ยามที่องค์ชายรองเสด็จจากไปแล้วโม่ชิงเยว่จึงได้เผชิญหน้ากับฮูหยินผู้เฒ่าและซ่งเหวินหนิงอีกครั้งในรอบสามปี สายตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังของสองแม่ลูกที่ใช้จ้องมองนางยังคงมีเช่นเดิม แต่สายตาที่สองแม่ลูกใช้จ้องมองลูกชายและลูกสาวของนางกลับเต็มไปด้วยความซับซ้อนจนโม่ชิงเยว่รีบใช้ร่างกายของตนเองบังพวกเขาให้พ้นสายตาของสองแม่ลูกสกุลซ่งในทันที
“ทำไมหรือ ข้าจะมองพวกเขาให้นานขึ้นอีกสักหน่อยไม่ได้หรือ” เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยถามเช่นนี้หากเป็นเมื่อก่อนโม่ชิงเยว่จะต้องยินยอมหลบโดยดีแต่ยามนี้นางกลับยื่นนิ่งอยู่กับที่แถมเอ่ยวาจาตอบโต้ออกมาด้วยสีหน้าอันเย็นชา
“พวกเขาพึ่งจะได้ออกนอกเรือนมาพบกับคนแปลกหน้าเช่นนี้ ข้าในฐานะมารดาย่อมจะต้องปกป้องพวกเขาให้มากหน่อย ขอท่านแม่ได้โปรดอภัย แต่ข้าคงจะต้องพาพวกเขากลับเรือนเหมันต์แล้ว” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยเช่นนี้สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าก็พลันบึ้งตึงขึ้นมาในทันที
“ทำไมหรือ พอรู้ว่าท่านโหวได้รับบาดเจ็บจนอาจจะกระทบกับการมีทายาทเจ้าก็คิดว่าลูกๆ ของเจ้ากลายเป็นคนสำคัญขึ้นมาจนข้าจะต้องยอมให้เจ้ามาต่อปากต่อคำกับข้าได้แล้วเช่นนั้นหรือ” คำถามของฮูหยินผู้เฒ่าทำให้โม่ชิงเยว่เผยรอยยิ้มออกมาอย่างเย็นชา
“ในเมื่อลูกๆ ของข้า ถูกท่านแม่และน้องเหวินหนิงตราหน้าเอาไว้แล้วว่าเป็นลูกชู้ แล้วเหตุใดข้าจึงจะต้องคิดว่าลูกของข้าจะกลายเป็นคนสำคัญขึ้นมาได้เล่าเจ้าคะ อ้อ! หรือว่ายามนี้ต่อให้เป็นลูกชู้ก็ไม่เป็นอะไรแล้ว ขอเพียงมีทายาทสืบสกุลได้จะเป็นลูกของใครท่านแม่ก็ไม่คิดจะรังเกียจแล้ว” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าเนื้อตัวสั่นเทาด้วยความโกรธเคืองในทันที
“โม่ชิงเยว่เจ้าอย่าได้ถือดีคิดว่ามีองค์ชายรองมาหนุนหลังแล้วข้าจะทำอะไรเจ้าไม่ได้นะ” ถ้อยคำข่มขู่ของฮูหยินผู้เฒ่าทำให้โม่ชิงเยว่ส่ายหน้า
“ข้าหรือจะกล้าคิดเช่นนั้น ขนาดสุ่ยอี้โหรวที่เป็นถึงหลานสาวขององค์ฮองเฮาท่านแม่ยังกล้าลงโทษนางอย่างหนักหนาถึงเพียงนั้น แล้วข้าจะกล้าใช้แค่เพียงอำนาจบารมีขององค์ชายพระองค์หนึ่งมาหนุนหลังได้อย่างไรเล่าเจ้าคะ” คำพูดของโม่ชิงเยว่เต็มไปด้วยความถือดี สีหน้าที่ไม่ยอมอ่อนข้อให้แล้วของนางทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้า
“ดูเหมือนว่าการที่ถูกกักขังอยู่แต่ในเรือนเหมันต์จะทำให้เจ้าลืมไปแล้วว่าข้ายังสามารถสั่งให้คนมาตบปากของเจ้าได้สินะ” เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็พลันพยักหน้า
