จวนสกุลเมิ่ง
วันนี้เป็นวันมงคลใหญ่ของจวนสกุลเมิ่ง ที่จะแต่งบุตรสาวคนรองออกเรือน ผ้าแดงมงคลผูกเพื่อรอรับขบวนเจ้าบ่าวที่จะมารับเจ้าสาว ซึ่งเป็นถึงแม่ทัพใหญ่เมืองต้าเฟิงนามว่า “หลิวเว่ยหยาง”
“ฮึก! คุณหนู….”
“เหตุใดเจ้าต้องร้องไห้ด้วย วันนี้เป็นวังมงคลของข้านะผิงเพ่ย”
“เหตุใดต้องเป็นท่านด้วย นายท่านช่างลำเอียงยิ่งนัก นี่เท่ากับส่งท่านไปตายชัด ๆ”
“ชีวิตของท่านแม่อยู่ที่การตัดสินใจของข้า หากวันนี้ข้าไม่ยอมแต่งงานออกไปแทนคุณหนูใหญ่ เกรงว่าจะช่วยท่านแม่ไม่ได้อีกแล้ว ข้าคิดเอาไว้แล้ว เจ้าไม่ต้องห่วงหรอกนะผิงเพ่ย”
“แต่ว่า… ท่านแต่งกับแม่ทัพหลิวที่กำลังจะออกศึกครั้งใหญ่ เป็นตายกลับมายังไม่รู้ชะตากรรมแต่นายท่านกลับ…”
“เอาล่ะได้เวลาคลุมหน้าเจ้าสาวแล้ว”
“เจ้าค่ะ”
“เมิ่งหลินอิง” สั่งสาวใช้ข้างกายเพียงคนเดียวที่มาช่วยนางแต่งตัวในวันนี้ แม้จะเป็นบุตรสาวเศรษฐีใหญ่ในเมือง "ต้าเฟิง" เมืองที่ใหญ่รองเพียงแค่เมืองหลวงของแคว้นเยี่ยนตู ฐานะของหลินอิงในจวนสกุลเมิ่งเป็นเพียงแค่บุตรสาวภรรยารอง แต่วันนี้นางกลับได้แต่งออกจากจวนในฐานะบุตรสาวภรรยาเอก
“เพียงให้ท่านยอมแต่งงานที่เสี่ยงจะเป็นหม้าย นายท่านถึงกับไม่ยอมให้คุณหนูใหญ่แต่งออกไป”
“พอได้แล้ว ใกล้จะได้เวลาแล้ว”
“เจ้าค่ะ”
เมื่อนางสวมผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวเสร็จแล้ว เสียงประทัดหน้าจวนก็ดังขึ้นอีกครั้ง แม่สื่อเดินมารับเจ้าสาวที่หน้าประตูเพื่อไปที่โถงทำพิธี เมื่อนางเดินเข้าไปในห้องโถงก็เห็นเพียงรองเท้าและชุดสีแดงของเจ้าบ่าวที่ยืนรอนางอยู่
“ยกน้ำชา”
ทั้งคู่ยกน้ำชาให้กับใต้เท้า “เมิ่งฉี” ซึ่งเป็นบิดาของนาง และภรรยาเอก “หวังลี่จิง” ที่ในวันนี้นางอยู่ในฐานะมารดาของนางก่อนออกเรือน
“ส่งตัวเจ้าสาวออกเรือน”
มือสากหนาที่ถือแต่ดาบมาครึ่งชีวิต หันมาจับนางเดินไปอย่างไม่ใส่ใจนัก เขาเป็นถึงแม่ทัพใหญ่เมืองต้าเฟิง มีผู้ใต้บังคับบัญชาเกือบหนึ่งพัน เป็นขุนศึกที่เก่งกล้าเฉียบขาดจนทุกคนต้องนับถือในฐานะจอมแม่ทัพ แม้แต่ชิงอ๋องที่ปกครองเมืองต้าเฟิงยังต้องให้เกียรติเขา แต่ทว่า… เขาช่างเย็นชายิ่งนัก ไม่ว่ากับใคร
“เจ้าสาวขึ้นเกี้ยว”
‘ท่านแม่ ข้าจะรีบกลับมาพาท่านออกจากจวนสกุลเมิ่งโดยเร็วที่สุด’
