สิบปีต่อมา
ภายในงานวัดของจังหวัดทางภาคใต้แห่งหนึ่ง เสียงปี่กลองแหลมสูงแทรกด้วยจังหวะเร่งเร้า รัวเป็นจังหวะสลับหนักและเบากันไป ท่วงทำนองดุดันแฝงไปด้วยความขลัง ดึงดูดให้ทุกสายตาจับจ้องร่างที่กำลังร่ายรำอยู่กลางเวที
นายมโนราห์ทั้งชายและหญิงกำลังหมุนเวียนสลับกันทำหน้าที่ของตนเองเพื่อซื้อใจคนที่นั่งดูอยู่ หรือแม้กระทั่งผู้คนที่ต่างเดินผ่านไปมาทางนี้
และทันทีที่เสียงดนตรีและเสียงปรบมือจบลง ทั้งนายและนางรำต่างก็เดินลงมาจากเวที พร้อมกับถอนหายใจกันอย่างโล่งอก
“เหนื่อยวะ วันนี้อากาศโคตรร้อนเลย มึงไม่ร้อนหรือไงว่ะ” เป้ว่าพลางถอดเสื้อผ้าพร้อมมองออกไปยังเพื่อนอีกคน
“ทำมาตั้งนานแล้ว กูชินแล้วล่ะ”
“มึงชิน หรือเพราะไม่มีทางเลือกกันแน่วะ…ไอ้ขลุ่ย” คำพูดของเป้จี้ใจดำขลุ่ยเข้าอย่างจัง
“ช่างมันเหอะ สักวันคงดีเองนั่นแหละ” เป้ส่ายหน้า เพราะไม่ว่ากี่ครั้งก็มักจะเห็นเพื่อนสนิทพูดแบบนี้เสมอ
“งั้นมึงเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ตรงนี้ก่อนแล้วกัน เดี๋ยวกูออกไปหาของหน่อย ไม่รู้ตั้งไว้ไหน”
“มึงลืมอะไร เดี๋ยวกูช่วยหา”
“มือถืออ่ะ แต่ไม่เป็นไร มึงรอตรงนี้แหละ เดี๋ยวกูหาเอง แป๊บเดียว” เป้ว่าพลางเดินออกไปจากห้องแต่งตัวที่ตอนนี้แทบไม่หลงเหลือใครอยู่แล้ว
ระหว่างนั้นขลุ่ยรีบปลดเสื้อแขนสั้นแนบข้างลำตัวออก ก่อนถอดออกจากลาดไหล่ เผยให้เห็นผิวเปียกชื้นจากเหงื่อผุดขึ้นมา พร้อมกับกำลังเอื้อมไปแตะผ้าที่ถูกผูกเอาไว้เพื่อคลายปม แต่ยังไม่ทันได้ถอดหมด
“ขาวจังวะ ถ้าเป็นเมียกูจะจัดเช้าจัดเย็นเลย แม่ง” เสียงของใครบางคนที่ไม่ชอบขี้หน้าโผล่พรวดเข้ามา แถมยังใช้สายตามองอย่างโลมเลีย แม้ไม่หันไปมองก็รู้ว่าคือไอ้เม่น เพราะประโยคสกปรกโสโครกเช่นนี้คงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากมันคนเดียว
“...”
ขลุ่ยไม่คิดตอบกลับหรือให้ความสนใจในคำถามนั้น ก่อนหันหลังเพื่อเตรียมใส่เสื้อผ้าแล้วออกไปจากตรงนี้ให้ไว้ที่สุด
“อะไรวะ กูพูดด้วยกลับเงียบ เล่นตัวฉิบหาย” ไอ้เม่นรีบก้าวฝีเท้าดักขลุ่ยตรงหน้า เมื่อเห็นว่าเหยื่อเริ่มหาทางหนีทีไล่
“ถอยไป กูจะกลับบ้าน”
“จืด ๆ แบบมึง ลองดูกับกูหน่อยมั้ย ไม่เสียหายหรอก ฝึกประสบการณ์ไง”
“อยากจะทำก็ไปทำกับเมียมึง ไม่ใช่มายุ่งกับกู” ไอ้เม่นเลิกคิ้ว มือเท้าสะเอวมองขลุ่ยที่กำลังเดือดดาล
“เบื่อแล้ววะ อยากลองของแปลกมากกว่า” พูดจบมันก็เหลือบมองไปข้างหลัง เมื่อเห็นว่าไม่มีใคร จึงตัดสินใจใช้กำลังบังคับขู่เข็ญ
“ไอ้เหี้ย! ปล่อยกู!” ไอ้เม่นเดาะลิ้น พร้อมกับโนมใบหน้าของมันเข้าซุกซอกคอสูดกลิ่นตามตัวของขลุ่ย
“หอมฉิบหาย” ด้วยความที่ขนาดตัวต่างกัน ไอ้เม่นจึงสามารถควบคุมแรงของเหยื่อได้อย่างง่ายดาย
ก่อนจะดึงเสื้อที่ขลุ่ยเพิ่งจะสวมใส่ไปให้ร่นลงมาจนเห็นลาดไหล่ขาวเนียน ไอ้เม่นไม่รอช้ารีบตามเข้าสัมผัสทันที ก่อนในจังหวะเดียวกันหัวของมันเหมือนจะถูกดึงจากข้างหลังจนแทบหลุดออกจากกัน
ผลัวะ! ผลัวะ! ผลัวะ!