“ก็ลองสั่งดูสิเจ้าคะ แต่ข้าขอบอกเอาไว้ก่อนว่าข้าจะไม่ยอมยืนอยู่เฉยๆ ให้คนของท่านแม่มาตบปากข้าแน่” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ซ่งเหวินหนิงรีบเอ่ยออกมาในทันที
“เช่นนั้นก็ลองดู ใครก็ได้ไปตบปากของนางให้ข้าเดี๋ยวนี้” เสียงออกคำสั่งของซ่งเหวินหนิงทำให้สาวใช้ของนางรีบก้าวเข้าไปหาโม่ชิงเยว่ในทันที แต่พวกนางยังไม่ทันถึงตัวของโม่ชิงเยว่ก็ถูกชุ่ยเหมยผลักจนล้มลงไปจนหมด
“กล้าใช้กำลังกับคนของข้าหรือ ไปตามผู้คุ้มกันจวนมาข้าอยากจะรู้นักว่านางจะเก่งกล้าสักเพียงไหน” คำพูดของซ่งเหวินหนิงทำให้โม่ชิงเยว่ตวาดออกมาในทันที
“ผู้ใดกล้าลงมือกับข้าก็ลองดู อย่าได้ลืมว่าข้าคือฮูหยินพระราชทานจากฝ่าบาท เมื่อก่อนพวกเจ้าลงมือกับข้าไม่ได้ ยามนี้ก็เช่นกัน” เสียงตวาดของโม่ชิงเยว่ทำให้ซ่งเหวินหนิงบดขยี้เท้าลงไปบนพื้นด้วยความขัดใจ
“ท่านแม่ ท่านก็ทำอะไรสักอย่างสิ” เสียงของซ่งเหวินหนิงเกรี้ยวกราดอย่างเต็มที่ฮูหยินผู้เฒ่าเองในยามนี้ก็โกรธจนใบหน้าแดงก่ำแล้ว
“จริงอยู่พวกข้าทำอะไรเจ้าไม่ได้ แต่หากข้ามีหลักฐานว่าเด็กสองคนนี้คือลูกชู้ขึ้นมาเจ้าไม่ได้ตายดีแน่” คำพูดของฮูหยินผู้เฒ่าทำให้โม่ชิงเยว่พยักหน้า
“เช่นนั้นก็หามาสิเจ้าคะ ท่านบอกว่าจะหาหลักฐานมาเล่นงานข้าให้ได้มานานแล้วมิใช่หรือ นี่ก็ผ่านมาตั้งสามปีแล้วท่านก็ยังหามาไม่ได้เลยสักที อ้อ! แผนการใส่ยานอนหลับมาให้ข้ากินแล้วคิดจะลากบุรุษมานอนกับข้าบนเตียงอะไรทำนองนั้นท่านก็อย่าได้คิดจะทำกับข้าเลยนะเจ้าคะ ท่านเองก็มีบุตรสาวเช่นกันไม่คิดบ้างหรือว่าถ้าหากวันหน้ามีคนทำเช่นนี้กับน้องเหวินหนิงบ้างท่านจะทำเช่นไร” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าเม้มปากแน่น แผนการนี้นางเคยคิดจะทำภายใต้การยุยงของสุ่ยอี้โหรวแต่ผลสุดท้ายก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า ยามนั้นนางขัดเคืองใจจนแทบสิ้นสติที่แผนการของนางไม่ได้ผล ยามนี้พอโม่ชิงเยว่เอ่ยถึงเรื่องนั้นขึ้นมาร่างกายของนางก็พลันสั่นสะท้านไปทั้งตัว
“ท่านแม่! เมื่อก่อนข้ายอมลงให้ท่านก็เพราะคำว่ากตัญญูค้ำคออยู่ แต่ท่านอย่าได้บีบบังคับข้านัก หากข้าลงมือกับท่านขึ้นมาแม้แต่สกุลซ่งทั้งสกุลก็รองรับการลงมือของข้าไม่ไหวหรอก” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าตวาดออกมาในทันที
“โม่ชิงเยว่! นี่เจ้ากล้าข่มขู่ข้าหรือ”
