หน้าหลัก / แฟนตาซี / วิถีสุริยะพิชิตเวหา / บทที่ 26 คืนก่อนกลับบ้าน

แชร์

บทที่ 26 คืนก่อนกลับบ้าน

last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-03-14 18:30:30

ยันต์กลายเป็นตาข่ายพลังสีทองผืนใหญ่ที่รับร่างของหลินหนิงไว้ก่อนที่นางจะตกถึงพื้น ตาข่ายช่วยลดแรงกระแทกจนหลินหนิงไม่ได้รับบาดเจ็บร้ายแรง

ทันทีที่หวงจื่อรั่วรีบวิ่งเข้าไปช่วยประคองหลินหนิงอย่างปลอดภัย

หลินหนิงที่ยังตกใจอยู่เงยหน้ามองจางอี้หมิงด้วยความรู้สึกซาบซึ้ง แต่ก่อนที่นางจะเอ่ยคำใดออกมา ร่างของจางอี้หมิงก็เซไปเล็กน้อย ก่อนจะกระอักโลหิตออกมา

การโคจรพลังของข้าเกินขีดจำกัด น่าขายหน้ายิ่งนัก หากไม่ใช่เพราะยันต์พวกนี้ข้าเขียนไว้ก่อนสิ้นพลัง คงไม่เป็นเช่นนี้ พลังดั้งเดิมข้าแข็งแกร่งขนาดนี้เชียวหรือ

               "ศิษย์พี่!" หลินหนิงร้องออกมาด้วยความตกใจ

หวงจื่อรั่วและหลินหนิงรีบวิ่งเข้าไปหาจางอี้หมิง นางทั้งสองช่วยประคองเขาที่กำลังจะล้มลงพื้นไว้ทันพอดี

ถัวเค่อชีโบกมือให้ทั้งสองประคองจางอี้หมิงไปหน่วยแพทย์ตามหน้าที่ แม้ในใจจะคิดขึ้นว่า “ถึงอย่างไรก็มีข้อจำกัดสินะ”

หน่วยแพทย์

จางอี้หมิงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา สัมผัสแรกที่เขารู้สึกคือความหนักอึ้งของร่างกายและความอ่อนล้าที่ยังคงหลงเหลืออยู่

เขากวาดสายตามองรอบๆ พบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องพักของหน่วยแพทย์ แสงเทียนสลัวๆ ส่องกระทบใบหน้าของเขา กลิ่นยาสมุนไพรอ่อนๆ ลอยอ้อยอิ่งในอากาศ

ที่ข้างเตียง มีดรุณีสะคราญโฉมสองคนนั่งอยู่ หวงจื่อรั่วและหลินหนิง ทั้งสองมองเขาด้วยสายตาแห่งความห่วงใย หวงจื่อรั่วนั่งเงียบสงบ ขณะที่หลินหนิงขยับเข้ามาใกล้เมื่อเห็นเขาฟื้นขึ้น

นอกจากสองสาวแล้ว จางอี้หมิงยังสังเกตเห็นบุรุษร่างท้วมอีกคนหนึ่งยืนกอดอกอยู่ใกล้ๆ นั่นคือ ชิ่งซิว ศิษย์พี่ระดับเจ็ด ซึ่งเป็นผู้ที่อยู่ในระดับสูงสุดของศิษย์ที่ยังประจำอยู่ในสำนักในเวลานี้

จางอี้หมิงกระพริบตาช้าๆ ก่อนจะเอ่ยถามเสียงแผ่ว

               “เกิดอะไรขึ้น…”

หลินหนิงที่อยู่ใกล้ที่สุดรีบประคองตัวเขาขึ้นนั่ง นางหยิบถ้วยน้ำที่เตรียมไว้ ยกขึ้นจ่อริมฝีปากของเขา

               “ดื่มน้ำก่อนเถอะ ศิษย์พี่” นางกล่าวเสียงอ่อนโยน

จางอี้หมิงรับถ้วยน้ำมาดื่ม รู้สึกได้ถึงความชุ่มคอไหลผ่านร่าง หวงจื่อรั่วยังคงนั่งอยู่ข้างๆ นางมองเขาด้วยสายตาสงบนิ่ง แต่แฝงไปด้วยความห่วงใย