นั่นคือสิ่งสุดท้ายที่นางคิด ก่อนจะเดินขึ้นเกี้ยวเจ้าสาว เมื่อขบวนเคลื่อนตัวออกไปจากจวนสกุลเมิ่งไปถึงจวนแม่ทัพ เมิ่งหลินอิงก็เริ่มได้ยินเสียงแตรมงคลของขบวนเจ้าบ่าว ไปถึงหน้าจวนแม่ทัพที่จุดประทัดรอ
โถงพิธี
“คู่บ่าวสาวกราบไหว้ฟ้าดิน”
“คำนับบิดามารดา”
“คำนับกันและกัน”
“ส่งตัวเข้าหอ”
เจ้าสาวถูกส่งตัวเข้าห้องหอตามกำหนดเดิม หลินอิงรู้สึกได้ว่าที่จวนแม่ทัพแทบจะไม่มีแขกมาเลย เพราะมันเงียบเสียจนคิดว่าเขาไม่ได้เชิญแขกในงาน ซึ่งก็เป็นเรื่องจริง เพราะงานแต่งในครั้งนี้เป็นราชโองการจากท่านอ๋อง โดยที่ “หลิวเว่ยหยาง” มิได้เต็มใจนั่นเอง
ห้องส่งตัว
ประตูห้องส่งตัวเปิดออกมาอย่างแรง ราวกับว่าผู้เปิดโกรธใครมา เจ้าสาวที่นั่งนิ่งเพราะแอบสัปหงกอยู่ถึงกับสะดุ้งสุดตัว แต่นางก็รีบนั่งหลังตรงรอให้เจ้าบ่าวมาเปิดหน้าเจ้าสาว
พรึ่บ
“เฮือก!”
นางตกใจ เพราะไม่คิดว่าเขาจะใช้ไม้กระตุกผ้าคลุมหน้าของนางรุนแรง และไม่ใส่ใจถึงเพียงนี้
“ทำไม เจ้าตกใจอันใดกัน รีบ ๆ ดื่มสุรานี่เถอะจะได้จบพิธีเสียที”
นางเห็นเพียงแค่แผ่นหลังของเขา ก็รับรู้ได้ถึงความเย็นชาและผนังกำแพงใหญ่ที่มองไม่เห็น เมื่อเขาหันกลับมาหลินอิงก็นิ่งไปอีกครั้ง แม่ทัพหนุ่มตรงหน้าสีหน้าเคร่งขรึม ดูเหมือนจะโกรธอยู่ตลอดเวลา แต่หากตัดสิ่งเหล่านั้นออกไปแล้ว ใบหน้าที่เกลี้ยงเกลาคมคายและสายตาที่ดุดันนี้ ก็นับได้ว่าเขาคือบุรุษที่หล่อเหลาคมคายมากคนหนึ่ง
“จะดื่มหรือไม่ดื่ม หรือว่าดื่มสุราไม่เป็น ถ้าอย่างนั้นก็เปลี่ยนเป็นน้ำชาเถอะ”
“มะ ไม่เจ้าค่ะ ข้าดื่มได้ ว้าย!”
นางลุกขึ้นกะทันหัน รองเท้าเจ้าสาวที่สูงกว่าปกติและชุดที่รุ่มร่ามพลันทำให้นางล้มลงไปชนแผ่นหลังเย็น ๆ ของเขาอีกครัง เมื่อแม่ทัพหนุ่มหันมา ก็ถอนหายใจอย่างนึกรำคาญ พร้อมกับดันตัวนางให้นั่งที่เตียง
“ซุ่มซ่าม ข้าบอกให้เจ้าลุกขึ้นแล้วงั้นหรือ รีบ ๆ ดื่มเถอะข้ายังมีงานอื่นต้องสะสางอีก”
“เอ่อ ท่านจะไปคืนนี้เลยหรือ…ท่านพี่”
เขาหันมามองหน้านางชัด ๆ สตรีที่กล้าจะแต่งงานกับเขาโดยใช้เงินและเสบียงของทหารต้าเฟิงเป็นเดิมพัน สตรีที่ต้องการเพียงตำแหน่งฮูหยินตราตั้ง เพื่อให้ตระกูลของนางจะได้ทำการค้าสะดวกมากขึ้น
“เรียกข้าว่าท่านแม่ทัพเถอะ จะเหมาะสมมากกว่า ข้าไม่ชินกับคำนั้นอย่าเรียกเลย”
