้!”

ขณะที่เขากำเดินกลับเข้าไปในบ้าน จางอี้หมิงเหลือบมองศิษย์พี่เจียงเยว่ที่ยืนอยู่ รูปร่างและใบหน้าอันงดงามผสานกับการปฏิบัติของนางนั้น ทำให้ทุกยอ่างมันช่างดีเหลือเกิน เขาครุ่นคิดในใจ

“เหมือนกับภรรยาที่คอยปรนนิบัติสามี ช่างดียิ่งนัก…”

จางอี้หมิงยิ้มเล็กน้อย พลางคิดต่อ

“หากวันหนึ่งนางยอมขึ้นเตียงกับข้า ลมปราณข้าคงจะบรรลุถึงขั้นสุด”

จางอี้หมิงแค่นเสียงหัวเราะเบาๆ กับความคิดตนเอง ก่อนจะเดินเข้าไปในบ้านเพื่อแช่ตัวในอ่างสมุนไพรที่ศิษย์พี่เจียงเยว่ตั้งใจเตรียมให้

ในยามค่ำคืนที่เงียบสงบ แสงจันทร์ส่องลอดผ่านหน้าต่างไม้ไผ่เข้ามาในห้องอาบน้ำ จางอี้หมิง นอนเอนกายในอ่างน้ำที่มีไอร้อนลอยอยู่ 

น้ำในอ่างอาบน้ำถูกปรุงด้วยสมุนไพรหลากชนิด กลิ่นหอมอ่อนๆ ของสมุนไพรช่วยให้จิตใจของเขาผ่อนคลาย ร่างกายของเขาเปลือยเปล่า เผยให้เห็นกล้ามเนื้อที่แข็งแกร่งและแผ่นอกที่เต็มไปด้วยพลัง

บนแผ่นอกนั้นมี รอยแผลเป็นบางๆ จากการต่อสู้ในอดีต แม้รอยนั้นจะเลือนลาง แต่ความเจ็บปวดนั้นช่างชัดเจนยิ่งนัก

“สมุนไพรเหล่านี้ช่างดีนัก…” จางอี้หมิงพึมพำเบาๆ เขาเอนศีรษะพิงขอบอ่าง หลับตาลง ปล่อยให้ร่างกายซึมซับความร้อนและพลังสมุนไพร

ในขณะที่เขากำลังดื่มด่ำกับความผ่อนคลาย เสียงของ ศิษย์พี่เจียงเยว่ ดังขึ้นจากด้านนอกประตู

“ข้าจัดเตรียมอาหารไว้ให้เจ้าแล้ว!”

จางอี้หมิงลืมตาขึ้น พลางตะโกนตอบกลับไป

“ขอบคุณศิษย์พี่ ท่านจะทานด้วยหรือไม่?”

เสียงตอบกลับของเจียงเยว่ดังมาพร้อมกับน้ำเสียงเย็นชาเล็กน้อย แต่แฝงความน่ารัก

“ไม่!”

“และอย่าแอบเอาไปฝันว่าข้าปรนนิบัติดุจภรรยาเจ้าล่ะ!”

จางอี้หมิงยิ้มมุมปาก พลางแกล้งตะโกนกลับไปด้วยน้ำเสียงขี้เล่น

“ถ้าข้าฝันเช่นนั้นเล่า ท่านจะทำอะไรข้า?”

เจียงเยว่เงียบไปชั่วอึดใจ ก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความข่มขู่

“ข้าก็จะใช้ เวทจันทรา ทำลายฝันเจ้าให้แหลกสลาย!”

