หลังจากทำการคารวะและเยี่ยมเยียนผู้อาวุโสที่จวนสกุลเจียงเรียบร้อยแล้วโม่ชิงเยว่ก็พาลูกๆ ของนางกลับจวน แม้ว่าเด็กทั้งสองจะรบเร้าขอให้นางพาพวกเขาไปนั่งรถม้าเล่นรอบเมืองแต่เพราะวันนี้นางทิ้งจวนออกมาข้างนอกนานแล้วจึงกังวลว่าภายในจวนจะเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น จึงได้แต่สัญญากับลูกๆ ว่าวันหน้านางจะหาโอกาสพาพวกเขาออกไปเที่ยวเล่นซึ่งพวกเขาก็ยินยอมรับคำสัญญาด้วยสีหน้าและแววตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง
เมื่อกลับไปถึงจวนนิ่งอันโหวแล้วโม่ชิงเยว่ก็สั่งให้ชุ่ยเหมยพาซ่งจื่อเหยาและซ่งจื่อเยว่กลับเรือนพักไปก่อน ส่วนนางก็ไปสะสางบัญชีกับผู้คุมบัญชีที่ห้องหนังสือก่อน หลังจากที่สะสางบัญชีเสร็จเรียบร้อยแล้วนางก็ตั้งใจว่าจะกลับเรือนไปกินอาหารร่วมกับลูกๆ แต่ยังไม่ทันออกจากห้องบัญชีกลับมีสาวใช้ผู้หนึ่งเดินเข้ามารายงานนางด้วยน้ำเสียงระมัดระวังเข้าเสียก่อน
“ฮูหยินเจ้าคะ สุ่ยฮูหยินมาขอเข้าพบฮูหยินเจ้าค่ะ” คำพูดประโยคนี้ของสาวใช้ทำให้โม่ชิงเยว่พลันเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ
“เจ้าหมายถึงสุ่ยฮูหยินผู้เป็นภรรยาเอกของท่านเจ้ากรมพิธีการสุ่ยน่ะหรือ” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยถามเช่นนี้สาวใช้ผู้นั้นก็พยักหน้า
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ ยามนี้สุ่ยฮูหยินกำลังนั่งรอท่านอยู่ที่โถงรับรองเจ้าค่ะ” คำพูดของสาวใช้ทำให้โม่ชิงเยว่พยักหน้าแล้วเดินนำสาวใช้ผู้นั้นไปที่เรือนรับรอง
“ก่อนหน้านี้สุ่ยฮูหยินมาที่นี่บ่อยไหม” โม่ชิงเยว่เอ่ยถามสาวใช้นางนั้นอย่างตรงไปตรงมาด้วยรู้ดีว่าสาวใช้นางนี้มีหน้าที่คอยดูแลความเรียบร้อยของเรือนรับรอง ย่อมจะต้องเป็นคนที่ละเอียดลออ รอบคอบและที่สำคัญที่สุดก็มักจะเป็นคนที่มีไหวพริบมากคนหนึ่งจึงได้รับมอบหมายให้เป็นสาวใช้ที่ดูแลโถงรับรองแขก
“สุ่ยฮูหยินไม่ค่อยจะได้มาเจ้าค่ะ ยิ่งหลังจากที่เกิดเรื่องกับสุ่ยอี๋เหนียงแล้ว สุ่ยฮูหยินก็ไม่เคยมาอีกเลยเจ้าค่ะ” เมื่อสาวใช้เอ่ยเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็พลันรู้สึกประหลาดใจและคิดอยู่ในใจว่า
‘บุตรสาวถูกคนลงมือทำร้ายถึงเพียงนั้นแต่คนเป็นมารดากลับไม่เคยออกหน้ามาช่วยเหลือหรือว่ามาเยี่ยมเยียนเลยสักครั้ง แล้วยามนี้นางจะมาที่จวนโหวด้วยเหตุใด หรือพึ่งจะคิดได้ว่าควรจะออกหน้ามาเยี่ยมเยียนบุตรสาวสักครั้ง’ แต่เมื่อนางเดินไปถึงโถงรับรองสุ่ยฮูหยินกลับทำให้นางรู้สึกประหลาดใจ ด้วยฮูหยินผู้นี้กลับไม่ได้เอ่ยถามถึงบุตรสาวเลยสักประโยค
