หน้าหลัก / แฟนตาซี / อาศิรวิษ / 4-สัญลักษณ์ของการสืบทอด1/4

แชร์

4-สัญลักษณ์ของการสืบทอด1/4

ผู้เขียน: พลอยแก้ว
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-04-27 14:27:53

หลังจากที่เรื่องราวแสนวุ่นวายในยามเช้าจบลง สิ่งที่อาศิรวิษพูดทิ้งท้ายก่อนจากไป ทำเอายังครุ่นคิดไม่ตกปลงไม่ลงเสียที ได้แต่นอนมือก่ายหน้าผากคิดวนเวียนอยู่บนเตียงอย่างกับคนไม่มีงานการจะทำ แน่ล่ะ ก็ฉันไม่รู้ว่าการเป็นเจ้านางน้อยต้องทำอะไรบ้าง กาลัดกับกลีบบัวก็ไม่ได้บอกกล่าวเล่าเรื่องอะไร พวกหล่อนทำเพียงเอนตามผู้เป็นนายเท่านั้นไม่อาจจะสั่งการให้ทำอะไรได้ สิ่งไม่รู้เป็นฉันต้องเริ่มเอ่ยปากก่อนอยู่ร่ำไป และรวมถึงเรื่องนี้เช่นกัน

“ขอถามอะไรหน่อยสิ” ความไม่กระจ่างทำให้ฉันต้องตามหาคำตอบเอง

“ถามกระไรหรือเพคะเจ้านางน้อย” กาลัดว่าขึ้นในขณะที่มือยังคงทำหน้าที่โบกพัดไปมา

“คนของตำหนักประจิมมีใครบ้างเหรอ” ฉันผุดลุกนั่งกับเตียงแล้วถามด้วยความอยากรู้

“พระสนมผศิกาเพคะ” กลีบบัวให้คำตอบ

“กาลัดกับกลีบบัวพอจะเล่าเรื่องราวในวังนี้ให้ฉันฟังได้ไหม ฉันอยากจะรื้อฟื้นความทรงจำที่หายไป ขอแบบละเอียดเลยนะ” ฉันอ้างเหตุผลจากการเจ็บป่วย เพราะสีหน้าของกาลัดและกลีบบัวล้วนเต็มไปด้วยความงวยงง

“ได้เพคะ พระสนมผศิกานั้นเดิมแล้วเป็นพระสหายตั้งแต่พระเยาว์ของเจ้าหลวง เติบโตมาด้วยกันเพคะ จนวันที่เจ้าหลวงต้องครองบัลลังก์เหตุจำเป็นทำให้พระสนมผศิกานั้นไม่อาจเป็นมเหสีได้ ในเพลานั้นบ้านเมืองสั่นคลอนต้องอาศัยอำนาจของเสด็จพ่อของพระมเหสี เสด็จแม่ของเจ้านางน้อยเพคะ เจ้าหลวงจำต้องอภิเษกสมรสกับพระมเหสี ทำให้พระสนมผศิกาเกิดความขุ่นเคือง แต่เพราะพระสนมรักใคร่เจ้าหลวงมากเต็มประดา จึงยอมเป็นพระสนมในเจ้าหลวง จึงทำให้ตำหนักประจิมไม่ชมชอบคนตำหนักเหนือเพคะ เกิดเป็นความขัดแย้งระหว่างสองตำหนักมาเนิ่นนานไม่อาจจะลงรอย ส่วนเจ้านางน้อยอัปสราก็รักมารดาพานไม่ชอบคนตำหนักเหนือไปด้วยเพคะ” กลีบบัวเล่าด้วยน้ำเสียงเบา