หลินอิงรีบกลืนสุรามงคลตอนที่เขาพูดขึ้นมา สุราที่ร้อนราวกับลวกคอนางได้ ยังไม่เท่ากับคำพูดที่ตัดรอนเย็นชาของผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นสามีของนางในตอนนี้
“เอาละพิธีก็เสร็จแล้ว ข้าไปละ”
“เอ่อ… คือ…”
“เจ้ายังมีอะไรอีก”
“มิใช่ว่าค่ำคืนส่งตัว พวกเราห้ามออกจากห้องหรอกหรือเจ้าคะ”
แม่ทัพหนุ่มหมดความอดทน เขากำหมัดแน่นและชกไปที่เสาเตียงจนเจ้าสาวหมาด ๆ ตกใจจนสั่น สายตาดุดันและกำลังโกรธมองมา หากเขาถือดาบอยู่ในตอนนี้คงจะฆ่านางไปแล้ว
“เจ้ายังต้องการอะไรจากข้าอีก เท่านี้ยังไม่พอใจอีกหรือ”
“มะ ไม่พองั้นหรือ ท่านพูดถึงอะไรกัน”
“เช่นนั้นข้าจะพูดให้ชัด ๆ นะคุณหนูเมิ่ง”
“มะ เมิ่งหลินอิง ขะ ข้าชื่อหลินอิง”
“หุบปาก! ข้าอนุญาตให้เจ้าพูดแทรกข้าได้งั้นหรือ”
นางนั่งตัวสั่นด้วยความกลัว ไม่คิดเลยว่าการแต่งงานที่นางคิดเอาไว้จะเลวร้ายไม่ต่างกับการอยู่ที่สกุลเมิ่ง ที่นั่นเหมือนนรกบนดินเพราะนางเป็นเพียงลูกสาวอนุ
“เจ้าฟังข้าให้ดี แม้ว่าข้าจะยอมแต่งงานกับเจ้าเพื่อผลประโยชน์ของกองทัพ แต่อย่าได้คาดหวังในตัวข้าว่าจะรักเจ้า รู้หรือไม่ว่าข้าขยะแขยงพวกเจ้ายิ่งกว่าแมลงวันที่ตอมซากศพเสียอีก นับจากนี้ไปเจ้าอยู่ของเจ้า ข้าอยู่ของข้าอย่าได้มายุ่งเกี่ยวกันอีก เข้าใจแล้วหรือไม่”
“ฮึก!”
นางพูดอะไรไม่ออกเลยสักคำ เดิมทีก็ทำใจมาก่อนหน้านั้นแล้วว่าแม่ทัพใหญ่ผู้นี้จะไม่ใช่คนอ่อนโยนอะไร แต่ก็ไม่คิดว่าจะเลวร้ายขนาดนี้
“แมลงวันตอมซากศพงั้นหรือ…ช่างเป็นวาจาที่ใจร้ายนัก”
“หึ ใจร้ายงั้นหรือ คนที่อยากให้ตระกูลพ่อค้าได้เชิดหน้าสู่สังคมชั้นสูงได้ไม่ใช่พวกเจ้าหรอกหรือ ถึงกับเอาลูกสาวมายัดเยียดให้แต่งงานกับข้า นี่ไม่ใช่แผนการของพวกเจ้าตั้งแต่แรกหรอกหรือ”
“แต่ท่านก็ต้องออกศึกทันทีหลังพิธีแต่งงาน ข้ามากกว่าที่เสี่ยงจะเป็นหม้าย ท่านกล้าพูดออกมาได้เช่นไรว่าข้าอยากแต่งกับท่าน…โอ๊ย!”
แม่ทัพหนุ่มหันมาบีบแก้มทั้งสองข้างของนางไว้และดันไปที่เตียง ร่างบางล้มลงเพราะสู้แรงของเขาไม่ได้ นางเจ็บตรงแก้มสองข้างที่ถูกเขาบีบและดันตัวให้ติดกับเตียง
“อื้อ…”
“ข้ายังไม่ทันจะออกศึก เจ้าที่พึ่งแต่งเข้ามาเป็นฮูหยินก็กล้าแช่งสามีตัวเอง จะไม่ให้ข้าคิดได้อย่างไรว่าพวกเจ้ามันน่ารังเกียจ น่าขยะแขยงสารเลวทั้งตระกูล จงจำเอาไว้ให้ดี…ข้าเกลียดคนเห็นแก่ตัวอย่างพวกเจ้ามากที่สุด!!”