เสียงของนางดังมาจากด้านนอก ก่อนที่จางอี้หมิงจะได้ตอบกลับ นางก็หมุนตัวเดินออกไปอย่างอารมณ์ดี

จางอี้หมิงหัวเราะเบาๆ พลางเอนกายกลับลงในอ่างน้ำอีกครั้ง เขาส่ายศีรษะเบาๆ พึมพำกับตัวเอง

“ข้าไม่ฝันก็ได้ รอวันที่เป็นความจริงทีเดียวเลยแล้วกัน”

สามวันต่อมา เช้าวันที่ฟ้าปลอดโปร่ง เหล่าผู้ฝึกตนหน้าใหม่ต่างมารวมตัวกันที่ลานฝึกกว้างใหญ่ ท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นและคาดหวัง ในวันนี้คือการฝึกที่หลายคนรอคอย

วิชาการขี่อาวุธเพื่อบิน

ถัวเค่อชี ปรากฏตัวขึ้นอย่างสง่างาม เขาก้าวเดินออกมาเบื้องหน้า สายตาเฉียบคมมองเหล่าศิษย์ที่ยืนเรียงราย

“วันนี้ซ่งอินไปทำภารกิจด้านนอก ข้าจะเป็นผู้สอนพวกเจ้าเอง”

ถัวเค่อชีกล่าวด้วยเสียงเข้ม จางอี้หมิงฟังแล้วแค่นหัวเราะเบาๆ 

“การบินบนอาวุธเป็นสิ่งที่ทุกคนควรทำได้!” ถัวเค่อชีกล่าวเสียงเข้มต่อเนื่อง สายตาเหลือบมอง จางอี้หมิง อย่างแฝงความหมาย ก่อนกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันเล็กน้อย

“ใครที่ทำไม่ได้ นับว่าเป็นตัวไร้ค่า!”

จากนั้น ถัวเค่อชีนำกระบี่ของเขาซึ่งเป็นอาวุธประจำกายออกมา พลังลมปราณที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวเขาคล้ายควันบางๆ 

กระบี่ลอยขึ้นจากพื้น เขาก้าวขึ้นยืนบนกระบี่อย่างมั่นคง ก่อนจะทะยานขึ้นฟ้าด้วยท่วงท่าที่มั่นคง กระบี่ของเขาร่อนวนไปในอากาศรอบลานฝึก สร้างความประทับใจและกดดันให้กับเหล่าศิษย์

เมื่อเขากลับมาลงพื้น ถัวเค่อชี กล่าวด้วยน้ำเสียงที่แฝงความเย็นชา

“พรุ่งนี้เป็นวันหยุด ทุกคนสามารถกลับบ้านได้ตามอัธยาศัย” 

เสียงฮือฮาดังขึ้นเมื่อเหล่าศิษย์ต่างตื่นเต้นกับโอกาสที่จะได้กลับบ้าน บางคนพูดคุยกันถึงการจะขี่อาวุธบินกลับบ้าน

ถัวเค่อชีชะงักเล็กน้อย กล่าวด้วยเสียงเข้มว่า “จำไว้ให้ดี กฎของการบินคือ ห้ามบินในเขตเมืองหลวงเด็ดขาด เว้นแต่มีภารกิจเร่งด่วน ใครฝ่าฝืน จะต้องรับโทษหนัก!"

“แยกย้ายกันไปฝึกได้”

เมื่อถัวเค่อชีสั่งให้แยกย้ายกันไปฝึก เหล่าศิษย์ต่างรีบจับกลุ่มกันฝึกอย่างตั้งใจ หวงจื่อรั่ว และ หลินหนิง พากันไปที่มุมหนึ่งของลาน หลินหนิงบอกให้หวงจื่อรั่วรอ ก่อนจะวิ่งตรงไปที่ จางอี้หมิง

“ศิษย์พี่!” หลินหนิงส่งเสียงเรียก พลางคว้าแขนเขาด้วยความกระตือรือร้น

“มาร่วมฝึกกับพวกเราสิ!”