“กูบอกหลายครั้งแล้วใช่มั้ย อย่ามายุ่งกับเพื่อนกู!” เสียงกำปั้นเสยเข้าใบหน้าของไอ้เม่นซ้ำ ๆ หลายครั้ง จนมันแทบจะสลบเหมือดคากองพื้น
“มึง…ไอ้เป้!” ไอ้เม่นชี้หน้ามองด้วยสายตาเดือดดาล
“มึงอยากตายก็เข้ามา! คราวนี้กูจะเอาให้ไม่เหลือเค้าโครงเดิมเลย!”
“...ฝากไว้ก่อนเหอะมึง!” ไอ้เม่นพูดพลางชี้หน้าด่า ก่อนรีบถอยหลังกลับออกไป
“แม่ง ไอ้เหี้ยกูน่าจะเอามันให้ตาย มึงไหวไหมไอ้ขลุ่ย” เป้รีบเข้าไปพยุงเพื่อนสนิทที่มีสีหน้าไม่สู้ดีนักให้ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง
“ไหว รีบออกจากตรงนี้กันเหอะ”
เป้พาขลุ่ยซ้อนมอเตอร์ไซด์ขี่กลับไปส่งไม่นานก็ถึงหน้าบ้าน ก่อนค่อย ๆ ถอดหมวดกันน็อคคืนให้เพื่อนสนิท
“ขอบใจมึงมากนะไอ้เป้ งั้นกูเข้าบ้านก่อน”
“อืม มีอะไรก็โทรหากูได้ตลอด งั้นกูไปแหละ” ขลุ่ยพยักหน้าตอบรับ ก่อนก้าวฝีเท้ามองหน้าประตูบ้าน พร้อมถอนหายใจยาวออกมา
เพล้ง! เพล้ง!
“ทำอะไรน่ะพ่อ” เสียงขวดแก้วแตกกระจายลงสู่พื้น จนขลุ่ยที่เพึ่งกลับมาได้ยินเข้าถึงตกใจร้องเสียงหลง
“กลับมาแล้วเหรอวะ ไอ้ขลุ่ย” เสียงยานของผู้บังเกิดเกล้าเอ่ยกับลูกชาย
“นี่พ่อดื่มเหล้าอีกแล้วเหรอ ขลุ่ยบอกกี่ครั้งแล้วว่ามันไม่ดีต่อร่างกาย แถมยังสิ้นเปลืองเงินอีก”
“แล้วมึงมาเสือกอะไรกับกู มีหน้าที่หาเงินก็ทำไปสิวะ ว่าแต่…ตอนนี้มึงมีเงินเปล่า กูขออีกสักหน่อยสิ มีเท่าไหร่ก็เอามาให้หมด!”