พ่อบ้านจิ่วถึงกับลอบขำออกมา เมื่อท่านแม่ทัพหยอกฮูหยินต่อหน้าจางหนิงซิน ที่ยืนหุบยิ้มทำหน้าไม่ถูกอยู่ข้าง ๆ เขายื่นเด็กให้พ่อบ้านจิ่วแทนที่จะเป็นจางหนิงซิน“ข้าฝากเจ้าดูแลหลานชายด้วย อีกไม่นานจะรีบกลับ ระหว่างนี้ก็ระวังอย่าให้เขาหกล้ม หรือว่า…โดนผลักเข้าอีกล่ะ ดูเหมือนว่าเขาจะยังไม่ค่อยแข็งแรงมากนัก”“คงต้องบำรุงกันอีกเยอะ ข้าจะสั่งให้ผิงเพ่ยเตรียมอาหาร และขนมสำหรับเด็กเอาไว้มากหน่อย”“ฮูหยินช่างรู้งานยิ่งนัก ขอบใจเจ้าล่วงหน้า เราไปกันเถอะ”ทั้งสองพากันเดินออกมาจากห้องโถง เดิมทีหลินอิงคิดว่าเว่ยหยางจะไม่เห็นที่จางหลินซินผลักลูกนางออกมา แต่ที่จริงแล้วไม่มีสิ่งใดที่จะพลาดจากสายตาของเขาไปได้ จนทำให้นางยิ้มออกมาได้“เจ้าขำอะไรงั้นหรือ”“เปล่าเจ้าค่ะ”“ข้าจะถามเจ้าว่า จะให้พวกนางไปอยู่เรือนหลังเล็กที่เจ้าเคยอยู่ก่อน ดีหรือไม่ ระหว่างที่ข้าหาเรือนให้พวกนางสองแม่ลูก”“อะไรนะเจ้าคะ เรือนหลังเล็กนั่นหรือ เช่นนี้แล้วข้าจะไปอยู่ที่ใด”แม่ทัพหลิวดึงตัวนางเข้ามาชิด และก้มลงหอมนางสุดลมหายใจ ผู้ที่กำลังเดินออกมาจากห้องโถงเห็นเข้าเต็มสองตา หนิงซินกำหมัดแน่นด้วยความโกรธและริษยา“เจ้าลืมไปแล้วสินะว่า เป
“จางหนิงซิน” เดินเข้ามาและโผเข้ากอดท่านแม่ทัพทันที โดยไม่ทันได้ใส่ใจเด็กชายวัยสามขวบที่ตามมาด้วย เขายืนงงอยู่ด้านหลังนาง หลินอิงและคนอื่น ๆ ต่างตกใจไม่น้อย“เว่ยหยางข้าผิดไปแล้ว ข้าไม่น่าตัดสินใจผิดพลาด ที่แต่งงานกับว่านตวนอู่ เขาตายไป…"“ว่านฮูหยินโปรดสำรวมด้วย”หลิวเว่ยหยางผลักนางออกไปทันที เขารีบหันไปมองหลินอิงที่ยืนตกใจอยู่กับสาวใช้ ใบหน้าของฮูหยินซีดเผือด จนเขาต้องรีบดึงนางมายืนข้าง ๆ“หลินอิง เรื่องนี้เข้าไปแล้วค่อยคุยเถิด”“เว่ยหยาง! ท่านจะใจดำไม่ช่วยเหลือแม้แต่สหายเก่าที่… เคยสนิทสนมกันเช่นนั้นหรือ ข้าหอบลูกมาขอความเมตตา เพราะเห็นว่าท่านกับว่านตวนอู่เป็นสหายร่วมศึกกัน แต่พอท่านพาเขาไปตาย กลับไม่คิดจะรับผิดชอบลูกชายของเขาเลยหรือ”“เจ้าว่าอย่างไรนะ ลูกชายของตวนอู่งั้นหรือ เสี่ยวว่านมีลูกชายด้วยหรือ”เขาหันไปมองเด็กชายที่ยืนอยู่ด้านหลัง จางหนิงซินเดินไปดึงเด็กชายคนนั้นมาราวกับกระชาก แม้แต่หลินอิงก็ยังตกใจ นี่ใช่ลูกชายของนางแน่หรือ“ใช่สิ เขานี่แหละที่เป็นลูกชายของว่านตวนอู่ เด็กอัปยศที่เกิดจากความผิดพลาดในครั้งนั้น”“เจ้าหุบปากนะ ตอนนี้เด็กก็เกิดมาแล้ว เหตุใดจึงพูดเช่นนั้นอีก”“ห