จางอี้หมิง หันไปมองรอยยิ้มสดใสของหลินหนิง เขาไม่อาจปฏิเสธได้ จึงเดินตามนางไป สะโพกกับเอวน้อยๆ ของนางบิดไปมา ยากนักจะละสายตาได้

เมื่อไปถึงมุมลานที่หวงจื่อรั่วยืนอยู่ สายตาของเขาสบเข้ากับใบหน้าที่งดงามหมดจดของนาง เขารู้สึกสะท้านเล็กน้อย แต่รีบสงบสติอารมณ์

“พวกเจ้าฝึกกันเถอะ ข้าจะช่วยดูให้” จางอี้หมิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบง่าย พลางวางมาด

ตอนนี้พวกเจ้าทั้งสองรู้แล้วว่าข้าเป็นใคร โดยเฉพาะเจ้า! แม่นางตาโตหลินหนิง ในเมื่อรู้ว่าข้าเป็นศิษย์พี่ ข้าก็ควรวางมาด

หลินหนิงมองจางอี้หมิงด้วยดวงตาเปล่งประกาย ก่อนถามขึ้น

“ศิษย์พี่ พอจะลองทำให้ดูสักรอบได้หรือไม่?”

จางอี้หมิง ลังเลเล็กน้อย ก่อนจะตอบรับด้วยรอยยิ้มบางๆ “ข้าจะลองดู”

เอาล่ะ อย่างน้อยช่วงสองสามวันนี้ ข้าก็ฝึกนอกรอบอย่างหนักมาตลอด ครั้งนี้แหละ เป็นโอกาสที่ข้าจะได้แสดงความสามารถ หากแม่นางทั้งสองเห็น รับรองว่าประทับใจเป็นแน่

ก้าวแรกของการคืนสู่สมดุลพลังด้วยสาวงาม คือ สร้างความรู้สึกลึกซึ้งให้ได้เสียก่อน

จางอี้หมิงโคจรพลังลมปราณย้อนกลับตามหลักการเฉพาะเขา เข้าสู่ดาบประจำกาย ดาบลอยขึ้นจากพื้นอย่างราบรื่น

เขาก้าวขึ้นไปยืนบนกระบี่อย่างมั่นคง ทันทีที่เขาสั่งให้กระบี่ทะยานขึ้นฟ้า มันพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว การเคลื่อนไหวของเขานุ่มนวลและสง่างาม เขาบินวนรอบลานฝึกหนึ่งรอบ ก่อนจะกลับมาลงพื้นอย่างนิ่มนวล

หลินหนิง ตบมือด้วยความตื่นเต้น

“ศิษย์พี่เก่งมาก!”

หวงจื่อรั่ว ที่ยืนมองอยู่ อมยิ้มเล็กน้อย แต่ไม่พูดอะไร

“เหนื่อยยิ่งนัก แต่ก็นับว่า เป็นจุดเริ่มต้นที่คุ้มค่ากับการลงทุนระยะยาว” จางอี้หมิงลอบคิดในใจ ด้วยท่าทีภายนอกมั่นคง แม้ภายในจะเหนื่อยหอบ

การโคจรลมปราณย้อนกลับ ย่อมใช้พลังงานมากกว่าการโคจรพลังตามปกติ

เสียงซุบซิบชื่นชมดังมาจากเหล่าศิษย์คนอื่นที่กำลังจับตามอง จางอี้หมิงยืนอย่างภาคภูมิใจ แต่ในมุมหนึ่ง ถัวเค่อชี มองเขาด้วยสายตาเย็นชา

ถึงอย่างไรก็ตาม ถัวเค่อชีก็ชิงชังจางอี้หมิงมานาน ในวิชานี้เขาตั้งใจเหยียดหยามจางอี้หมิงเต็มที่ แต่สุดท้ายกลับผิดหวัง

หลังจากจางอี้หมิงแสดงความสามารถในการขี่ดาบจนเป็นที่ชื่นชม หวงจื่อรั่วก็ก้าวออกมาข้างหน้า นางหยิบทวนอาวุธประจำกายของตนขึ้นมา ดวงตาอันมุ่งมั่นของนางสะท้อนแสงแดดอ่อนๆ

