บทที่ 3
อารามเป่าซาน
หลังจากนั้นบรรยากาศภายในจวนตระกูลอวี้ก็เปลี่ยนไป บ่าวรับใช้ที่เคยดูหมิ่นอวี้หลันไม่กล้าแม้แต่จะสบตาด้วย เมื่อได้เห็นอวี้หลันเดินผ่านมา พวกนางเป็นต้องก้มหัวจนปลายคางชิดหน้าอก ไม่กล้าแม้แต่จะสบตาด้วย ขนาดบ่าวรับใช้อย่างหลี่อี้ยังถูกลงโทษ จนตอนนี้ขาของนางยังไม่สามารถกลับมาเดินได้ปกติ พวกนางที่เป็นเพียงบ่าวรับใช้ต่ำต้อยจะกล้าอาจหาญไปหาเรื่องคุณหนูใหญ่ได้อย่างไรกัน
ฮูหยินรองและคุณรองเองก็อยู่กันอย่างสงบเงียบกันมาก ทุกทีจะต้องมีคำสั่งจากทั้งสองให้ไปเรียกคุณหนูใหญ่มาพบ และไม่นานพวกนางก็จะเห็นว่าคุณหนูใหญ่กำลังถูกลงโทษ
อย่างครานั้นที่คุณหนูใหญ่ล้มป่วยอยู่สามวัน นั่นก็เป็นเพราะคุณหนูรองเข้ามาหยิบปิ่นปักผมของคุณหนูใหญ่ไป แต่รั่วซีกลับเอ่ยทักท้วง ทำให้คุณหนูรองโมโหเป็นอย่างมาก เมื่อเรื่องรู้ไปถึงหูฮูหยินรอง นางกลับสั่งลงโทษให้คุณหนูใหญ่คุกเข่าสำนึกผิดหน้าเรือน โทษฐานที่เป็นพี่สาวแล้วไม่เสียสละให้แก่น้องสาว วันนั้นเป็นวันที่แดดแรงราวกับจะแผดเผาทุกสิ่ง แต่เมื่อเวลาผ่านไปจนบ่ายคล้อย ฝนกลับตกลงมาอย่างหนักราวกับฟ้าพิโรธ นั่นจึงทำให้คุณหนูใหญ่ต้องคุกเข่าตากฝนกว่าหนึ่งชั่วยาม กว่าจะได้กลับจวนคุณหนูใหญ่ก็ไข้ขึ้นจนแทบไม่ได้สติ
นี่คือการแสดงอำนาจข่มบุตรีฮูหยินใหญ่ของฮูหยินรองนั่นเอง!!
แต่ตอนนี้ทุกอย่างได้เปลี่ยนไปแล้ว เมื่อคุณหนูใหญ่ได้ลุกขึ้นมาแสดงอำนาจของตน ดูท่าว่าจวนตระกูลอวี้จะไม่ได้สงบสุขอีกต่อไปเสียแล้ว!
อวี้หลันเดินเข้ามาลาอวี้เฉินฟู่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม วันนี้นางสวมอาภรณ์สีขาวพิสุทธิ์ซึ่งทำให้อวี้หลันดูคล้ายกับเซียนสาวที่กำลังหลุดพ้น หญิงสาวเดินเข้ามานั่งข้างบิดาพลางพูดจาออดอ้อนอ่อนหวาน จนหัวใจของผู้เป็นพ่อฟูฟ่องด้วยความสุข
"ท่านพ่อเจ้าคะ วันนี้ลูกจะไปอารามเป่าซานแล้วนะเจ้าคะ ลูกไม่อยู่หลายวันคงคิดถึงท่านพ่อมากเลยเจ้าค่ะ"
"เดี๋ยวนี้หลันเอ๋อร์ของพ่อรู้จักออดอ้อนพ่อด้วยเช่นนั้นหรือ ฮ่ะฮ่าฮ่า"
"ลูกอ้อนท่านพ่อไม่ได้หรือเจ้าคะ?"
หญิงสาวยู่ปากลงอย่างแง่งอน นั่นยิ่งทำให้ผู้เป็นพ่อเอ็นดูบุตรสาวผู้นี้มากขึ้นไปอีก
"ย่อมได้อยู่แล้ว ว่าแต่เตรียมของไปครบหรือไม่ แค่รถม้าสองคันพอแล้วหรือ?"