“สำหรับข้าแล้ว ท่านจะรังแก จะดูถูกเหยียดหยามอย่างไรข้าทนได้ แต่กับลูกๆ ของข้านั้น ข้าขอบอกเลยว่าข้าจะไม่ทน อ่อ! ในเมื่อยามนี้พวกเราได้เผชิญหน้ากันแล้วข้าก็จะขอพูดกับท่านตามตรง วันพรุ่งนี้ข้าจะส่งคนไปเชิญอาจารย์มาสอนหนังสือให้ลูกๆ ของข้า ขอท่านแม่ได้โปรดเปิดทางให้คนของข้าด้วย ท่านก็เห็นแล้วว่าสาวใช้ของข้าคนนี้นางเป็นคนที่มีวรยุทธ์คนหนึ่ง อย่าได้ปล่อยให้เกิดเรื่องต่อยตีกันขึ้นมาเพียงเพราะข้าต้องการเชิญอาจารย์มาสอนหนังสือลูกๆ ของข้าเลย”
“หากข้าไม่ยอมอนุญาตเล่า" ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่ยังคงสั่นเครือเพราะความโกรธ
“ท่านดูพวกเขาสิ! ใบหน้าน้อยๆ นี่เหมือนท่านโหวบุตรชายของท่านหรือไม่ ท่านคงจะไม่อยากให้พวกเขาโง่งมเพราะไม่ได้เรียนหนังสือเฉกเช่นน้องเหวินหนิงกระมัง” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ซ่งเหวินหนิงตวาดออกมาในทันที
“โม่ชิงเยว่”
“อ้อ ขอโทษที่ต้องพูดความจริง เหวินหนิงเจ้าไม่ชอบเรียนก็ช่างเจ้าเถิด แต่ลูกๆ ของข้าพวกเขาอยากเรียนหนังสือเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นข้าขอเตือนเจ้าอย่าได้คิดขัดขวางการเรียนรู้ของลูกๆ ของข้าเชียวไม่เช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ซ่งเหวินหนิงหันไปหามมารดาของตนเองในทันที
“ท่านแม่! นางด่าข้า” คำพูดของซ่งเหวินหนิงทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าทนฝืนต่อไปไม่ไหวแล้วความโกรธที่ถาโถมเข้ามาในช่วงนี้ทำให้นางเป็นลมหมดสติไปในทันที
“ท่านแม่! ใครก็ได้ไปตามท่านหมอมาดูอาการของท่านแม่ที” ซ่งเหวินหนิงเอ่ยออกมาอย่างร้อนรน ส่วนโม่ชิงเยว่แค่เพียงมองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยสายตาเย็นชา
“พวกเจ้านำฮูหยินผู้เฒ่ากลับไปที่เรือน พอท่านหมอมาจะได้รักษานางได้สะดวก” คำสั่งของโม่ชิงเยว่ทำให้ทุกคนไม่กล้าไม่ทำตาม เมื่อครู่นี้ทุกคนก็ต่างเห็นแล้วว่าฮูหยินผู้นี้ไม่ใช่คนที่จะรังแกได้ พวกนางรีบช่วยกันหามร่างของฮูหยินผู้เฒ่าไปที่เรือนของนางในทันที
“พวกเรากลับเรือนเหมันต์กันเถอะ” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยเช่นนี้ทั้งซ่งจื่อเหยาและซ่งจื่อเยว่ก็พยักหน้า
“ท่านแม่ แล้วฮูหยินผู้เฒ่านางจะเป็นอะไรหรือไม่เจ้าคะ” คำถามของซ่งจื่อเหยาทำให้โม่ชิงเยว่ส่ายหน้า
“ประเดี๋ยวก็ฟื้นแล้ว ก็แค่โมโหจนหมดสติไปเพียงเท่านั้น” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยเช่นนี้ซ่งจื่อเหยาก็พยักหน้าแล้วเดินติดตามมารดาของนางกลับเรือน ส่วนชุ่ยเหมยหันไปออกคำสั่งให้คนงานหลายคนช่วยขนของที่องค์ชายรองนำมาประทานให้กลับเรือนเหมันต์ ซึ่งคนงานในจวนไม่มีผู้ใดกล้าละเลยนางอีก