“ข้าขอลองบ้าง” นางกล่าวเสียงนุ่มแต่มั่นใจ

นางโคจรลมปราณเข้าสู่ทวนอย่างสง่างาม ทวนเปล่งประกายเรืองรองเบาๆ ก่อนจะลอยขึ้นจากพื้น หวงจื่อรั่วกระโดดขึ้นไปยืนบนทวน 

หวงจื่อรั่วทรงตัวได้อย่างมั่นคง นางค่อยๆ ควบคุมทวนให้ร่อนลอยในอากาศอย่างคล่องแคล่ว ท่าทางของนางดูสง่างามราวกับนางพญา

จางอี้หมิงมองดูพลางพยักหน้าด้วยความชื่นชม “นางเป็นอัจฉริยะแห่งการฝึกยุทธ์โดยแท้!” เขาคิดในใจ

เมื่อหวงจื่อรั่วลงมาจากทวนอย่างนุ่มนวล หลินหนิงที่ดูอยู่ก็ปรบมือด้วยความตื่นเต้น

“แม่นางจื่อรั่วช่างเก่งยิ่งนัก!” นางกล่าว ก่อนจะหันมาหาจางอี้หมิงและกล่าวด้วยเสียงสดใส

“ข้าขอลองดูบ้าง!”

หลินหนิงหยิบกระบี่อาวุธประจำกายของนางขึ้นมา แม้ว่านางจะเป็นผู้ฝึกตนสายบัณฑิตที่ไม่ชำนาญวิชายุทธ์ แต่นางก็มีความมุ่งมั่นไม่น้อย 

หลินหนิงโคจรลมปราณเข้าสู่กระบี่ กระบี่ลอยขึ้นช้าๆ หลินหนิงกระโดดขึ้นไปยืนบนกระบี่ได้สำเร็จ

ในตอนแรกนางดูเหมือนจะควบคุมกระบี่ได้ดี แต่เมื่อกระบี่เริ่มร่อนในอากาศ นางก็เสียการทรงตัว ร่างของหลินหนิงเอนเซจนล้มร่วงลงมาอย่างรวดเร็ว

จางอี้หมิงเห็นดังนั้น ด้วยความเคยชิน  เขารีบหยิบยันต์อักษรจากอกเสื้อ ออกมาอย่างรวดเร็ว เขาโคจรลมปราณย้อนกลับใส่ยันต์นั้น พลันกระดาษยันต์ลุกไหม้ ก่อนที่เขาจะปามันออกไปในอากาศ

이 책을 계속 무료로 읽어보세요.
QR 코드를 스캔하여 앱을 다운로드하세요

최신 챕터

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 52 นิทาน

    “เมื่อหนึ่งปีครึ่งที่ผ่านมา...” เสียงของนักเล่านิทานเกริ่นเล่า“ครั้งนั้นปักษาอัคคีบุกเข้าโจมตีอาณาจักรต้าเฉิง มีศิษย์แห่งสำนักเทียนหยางผู้หนึ่ง นามว่า เสี่ยวต้าหมิง ออกกำจัดปักษาอัคคีผู้นั้น ทว่า เป็นที่น่าเสียดาย หลังจากกำจัดปักษาอัคคีได้ วีรบุรุษเสี่ยวต้าหมิงผู้นั้น ก็ได้จากโลกนี้ไปตลอดการ”มารดามันเถอะ! เจ้าเล่าเรื่องของข้าไม่พอ ยังตั้งชื่อข้าว่าเสี่ยวต้าหมิง คนอันใดมีทั้งใหญ่ทั้งเล็กในตัวเอง เท่านั้นไม่พอ ยังบังอาจสาปแช่งให้ข้าตายเมื่อนักเล่านิทานเล่าเรื่องจบ จางอี้หมิงก็เดินปรี่เข้าไปสอบถาม“ท่านเสี่ยวต้าหมิงช่างยิ่งใหญ่น่าเคารพยิ่ง” จางอี้หมิงกล่าววาจาชื่นชมตัวเอง “ข้าอยากทราบว่า เป็นผู้ใดเล่าเรื่องนี้ให้กับเจ้าฟัง”นักเล่านิทานยกมื่อคารวะทีหนึ่ง “เรียนคุณชายท่านนี้ ผู้ที่ถ่ายทอดเรื่องราวนี้ให้กับข้าน้อยฟัง คือ ท่านปราจารย์ซ่งอิน แห่งสำนักเทียนหยาง”“!!!”จางอี้หมิงยืนนิ่งครู่หนึ่ง ก่อนให้รางวัลตอบแทนนักเล่านิทานไปสามอีแปะ พลางคิดในใจ “เจ้าซ่งอินเป็นปรมาจารย์ตั้งแต่เมื่อไหร่ ข้าออกมาจากสำนักแค่เดือนเดียวก็คิดแต่งตั้งตัวเองแล้ว