"รถม้าสองคันก็เกินพอแล้วเจ้าค่ะ ลูกไปอยู่แค่เจ็ดวันเองนะเจ้าคะ"
"เฮ้อ...พ่อคงเหงาเป็นแน่ ทั้งหลันเอ๋อร์ และอาอันก็ไม่อยู่ด้วยกันทั้งคู่"
เสียงพูดคุยที่สนิทสนม และคำพูดของอวี้เฉินฟู่ยิ่งทำให้สองแม่ลูกรู้สึกไม่พอใจยิ่งนัก
"ท่านพ่อลืมเยว่เอ๋อร์แล้วหรือเจ้าคะ"
อวี้ซูเยว่ไม่อาจจะทนฟังได้อีกต่อไป นางหันมาออดอ้อนผู้เป็นบิดาบ้าง
"ฮ่าฮ่าฮ่า พ่อจะลืมเยว่เอ๋อร์ที่แสนอ่อนหวานของพ่อได้อย่างไรกันเล่า พ่อแค่รู้สึกว่าที่จวนมันดูเงียบเหงาลงไปเท่านั้นเอง เอาล่ะรีบออกเดินทางกันเถิด หากชักช้าจะไปถึงอารามสายเอาได้"
"ลูกลานะเจ้าคะท่านพ่อ"
อวี้หลันตรงเข้ามาสวมกอดบิดาแน่น หัวใจของนางพลันรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาชั่วครู่ ก่อนที่มันจะเลือนหายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
นางจดจำความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมนี้ได้ดี เพราะต้องเสียมารดาไปตั้งแต่อายุยังน้อย บิดาต้องออกไปทำงานตั้งแต่รุ่งสาง กว่าจะกลับก็มืดค่ำเสียแล้ว ทำให้เวลาส่วนใหญ่ต้องอยู่กับสองแม่ลูกอสรพิษภายในจวนหลังนี้
คราแรกก็ไม่มีสิ่งใดที่เปลี่ยนไปนักหรอก แต่ยิ่งเวลาผ่านพ้นไปโจวลี่เฟยก็ได้เริ่มสับเปลี่ยนบ่าวรับใช้ เอาคนของตนมาแทนคนของมารดานาง ผู้ใดที่จงรักภักดีกับนางเป็นต้องถูกขับไล่ออกไปจนหมด ที่เหลืออยู่ตอนนี้ล้วนเป็นคนของโจวลี่เฟยทั้งนั้น จะมีเพียงส่วนน้อยที่ไม่ข้องเกี่ยวกับผู้ใด โดยทำราวกับไม่รู้ไม่เห็นว่าที่ผ่านมานั้น คุณหนูใหญ่ต้องใช้ชีวิตอย่างน่าอดสูเพียงใดในจวนแห่งนี้
ข้อนี้ส่วนหนึ่งต้องโทษอวี้เฉินฟู่ที่ไม่สนใจความเป็นไปในจวน แม้เขาจะรักใคร่อวี้หลันและอวี้เวยอัน แต่เขากลับไม่สนใจความเป็นอยู่ของบุตรสาวและบุตรชายเลย อวี้หลันต้องการปกป้องน้องชาย จึงได้ร้องขอให้อวี้เฉินฟู่ส่งเขาไปเรียนที่สำนักศึกษาหลวง ทำให้อวี้เวยอันไม่ต้องมามีชีวิตในจวนอย่างน่าสังเวช แต่ความไม่พอใจทั้งหมดของโจวลี่เฟยได้เอามาลงกับอวี้หลันทั้งหมด นางต้องก้มหัวยอมรับอย่างจำนน ไม่อาจปริปากบอกกับผู้ใดได้ อันเนื่องมาจากอวี้หลันถูกโจวลี่เฟยเลี้ยงดูมาราวกับลูกนกในกรง ที่ไม่อาจกางปีกปกป้องตัวเองได้
นกน้อยที่ถูกเลี้ยงดูในกรงมานานหลายปี ต่อให้เจ้าของจะยอมปล่อยให้มันได้รับอิสรภาพ แต่มันก็มิอาจจะอยู่รอดได้ด้วยตัวเอง และสุดท้ายมันก็จะต้องบินกลับมาหาเจ้าของอย่างเชื่อฟัง นั่นเพราะมันได้ถูกสอนให้เชื่องไปเสียแล้ว
นี่คือเหตุผลว่าเพราะเหตุใดอวี้หลันคนเก่า ถึงได้ยอมก้มหัวให้กับสองแม่ลูกด้วยความจำยอมเช่นนี้!