รสรักที่นางมิเคยได้ลิ้มลอง เมื่อท่านแม่ทัพเริ่มลาดเลื้อยนิ้วสากไปตามเรือนร่างของนาง และหยุดที่ปทุมคู่สวยอีกครั้ง นางก็รู้แล้วว่าถึงเวลาแล้ว“อย่าเกร็งมาก ข้าจะค่อย ๆ เข้าไป”“เจ้าค่ะ ข้าจะพยายาม”เพียงแค่แท่งร้อนที่ทั้งใหญ่และดุดันนั้นสอดเข้ามา หลินอิงก็เริ่มจิกนิ้วมาที่ไหล่กว้างของเขา นางรู้สึกเจ็บและประหม่าเล็กน้อย แต่เขาก็มิได้ทำให้นางทรมานอยู่นาน เพราะหลังจากความเจ็บในสัมผัสแรก จากนั้นทั้งคู่ก็หลงลืมวันเวลาอยู่บนเตียงอุ่น ท่ามกลางเสียงร่ำร้องฉลองชัยชนะในคืนนี้“อื้อ…ทะ ท่านพี่ อื้อ”จูบหนักแน่นและพร้อมจะดูดกลืนนางได้ทั้งตัว ถูกส่งมาครั้งแล้วครั้งเล่า หลินอิงแทบจะรับศึกรักนี้ไม่ไหวแล้ว หลังจากที่เขาจับนางเปลี่ยนท่า ยกขาขึ้นพาดบ่า จับให้นอนตะแคงโดยมีเขาสวมกอดอยู่ด้านหลัง แรงกระแทกมาแต่ละครั้งหนักแน่นและดุดันสมกับเป็นขุนศึกผู้กล้า เสียงลมหายใจร้อนรดมาที่ซอกคอ ตามด้วยริมฝีปากเย็นที่ฝังแน่นตามลงมา“ข้า…อ๊าาา ท่านพี่เจ้าคะ”มีเพียงเสียงลมหายใจแหบต่ำของเขาเป็นคำตอบ ว่านางยังพักไม่ได้ หากเขาไม่อนุญาต ร่างบางเกร็งตัวขึ้นอีกครั้ง เขาส่งนางไปถึงฝั่งนับครั้งไม่ถ้วน แต่ตัวเขาเองพึ่งจะคำรามออกม
ท่ามกลางเสียงโห่ร้องดีใจ เว่ยหยางหันไปมองที่ยอดเขาซึ่งเขาเคยพานางมา และเขาก็เห็นว่าผู้ที่ยิงธนูช่วยเขาเมื่อครู่นี้ มิใช่ทหารของเขาอย่างแน่นอน แม้ว่าจะเล็งได้ตรงจุดแต่กำลังก็มิได้ทำให้ฆ่าคนตายได้ แค่หยุดพวกเขาเอาไว้ได้เท่านั้น“เมิ่งหลินอิง เจ้านี่อยู่เฉยไม่ได้เลยจริง ๆ”ค่ายทหารเมื่อกองทัพเริ่มทยอยเข้ามาในค่ายทหาร แม่ทัพหลิวก็ถูกนำมาที่กระโจมเพื่อทำแผลทันที หลินอิงวิ่งเข้ามาหลังจากที่ท่านหมอทำแผลให้เขาเสร็จเรียบร้อยแล้ว“จากนี้คงต้องเปลี่ยนผ้าพันแผลและใส่ยาเช้าเย็น อาการอย่างอื่นไม่มีอะไรหนักหนามากขอรับ”“ขอบคุณท่านหมอ”เมื่อหมอและคนอื่น ๆ ออกไปแล้ว เพราะเย็นนี้มีงานเลี้ยงฉลองที่ชนะศึก และทุกคนจะได้กลับบ้าน จึงทำให้ไม่มีใครอยากจะอยู่แต่ในกระโจม หลินอิงเดินเข้ามา และมองไปที่เว่ยหยางซึ่งนั่งอยู่ที่เตียง“ท่านเป็นอย่างไรบ้าง ท่านหมอบอกข้าว่าแผลที่ไหล่ของท่านไม่ลึกมาก แค่ใส่ยาก็หาย”“วันนี้เจ้าไปไหนมา”“ข้า…”“อย่าได้คิดจะโกหกข้าเชียว กุนซือเผิงช่วยเจ้าไม่ได้หรอกนะ”“ท่านโกรธข้าหรือ”“เจ้าไม่รู้หรือว่ามันอันตราย หากว่ามิใช่กองทัพของข้าแล้วละก็”“แต่ที่นั่นทั้งสูงและปลอดภัย กองทัพที่เหลือ