“ขลุ่ยไม่มีแล้วพ่อ สองวันก่อนก็เพิ่งให้ไปเอง”
“อะไรวะ แม่ง แค่นี้ก็งก เดี๋ยวกูไปขอกับคนอื่นเอาก็ได้” คำพูดที่ไม่ว่ากี่ครั้งทำให้ขลุ่ยต้องยอมตลอด เพราะหากต้องให้พ่อไปหยิบยืมจากใคร นั่นเท่ากับว่าดอกเบี้ยจะยิ่งเพิ่มพูนและหนี้ก็คงไม่จบเพียงแค่นี้แน่ ๆ จึงเป็นเหตุผลให้ขลุ่ยต้องยอมจำนนร่ำไป
ขลุ่ยดึงกระเป๋าสตางค์ออกมา มองดูเงินที่เหลือเพียงแค่ห้าร้อยเท่านั้น ก่อนถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย
“ผมมีให้พ่อแค่นี้นะ” ขลุ่ยยื่นแบงก์สามใบแดงให้กับผู้เป็นพ่อที่กำลังนั่งตาลอยจากฤทธิ์ของเหล้า ในขณะที่อีกสองร้อยต้องเก็บเอาไว้ซื้อกับข้าวมาไว้ในบ้านและเป็นค่าเดินทางเพื่อออกไปทำงานเช่นทุกวัน
“ขอบใจ กูไปแหละ” มือที่ไม่เคยผ่านการช่วยเหลือลูกชายแม้แต่ครั้งเดียวรับเงินมาอย่างทันควัน พลางแตะเข้าที่ไหล่พลางตบเบา ๆ ราวกับพึงพอใจ
ภายในบ้านสังกะสีเล็กหลังปราศจากผู้คน น้ำตาเม็ดโตของขลุ่ยก็พลันร่วงหล่นลงมาอย่างไม่ขาดสาย มองพื้นที่มีเศษแก้วด้วยความท้อแท้ในโชคชะตา แม้จะเจ็บปวดแค่ไหนก็ยังหยิบไม้กวาดขึ้นมาทำความสะอาดให้เรียบร้อย
ก่อนร่างโปร่งจะค่อย ๆ นั่งลงบนพื้นไม้เสื่อมสภาพที่ไม่รู้ว่าจะหักวันไหน พลางก้มใบหน้าลงขดคู้สองเข่าตั้งชัน และมักจะเป็นแบบนี้ทุกครั้งเวลามีเรื่องราวกลัดกลุ้มหรือเสียใจ พร้อมปล่อยเสียงร้องไห้อย่างสุดกลั้นราวกับว่ามันเป็นเพียงพื้นที่ปลอดภัยเดียวของขลุ่ยแล้ว
ตั้งแต่เกิดมาชีวิตของขลุ่ยก็ไม่เคยมีวันสัมผัสคำว่าครอบครัวได้เลยสักวัน เฝ้าถามตัวเองมาตั้งแต่เด็กจนโตว่าทำไมถึงไม่มีชีวิตดี ๆ เหมือนคนอื่นบ้าง ตลอดเวลาที่ผ่านมาขลุ่ยเฝ้ามองแม่ที่ต้องดูแลพ่อไม่เอาไหนอยู่เสมอ กินเหล้าเมาหาหนี้มาไม่เว้นแต่ละวัน
จนกระทั่งแม่เกิดป่วยกะทันหันด้วยวัณโรค และจากไปตอนขลุ่ยอายุเพียงเก้าขวบเท่านั้น ตั้งแต่นั้นมาขลุ่ยต้องคอยหางานทำทุกอย่างเท่าที่ได้เพื่อส่งตัวเองเรียนต่อ ขอแค่ให้ได้วุฒิจบมัธยมต้นมาก็พอ อย่างน้อยให้มีช่องทางให้ไปต่อ
กระทั่งไอ้เป้เพื่อนสนิทเพียงคนเดียวที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่นานชักชวนให้มาช่วยงานในโรงคณะมโนราห์ที่รับจ้างแสดงตามงานบุญ งานวัด ด้วยค่าจ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ แรกเริ่มขลุ่ยเพียงช่วยจัดเครื่องแต่งกาย และข้าวของ มีการพยายามฝึกซ้อมรำบ้าง จนวันหนึ่งหัวหน้าคณะเห็นแวว จึงลองให้ขลุ่ยแต่งตัวเพื่อขึ้นแทนตัวสำรองที่ขาดไป ด้วยท่วงท่าที่รับกันอย่างเป็นธรรมชาติ แม้จะไม่ได้ร่ำเรียนมาโดยตรง แต่ร่างกายของเขากลับจดจำและเคลื่อนไหวตามเสียงแซ่ของดนตรีได้อย่างไหลลื่น ซึ่งเป็นเหตุผลให้ยังมีกินอยู่ทุกวันนี้ แม้จะไม่มากก็ตาม
.
.
.