รถม้าที่มีตราประทับของตระกูลอวี้ได้เคลื่อนเข้าสู่อาณาเขตของอารามเป่าซาน เสียงล้อรถบดเบียดไปกับถนนที่แสนจะขรุขระ ตัวรถม้าโยกคลอนไปมาเป็นระยะ ๆ จนคนด้านในรู้สึกเวียนหัวยิ่งนัก ระยะทางจากเมืองหลวงสู่อารามเป่าซานใช้เวลากว่าสามชั่วยาม
อวี้หลันที่เพิ่งได้นั่งรถม้าเป็นครั้งแรกถึงกับวิงเวียนศีรษะเป็นอย่างมาก นางรู้สึกพะอืดพะอมจนแทบจะอาเจียนออกมา โชคดีที่มีรั่วซีอยู่ข้างกายทำให้อวี้หลันรู้สึกดีขึ้นมาก
"ถึงแล้วขอรับคุณหนูใหญ่"
สารภีเอ่ยบอกคนด้านในด้วยความนอบน้อม
"เข้าใจแล้ว"
อวี้หลันเอ่ยตอบเสียงเรียบ ก่อนจะก้าวลงมาจากรถม้าด้วยความช่วยเหลือของรั่วซี ทั้งสองยืนอยู่ข้างตัวรถม้าพลางกวาดสายตามองอารามเป่าซานด้วยความสนใจ
'เหมือนหลุดออกมาจากในซีรีส์จีนที่เคยดูเลย'
อวี้หลันพึมพำเสียงเบากับตนเอง
ตอนพิเศษ 2ชุดนอนตัวใหม่ อวี้หลันเดินเข้าไปยังห้องนอนบุตรสาวเพื่อสั่งความแม่นมกับรั่วซี หลีกงกงที่อยู่ด้วยก็รู้ความนัก เขายังเอ่ยกับอวี้หลันด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์อีกด้วย"พระชายาไม่ต้องเป็นห่วงท่านหญิงน้อยเลยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมกับรั่วซีจะช่วยดูแลท่านหญิงน้อยให้เอง พระชายาโปรดทรงวางใจได้เลยพ่ะย่ะค่ะ" หลีกงกงขยับเข้ามาใกล้อีกนิดเพื่อให้ได้ยินกันสองคน "ท่านหญิงน้อยคงจะเหงาน่าดูเลยนะพ่ะย่ะค่ะ ทางที่ดีพระชายาน่าจะประทานน้องให้กับท่านหญิงน้อยสักหลาย ๆ คนก็ดีนะพ่ะย่ะค่ะ""หลีกงกง! เจ้านี่นะ"อวี้หลันทั้งขำทั้งฉุน หลีกงกงผู้นี้ช่างเจ้ากี้เจ้าการยิ่งนัก"โปรดเห็นใจคนแก่ขี้เหงาเช่นกระหม่อมด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะพระชายา""เฮ้อ...เรื่องนี้หลีกงกงคงต้องไปกราบทูลองค์ชายสามแล้วล่ะว่าเขาจะมีความสามารถหรือไม่ ข้ามิอาจตอบได้หรอกนะ"อวี้หลันแสร้งถอนหายใจ ทั้งที่ใจจริงนางนั้นกำลังวางแผนเช่นกันว่าอยากจะมีบุตรอีกสัก 2 คนเพื่อให้เป็นเพื่อนเล่นกัน"เช่นนั้นข้าคงต้องออกแรงมากหน่อยเสียแล้วใช่หรือไม่"น้ำเสียงห้วนดุที่
ตอนพิเศษ 1เจิ้งลี่จิน เวลาล่วงเลยผ่านไปไวยิ่งนักในความรู้สึกของอวี้หลัน นับตั้งแต่นางเข้ามาอยู่ในร่างนี้ก็ร่วม 1 ปีกว่าแล้ว ตอนนี้ชีวิตของนางเปลี่ยนแปลงไปจนนางไม่นึกฝันเลย บัดนี้นางได้สร้างครอบครัวที่สมบูรณ์ขึ้นมาแล้ว บุตรสาวตัวน้อยผู้เป็นความสุขทั้งมวลให้กับนางกับเจิ้งจื่อห้าว เด็กน้อยที่น่าเอ็นดูนักในสายตาของผู้เป็นพ่อเป็นแม่'เจิ้งลี่จิน' บุตรสาวตัวน้อยที่ถือกำเนิดขึ้นมาจากความรักของคนทั้งสอง เจ้าก้อนแป้งน้อยตัวขาวอวบอ้วน