“ที่ข้ามาในวันนี้ก็เพราะได้ยินว่านิ่งอันโหวฮูหยินหายป่วยแล้วและยามนี้คือผู้ดูแลจวนแห่งนี้ข้าจึงได้นำของกำนัลมามอบให้และขอแสดงความยินดีที่ท่านหายป่วยได้เสียที” นี่คือคำพูดประโยคแรกของสุ่ยฮูหยินทำให้โม่ชิงเยว่จำต้องรีบเก็บงำสีหน้าของตนเองเอาไว้
“ขอบคุณสุ่ยฮูหยินมากเจ้าค่ะที่ยังนึกถึงข้า” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยเช่นนี้สุ่ยฮูหยินก็พยักหน้า
“ข้ารู้ว่าออกจะเป็นการไม่เหมาะสมหากข้าจะส่งเทียบเชิญมาให้ท่านโดยที่ข้าไม่ได้มาด้วยตนเอง อีกสามวันที่จวนสกุลสุ่ยจะจัดงานชิมชาชมบุปผา บุตรสาวคนเล็กของข้าสุ่ยอี้เหรินจะเป็นแม่งานในการจัดงานเลี้ยงเป็นครั้งแรก ในฐานะที่ยามนี้ฮูหยินหายป่วยแล้วอีกทั้งยังต้องแบกรับภาระหนักในการดูแลจวนโหวแห่งนี้เพียงผู้เดียว ข้าในฐานะที่เคยมาเป็นแขกที่จวนแห่งนี้ย่อมจะรู้ดีว่าการดูแลจวนแห่งนี้ต้องใช้แรงกายแรงใจมากเพียงใด จึงอยากจะเชื้อเชิญนิ่งอันโหวฮูหยินให้ไปเป็นแขกในงานเลี้ยงที่จวนของข้าด้วยตนเอง” สุ่ยฮูหยินเอ่ยพลางส่งสัญญาณให้สาวใช้นำเทียบเชิญมามอบให้โม่ชิงเยว่ สาวใช้ที่ยืนอยู่ข้างกายของโม่ชิงเยว่ก็รีบเดินไปรับเทียบเชิญเอาไว้ด้วยท่าทีสุภาพและอ่อนน้อม
“ขอบคุณสุ่ยฮูหยินมากนะเจ้าคะ ที่มาเชื้อเชิญข้า เพียงแต่ยามนี้ท่านแม่สามีของข้าไม่สบายอีกทั้งน้องสามีของข้าก็ได้รับโทษและถูกคุมขังอยู่ที่กรมอาญา ทำให้ข้าไม่ค่อยจะมีกะจิตกะใจที่จะไปเข้าร่วมงานเลี้ยงสักเท่าไหร่” โม่ชิงเยว่ยังไม่ทันเอ่ยจบประโยคสุ่ยฮูหยินก็รีบเอ่ยคำพูดโต้แย้งออกมา
“อย่าพึ่งรีบปฏิเสธ เรื่องข่าวลือของจวนโหวทำให้บรรดาสตรีในเรือนหลังต่างให้ความสนใจ นิ่งอันโหวฮูหยินคงจะไม่รู้ว่าในยามนี้มีคนกล่าวถึงท่านกันอย่างแพร่หลายและอยากจะรู้ว่าท่านนั้นเป็นสตรีเช่นไร หากข้าเป็นท่านจะต้องหางานเลี้ยงที่ได้รับความนิยมสักงานไปเปิดเผยตัวให้ผู้อื่นได้รู้ว่าแท้จริงแล้วท่านไม่ได้อ่อนด้อย แต่เป็นแม่สามีของท่านต่างหากที่คิดอคติจนเกินไป” สุ่ยฮูหยินเอ่ยพลางทอดถอนใจออกมา
“สตรีเช่นพวกเราก่อนแต่งงานชื่อฟังบิดา หลังแต่งงานก็ต้องเชื่อฟังสามี ไม่มีสิ่งใดที่จะสร้างความบันเทิงให้ได้มากนัก ดังนั้นเรื่องการเอ่ยถึงผู้อื่นก็ถือว่าเป็นความบันเทิงอย่างหนึ่ง ในฐานะที่เป็นมารดาของบุตรสาวท่านคงจะไม่อยากให้ผู้อื่นเอ่ยถึงบุตรสาวในทางที่ไม่ดีเพียงเพราะชื่อเสียงที่ไม่ค่อยจะดีของท่านกระมัง จริงอยู่ข่าวลือที่ผู้คนภายนอกเอ่ยถึงอยู่นั้นท่านเป็นผู้ถูกกระทำ แต่ก็มีอีกหลายเสียงที่ว่ากันว่าสาเหตุที่ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ชอบท่านเป็นเพราะท่านไม่มีสิ่งใดคู่ควรที่จะเป็นฮูหยินของนิ่งอันโหว หากข้าเป็นท่านข้าจะไปปรากฏโฉมให้ผู้อื่นได้รับรู้ว่าสิ่งที่ผู้อื่นกำลังพูดกันอยู่นั้นไม่ใช่ความจริง” เมื่อสุ่ยฮูหยินเอ่ยเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็ยิ้มออกมา