ช่วงสายของวันต่อมา ขลุ่ยต้องกลับเข้ามาหลังเวทีอีกครั้ง เพื่อเตรียมตัวแสดงมโนราห์ หาเงินเลี้ยงชีพเช่นเคย วันนี้เป็นวันสุดท้ายของงานวัด คาดว่าผู้คนจะหลั่งไหลมามากกว่าปกติ
ขลุ่ยมานั่งแต่งหน้าอยู่ตรงหลังเวที ไม่นานเพื่อนสนิทอย่างเป้ก็ตามมาสมทบ ก่อนช่วยกันแต่งองค์ทรงเครื่องให้เรียบร้อย เมื่อหันมองดูเวลาก็จวนใกล้เวลาแสดงเต็มทีแล้ว
“ไปเหอะ ดนตรีเริ่มล่ะ” เป้หันมาพูดกับขลุ่ยที่กำลังยืนเตรียมตัวอยู่
“อืม ๆ”
หลังพูดคุยกันได้เพียงไม่นาน เป้และขลุ่ยก็ต้องออกไปร่ายรำบนเวที สลับหมุนเวียนกับนางรำมโนราห์คนอื่น ๆ ตามลำดับ เสียงฆ้องและกลองดังขึ้นเป็นสัญญาณเริ่มการแสดง ท่ามกลางสายตาของผู้ชมที่จับจ้องไปยังทุกอิริยาบถของเหล่านักแสดง
วันนี้ไม่ผิดคาด คนดูแน่นขนัดจนล้นออกมานอกพื้นที่เวที บางคนยืนเบียดเสียดกันหน้าลานวัดเพื่อชมให้ใกล้ที่สุด เสียงปรบมือดังเป็นระยะ ทุกครั้งที่ขลุ่ยยกมือพนมขึ้นก่อนสะบัดปลายเล็บทองเหลืองอย่างอ่อนช้อย สะโพกไหวตามจังหวะดนตรีอย่างเป็นเอกลักษณ์ ทำให้บรรยากาศยิ่งครึกครื้น ขลุ่ยที่อดคิดในใจไม่ได้ว่าหัวหน้าคณะคงดีใจมากแน่ ๆ เพราะปัจจุบันการแสดงมโนราห์หาดูยากขึ้นเรื่อย ๆ และน้อยนักที่จะพบเห็น
“ไม่ให้กูไปส่งถึงข้างในหรือไง เปลี่ยวจะแย่” เป้เอ่ยถามเพื่อนสนิททันทีที่มาส่งขลุ่ยถึงหน้าปากซอยบ้าน
“ไม่เป็นไร อีกอย่างกูว่าจะซื้อกับข้าวแถวนี้กลับบ้านไปให้พ่อด้วยพอดี” ขลุ่ยพูดพลางส่งยิ้มเล็ก ๆ ให้กับเพื่อนสนิท
“จบงานแล้ว มึงจะไปไหนต่อ กว่าจะมีงานอีกก็หลายอาทิตย์เลย”
“ไม่รู้วะ ตอนนี้ยังไม่ได้คิดเลย แต่โชคดีที่วันนี้ได้เงินค่าจ้างเยอะกว่าเดิม คิดว่าน่าจะพอถึงวันนั้นแหละ”
“แล้วไม่ต้องไปบอกพ่อมึงล่ะ ไม่งั้นเงินหายจะหาว่ากูไม่เตือน” เป้เอ่ยด้วยความหวังดี เพราะพอรู้วีรกรรมพ่อของขลุ่ยพอสมควร ขลุ่ยเม้มปากแล้วพยักหน้าตอบกลับเบา ๆ
ขลุ่ยและเป้ต่างแยกย้ายกันไปตามทิศทางของแต่ละคน ระหว่างทางขลุ่ยแวะซื้ออาหารสำเร็จรูปจากร้านสะดวกซื้อที่ยังคงเปิดให้บริการอยู่มาสองสามอย่าง ก่อนมุ่งหน้าเดินกลับบ้านอย่างอารมณ์ดีกว่าทุกวัน
เพล้ง! เพล้ง!