ชิ่งซิวมองดูเขาด้วยท่าทางพอใจ ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มหนัก

               “เจ้าโคจรลมปราณเกินขีดจำกัด ร่างกายจึงทนไม่ไหว ข้าช่วยถ่ายทอดพลังฟื้นฟูให้แล้ว”

จางอี้หมิงได้ยินเช่นนั้น ก็รีบประสานมือคารวะ

               “ขอบคุณศิษย์พี่ชิ่งซิวเป็นอย่างยิ่ง”

               แม้ใจจริงข้าอยากให้ศิษย์พี่ฟางหรงแสนสวยของข้าเป็นคนทำก็เถอะ แต่นางไม่อยู่ น่าเสียดายยิ่งนัก

ชิ่งซิวหัวเราะเบาๆ ก่อนจะโบกมือ

“ไม่เป็นไร จะปล่อยให้เจ้าตายไปง่ายๆ ได้อย่างไร แต่เจ้าอย่าเป็นบ่อยล่ะ ข้าไม่ค่อยถนัดวิชาฟื้นฟู ไว้รอฟางหรงกลับมาเจ้าค่อยป่วย”

“ข้าก็อยากเป็นเช่นนั้น” จางอี้หมิงลอบคิดในใจ

จากนั้นชิ่งซิวก็หันหลังเตรียมจะเดินออกจากห้อง แต่เมื่อเดินไปถึงประตู เขาก็หยุดเท้าและหันหน้ากลับมา กล่าวด้วยน้ำเสียงสบายๆ

               “พรุ่งนี้เป็นวันหยุด เจ้าเองก็ออกไปพักผ่านข้างนอกเถอะ”

พูดจบ เขาก็เดินออกไป ทิ้งให้บรรยากาศในห้องเงียบสงัดอีกครั้ง

บรรยากาศในห้องเงียบลง ท่ามกลางแสงเทียนที่ส่องสลัว ดรุณีสองนางยังคงนั่งอยู่ข้างเตียงของจางอี้หมิง ทั้งสองงดงามราวกับภาพวาด

หวงจื่อรั่วสงบนิ่ง สายตาเรียบเย็นราวกับจันทราบนฟากฟ้า ขณะที่หลินหนิงดูมีชีวิตชีวา ดวงตากลมโตส่องประกายสดใส

จางอี้หมิงยกมือขึ้นลูบหน้าผากตนเองเบาๆ ก่อนจะเหลือบตามองพวกนาง

               “พวกเจ้าทั้งสองไปพักผ่อนเถอะ ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว”

หลินหนิงที่อยู่ใกล้ที่สุดขยับตัวเข้ามาใกล้ จ้องมองเขาด้วยสายตากังวล

               “ท่านแน่ใจนะว่าหายดีแล้ว?”

จางอี้หมิงหัวเราะเบาๆ แล้วกล่าวอย่างสบายๆ

               “ไม่เป็นอะไรแล้ว ข้าแข็งแกร่งกว่าที่เจ้าคิด”

หวงจื่อรั่วยังคงนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวขึ้นเบาๆ

               “อย่าฝืนตัวเองมากนัก”

จางอี้หมิงมองนางแล้วยิ้มเล็กน้อย ในใจรู้สึกดีที่ได้รับความห่วงใยเช่นนี้ จากสตรีที่ภายนอกเย็นชาผู้นี้ ก่อนจะกล่าวกับนาง

               “พรุ่งนี้เจ้ามารอข้าที่หน้าบ้านด้วย เดี๋ยวกลับบ้านพร้อมกัน”

หวงจื่อรั่วได้ยินก็เอ่ยขึ้นเสียงเรียบ

               “ข้านัดกับหลินหนิงไว้แล้ว”