ยามที่ซ่งเหวินจิ้งตื่นขึ้นมาสิ่งแรกที่เขาเห็นก็คือม่านมุ้งในห้องนอนของโม่ชิงเยว่ที่ปรากฏเข้าสู่สายตา เขากะพริบตาอีกครั้งแล้วจึงได้พยายามทบทวนว่าเรื่องเมื่อคืนนี้เป็นความฝันหรือว่าเป็นความจริงกันแน่ กลิ่นกายอันหอมกรุ่นของนางแผ่กำจายไปทั่วม่านมุ้งอีกทั้งยังดูเหมือนว่าจะหอมกรุ่นติดตามร่างกายของเขาไปด้วย อีกทั้งปฏิกิริยาทางร่างกายที่ไม่เหมือนเดิมของเขาทำให้เขารู้ว่าสัมผัสอันน่าหลงใหลเมื่อคืนนี้ไม่ใช่แค่เพียงความฝัน เมื่อคิดได้เช่นนั้นก็ทำให้มีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าของเขาในทันที“นอนตาลอยแล้วยิ้มราวกับคนเสียสติเช่นนั้นท่านทำให้ข้าชักจะรู้สึกหวาดกลัวท่านแล้วนะ” เสียงทักของโม่ชิงเยว่ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของซ่งเหวินจิ้งพลันหายไปในทันที“มีสิ่งใดให้น่ากลัวกัน” เขาเอ่ยพลางพลิกตัวแล้วดึงผ้าห่มอันหมิ่นเหม่ขึ้นมาคลุมร่างกายของตนเองเอาไว้ ด้วยไม่รู้ว่าคนที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงหน้าเตียงนั่งจ้องมองเขานานเท่าไหร่แล้ว“แล้วเจ้ายกเก้าอี้มานั่งจ้องมองข้าเช่นนี้ทำไมกัน” เมื่อเขาถามเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็ยิ้มออกมา“เมื่อคืนนี้มีคนบอกกับข้าว่าอยากจะตื่นขึ้นมาพร้อมกันกับข้ามิใช่หรือ ข้าก็เลยมานั่งรอให้ท่า
หลังจากดูพลุไฟแล้วซ่งเหวินจิ้งและโม่ชิงเยว่ก็เดินไปส่งเด็กๆ กลับเรือนด้วยตนเอง แน่นอนว่าซ่งเหวินจิ้งย่อมจะต้องเดินตรวจตรารอบๆ เรือนด้วยตนเองอีกครั้งและยังกำชับให้คนของเขาคอยคุ้มกันจวนให้ดี อีกทั้งยังสั่งสาวใช้ภายในเรือนให้วันพรุ่งนี้ย้ายข้าวของเครื่องใช้ของซ่งจื่อเยว่และซ่งจื่อเหยาไปที่เรือนของโม่ชิงเยว่ เมื่อสั่งการทุกคนเสร็จเรียบร้อยดีแล้วเขาจึงได้เดินไปที่เรือนของโม่ชิงเยว่เพื่อตรวจตราความเรียบร้อยอีกครั้ง พอเห็นว่าการรักษาความปลอดภัยของเรือนนี้แน่นหนาดีแล้วเขาจึงได้เข้าไปหาโม่ชิงเยว่ที่กำลังนั่งจิบน้ำชาอยู่ภายในเรือน“ในเมื่อลงนามสงบศึกแล้ว คนของแคว้นต้าเป่ยก็ไม่น่าจะสร้างความร้าวฉานด้วยการลอบโจมตีท่านและครอบครัวอย่างที่ท่านกำลังกังวลอยู่” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ซ่งเหวินจิ้งส่ายหน้า“แคว้นต้าเป่ยแม้ว่าจะปกครองด้วยเชื้อพระวงศ์สกุลเซียว แต่สกุลที่กุมอำนาจทางกองทัพก็คือสกุลหม่า ข้าที่พึ่งจะฆ่าผู้นำสกุลและนักรบอีกหลายคนของสกุลหม่าย่อมจะต้องกลายเป็นเป้าแห่งความแค้นเคืองของพวกเขา แม้ว่าฮ่องเต้ของพวกเขาจะลงพระนามขอสงบศึกแล้ว แต่คนสกุลหม่าใช่ว่าจะก่อเรื่องไม่ได้ขอแค่เพียงสิ้นไร้หลักฐานก็ไ