“ขอบคุณสุ่ยฮูหยินที่คิดแทนข้า เพียงแต่ท่านไม่ได้ยินข่าวลือระหว่างข้ากับจวนสกุลสุ่ยของท่านจริงๆ หรือ หากข้าไปเป็นแขกของท่าน ท่านไม่กลัวว่าผู้อื่นจะเอาไปพูดกันอย่างสนุกปากหรือ” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยถามตามตรงเช่นนี้วสุ่ยฮูหยินก็พยักหน้า
“นี่คืออีกสาเหตุที่ข้าต้องมาเชิญท่านด้วยตนเอง บุตรสาวคนเล็กของข้าสุ่ยอี้เหรินได้เวลาที่เริ่มพูดคุยเกี่ยวกับหมั้นหมายแล้ว ดังนั้นหากท่านไปเป็นแขกของนาง ข่าวคราวความบาดหมางทั้งสองสกุลจะได้ลดลง หากท่านไปเป็นแขกได้เรื่องแต่งงานของบุตรสาวคนเล็กของข้าก็จะได้ตกลงกันได้ง่ายขึ้น” เมื่อสุ่ยฮูหยินเอ่ยเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็พลันเลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้นสุ่ยฮูหยินจะได้อธิบายต่อ
“แน่นอนว่าจะได้เป็นผลดีต่อท่านด้วย ถึงแม้ว่าสามีของข้าจะเป็นแค่เจ้ากรมพิธีการ แต่เขาก็มีฐานะเป็นถึงมาตุลาขององค์ชายรอง หากท่านไปเป็นแขกที่งานเลี้ยงแน่นอนว่าความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยจะดีนักระหว่างจวนสกุลสุ่ยและจวนนิ่งอันโหวย่อมจะต้องกลับมาดีเช่นเดิม” สุ่ยฮูหยินเอ่ยพลางจ้องมองโม่ชิงเยว่ด้วยสายตาของผู้อาวุโสที่ใช้มองเด็กสาวที่ยังมีความคิดไม่แตกฉานผู้หนึ่ง แต่โม่ชิงเยว่กลับมองสุ่ยฮูหยินด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเย็นชาด้วยรู้ดีว่าเจตนาของสุ่ยฮูหยินไม่มีทางอยากเห็นนางได้รับการยอมรับจากผู้อื่นแน่ แต่เมื่อคิดได้ว่านางเองก็อยากจะรู้เช่นเดียวกันว่าสุ่ยฮูหยินผู้นี้คิดจะเล่นงานนางเช่นไร โม่ชิงเยว่จึงได้ตัดสินใจตอบตกลงกับนาง
“ถ้าเช่นนั้นข้าคงไม่กล้าปฏิเสธแล้ว หากข้าไม่ไปร่วมงานก็จะกลายเป็นว่าข้าปฏิเสธความตั้งใจดีที่จะกลับมาสานสัมพันธ์ระหว่างจวนสกุลสุ่ยและจวนนิ่งอันโหว ด้วยชื่อเสียงของข้าในยามนี้คงจะแบกรับคำพูดทำนองนั้นของผู้อื่นไม่ไหวแน่ๆ” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยเช่นนี้สุ่ยฮูหยินก็จ้องมองนางด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป
“ในเมื่อนิ่งอันโหวฮูหยินไม่ปฏิเสธคำเชิญของข้า ดังนั้นข้าจะกำชับให้บุตรสาวคนเล็กของข้าเตรียมการต้อนรับนิ่งอันโหวฮูหยินให้ดีไม่ให้ท่านคิดตำหนิเด็ดขาดว่าจวนสกุลสุ่ยของพวกข้าต้อนรับท่านได้ไม่ดี” เมื่อสุ่ยฮูหยินเอ่ยเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็พยักหน้า
“ท่านจะไปเยี่ยมบุตรสาวอีกคนของท่านหรือไม่ วางใจเถิดข้าให้คนคอยดูแลนางเป็นอย่างดีรับรองได้ว่าเมื่อท่านเห็นนางจะต้องลืมเลือนไปแล้วว่านางทำความผิดอะไรไว้” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้สุ่ยฮูหยินพลันมีสีหน้าซีดเผือด