หลินหนิงยิ้มสดใส แล้วพูดเสริมขึ้น

               “เช่นนั้นก็ไปด้วยกัน พวกท่านทั้งสองส่งข้าก่อน แล้วพวกท่านค่อยกลับบ้านพร้อมกัน”

จางอี้หมิงยิ้มรับ

               “ตกลงตามนั้น”

หวงจื่อรั่วไม่กล่าวอะไรเพิ่มเติม เพียงแค่พยักหน้าเล็กน้อย แล้วลุกขึ้นพร้อมกับหลินหนิง

เมื่อสองดรุณีเดินออกจากห้องไป เสียงฝีเท้าของพวกนางค่อยๆ จางหายไปกับสายลมยามค่ำคืน

จางอี้หมิงทอดสายตามองตามแผ่นหลังของพวกนางไปจนลับตา ก่อนจะเอนกายลงบนเตียง ถอนหายใจเบาๆ พลางพึมพำกับตัวเอง

               “มีสตรีสองนางเป็นห่วงข้าถึงเพียงนี้ ก็นับว่าคุ้มค่ากับการกระอักโลหิตไม่น้อย”

ยามค่ำคืนเงียบสงัด สายลมพัดแผ่วเบา อาบไล้ไปตามแนวหลังคาของบ้านพัก จางอี้หมิงนั่งอยู่ภายในห้องที่มีเพียงแสงเทียนวูบไหวเป็นเพื่อน

เขาหยิบตำราการปรับสมดุลลมปราณขึ้นมา เปิดหน้าหนังสือออก อ่านผ่านตัวอักษรที่จารึกไว้อย่างละเอียด

เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นข้อความที่กล่าวว่า

“หากต้องการคืนสู่สมดุลลมปราณด้วยวิธีลัด ชายและหญิงต้องมีความรู้สึกลึกซึ้งต่อกันทั้งคู่ ลมปราณจึงจะเชื่อมประสานเข้าสู่สมดุลได้โดยสมบูรณ์”

จางอี้หมิงปิดตำราทันที สีหน้าของเขานิ่งสงบ แต่ลึกลงไปในแววตากลับมีแววขบขันปนระอา

“นี่ไม่ใช่วิธีลัด”

“ข้าหว่านล้อมศิษย์พี่เจียงเยว่มานับสิบปี ส่วนศิษย์พี่ฟางหรงนางไม่สนใจลูกแกะเช่นข้า ฉะนั้นอย่าได้นับ แม่นางน้อยทั้งสองที่เพิ่งสานสัมพันธ์ก็ไม่รู้จะใช้เวลาเท่าไหร่”

“ถึงอย่างไรก็กลับบ้านไปพบแม่นางซงเอ๋อร์ของข้า ใครก็ตามจ้องมองมาจากดวงจันทร์ก็มองเห็นชัดว่านางมีใจให้ข้า เพียงแต่ตอนนี้ข้าอยากได้เพียงแค่ร่างกายของนาง ไม่รู้จะใช้เวลานานเท่าใด จึงจะมีจิตใจลึกซึ้ง”

เขาพึมพำกับตัวเอง พลางถอนหายใจเบาๆ รู้สึกว่าตำรานี้ช่างไร้สาระสำหรับเขาเสียจริง

“ทางที่ดี คือ โคจรลมปราณย้อนกลับ เช่นเดิม”

จากนั้นจางอี้หมิงวางตำราลง หลับตาลงช้าๆ ตั้งสมาธิอย่างแน่วแน่ โคจรลมปราณย้อนกลับตามหลักที่ได้ฝึกฝนมาหลายวัน คลื่นพลังค่อยๆ ไหลเวียนไปทั่วร่าง

“อีกไม่นานก็คงหายเป็นปกติ”