เสียงแก้วแตกดังลอดออกมาจากข้างในบ้านเช่นเคย เพียงแต่ครั้งนี้ชาวบ้านแถวนั้นกลับมุงดูกันเต็มไปหมด ทั้งที่ดึกดื่นพอสมควรแล้ว ขลุ่ยรู้สึกสังหรณ์ในใจ ก่อนเดินมาถึง ดวงตากลับต้องเบิกกว้างมองบ้านที่บัดนี้ข้าวของหล่นกระจัดกระจายเต็มไปหมด
“ไอ้ขลุ่ยเอ๋ย…อย่าเข้าไปยุ่งเลย พ่อมึงสร้างเรื่องอีกแล้ว” เสียงป้าข้างบ้านเอ่ยเตือนด้วยความสงสาร พร้อมกับพยายามดึงมือของขลุ่ยเอาไว้
แต่ในช่วงเวลานั้นขลุ่ยกลับไม่คิดสนใจอะไรแล้ว รีบวิ่งเข้าไปข้างใน เพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
“พ่อ!” เสียงตะโกนของผู้มาใหม่ทำให้ชายฉกรรจ์ราวสองสามคนที่กำลังยืนอยู่หันมามอง
“อะ…ไอ้ขลุ่ยมึงช่วยกูด้วย” ท่าทีสะบักสะบอมทำให้ขลุ่ยต้องรีบประคองใบหน้าของผู้เป็นพ่อขึ้นมา รอยช้ำม่วงเต็มใบหน้า ตามตัวมีบาดแผลเล็ก ๆ พร้อมเลือดติดตามมุมปาก
“มันเกิดอะไรขึ้นน่ะพ่อ” ขลุ่ยถามเสียงสั่น ไม่รู้ว่าคนพวกนี้ต้องการอะไรกันแน่
“กะ…กูเล่นพะ…พนัน แล้วติดหนี้พวกมัน”
“ทะ…เท่าไหร่เหรอพ่อ” ขลุ่ยพยายามตั้งสติ เพราะบางทีอาจจะไม่มากจนเกินไป
“มึงไม่มีปัญญาหรอก”
“พ่อก็บอกมาก่อนสิ!”
“สะ…สิบล้าน มึงได้ยินมั้ยว่าสิบล้าน!!!!”
!!!
ร่างผอมบางที่กำลังประคองผู้เป็นพ่ออยู่แทบลมจับ เมื่อได้ยินจำนวนเงินที่ทั้งชาติคงไม่มีทางหามาได้
“พูดกันเสร็จยังว่ะ แม่ง พวกกูไม่ได้มีเวลามานั่งรอมึงสองพ่อลูกตลอดหรอกนะ” ชายฉกรรจ์คนแรกเอ่ยขึ้นมา พร้อมกับชักปืนที่เหน็บอยู่ข้างเอวออกมา
ขลุ่ยเมื่อเห็นว่าทุกอย่างเริ่มเลวร้ายขึ้นทุกนาที มือไม้พลันอ่อนลง ค่อย ๆ คลานเข้าไปจับปลายเท้าของผู้มีอิทธิพลเพื่อขอร้องอ้อนวอน
“ผะ…ผมขอทยอยจ่ายแทนได้มั้ย”
“หึ จากสภาพบ้าน ชาติไหนนายกูจะได้คืนว่ะ มึงอย่าลืมดอกเบี้ยด้วยล่ะ” ชายคนเดิมพูดพลางสำรวจอย่างกำลังนึกตรึกตรองบางอย่าง
ยิ่งเห็นใบหน้าเรียวรีได้รูป ผิวกายขาวเนียนละเอียด แม้จะติดผอมบางไปนิด แต่โดยรวมก็แทบไร้ที่ติเลยทีเดียว เรียกได้ว่าแทบจะเป็นสเปคของนายเลยล่ะ
“แต่ก็ไม่แน่ว่าอาจจะได้….ก็ได้นะ” ขลุ่ยมองตามชายคนดังกล่าวอีกครั้งด้วยความหวัง
“ผะ…ผมยอมทำทุกอย่าง”
“มึงแน่ใจนะ”
“...ครับ” สายตาของขลุ่ยเต็มเปี่ยมไปด้วยการรอคอยข้อเสนออย่างใจจดจ่อ
“ไม่มีเงิน…งั้นก็เอาตัวของมึงมาใช้หนี้แทนพ่อมึงสิ!” ทันทีที่ประโยคดังกล่าวถูกถ่ายทอดออกมา ขลุ่ยก็แทบสิ้นหวัง รู้สึกว่าชีวิตนี้หมดหนทางเลือกจะไปต่อแล้ว
หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป...หลังผ่านเหตุการณ์ในคืนนั้น ข้าวของทุกอย่างที่ถูกพวกมันขโมยไป เละเทะไม่มีชิ้นดี อีกทั้งพวกมันยังหนีรอดไปได้ต่างหากแกร๊ก!อิฐที่กำลังเหยียดกายสูบบุหรี่พิงพนักเก้าอี้อยู่ในห้องทำงาน ด้วยสีหน้าเย็นยะเยือก บ่งบอกถึงความไม่สบอารมณ์ จู่ ๆ ประตูก็กลับถูกเปิดเข้า โดยไม่ผ่านการเคาะหรือขออนุญาตแม้แต่ครั้งเดียว“...นายหัวครับ เมื่อไหร่จะปล่อยไอ้ขลุ่ยมันสักที!!” อิฐหันมองตามเสียงของเสือที่กำลังยืนนิ่งอยู่ข้าง ๆ กับทัพที่คาดว่ากำลังเข้ามาห้ามพอดี“แล้วมึงเสือกอะไร!!”“แต่นายครับ มันจะไม่ไหวอยู่แล้ว ตั้งแต่วันนั้นก็เป็นสัปดาห์แล้วนะครับนายหัว !” เสือพยายามอธิบายกับผู้เป็นนายอย่างกล้าหาญ เพราะหากไม่ทำเช่นนี้ เด็กนั่นก็คงต้องตายอยู่ในนั้น“กูแค่สั่งสอนลูกหนี้อย่างมัน หรือมึงมีปัญหา…”“เปล่าครับนายหัว แต่เด็กมันก็มีชีวิตรันทดมากพออยู่แล้ว หนี้สินก็มาจากพ่อมัน แล้วมาอยู่ที่นี่เจอนายทำแบบนั้นกับมันอีก หากมันตา…”ปึง!“ไม่ต้องมาสอนกู ไอ้ทัพพามันออกไป!!!” อิฐไม่สนใจคำกล่าวของลูกน้อง ยิ่งคำพูดที่ไม่เข้าหู ทำให้ร่างสูงใหญ่กำลังพักผ่อนอยู่ดี ๆ ลุกขึ้นมาตบโต๊ะทำงานจนดังลั่นห้อง เสือแล
ขลุ่ยถูกจับตัวออกมากลางดึก เสียงโวยวายยังคงดังออกมาไม่ขาดสาย ทว่าบริเวณนี้กลับเงียบราวกับไม่มีใครอยู่เลย เพราะทุกคนต่างกรูกันไปยังจุดเกิดเหตุกันหมดแล้ว“พวกมึงเป็นใคร...แล้วมาจับกูทำไม กูไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับนายหัวโหดนั่นสักนิด!” ขลุ่ยกลั้นใจเอ่ยถามชายร่างท้วมที่กำลังเดินนำอยู่ข้างหน้า“หึ แต่นอกจากลูกน้องมันสองคน ก็มีคนแปลกหน้าเช่นมึงเนี่ยแหละที่ได้อภิสิทธิ์นอนบ้านหลังเดียวกับมันน่ะ”“...กูก็แค่ลูกหนี้เท่านั้น จับไปแล้วจะได้อะไรวะ…” ขลุ่ยพยายามแจกแจง พร้อมหาหนทางเอาตัวรอด“มึงนี่มันเด็กน้อยจริง ๆ”ทันใดนั้นขลุ่ยมองเห็นสปีดโบ๊ทปริศนาคาดว่าคงเป็นของพวกมันแน่ ๆ จอดเทียบท่าอยู่ ความคิดที่อยากหลบหนีจากที่นี่ก็พลันโผล่พรวดขึ้นมาราวกับมีความหวังอีกครั้ง“...พวกมึงจะพากูไปไหน” ขลุ่ยเอ่ยถามเสียงเครียด ดวงตาจับจ้องไปยังสปีดโบ๊ทที่จอดอยู่ ถึงแม้จะไม่รู้ว่าขึ้นฝั่งไปแล้วจะเป็นยังไง แต่ถ้าได้ออกจากเกาะนี้ อย่างน้อยก็มีโอกาสรอดแล้วขณะเดียวกันภาพความทรงจำครั้งล่าสุดกลับผุดวาบขึ้นมา วันที่เขาพยายามหลบหนี แล้วถูกอิฐตามจับได้ ทุกอย่างยังคงแจ่มชัดและเขาเองก็ยังไม่พร้อมที่จะให้ตัวเองต้องเผชิญกับเหตุก