นางมีดวงตากลมโตสุกสกาวดั่งเช่นมารดา แต่จมูกโด่งรั้นกับริมฝีปากนั้นถอดแบบบิดามิมีผิดเพี้ยน ไม่ว่าผู้ใดต่างเอ่ยเป็นเสียงเดียวกันว่าเจิ้งลี่จินช่างมีใบหน้าเหมือนกับบิดายิ่งนักคำพูดนี้เองที่ทำให้เจิ้งจื่อห้าวถึงกับยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ด้วยความภาคภูมิใจ ตัวเขาเองก็รู้สึกดียิ่งนักที่บุตรสาวมีใบหน้าเหมือนกันกับเขา และยิ่งนางมีดวงตาเหมือนกับอวี้หลันเขายิ่งรู้สึกดีเพิ่มขึ้นไปอีกอวี้หลันจดจำความยากลำบากของการคลอดเจิ้งลี่จินได้ดี วันเวลากว่าจะผ่านมาได้ช่างแสนสาหัสยิ่งนัก แต่เมื่อคิดว่านี่คือการเสียสละของมารดาเพื่อให้เจ
บทส่งท้าย วังเจียวจินอวี้หลันนอนอยู่บนเตียงด้วยความเบื่อหน่าย นี่ก็ผ่านมาหลายวันแล้วหลังจากที่นางถูกลอบสังหาร ตอนนี้นางได้หาเป็นอะไรมากที่บอกว่าตกใจก็เสแสร้งทั้งนั้น แต่กลายเป็นว่าเจิ้งจื่อห้าวนั้นตื่นตระหนกเกินไป เขาเป็นกังวลมากจนนางนึกเสียใจที่ใช้แผนการนี้ขึ้นมา สุดท้ายแล้วนางก็ต้องนอนอยู่นิ่ง ๆ บนเตียง โดยที่ไม่สามารถย่างกรายออกไปจากห้องได้เลย"ฮ่ะฮ่าเป็นอย่างไรบ้างเล่า ข้าล่ะนึกชอบใจนักที่องค์ชายสามทรงสั่งห้ามเจ้าลุกออกจากเตียงเช่นนี้ สมแล้วที่เจ้าใช้แผนการนี้หลอกล่อให้ฮองเฮาติดกับ ทั้งยังหลอกใช้ข้าอีกด้วย"กู้เฟยหนี่ว์ที่มาเยี่ยมอวี้หลันเอ่ยบ่นอีกฝ่าย นางยังคงรู้สึกไม่พอใจกับแผนการของอวี้หลันนัก แม้ผลลัพธ์จะดีที่สามารถกำจัดอำนาจของฮองเฮาไปได้ ทำให้องค์รัชทายาทรู้จักตัวตนอีกด้านหนึ่งของพระมารดาแต่มันก็เสี่ยงเกินไป"เจ้าไม่ต้องมาหัวเราะข้าเลย เจ้าเองก็ชอบไม่ใช่หรือที่ได้สังหารคน หึ!""ข้าชอบที่ได้ออกแรงก็จริง ข้อนี้ข้าไม่ปฏิเสธแต่ข้าไม่
"เสด็จพี่คงได้ยินทั้งหมดแล้ว ข้าคิดว่าท่านคงรู้แล้วว่าเป็นฝีมือของผู้ใดกันแน่ ฮองเฮาอาจจะทรงรักและหวังดีต่อเสด็จพี่ด้วยใจจริง แต่กลับผู้อื่นนั้นหาเป็นเช่นนั้นไม่ ผู้ใดก็ตามที่มาขวางทางอำนาจหรือหมดประโยชน์แล้ว ฮองเฮาก็สามารถกำจัดได้ทุกคนโดยไม่สนวิธีการ แม้มันจะโหดเหี้ยมเพียงใดก็ตาม ข้าหวังว่าเสด็จพี่จะไม่ช่วยคนผิดนะพ่ะย่ะค่ะ"เจิ้งจื่อห้าวเอ่ยทิ้งท้ายแล้วจึงได้เดินจากไป... หลักฐานทุกอย่างล้วนชี้ไปที่เสนาบดีโจว ปิ่นทองคำที่อยู่ในมือหัวหน้ามือสังหารก็คือของขวัญที่ฮองเฮาทรงได้รับพระราชทานจากฮ่องเต้ เพราะเหตุนี้เองโจวซูหลิ่งจึงไม่อาจหลีกหนีเอาตัวรอดไปได้ ไม่ว่าอย่างไรนางก็มีความผิด"หม่อมฉันถูกคนใส่ความเพคะฝ่าบาท นี่ต้อง...ต้องเป็นฝีมือของบ่าวทรยศเป็นแน่ มันผู้นั้นต้องแอบขโมยปิ่นของหม่อมฉันไปเพื่อเป็นหลักฐานมามัดตัวหม่อมฉันเพคะ นี่คือการใส่ความเพคะฝ่าบาท"โจวซูหลิ่งร่ำร้องขอความเป็นธรรมให้แก่ตนเอง หากนางไม่ยอมรับจะทำอะไรนางได้ หลักฐานเพียงแค่นี้มิอาจจะเอาผิดนางได้หรอก"เจ้ายอมรับความผิดซะเถิดฮองเฮา เห็นแก่องค์รัชทายาทอย่าให้ชื่อเสีย