“แย่งคนรักชิงดีชิงเด่นกันสินะ” ฉันฟังและพอจะเข้าใจได้

“ครั้งหนึ่งพระสนมผศิกาเคยคิดจะแย่งชิงอำนาจพระมเหสี ด้วยการป้ายสีใส่เสด็จแม่ของเจ้านางน้อยว่าคบชู้กับทหารรักษาพระองค์ แต่แล้วความจริงก็เปิดเผยทราบว่าเป็นการที่พระสนมผศิกาแสดงขึ้นใส่ร้าย จนทำให้พระสนมผศิกาถูกยึดฐานันดรไป” กาลัดเล่าเสริมต่อ

“ลดฐานันดรแล้วทำไมตอนนี้ถึงได้เลื่อนเป็นพระสนมได้อีกล่ะ?” ฉันถามเพราะไม่เข้าใจ

“คงเป็นเพราะความผูกพันระหว่างเจ้าหลวงกับพระสนมผศิกาแต่ทรงพระเยาว์กระมังเพคะ ในช่วงสามปีที่พระนางถูกลดขั้นทรงกระทำประพฤติเปลี่ยนไป และสารภาพผิดกับพระมเหสีและเจ้าหลวงด้วยความสำนึกผิด เลยถูกแต่งตั้งคืนฐานันดรเดิมเพคะ” กาลัดเล่า

“แล้วตอนนี้พระสนมผศิกาดีจากแต่ก่อนแล้วงั้นเหรอ?” ฉันถามย้อนอีกครั้ง

“พระสนมผศิกาทรงนิ่งกว่าแต่ก่อนมากนักเพคะ เว้นเพียงแต่พระธิดาของพระองค์ที่ยังทรงโกรธแค้นแทนมารดา” กลีบบัวเล่าต่อสั้น ๆ และฉันก็เป็นอันเข้าใจได้ เมื่อย้อนนึกถึงเรื่องราวที่อัปสราพยายามหาเรื่องผณินทร

“เช่นนั้นเจ้านางน้อยต้องระวังตน อยู่ห่างจากเจ้านางอัปสราเป็นดีเพคะ” กาลัดบอกย้ำ

“เออ ขอถามอีกหน่อยสิทำไมฉันถึงไม่เห็นพระมเหสีเลยล่ะ” ฉันถามเมื่อนึกได้

“ช่วงนี้พระมเหสีทรงเข้าบำเพ็ญตบะในตำหนักบูรพาเพคะ แต่อีกไม่นานก็จะเสร็จสิ้นแล้ว” กาลัดบอก

“อ๋อ แล้วพระสนมผศิกามีลูกทั้งหมดกี่คนเหรอ?” ฉันถามในสิ่งที่อยากรู้อีกครั้ง เพราะจะได้ระวังตัว

“ทั้งหมดสามเพคะ คนโตเป็นบุตรชาย คนรองก็เป็นบุตรชาย ส่วนเจ้านางน้อยอัปสราเป็นพระธิดาสุดท้องในพระสนมผศิกา” กลีบบัวบอกฉัน

“แล้วอีกสองคนไปไหนทำไมถึงไม่เคยเห็นเลยล่ะ” 

“เนื่องจากช่วงนี้ชายแดนเขตทักษิณไม่สงบทั้งสองพระองค์เลยต้องรับหน้าที่รักษาเขตแดนอยู่ที่แห่งนั้นเพคะ”

“อ๋อ พอจะเข้าใจแล้วล่ะ เรื่องราววุ่นวายจังเลยเนอะเธอคงจะปวดหัวน่าดูเลยสินะผณินทร” ฉันเอนตัวลงนอนหงายราบกับเตียง แล้วถอนหายใจออกมาด้วยความรู้สึกปลง นับจากนี้ไม่รู้ว่าฉันต้องรับมือกับอะไรบ้าง

(เจ้าหลวงเสด็จ)

เสียงบอกดังก้องทำให้ฉันต้องรีบลุกพรวดจากเตียง จัดทรงเสื้อผ้าให้เข้าที่ การมาที่ฉันไม่ทันตั้งตัวทำให้ฉันใจเต้นตุบตุบอย่างกับกลองเพล ฉันรู้สึกยังไม่คุ้นชินกับการพบเจอผู้เป็นพ่อของผณินทร และรู้สึกขนหัวลุกกับการที่ต้องประจันหน้าสบสายตากับอาศิรวิษ เขาดูน่ากลัวเหมือนกับปีศาจก็ไม่ปาน