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 52 นิทาน

    “เมื่อหนึ่งปีครึ่งที่ผ่านมา...” เสียงของนักเล่านิทานเกริ่นเล่า“ครั้งนั้นปักษาอัคคีบุกเข้าโจมตีอาณาจักรต้าเฉิง มีศิษย์แห่งสำนักเทียนหยางผู้หนึ่ง นามว่า เสี่ยวต้าหมิง ออกกำจัดปักษาอัคคีผู้นั้น ทว่า เป็นที่น่าเสียดาย หลังจากกำจัดปักษาอัคคีได้ วีรบุรุษเสี่ยวต้าหมิงผู้นั้น ก็ได้จากโลกนี้ไปตลอดการ”มารดามันเถอะ! เจ้าเล่าเรื่องของข้าไม่พอ ยังตั้งชื่อข้าว่าเสี่ยวต้าหมิง คนอันใดมีทั้งใหญ่ทั้งเล็กในตัวเอง เท่านั้นไม่พอ ยังบังอาจสาปแช่งให้ข้าตายเมื่อนักเล่านิทานเล่าเรื่องจบ จางอี้หมิงก็เดินปรี่เข้าไปสอบถาม“ท่านเสี่ยวต้าหมิงช่างยิ่งใหญ่น่าเคารพยิ่ง” จางอี้หมิงกล่าววาจาชื่นชมตัวเอง “ข้าอยากทราบว่า เป็นผู้ใดเล่าเรื่องนี้ให้กับเจ้าฟัง”นักเล่านิทานยกมื่อคารวะทีหนึ่ง “เรียนคุณชายท่านนี้ ผู้ที่ถ่ายทอดเรื่องราวนี้ให้กับข้าน้อยฟัง คือ ท่านปราจารย์ซ่งอิน แห่งสำนักเทียนหยาง”“!!!”จางอี้หมิงยืนนิ่งครู่หนึ่ง ก่อนให้รางวัลตอบแทนนักเล่านิทานไปสามอีแปะ พลางคิดในใจ “เจ้าซ่งอินเป็นปรมาจารย์ตั้งแต่เมื่อไหร่ ข้าออกมาจากสำนักแค่เดือนเดียวก็คิดแต่งตั้งตัวเองแล้ว

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 51 ชายผู้เขียนอักษร

    ณ เมืองหลวงของอาณาจักรต้าเฉิง เขตเมืองชั้นในของเมืองคึกคักไปด้วยผู้คน แม้จะไม่แออัดเท่าเขตเมืองชั้นนอก แต่ก็ถือว่ามีจำนวนมากพ่อค้าแม่ค้าต่างเปิดร้านกันอย่างขมีขมัน*(กะตือรือร้น) กลิ่นหอมของหมั่นโถวร้อนๆ ลอยมาจากแผงขายอาหาร เสียงตะโกนเรียกลูกค้าของพ่อค้าแม่ค้าแข่งกันดังก้องทั่วถนน ไม่ว่าจะร้านของกินหรือร้านเครื่องประดับ ต่างแข็งขันกันอย่างเข้มข้นจางหลันซือ บุตรสาวของท่านอ๋องจางส่วง นั่งอยู่ในรถม้าสีดำขลับ ประดับลวดลายดอกเหมยงามสง่า นางเป็นสตรีที่ได้รับการกล่าวขานว่างามเลิศ ทั้งยังมีนิสัยซุกซนข้างกายนางมีซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำตัวของพี่ชายของนาง จางอี้หมิง สตรีผู้มีใบหน้างดงามราวเทพธิดาในอาภรณ์สีชมพูอ่อนอันเรียบง่าย ที่ขับเน้นผิวขาวผุดผ่องของนางให้ดูอ่อนโยนดุจบุปผาแรกแย้มซงเอ๋อร์มิใช่เพียงสาวใช้ธรรมดา แต่นางเป็นว่าที่อนุภรรยาของจางอี้หมิง และเป็นสตรีที่ได้รับความรักใคร่จากคนในตระกูลจาง และถูกให้ความสำคัญในระดับสูงรถม้าของทั้งสองแล่นผ่านถนนสายหลักของเมือง สายตาของจางหลันซือก็สะดุดเข้ากับผู้คนที่ยืนต่อแถวยาวเหยียดไปจนสุดสายตา คล้ายกำลังรอคอยบางสิ่งบา