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 51 ชายผู้เขียนอักษร

    ณ เมืองหลวงของอาณาจักรต้าเฉิง เขตเมืองชั้นในของเมืองคึกคักไปด้วยผู้คน แม้จะไม่แออัดเท่าเขตเมืองชั้นนอก แต่ก็ถือว่ามีจำนวนมากพ่อค้าแม่ค้าต่างเปิดร้านกันอย่างขมีขมัน*(กะตือรือร้น) กลิ่นหอมของหมั่นโถวร้อนๆ ลอยมาจากแผงขายอาหาร เสียงตะโกนเรียกลูกค้าของพ่อค้าแม่ค้าแข่งกันดังก้องทั่วถนน ไม่ว่าจะร้านของกินหรือร้านเครื่องประดับ ต่างแข็งขันกันอย่างเข้มข้นจางหลันซือ บุตรสาวของท่านอ๋องจางส่วง นั่งอยู่ในรถม้าสีดำขลับ ประดับลวดลายดอกเหมยงามสง่า นางเป็นสตรีที่ได้รับการกล่าวขานว่างามเลิศ ทั้งยังมีนิสัยซุกซนข้างกายนางมีซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำตัวของพี่ชายของนาง จางอี้หมิง สตรีผู้มีใบหน้างดงามราวเทพธิดาในอาภรณ์สีชมพูอ่อนอันเรียบง่าย ที่ขับเน้นผิวขาวผุดผ่องของนางให้ดูอ่อนโยนดุจบุปผาแรกแย้มซงเอ๋อร์มิใช่เพียงสาวใช้ธรรมดา แต่นางเป็นว่าที่อนุภรรยาของจางอี้หมิง และเป็นสตรีที่ได้รับความรักใคร่จากคนในตระกูลจาง และถูกให้ความสำคัญในระดับสูงรถม้าของทั้งสองแล่นผ่านถนนสายหลักของเมือง สายตาของจางหลันซือก็สะดุดเข้ากับผู้คนที่ยืนต่อแถวยาวเหยียดไปจนสุดสายตา คล้ายกำลังรอคอยบางสิ่งบา