“ถวายบังคมเพคะ” ฉันออกมาต้อนรับและทำความเคารพเจ้าหลวง

“บาดแผลเป็นเยี่ยงไรบ้างเจ้านางน้อย” เจ้าหลวงเอ่ยถาม

“ไม่เป็นอะไรเพคะ” ฉันก้มหน้าตอบเพราะไม่กล้าสบสายตา พยายามทำตัวให้นิ่งที่สุด

“อัปสรายังเด็กนักไม่รู้ความเจ้านางน้อยก็อย่าได้ถือสาน้องเลยนะ เยี่ยงไรก็เป็นพี่น้องกัน” เจ้าหลวงพูดขึ้น

“.....” ฉันไม่ได้ตอบรับอะไรรอฟังว่าจะได้ยินคำพูดตะล่อมอะไรต่อจากนี้

“อัปสราถูกตามใจจนติดนิสัยเพราะเป็นน้องคนเล็ก พี่ ๆ และคนอื่นจึงไม่ค่อยกล้าขัดใจ แต่เมื่อทำผิดก็ได้รับโทษไปแล้วตามสมควร” ฉันนั่งเงียบฟังเจ้าหลวงพร่ำพรรณา แม้ว่าจะเป็นคำพูดที่เหมือนเข้าข้าง แต่เจ้าหลวงก็เป็นคนเด็ดขาดผิดว่าไปตามผิด เป็นคนเถรตรงมาก ฉันยอมรับนับถือในส่วนนี้

“เพคะ” ฉันตอบรับแต่ยังไม่กล้าเงยหน้าสบตา

“เช่นนั้นก็ดี พวกเจ้าทั้งหมดออกไปก่อนเรามีเรื่องต้องเสวนากับเจ้านางน้อยเป็นการส่วนตัว”

(พ่ะย่ะค่ะ/เพคะ)

เมื่อเจ้าหลวงสั่งการแบบนั้นเหล่าบริวารทุกคนก็ถอยห่างออกไป ตอนนี้เจ้าหลวงเดินนำฉันไปยังห้องรับรองที่มีเพียงฉันกับเจ้าหลวง บานประตูถูกปิดสนิท ทำให้ฉันรู้สึกใจคอไม่ดีเอาซะเลย ไม่รู้ว่าเรื่องที่เจ้าหลวงอยากจะคุยกับฉันนั้นมันคือเรื่องอะไรกันแน่ ทำไมดูเป็นความลับเหลือเกิน 

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • อาศิรวิษ   จบ-เสียงกระซิบจากห้วงนาคา 2