“นางไม่ใช่บุตรสาวของข้าแล้ว ความผิดที่นางทำลงไปล้วนเป็นการกระทำของนางเองทั้งนั้นไม่เกี่ยวกับสกุลสุ่ยของข้า” คำพูดของสุ่ยฮูหยินทำให้โม่ชิงเยว่พยักหน้า
“อ่อ ข้าเข้าใจแล้ว ถ้าเช่นนั้นข้าก็ขอขอบคุณท่านมากที่มาส่งเทียบเชิญให้ข้าด้วยตนเองเช่นนี้” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยเช่นนี้สุ่ยฮูหยินจึงได้เอ่ยอำลาด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“เช่นนั้นข้าคงจะต้องขอตัวก่อน เอาไว้พบกันในงานเลี้ยงที่จวนสกุลสุ่ยจะจัดขึ้นในอีกสามวัน” เมื่อสุ่ยฮูหยินเอ่ยเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็รีบตอบรับในทันทีแล้วจึงได้ขยับกายลุกขึ้นเพื่อไปส่งแขกที่หน้าประตูของเรือนรับรองแห่งนี้ตามมารยาทที่พึงจะทำ
ยามที่ซ่งเหวินจิ้งตื่นขึ้นมาสิ่งแรกที่เขาเห็นก็คือม่านมุ้งในห้องนอนของโม่ชิงเยว่ที่ปรากฏเข้าสู่สายตา เขากะพริบตาอีกครั้งแล้วจึงได้พยายามทบทวนว่าเรื่องเมื่อคืนนี้เป็นความฝันหรือว่าเป็นความจริงกันแน่ กลิ่นกายอันหอมกรุ่นของนางแผ่กำจายไปทั่วม่านมุ้งอีกทั้งยังดูเหมือนว่าจะหอมกรุ่นติดตามร่างกายของเขาไปด้วย อีกทั้งปฏิกิริยาทางร่างกายที่ไม่เหมือนเดิมของเขาทำให้เขารู้ว่าสัมผัสอันน่าหลงใหลเมื่อคืนนี้ไม่ใช่แค่เพียงความฝัน เมื่อคิดได้เช่นนั้นก็ทำให้มีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าของเขาในทันที“นอนตาลอยแล้วยิ้มราวกับคนเสียสติเช่นนั้นท่านทำให้ข้าชักจะรู้สึกหวาดกลัวท่านแล้วนะ” เสียงทักของโม่ชิงเยว่ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของซ่งเหวินจิ้งพลันหายไปในทันที“มีสิ่งใดให้น่ากลัวกัน” เขาเอ่ยพลางพลิกตัวแล้วดึงผ้าห่มอันหมิ่นเหม่ขึ้นมาคลุมร่างกายของตนเองเอาไว้ ด้วยไม่รู้ว่าคนที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงหน้าเตียงนั่งจ้องมองเขานานเท่าไหร่แล้ว“แล้วเจ้ายกเก้าอี้มานั่งจ้องมองข้าเช่นนี้ทำไมกัน” เมื่อเขาถามเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็ยิ้มออกมา“เมื่อคืนนี้มีคนบอกกับข้าว่าอยากจะตื่นขึ้นมาพร้อมกันกับข้ามิใช่หรือ ข้าก็เลยมานั่งรอให้ท่า
หลังจากดูพลุไฟแล้วซ่งเหวินจิ้งและโม่ชิงเยว่ก็เดินไปส่งเด็กๆ กลับเรือนด้วยตนเอง แน่นอนว่าซ่งเหวินจิ้งย่อมจะต้องเดินตรวจตรารอบๆ เรือนด้วยตนเองอีกครั้งและยังกำชับให้คนของเขาคอยคุ้มกันจวนให้ดี อีกทั้งยังสั่งสาวใช้ภายในเรือนให้วันพรุ่งนี้ย้ายข้าวของเครื่องใช้ของซ่งจื่อเยว่และซ่งจื่อเหยาไปที่เรือนของโม่ชิงเยว่ เมื่อสั่งการทุกคนเสร็จเรียบร้อยดีแล้วเขาจึงได้เดินไปที่เรือนของโม่ชิงเยว่เพื่อตรวจตราความเรียบร้อยอีกครั้ง