ฮ่องเต้แคว้นต้าเป่ยส่งราชสาส์นมาขอเจรจาสงบศึก อีกทั้งยังยินดีที่จะส่งเครื่องราชบรรณาการมาถวายแด่ฮ่องเต้แคว้นเหลียนทุกปี เมื่อทางฝั่งแคว้นต้าเป่ยยินยอมอ่อนข้อให้จนถึงขั้นนี้มีหรือที่หลี่เฟยหลงฮ่องเต้จะปฏิเสธหลังจากนั้นจึงได้ส่งราชสาส์นตอบกลับไปด้วยความยินดี เมื่อมีสัญญาณว่าการศึกจะสงบอย่างถาวรเช่นนี้ ประชาชนในแคว้นต่างก็รู้สึกยินดีกันทั่วหน้า สงครามจบสิ้นแล้วก็หมายความว่าต่อไปพวกเขาจะได้อยู่อย่างสงบสุขไปอีกหลายปี ไม่ต้องกังวลว่าคนในครอบครัวจะต้องไปพลีชีพเพื่อปกป้องแคว้นที่ชายแดนอีกจวบจนเมื่อมีการลงนามสงบศึกอย่างเป็นทางการชาวบ้านร้านตลาดก็ต่างพร้อมใจกันจัดงานรื่นเริงเพื่อเฉลิมฉลอง พลุไฟนับหมื่นพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อโอ้อวดความงดงามท่ามกลางความมืดมิดในยามราตรี ซ่งเหวินจิ้งยืนนิ่งจ้องมองพลุไฟเหล่านั้นด้วยสีหน้ากังวลใจเมื่อคิดได้ว่าท่ามกลางงานเลี้ยงเฉลิมฉลองกำลังมีคนของแคว้นต้าเป่ยเข้ามาแทรกซึมอยู่ในเมืองหลวง ยามนี้เขาทำหอดูดาวให้สูงขึ้นแล้วรื้อหลังคาของหอดูดาวออก ทำให้เขาและครอบครัวสามารถชื่นชมความงามของพลุไฟได้อย่างเต็มที่“ท่านแม่! ท่านดูสิราวกับมีดอกไม้นับหมื่นกำลังแข่งกันเบ่งบานอย
ในขณะที่ทางจวนโหวมีคนกำลังพยายามเร่งสานความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา ทางจวนตระกูลเหยียนหรืออดีตจวนไหวกั๋วกงก็กำลังตกอยู่ในช่วงเวลาแห่งความตึงเครียด เหยียนฮูหยินผู้เคยได้ดำรงตำแหน่งฮูหยินของท่านกั๋วกงก็กำลังนั่งร้องไห้อ้อนวอนขอให้บุตรชายหาหนทางช่วยสามีที่ในยามนี้ถูกขังอยู่ในคุกของกรมอาญา“เจ้าไม่คิดจะช่วยท่านพ่อของเจ้าจริงๆ หรือ เสียแรงที่พ่อของเจ้าทำทุกอย่างก็เพื่อเจ้า” เหยียนฮูหยินเอ่ยพลางใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาด้วยท่วงท่าที่ดูอ่อนแอและบอบบางราวกับว่าจะแตกหักได้ทุกเมื่อ“จะให้ข้าช่วยอย่างไร ให้ข้าไปคุกเข่าขอพระเมตตาแล้วทำให้ข้าและสกุลเหยียนทั้งสกุลถูกฝ่าบาทหวาดระแวงและคิดว่าพวกเราสกุลเหยียนมีความทะเยอทะยานในราชบัลลังก์เช่นนั้นหรือ ท่านแม่อย่าได้ลืมสิว่าฮุ่ยเอ๋อต้องเสียสละอะไรไปบ้าง ยามนี้นางกำลังได้รับความโปรดปรานท่านอยากให้ฝ่าบาททรงตระหนักได้ว่าการกระทำของท่านพ่อล้วนเป็นเพราะความทะยานอยากที่จะยึดครองกองกำลังของจวนโหวแล้วทำให้ชีวิตของฮุ่ยเอ๋อและองค์ชายน้อยต้องตกอยู่ในอันตรายหรือ” คำพูดของเหยียนเซียวทำให้เหยียนฮูหยินส่ายหน้า“นางได้รับความโปรดปรานถึงเพียงนั้น แต่กลับไม่คิดจะทำเพื่อเจ้าแ