    -ปัจจุบัน- ไม่รู้ว่าหมดสติไปนานแค่ไหน ฉันเริ่มรู้สึกตัวและได้กลิ่นคละคลุ้งของยา พยายามเปิดเปลือกตาขึ้น และมองโดยรอบเห็นแม่กับพี่น้ำที่นอนตรงโซฟา นี่คงเป็นห้องพักพิเศษถึงได้มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย“ณินฟื้นแล้วค่ะ” เสียงของแม่ดังขึ้นด้วยความดีใจฉันกวาดสายตามองรอบ ๆ เห็นพ่อ แม่และพี่ชาย ยืนยิ้มมองมาทางฉันด้วยสีหน้าดีใจ“เป็นยังไงบ้างลูก น้ำไปตามหมอบอกณินฟื้นแล้ว”“ครับพ่อ”พ่อถามแต่ฉันยังไม่ตอบ เหมือนกับปากของฉันมันไม่มีแรงอ้าจะพูดกับใคร ได้แต่พยายามฉีกยิ้มให้ สื่อว่าฉันไม่เป็นอะไร จากนั้นพ่อกันหันไปบอกพี่น้ำให้ตามหมอ แล้วพี่ชายของฉันก็รีบวิ่งออกจากห้องไป ไม่นานพี่น้ำก็มาพร้อมหมอและพยาบาลหนึ่งคน มาถึงก็จับนั่นตรวจนี่ ฉันรู้สึกตัวทุกครั้งและมีสติดี เพียงแต่ยังรู้สึกอ่อนแรงเท่านั้น มองเห็นทุกการกระทำของหมอและคนอื่น ๆ“ร่างกายปกติดีนะครับ ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง ช่วงนี้ก็นอนพักผ่อนให้เยอะ ๆ พรุ่งนี้ก็กลับบ้านได้แล้วล่ะครับ” หมอพูดขึ้น“แต่ลูกสาวดิฉันนอนสลบไปสิบแปดวันเลยนะคะ แน่ใจใช่ไหมคะว่าไม่เป็นอะไรจริง ๆ”แม่ถามย้ำท่านคงเป็นห่วง นี่ฉันนอนหลับไปสองอาทิตย์กว่าเลยงั้นเหรอ?“คนไข้ไม่เป็นอะ

  • อาศิรวิษ   เสียงกระซิบจากเงาห้วงนาคา

    ณ มคธนคร กลางค่ำคืนแห่งจันทราแดง ท้องฟ้าสีเลือดคลุ้งด้วยกลิ่นลางร้าย ดวงจันทร์เต็มดวงถูกหมอกพิษบดบังเพียงครึ่ง… และที่ระเบียงสูงของของตำหนัก ผณินทรยืนนิ่ง ลมเย็นปะทะใบหน้าที่เปื้อนแววหม่นเศร้า เธอยังฝันถึงเสียงของรีภพ…เพื่อนร่วมรบ แม้เขาจะสลายกลายเป็นเศษพลังแห่งนาคธาตุไปแล้วเสียงฝีเท้าก้าวมาช้า ๆ...อาศิรวิษในชุดนักรบสีดำทอง สะพายหอกนาคา ก้าวเข้ามาเงียบ ๆ แต่สายตาเขาจับจ้องมาไม่ลดละ“ข้าฝันถึงตรีภพอีกแล้ว…” เอ่ยเบา ๆ ราวสายลม“เขาอาจยังไม่ได้จากเราไปเสียหมด...” อาศิรวิษพูดเสียงต่ำแผ่ว "...วิญญาณที่ยึดมั่นในคำสัตย์ จะไม่มีวันดับสูญง่ายดาย"และแล้วทันใดนั้น...แผ่นดินก็สั่นไหวเบา ๆ เงานาคที่หลับใหลใต้มหานทีเริ่มขยับณ เทวสถานบ่วงนาคบาศ ในห้องลับใต้เมืองซึ่งซ่อน บ่วงนาคบาศไว้ตราบชั่วกาล…รอยร้าวปรากฏบนผนึกหิน เสียงกระซิบดั่งจากห้วงเหว..."ผู้ที่ควบคุมบ่วง คือผู้ปกครองพรหมแดน...แต่หากบ่วงนี้ตกอยู่ในมือของเงามืดจะไม่มีวันคืนใดปลอดภัย"ฉันและอาศิรวิษรีบรุดไปยังเทวสถานพร้อมคณะองครักษ์ที่นั่น...พวกเขาเจอร่องรอยการบุกรุกและสิ่งที่ไม่คาดคิดที่สุดคือหน้ากากของศัตรูปรากฏ“นั่นใครหรือเจ้าคะเสด็จพ่อ