แผ่นเยื่อใสบาง ๆ ที่มีขนนกอัดแน่นอยู่ข้างใน พร้อมแปรงทำความสะอาด และแหนบเอาไว้ดึงเส้นเล็ก ๆ ในนั้นออกมาทำความสะอาดจนเอี่ยมอ่อง เรียกว่ากว่าจะเสร็จต้องนั่งหลังขดหลังแข็งกันอยู่นาน ทำครั้งแรกไม่ได้คล่องแคล่วอะไรนัก แต่โชคดีมีเพียงไม่กี่แผ่นเท่านั้นขลุ่ยกว่าจะกลับถึงที่พักก็ค่ำมืดแล้ว แต่ทันทีที่เห็นประตูห้องถูกเปิดแง้มอยู่ ความรู้สึกวูบโหวงก็แล่นขึ้นมาในอก ร่างผอมบางก้าวเท้าเข้าไปอย่างร้อนรน ก่อนจะชะงักเมื่อพบว่าข้าวของทั้งหมดที่เคยวางอยู่บัดนี้หายไปจนหมดสิ้นยังไม่ทันได้ตั้งสติ ทว่าเสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นจากด้านหลัง พร้อมกับร่างของทัพลูกน้องของนายหัวหน้าโหดนั่นก้าวเข้ามาแทรกอยู่ตรงทางออกประตู“ของทั้งหมดของมึง นายหัวให้ขนเอาไปไว้ที่บ้านใหญ่แล้ว” ขลุ่ยภาวนาลึก ๆ ขอให้ไม่ใช่บ้านหลังเดียวกับที่คิด“แล้วทำไมนายหัวของคุณถึงต้องย้ายใครตามอำเภอใจแบบนี้ด้วย”“มึงอยากรู้อะไรไปถามนายหัวเองดีกว่า ส่วนกูมีหน้าที่ทำตามคำสั่งเท่านั้น” ทัพแจกแจงแค่นั้น ก่อนเดินนำออกไป ขลุ่ยกำมือแน่นพลางถอนหายใจเข้าออกราวกับกำลังระงับโทสะบ้านพักไม้กลางหุบเขาหลังเดิมอยู่ตรงหน้า ก่อนเตรียมก้าวฝีเท้าเข้าไปและพบกับเสือที่ก
ดึกดื่นจู่ ๆ ก็มีเรือเข้ามาจอดเทียบท่าชายหาด แสงไฟฉายจากคนงานต่างสาดส่องไปทั่วบริเวณ เพื่อนำทางบุคคลที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นหมอตามมาอย่างเร่งด่วนขลุ่ยที่กำลังนอนซมด้วยพิษไข้ไม่มีกะจิตกะใจสนใจอะไรรอบตัว ลมหายใจร้อนผ่าว แถมความหนาวจากข้างนอกยังคงเล็ดลอดถาโถมเข้ามาอยู่เป็นระยะ ร่างผอมบางขดตัวเข้าหากัน พลันยกแขนกอดอกแน่น ก่อนจะกระชับผืนผ้าห่มขึ้นคลุมกายไว้มิดชิดทันใดนั้นบุคคลในชุดกาวน์ก็เข้ามาทำการรักษาคนที่กำลังนอนไม่ได้สติ เสาค้ำไม้เก่าข้าง ๆ ถูกนำมาเป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่อแขวนน้ำเกลือชั่วคราว เสียงร้องของขลุ่ยดังออกมาเป็นระยะ เนื่องจากขั้นตอนการล้างบาดแผลเพื่อป้องกันการติดเชื้อ“อย่าลืมกำชับคนไข้ให้ทานยาตรงเวลา และครบจนหมดด้วยนะครับ” เสียงของหมอเปรยขึ้นกับเสือที่กำลังยืนรออยู่ข้างนอกเพื่อรอส่งคุณหมอกลับพอดี เดิมทีเพิ่งอาบน้ำเสร็จ แต่กลับได้รับคำสั่งเร่งด่วนจากไอ้ทัพ คราแรกได้ยินนึกว่าหูฝาด เพราะปกตินายหัวไม่เคยปรนนิบัติลูกหนี้คนไหนแบบนี้เลย...“เป็นไงบ้าง” คำพูดแรกเอ่ยถาม ในขณะที่ลูกน้องอย่างทัพเพิ่งเข้ามาถึง“เรียบร้อยครับนายหัว”“อืม ขอบใจ งั้นมึงออกไปได้แล้ว”“...ครับนายหัว!”ท