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   ความเดิมภาคที่แล้ว

    จางอี้หมิงบุตรชายเพียงคนเดียวของท่านอ๋องจางส่วง ถูกจอมมารปีศาจทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส นอนหลับไปนับปี เมื่อตื่นขึ้น พบว่าพลังปราณสูญเสียสมดุลจนใช้งานไม่ได้ข้างกายของเขามีแม่นางซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำกายและว่าที่อนุภรรยาในอนาคตคอยเฝ้าดูแลไม่ห่างหนทางที่ง่ายที่สุดคือฝึกฝนใหม่แบบย้อนกลับเพื่อปรับสมดุลพลังปราณ หนทางที่ยากที่สุดคือหาสมุนไพรหายากสิบแปดชนิด และหนทางสุดท้ายคือ บำเพ็ญคู่กับสตรีพรหมจรรย์ เขาจึงจำเป็นต้องเลือกหนทางการฝึกฝนร่วมกับเหล่าศิษย์หน้าใหม่ ซึ่งถือว่าง่ายดายและปัญหาน้อยที่สุดเขาได้พบเจอกับแม่นางหลินหนิงผู้มีความน่ารักสดใสดวงตากลมโต ได้รู้จักแม่นางหวงจื่อรั่วผู้มีใบหน้าหมดจดงดงามราวเทพธิดาเพิ่มมากขึ้น แม้นางจะเป็นคนของจวนอ๋องแต่ทว่าความสนิทมีน้อยนัก จนกระทั่งได้มาฝึกร่วมกันอีกครั้งการฝึกฝนใหม่ในครั้งนี้ได้พบกับถัวเค่อชี ผู้มีใจริษยาต่อจางอี้หมิงมาตลอด พบกันคราวนี้ถัวเค่อชีต้องปฏิบัติหน้าที่เป็นอาจารย์ผู้ฝึกฝนจางอี้หมิง ซึ่งนี่เป็นโอกาสที่ดีที่เขาจะได้ "ข่ม" จางอี้หมิงบ้าง แต่แล้วเรื่องราวกลับไม่เป็นเช่นนั้นแต่ถึงอย่างไรก็แล้วแต่ จางอี้หมิ

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 50 จากลา (จบภาค1)

    ที่ชั้นเก้าของหอเทียนหยาง ศิษย์สายตรงทั้งเจ็ดคนของสำนักกู่เจิ้งมารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตา บรรยากาศในห้องสงบเงียบ ทว่าครุกรุ่นไปด้วยแรงกดดันทุกคนล้วนเป็นศิษย์ระดับสูง ผู้ที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างเข้มงวด ทุกคนคุกเข่าคารวะอาจารย์เจ้าสำนักกู่เจิ้ง ซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมกับสายตาที่ล้ำลึกเกินหยั่งถึงเจ้าสำนักโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้น พลางกวาดสายตามองไปรอบห้อง เขามองพวกเขาอย่างเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบแต่หนักแน่นว่า“ปีที่แล้ว ลัทธิมารแดนปีศาจเคลื่อนไหว ครั้งนี้ ลัทธิมารแดนสวรรค์เคลื่อนไหว เป็นข้าเองที่หละหลวมในการป้องกัน… หลังจากนี้ จะไม่มีครั้งที่สาม”แววตาของเจ้าสำนักฉายประกายแน่วแน่ เขาโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้นนั่งลงบนเบาะของตนเอง จากนั้นเขาเองก็ทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะกลางห้อง หยิบใบชามาบดด้วยมืออย่างประณีต ก่อนจะเทน้ำร้อนลงในถ้วย เสียงไอร้อนพวยพุ่งขึ้นแตะจมูก กลิ่นหอมอ่อนๆ ของชาแผ่ซ่านไปทั่วห้อง เจ้าสำนักสูดกลิ่นหอมของชาเบาๆ ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงสงบ“เห็นที พวกเราคงต้องจริงจังกับเรื่องศิลาเฝิ่นเหิงกันบ้างแล้ว นี่อาจไม่ใช่เพียงแค่เรื่อ

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 49 บำเพ็ญคู่ปรับสมดุลลมปราณ