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   ความเดิมภาคที่แล้ว

    จางอี้หมิงบุตรชายเพียงคนเดียวของท่านอ๋องจางส่วง ถูกจอมมารปีศาจทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส นอนหลับไปนับปี เมื่อตื่นขึ้น พบว่าพลังปราณสูญเสียสมดุลจนใช้งานไม่ได้ข้างกายของเขามีแม่นางซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำกายและว่าที่อนุภรรยาในอนาคตคอยเฝ้าดูแลไม่ห่างหนทางที่ง่ายที่สุดคือฝึกฝนใหม่แบบย้อนกลับเพื่อปรับสมดุลพลังปราณ หนทางที่ยากที่สุดคือหาสมุนไพรหายากสิบแปดชนิด และหนทางสุดท้ายคือ บำเพ็ญคู่กับสตรีพรหมจรรย์ เขาจึงจำเป็นต้องเลือกหนทางการฝึกฝนร่วมกับเหล่าศิษย์หน้าใหม่ ซึ่งถือว่าง่ายดายและปัญหาน้อยที่สุดเขาได้พบเจอกับแม่นางหลินหนิงผู้มีความน่ารักสดใสดวงตากลมโต ได้รู้จักแม่นางหวงจื่อรั่วผู้มีใบหน้าหมดจดงดงามราวเทพธิดาเพิ่มมากขึ้น แม้นางจะเป็นคนของจวนอ๋องแต่ทว่าความสนิทมีน้อยนัก จนกระทั่งได้มาฝึกร่วมกันอีกครั้งการฝึกฝนใหม่ในครั้งนี้ได้พบกับถัวเค่อชี ผู้มีใจริษยาต่อจางอี้หมิงมาตลอด พบกันคราวนี้ถัวเค่อชีต้องปฏิบัติหน้าที่เป็นอาจารย์ผู้ฝึกฝนจางอี้หมิง ซึ่งนี่เป็นโอกาสที่ดีที่เขาจะได้ "ข่ม" จางอี้หมิงบ้าง แต่แล้วเรื่องราวกลับไม่เป็นเช่นนั้นแต่ถึงอย่างไรก็แล้วแต่ จางอี้หมิ

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 50 จากลา (จบภาค1)

    ที่ชั้นเก้าของหอเทียนหยาง ศิษย์สายตรงทั้งเจ็ดคนของสำนักกู่เจิ้งมารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตา บรรยากาศในห้องสงบเงียบ ทว่าครุกรุ่นไปด้วยแรงกดดันทุกคนล้วนเป็นศิษย์ระดับสูง ผู้ที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างเข้มงวด ทุกคนคุกเข่าคารวะอาจารย์เจ้าสำนักกู่เจิ้ง ซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมกับสายตาที่ล้ำลึกเกินหยั่งถึงเจ้าสำนักโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้น พลางกวาดสายตามองไปรอบห้อง เขามองพวกเขาอย่างเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบแต่หนักแน่นว่า“ปีที่แล้ว ลัทธิมารแดนปีศาจเคลื่อนไหว ครั้งนี้ ลัทธิมารแดนสวรรค์เคลื่อนไหว เป็นข้าเองที่หละหลวมในการป้องกัน… หลังจากนี้ จะไม่มีครั้งที่สาม”แววตาของเจ้าสำนักฉายประกายแน่วแน่ เขาโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้นนั่งลงบนเบาะของตนเอง จากนั้นเขาเองก็ทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะกลางห้อง หยิบใบชามาบดด้วยมืออย่างประณีต ก่อนจะเทน้ำร้อนลงในถ้วย เสียงไอร้อนพวยพุ่งขึ้นแตะจมูก กลิ่นหอมอ่อนๆ ของชาแผ่ซ่านไปทั่วห้อง เจ้าสำนักสูดกลิ่นหอมของชาเบาๆ ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงสงบ“เห็นที พวกเราคงต้องจริงจังกับเรื่องศิลาเฝิ่นเหิงกันบ้างแล้ว นี่อาจไม่ใช่เพียงแค่เรื่อ

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 49 บำเพ็ญคู่ปรับสมดุลลมปราณ