บทที่ 32ล้มทั้งกระดาน "พระชายา พระชายาทรงเป็นอย่างไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ"ฉีหมิงที่เพิ่งจัดการมือสังหารเสร็จรีบตรงเข้ามาถามไถ่อวี้หลันด้วยความเป็นห่วงทันที เขายังคงตกใจไม่หายที่ได้เห็นท่วงท่าการสังหารคนของคุณหนูกู้ เขาคาดไม่ถึงจริง ๆ ว่าคุณหนูกู้จะมีวรยุทธ์ที่ล้ำเลิศเช่นนี้ เพลงกระบี่ที่ใช้เมื่อครู่ก็งดงามอ่อนช้อยแต่เต็มไปด้วยความดุดัน คุณหนูกู้วาดกระบี่ไปทิศทางใดล้วนต้องได้อาบโลหิตทุกครั้งไป นอกจากองค์ชายสามผู้เป็นนายแล้วก็มีคุณหนูกู้นี่แหละที่เขานับถือเรื่องวรยุทธ์ด้วยใจจริง"ข้าไม่เป็นอะไร แค่รู้สึกตกใจเล็กน้อยเท่านั้นเอง"น้ำเสียงอ่อนแรงที่ดังออกมาจากรถม้ายิ่งทำให้ฉีหมิงรู้สึกผิด กู้เฟยหนี่ว์ชำเลืองตามองมารยาของสหายแล้วเบะปากด้วยความหมั่นไส้'นางหรือที่ตกใจ ต้องเป็นข้าเสียมากกว่าที่ควรตกใจกับแผนการนี้ของนาง'"พระชายาทรงรู้สึกเจ็บท้องหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ให้ท่านหมอมาดูอาการก่อนดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ" ในขบวนรถม้านี้ได้มีท่านหมอมาด้วย
"อาอันน้องพี่" สองพี่น้องต่างเดินเข้าไปสวมกอดกันด้วยความคิดถึง สายใยระหว่างพี่น้องเรียงร้อยถักทอเข้าด้วยกัน "ข้าคิดถึงท่านพี่มากเลยขอรับ แล้วนี่..." อวี้เวยอันหันไปมองบุรุษข้างกายของพี่สาว หรือว่าคนผู้นี้จะเป็นสามีของพี่สาวของเขากัน "นี่คือองค์ชายสามเจิ้งจื่อห้าว พระสวามีของพี่เอง" "คารวะองค์ชายสามพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเสียมารยาทแล้ว ขอองค์ชายสามได้โปรดอย่าได้ถือสาเลยพ่ะย่ะค่ะ" อวี้เวยอันรีบทำความเคารพเจิ้งจื่อห้าวทันที เพราะเขาดีใจที่ได้เจออวี้หลันมากเกินไปจึงได้เสียมารยาทกับองค์ชายสาม "ไม่ต้องมากพิธีรีตองหรอก เราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว" เขาเอ่ยอย่างใจดี เรียกรอยยิ้มหวานจากคนข้างกายที่กำลังนึกหวั่นว่าเขาอาจจะเข้ากับน้องชายของนางไม่ได้ แต่เมื่อได้เห็นเช่นนี้ก็หมดห่วง "ขอบคุณองค์ชายสามที่เมตตาพ่ะย่ะค่ะ" อวี้เวยอันรู้สึกถูกชะตาพี่เขยผู้นี้ยิ่งนัก สายตาของเขาพลันมองไปเห็นหน้าท้องที่นูนเด่นของพี่สาว "ท่านพี่อ้วนขึ้นหรือขอรับ" แม้จะพยายามพูดเส