    จางอี้หมิงนั่งนิ่งตาค้าง ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่มองนัยน์ตาของศิษย์พี่คนงาม ที่ฉายแววความร้อนฉ่า ริมฝีปากสีแดงเรื่อยังคงหลงเหลือรสชาติของสุรา นางจ้องมองเขาด้วยสายตาที่ทำให้หัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกจากอก“เจ้ารู้จักการบำเพ็ญคู่หรือไม่?” นางกระซิบถามด้วยเสียงแผ่วเบา ราวกับเสียงลมพัดผ่านในค่ำคืน จางอี้หมิงรู้สึกได้ถึงสัมผัสจากปลายนิ้วของนางที่ลากไล้เบาๆ บนแผ่นอกของเขา“ท่านเมาแล้ว” จางอี้หมิงพยายามตั้งสติ แต่เสียงของเขากลับสั่นไหว เจียงเยว่ยิ้มมุมปาก ก่อนจะยกมือเรียวขึ้นปิดริมฝีปากเขา“ข้าตั้งใจเมา” นางตอบเบาๆ สายตาของนางเต็มไปด้วยแรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานใช่สิ หากไม่เมาท่านจะกล้าเช่นนี้หรือจางอี้หมิงมองดูนางอย่างหลงใหล มือของเจียงเยว่วางแนบลงบนแผ่นอกของเขา หัวใจของเขาเต้นรัวจนแทบไม่เป็นจังหวะ ก่อนที่เสียงกระซิบของนางจะดังขึ้นอีกครั้ง“หรือว่าเจ้าไม่ต้องการ?”เขาสูดหายใจเข้าลึก สบตากับนางก่อนจะตอบเสียงพร่า “ข้าเองก็คิดแบบเดียวกับท่าน”ข้าหมายตาท่านมาตลอด!จากนั้น จางอี้หมิงก็รวบตัวเจียงเยว่เข้ามาอุ้มขึ้น นางแนบตัวเข้าหาเขาโดยไม

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 48 กักตัวที่บ้านพัก

    จางอี้หมิงยืนนิ่งอยู่กลางสมรภูมิ ดวงตาเรียบเฉยจ้องมองร่างไร้วิญญาณของถัวเค่อชีที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น เลือดสีเข้มค่อย ๆ ไหลซึมไปตามพื้นดิน กลิ่นคาวโชยขึ้นมาปะปนกับไอเย็นของค่ำคืนเขาสูดลมหายใจลึก ก่อนจะเก็บดาบประจำกายเข้าฝัก เสียง “แกร๊ก” ของดาบที่เลื่อนเข้า ที่ฟังดูดังก้องกังวาลท่ามกลางความเงียบงันเขาหันกลับไปทางศิษย์พี่หญิงเจียงเยว่ที่ยังนอนอ่อนล้าอยู่บนพื้น หญิงสาวมีใบหน้าซีดเซียว เหงื่อเย็นชื้นบนหน้าผาก ผมดำยาวหลุดรุ่ยออกจากปิ่นปักบางส่วน ดวงตาของนางยังคงสั่นไหวด้วยความเหนื่อยล้าและความตึงเครียดจางอี้หมิงเดินไปนั่งลงข้าง ๆ นาง แล้วเหลียวหันไปมองหน้านางเบา ๆ“เป็นข้าที่ทำให้เจ้าเดือดร้อน…” เสียงของเจียงเยว่แผ่วเบาราวสายลมของนางเอ่ยขึ้นจางอี้หมิงส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“เป็นข้าที่ตัดสินใจเอง ไม่เกี่ยวกับท่าน”แววตาของศิษย์พี่เจียงเยว่อันแน่นไปด้วยความสับสนความซึ้งใจ กับความกังวล แม้นี่จะเป็นสิ่งที่สมควรจะทำ แต่ก็นับว่าขัดต่อกฎของสำนักเช่นกันเสียงฝีเท้าหลายคู่ดังขึ้นจากด้านหลัง ศิษย์พี่ของสำนักเร่งร

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status