  • อาศิรวิษ   13-เสียงกระซิบจากเงามืด2

    “ความลับที่อยู่ในใจของอาศิรวิษ... คือกุญแจสุดท้าย”และก่อนที่ฉันจะถามต่อ เสียงระเบิดพลังพุ่งเข้ามาจากทิศตะวันตก เสียงร้องเตือนจากทหารของมคธนครดังสนั่น“มีเงามืดบุกเข้ามา! พวกมันมีตราเหมือนกับศศินา!”ฉันเบิกตากว้าง“หมายความว่าไง?!”เสียงของอาศิรวิษตะโกนมาอย่างรีบเร่ง“เจ้านางน้อย! อยู่ข้างหลังข้า!”เขาคว้าฉันไว้ในอ้อมแขน ดึงออกจากระเบียงก่อนเปลวพลังจะระเบิดฟาดผ่านจากเงามืด...ศศินาค่อยๆ เดินออกมาอีกครั้ง“ข้า...ไม่ใช่ศศินาคนเดิมอีกต่อไปแล้ว อาศิรวิษ”และเบื้องหลังนางคือเงาในคราบอดีตของอาศิรวิษ ที่เขาไม่เคยเปิดเผยกับใคร...ภาพที่ฉันเห็นตรงหน้าไม่ใช่เพียงศศินา หากแต่คือใครบางคนที่มีเงาทาบซ้อนอยู่เบื้องหลัง นัยน์ตานางไม่ใช่ศศินาอีกต่อไปแต่คือผู้ที่ครอบครองนางอาศิรวิษหน้าถอดสี ฉันสัมผัสได้ว่าเขากำลังสั่นเล็กน้อย“นางคือ...อาคิรนัย”เสียงของอาศิรวิษหลุดเบาออกมาราวกับวิญญาณเขาจะหลุดจากร่าง ฉันหันไปมองเขาด้วยความสงสัยปนสั่นไหว

  • อาศิรวิษ   13-เสียงกระซิบจากเงามืด

    ฉันก้าวเดินผ่านเส้นทางที่เต็มไปด้วยซากปรักหักพัง หัวใจหนักอึ้งด้วยความสูญเสีย ในมือยังคงกำผ้าผูกข้อมือสีทองของอาศิรวิษและจี้หยดครามของตรีภพไว้แน่น ความทรงจำของพวกเขายังคงชัดเจนในจิตใจ​ ฉันตัดสินใจเดินทางสู่แดนต้องห้าม สถานที่ซึ่งเล่าขานว่าเป็นที่สถิตของ ผู้เฝ้าประตูแห่งวิญญาณ เชื่อกันว่าผู้เฝ้าประตูสามารถนำวิญญาณกลับคืนสู่โลกได้ แต่ต้องแลกด้วยสิ่งที่มีค่าที่สุดการเดินทางครั้งนี้เต็มไปด้วยอันตราย ฉันต้องฝ่าฟันผ่านป่าทึบที่มีสัตว์ร้ายและกับดักมากมาย แต่ด้วยความมุ่งมั่นและความรักที่มีต่ออาศิรวิษและตรีภพ จึงไม่ยอมแพ้​ เมื่อมาถึงประตูแห่งวิญญาณ ฉันพบกับผู้เฝ้าประตู เธอเป็นหญิงสาวลึกลับที่มีดวงตาสีเงินเปล่งประกาย เธอมองฉันด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก"เจ้าปรารถนาจะนำวิญญาณกลับคืนหรือ?" เธอถามด้วยเสียงเย็นชาฉันพยักหน้าและตอบด้วยเสียงสั่นเครือ​"ข้ายอมแลกทุกอย่างเพื่อให้พวกเขากลับมา"ผู้เฝ้าประตูยิ้มบางๆ และกล่าวว่า​"การแลกเปลี่ยนนี้ เจ้าต้องสละสิ่งที่เจ้ารักที่สุด เจ้าพร้อมหรือไม่?"ฉันนิ่งคิด ความรักที่มีต่ออาศิรวิษและตรีภพคือสิ่งที่มีค่