    จางอี้หมิงนั่งนิ่งตาค้าง ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่มองนัยน์ตาของศิษย์พี่คนงาม ที่ฉายแววความร้อนฉ่า ริมฝีปากสีแดงเรื่อยังคงหลงเหลือรสชาติของสุรา นางจ้องมองเขาด้วยสายตาที่ทำให้หัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกจากอก“เจ้ารู้จักการบำเพ็ญคู่หรือไม่?” นางกระซิบถามด้วยเสียงแผ่วเบา ราวกับเสียงลมพัดผ่านในค่ำคืน จางอี้หมิงรู้สึกได้ถึงสัมผัสจากปลายนิ้วของนางที่ลากไล้เบาๆ บนแผ่นอกของเขา“ท่านเมาแล้ว” จางอี้หมิงพยายามตั้งสติ แต่เสียงของเขากลับสั่นไหว เจียงเยว่ยิ้มมุมปาก ก่อนจะยกมือเรียวขึ้นปิดริมฝีปากเขา“ข้าตั้งใจเมา” นางตอบเบาๆ สายตาของนางเต็มไปด้วยแรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานใช่สิ หากไม่เมาท่านจะกล้าเช่นนี้หรือจางอี้หมิงมองดูนางอย่างหลงใหล มือของเจียงเยว่วางแนบลงบนแผ่นอกของเขา หัวใจของเขาเต้นรัวจนแทบไม่เป็นจังหวะ ก่อนที่เสียงกระซิบของนางจะดังขึ้นอีกครั้ง“หรือว่าเจ้าไม่ต้องการ?”เขาสูดหายใจเข้าลึก สบตากับนางก่อนจะตอบเสียงพร่า “ข้าเองก็คิดแบบเดียวกับท่าน”ข้าหมายตาท่านมาตลอด!จากนั้น จางอี้หมิงก็รวบตัวเจียงเยว่เข้ามาอุ้มขึ้น นางแนบตัวเข้าหาเขาโดยไม

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 48 กักตัวที่บ้านพัก

    จางอี้หมิงยืนนิ่งอยู่กลางสมรภูมิ ดวงตาเรียบเฉยจ้องมองร่างไร้วิญญาณของถัวเค่อชีที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น เลือดสีเข้มค่อย ๆ ไหลซึมไปตามพื้นดิน กลิ่นคาวโชยขึ้นมาปะปนกับไอเย็นของค่ำคืนเขาสูดลมหายใจลึก ก่อนจะเก็บดาบประจำกายเข้าฝัก เสียง “แกร๊ก” ของดาบที่เลื่อนเข้า ที่ฟังดูดังก้องกังวาลท่ามกลางความเงียบงันเขาหันกลับไปทางศิษย์พี่หญิงเจียงเยว่ที่ยังนอนอ่อนล้าอยู่บนพื้น หญิงสาวมีใบหน้าซีดเซียว เหงื่อเย็นชื้นบนหน้าผาก ผมดำยาวหลุดรุ่ยออกจากปิ่นปักบางส่วน ดวงตาของนางยังคงสั่นไหวด้วยความเหนื่อยล้าและความตึงเครียดจางอี้หมิงเดินไปนั่งลงข้าง ๆ นาง แล้วเหลียวหันไปมองหน้านางเบา ๆ“เป็นข้าที่ทำให้เจ้าเดือดร้อน…” เสียงของเจียงเยว่แผ่วเบาราวสายลมของนางเอ่ยขึ้นจางอี้หมิงส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“เป็นข้าที่ตัดสินใจเอง ไม่เกี่ยวกับท่าน”แววตาของศิษย์พี่เจียงเยว่อันแน่นไปด้วยความสับสนความซึ้งใจ กับความกังวล แม้นี่จะเป็นสิ่งที่สมควรจะทำ แต่ก็นับว่าขัดต่อกฎของสำนักเช่นกันเสียงฝีเท้าหลายคู่ดังขึ้นจากด้านหลัง ศิษย์พี่ของสำนักเร่งร

더보기
좋은 소설을 무료로 찾아 읽어보세요
GoodNovel 앱에서 수많은 인기 소설을 무료로 즐기세요! 마음에 드는 책을 다운로드하고, 언제 어디서나 편하게 읽을 수 있습니다
앱에서 책을 무료로 읽어보세요
앱에서 읽으려면 QR 코드를 스캔하세요.
DMCA.com Protection Status