ฤดูกาลผันเปลี่ยนจากฤดูหนาวอันหนาวเหน็บเริ่มย่างเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิที่แสนจะงดงาม พออากาศเริ่มอุ่นขึ้นต้นทุนในการซื้อสมุนไพรก็ลดลงเมื่อต้นทุนลดลงผลกำไรก็มากขึ้น เมื่อได้ผลกำไรมากขึ้นก็ทำให้โม่ชิงเยว่เริ่มมีกำลังใจที่จะคิดค้นสินค้าชนิดใหม่ๆ เพื่อนำไปวางขายในร้านโม่เซียงของนาง“เหตุใดบรรดาถุงผ้าปักเหล่านี้จึงได้มีลวดลายแปลกตาเช่นนี้เล่า แล้วยังกล่องไม้สำหรับใส่ผงแป้งเหล่านี้อีกเจ้าไปเอาแนวทางในการคิดค้นรูปร่างและลวดลายพวกนี้มาจากไหน” คำถามของซ่งเหวินจิ้งทำให้โม่ชิงเยว่วางพู่กันที่ใช้วาดรูปลวดลายลงบนโต๊ะเขียนอักษรแล้วจึงได้สะบัดมือเพื่อคลายความเมื่อยล้า“หากข้าจะบอกว่าข้าได้รับแรงบันดาลใจมาจากความฝันอันยาวนานของข้าท่านจะเชื่อหรือไม่” เมื่อนางเอ่ยเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็พยักหน้า“เหตุใดจะไม่เชื่อกันเล่า ไม่ใช่ว่าข้าไม่เคยฝันเสียหน่อย เพียงแต่ความฝันของข้าไม่เคยนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์เช่นนี้” ซ่งเหวินจิ้งเอ่ยพลางเดินมานวดไหล่ให้โม่ชิงเยว่ด้วยความคุ้นชินส่วนโม่ชิงเยว่ก็เอนกายพิงพนักเก้าอี้แหงนหน้าขึ้นแล้วหลับตาเพื่อรับความสบายจากอุ้งมืออันอุ่นร้อนของเขาอย่างผ่อนคลาย“มันเป็นความฝันที่ยาวนานมาก ยาม
เมืองหลวงมีข่าวครึกโครมอีกครั้งเมื่อจวนนิ่งอันโหวถูกลอบโจมตี แม้ว่าจะสามารถจับตัวคนร้ายได้แต่นิ่งอันโหวกลับได้รับบาดเจ็บสาหัส ฝ่าบาททรงมีพระราชโองการให้เจ้ากรมอาญาตรวจสอบเรื่องนี้อย่างเข้มงวด อีกทั้งยังทรงส่งองค์ชายรองมาควบคุมการสอบสวนด้วยพระองค์เอง ทั้งนี้คนร้ายที่ถูกจับต่างก็ซัดทอดความผิดไปที่ไหวกั๋วกง ทำให้ไหวกั๋วกงต้องรีบเข้าวังเพื่อแก้ต่างให้กับตนเองและขอให้มีการตรวจสอบนักฆ่าเหล่านั้นอีกครั้งแต่แน่นอนว่าทางซ่งเหวินจิ้งได้เตรียมการเรื่องนี้เอาไว้แล้ว เขาไม่เพียงขอพระราชโองการคุ้มครองพยานให้กับเหล่านักฆ่า ยังส่งกองกำลังของตนเองคอยคุ้มครองครอบครัวและคนใกล้ชิดของเหล่านักฆ่าอย่างแน่นหนา เหล่านักฆ่าเองก็ไม่ใช่คนโง่พวกเขาเข้าออกจวนไหวกั๋วกงเป็นว่าเล่นย่อมมีลู่ทางสำรองเอาไว้บ้าง การที่พวกเขาลักลอบตีสนิทกับคนในจวนไหวกั๋วกงก็เพื่อให้พวกเขาเป็นคนมีตัวตนภายในจวน ไม่ใช่แค่เพียงนักฆ่าเงาที่ตายไปแล้วก็ไม่หลงเหลือร่องรอยให้ผู้คนตามหา ดังนั้นทางกรมอาญาย่อมสามารถที่จะหาคนมายืนยันฐานะของพวกเขาได้ว่าพวกเขาทำงานให้ไหวกั๋วกงจริงๆ ดังนั้นครั้งนี้ไหวกั๋วกงจึงไม่อาจจะปัดป้องความผิดของตนเองได้แล้ว“ท่านเ