วันถัดมา“ท่านแม่ทัพ ท่านมั่นใจแล้วหรือที่จะ เอ่อ…”“กุนซือ ท่านคิดว่าแผนการนี้มีอะไรต้องแก้ไขงั้นหรือ หากว่าท่านมีแผนการอื่น ที่ดีกว่าแผนที่ฮูหยินขอข้าเสนอมา ก็พูดออกมาได้เลย”“แม้ว่าจะดูรอบคอบ แต่จะทำอย่างไรถึงจะให้ศัตรูเชื่อว่าเรื่องนี้มิใช่กลลวง”“เรื่องนั้นง่ายมาก เราต้องปล่อยข่าวออกไป และให้พวกเขาปล้นเสบียงไปก่อนครั้งหนึ่ง จากนั้นเขาจะเชื่อข่าวเรื่องนี้ทันที”“อะไรนะ เราต้องเสียเสบียงให้ข้าศึกก่อนงั้นหรือ ท่านแม่ทัพนี่มันจะไม่เสี่ยงไปสักหน่อยหรือ”นางกองหวังพูดขึ้นมา เมื่อรู้ว่าต้องใช้เสบียงจริงในการหลอกล่อ เขาก็เกิดกลัวขึ้นมา แต่กุนซือเผิงอิ้งกลับตบพัด และหันมายิ้มให้กับแม่ทัพหลิวและฮูหยิน“จะตกปลา หากไม่ใช้เหยื่อก็คงไม่ได้ปลาใหญ่ ข้าเข้าใจแผนการของฮูหยินแล้ว นี่ช่างเป็นการพลิกกลยุทธ์ทางการค้ามาใช้กับกองทัพได้อย่างยอดเยี่ยมจริง ๆ”“ขอบคุณท่านกุนซือ เช่นนั้นแผนการที่เหลือเราก็เร่งวางแผนกันได้แล้วสินะ”“แน่นอนขอรับ”“เช่นนั้นข้าออกไปก่อน”“ไม่ต้องหรอก เจ้าเป็นคนคิดแผนนี้ได้ แน่นอนว่าย่อมมีสิทธิ์ที่จะรู้แผนการทั้งหมด มาเถอะ”แม่ทัพหลิวโอบเอวนางมาที่โต๊ะซึ่งมีแผนที่อยู่ พวกเขาใช้เว
เสียงทุ้มต่ำของหลิวเว่ยหยาง ทำให้นางจำได้ในทันที นางทิ้งกระบอกและมองเขาชัด ๆ อีกครั้ง จื่อรั่วถูกสั่งให้ออกไปรอข้างนอก หลังจากยืนตกตะลึงไปกับน้ำที่สาดออกมาโดนทั้งคู่ “ทะ ท่านแม่ทัพ!”"ข้าเอง"นางโผเข้ากอดเขาในทันที เว่ยหยางได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นแรงของนางก็รู้ว่าที่จริงแล้ว ฮูหยินของเขากลัวมากเพียงใด อีกอย่างตัวนางที่สั่นก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกผิด“ข้าเองหลินอิง เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”“ตะ ตัวท่านเปียกไปหมด ข้าขอโทษ ข้าคิดว่าท่านเป็น…เป็น…”“เจ้าใจเย็นก่อน ข้าไม่เป็นอะไรทั้งนั้นเจ้าอย่าตกใจ เดิมทีแค่คิดจะแวะมาหาเจ้าเท่านั้น แต่ดูท่าตอนนี้คงต้องเปลี่ยนชุดเสียแล้ว”หลินอิงรีบหันไปเตรียมชุดใหม่ให้เขา ระหว่างที่แม่ทัพหลิวเดินไปอาบน้ำที่ห้องด้านหลัง เมื่อเดินออกมาก็เห็นหลินอิงวางชุดใหม่ให้เขา นางกำลังสาละวนทำบางอย่างอยู่ข้างนอก เมื่อเขาเปลี่ยนชุดเสร็จจึงได้เห็นหมั่นโถวที่พึ่งนึ่งออกมาใหม่ ๆ กับหมูแดดเดียวที่แค่เห็นก็รู้สึกน้ำลายสอ“นี่เจ้าเตรียมให้ข้าหรือ”“เจ้าค่ะ ในครัวมีแป้งเหลืออยู่นิดหน่อย ข้าก็เลยรีบไปนึ่งมาให้ ท่านรีบกินก่อนเถอะ”เขานั่งลงและเริ่มกินอีกครั้ง ศึกที่ยืดเยื้อมาหลายวันทำให้เ