ร่างผอมบางขดขาเกร็งอยู่ในห้องที่มีแสงสว่างหลงเหลืออยู่เพียงน้อยนิด ใบหน้าที่เคยขาวเนียนบัดนี้แลดูซูบซีดและอ่อนล้า เนื่องจากบาดแผลจากการถูกลงโทษซ้ำ ๆ อย่างสาหัสสากรรจ์ขลุ่ยประสานสองฝ่ามือบีบเอาไว้แน่น ก่อนค่อย ๆ หลับตาลงเพื่อหวังจะบรรเทาความเจ็บปวดตรงนี้ลงไปบ้าง…เสียงกุกกักดังเล็ดลอดจากข้างนอก ทำให้ขลุ่ยจำต้องเปิดเปลือกตาอันหนักอึ้งขึ้นมามองด้วยความหวาดระแวง ก่อนรีบถอยกายห่างไปข้างหลังอัตโนมัติร่างกำยำคุ้นเคยเดินมาคนเดียว พร้อมกระเป๋าสีดำปริศนาในมือ ก่อนนั่งลงยอง ๆ พลางรวบใบหน้าที่กำลังมองเขาราวกับโกรธเกรี้ยวขึ้นมา“ไง อยู่ตรงนี้เหงาหรือเปล่า”“...มึงมันเหี้ย” เสียงอ่อนระโหยพูดอย่างเดือดดาล“จุ๊ ๆ จากนี้มึงคือทาสของกูเท่านั้น…”“ตอนเด็กครอบครัวของมึงไม่ได้สั่งสอนเหรอวะ! ว่าอย่าใช้ความรุนแรงกับคนอื่นแบบนี้!” อิฐที่กำลังรูดซิปก้มมองหาอุปกรณ์ในกระเป๋าเงยหน้าขึ้นมา เมื่อถูกจี้จุดให้ย้อนนึกถึงอดีตอันแสนเจ็บปวดอีกครั้ง“เรื่องของกู ไม่ต้องมาสะเออะจะดีกว่านะ…”“...สารเลว”“หึ เดี๋ยวมึงก็รู้ว่าความรุนแรงแบบนี้ จะสั่งสอนให้มึงเชื่องได้แค่ไหน ดูจากตอนนี้ก็พอเป็นคำตอบได้แล้วนะ” มีดสั้นถูกหยิบข
…เด็กนั่นบอบบางเป็นบ้าคำจำกัดความที่อิฐมอบให้กับคนที่เพิ่งพบเจอไม่นาน หน้าตาสะสวยขนาดนั้น ผิวก็ขาวราวหยวก แถมตรอกซอยที่อยู่อาศัยก็ไม่ได้ปลอดภัยหรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีนัก แต่กลับไม่เคยผ่านใครมาเสียอย่างนั้น หนำซ้ำยังอ่อนปวกเปียกอีกต่างหาก อิฐสูบม้วนบุหรี่เข้าปอดลึก ๆ ก่อนจะปล่อยควันและปาลงบนผืนทรายอย่างไม่คิดใส่ใจ ร่างกำยำสวมเสื้อกล้ามสีขาวกางเกงลำลองสบาย ๆ ดวงตาสีดำขลับถอดมองไปยังชายหาดที่เขาเป็นเจ้าของ พลันนึกถึงเรื่องราวในอดีต ใบหน้าของเด็กอวบอ้วนคนหนึ่งไม่ว่าผ่านไปนานแค่ไหนก็ยังคงฝังรากลึกอยู่ในความทรงจำพอ ๆ กับอดีตอันแสนเลวร้ายที่อยากจะลืมมันให้สิ้นซากผ่านไปหลายชั่วโมงพระอาทิตย์ที่เคยทอแสงสว่างเจิดจ้า บัดนี้ได้หม่นลงเพื่อเตรียมเข้าสู่ความมืดมิด ขลุ่ยที่ต้องระหกระเหินมาใช้ชีวิตในบ้านพักที่ตั้งเรียงกันอยู่ แต่ยังคงมีพื้นที่แบ่งแยกกันอย่างชัดเจน“นี่ที่นอนของมึง ส่วนห้องน้ำอยู่ตรงนู้น” เสือที่นำทางมาส่งถึงที่พัก พลางชี้นิ้วไปยังข้างหลัง“ขอบคุณครับ” ร่างผอมบางเดินด้วยท่าทีทุลักทุเลเข้ามา ท่าทางเหมือนจะล้มลงได้ทุกเมื่อ“งั้นมึงวางสัมภาระลง เดี๋ยวกูพาไปทานข้าว ไหวหรือเปล่า” “...