  • อาศิรวิษ   12-เงารักในภพชาติ

    คืนหลังศึกใหญ่...สายลมพัดเบา ใบไม้ไหวคล้ายลมหายใจแห่งพงไพร ฉันยืนอยู่ริมระเบียงเรือนรับรองของมคธนครจ้องมองดวงจันทร์ที่ลอยเด่นเหนือผืนน้ำเบื้องล่าง มือยังอบอุ่นจากสัมผัสสุดท้ายของใครบางคน เสียงฝีเท้าแผ่วเบา... แต่ฉันรู้ทันทีว่าเป็นเขา“ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะตื่นอยู่” เสียงของเขาเบาราวกระซิบ“ข้ารอท่านอยู่ต่างหาก...”ฉันหันไปยิ้มอ่อนให้ชายตรงหน้า อาศิรวิษเดินเข้ามาใกล้ ยังสวมชุดนาคาธิคุณที่ซีดจางไปเล็กน้อย แผลบนร่างเขาเกือบหายดีแล้ว แต่ในดวงตายังมี ความอ่อนล้า...และบางอย่างที่ลึกซึ้งกว่าเดิม“ท่านรู้ไหม… ตอนที่ท่านกางแขนป้องข้าไว้ข้างหลัง ข้าคิดว่า…ข้ากำลังจะเสียท่านไป” เสียงของฉันเบาราวเสียงสายฝนแรกของปี “แต่ท่านก็ยังอยู่ตรงนี้…ยังอยู่กับข้า”เขาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอื้อมมือมากุมมือฉันไว้“ข้าเคยคิดว่า ความรักของข้า…ต้องจางหายไปเหมือนละอองควัน แต่ท่านทำให้ข้ารู้ว่า ความรักไม่ต้องดัง ไม่ต้องร้อนแรง แค่อยู่ตรงนั้นเสมอ…ก็พอแล้ว”ฉันรู้สึกได

  • อาศิรวิษ   11-ใต้ร่มบุษบัน ในใจนั้นคือเจ้า2

    หลังจากที่เข้าพบเจ้าหลวง ในคืนเดียวกันฉันรู้สึกถึงแรงบางอย่างที่กำลังเริ่มคืบคลานเข้ามา...อาศิรวิษพาฉันมายืนใต้แสงจันทร์ เขาเงียบอยู่นาน ก่อนจะพูดขึ้น“พี่มีเรื่องจะถาม…ถ้าวันหนึ่งเจ้าพบว่ามีบางคนจากอดีตชาติ กลับมาทวงคำสัญญา…เจ้าจักเลือกอะไร?”ฉันชะงักทันที คำถามนั้นแฝงความกลัว...ไม่ใช่ต่ออดีตแต่ต่อการสูญเสีย ฉันไม่ตอบ แต่กุมมือเขาไว้แน่น แล้วกระซิบเบา ๆ ว่า“อดีตอาจมีคำสัญญา แต่ปัจจุบันคือความรู้สึก และในวันนี้...ข้าเลือกท่าน”อาศิรวิษหลับตาแน่น ดวงตาเขาเปียกชื้นเล็กน้อยแล้วกอดฉันไว้ เหมือนกลัวว่าฉันจะหายไปแต่ในเงาจันทร์เหนือสระบูชา เงาดำรูปหนึ่งก้าวออกจากเงาสะท้อนของน้ำ เขายืนเงียบ ใบหน้ายังปิดด้วยผ้าดำ...แต่เสียงแผ่วนั้นดังก้องในเงามืด เหมือนในฝันคืนก่อน“อ อาศิรวิษดูนั่น” ฉันเรียกให้เขาเงยมองเบื้องบน อาศิรวิษเจ้ามือฉันแน่น เหมือนสื่อว่าไม่ต้องกลัวตราบใดที่เขายังอยู่ตรงนี้“ในที่สุดเจ้าก็เลือกทางของเจ้า เยี่ยงนั้นข้าก็จะเลือกทางของข้าเช่นกัน...ผณินทร”

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status