พอเห็นว่าการรักษาความปลอดภัยของเรือนนี้แน่นหนาดีแล้วเขาจึงได้เข้าไปหาโม่ชิงเยว่ที่กำลังนั่งจิบน้ำชาอยู่ภายในเรือน“ในเมื่อลงนามสงบศึกแล้ว คนของแคว้นต้าเป่ยก็ไม่น่าจะสร้างความร้าวฉานด้วยการลอบโจมตีท่านและครอบครัวอย่างที่ท่านกำลังกังวลอยู่” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ซ่งเหวินจิ้งส่ายหน้า“แคว้นต้าเป่ยแม้ว่าจะปกครองด้วยเชื้อพระวงศ์สกุลเซียว แต่สกุลที่กุมอำนาจทางกองทัพก็คือสกุลหม่า ข้าที่พึ่งจะฆ่าผู้นำสกุลและนักรบอีกหลายคนของสกุลหม่าย่อมจะต้องกลายเป็นเป้าแห่งความแค้นเคืองของพวกเขา แม้ว่าฮ่องเต้ของพวกเขาจะลงพระนามขอสงบศึกแล้ว แต่คนสกุลหม่าใช่ว่าจะก่อเรื่องไม่ได้ขอแค่เพียงสิ้นไร้หลักฐานก็ไ
ฮ่องเต้แคว้นต้าเป่ยส่งราชสาส์นมาขอเจรจาสงบศึก อีกทั้งยังยินดีที่จะส่งเครื่องราชบรรณาการมาถวายแด่ฮ่องเต้แคว้นเหลียนทุกปี เมื่อทางฝั่งแคว้นต้าเป่ยยินยอมอ่อนข้อให้จนถึงขั้นนี้มีหรือที่หลี่เฟยหลงฮ่องเต้จะปฏิเสธหลังจากนั้นจึงได้ส่งราชสาส์นตอบกลับไปด้วยความยินดี เมื่อมีสัญญาณว่าการศึกจะสงบอย่างถาวรเช่นนี้ ประชาชนในแคว้นต่างก็รู้สึกยินดีกันทั่วหน้า สงครามจบสิ้นแล้วก็หมายความว่าต่อไปพวกเขาจะได้อยู่อย่างสงบสุขไปอีกหลายปี ไม่ต้องกังวลว่าคนในครอบครัวจะต้องไปพลีชีพเพื่อปกป้องแคว้นที่ชายแดนอีกจวบจนเมื่อมีการลงนามสงบศึกอย่างเป็นทางการชาวบ้านร้านตลาดก็ต่างพร้อมใจกันจัดงานรื่นเริงเพื่อเฉลิมฉลอง พลุไฟนับหมื่นพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อโอ้อวดความงดงามท่ามกลางความมืดมิดในยามราตรี ซ่งเหวินจิ้งยืนนิ่งจ้องมองพลุไฟเหล่านั้นด้วยสีหน้ากังวลใจเมื่อคิดได้ว่าท่ามกลางงานเลี้ยงเฉลิมฉลองกำลังมีคนของแคว้นต้าเป่ยเข้ามาแทรกซึมอยู่ในเมืองหลวง ยามนี้เขาทำหอดูดาวให้สูงขึ้นแล้วรื้อหลังคาของหอดูดาวออก ทำให้เขาและครอบครัวสามารถชื่นชมความงามของพลุไฟได้อย่างเต็มที่“ท่านแม่! ท่านดูสิราวกับมีดอกไม้นับหมื่นกำลังแข่งกันเบ่งบานอย
ในขณะที่ทางจวนโหวมีคนกำลังพยายามเร่งสานความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา ทางจวนตระกูลเหยียนหรืออดีตจวนไหวกั๋วกงก็กำลังตกอยู่ในช่วงเวลาแห่งความตึงเครียด เหยียนฮูหยินผู้เคยได้ดำรงตำแหน่งฮูหยินของท่านกั๋วกงก็กำลังนั่งร้องไห้อ้อนวอนขอให้บุตรชายหาหนทางช่วยสามีที่ในยามนี้ถูกขังอยู่ในคุกของกรมอาญา“เจ้าไม่คิดจะช่วยท่านพ่อของเจ้าจริงๆ หรือ เสียแรงที่พ่อของเจ้าทำทุกอย่างก็เพื่อเจ้า” เหยียนฮูหยินเอ่ยพลางใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาด้วยท่วงท่าที่ดูอ่อนแอและบอบบางราวกับว่าจะแตกหักได้ทุกเมื่อ“จะให้ข้าช่วยอย่างไร ให้ข้าไปคุกเข่าขอพระเมตตาแล้วทำให้ข้าและสกุลเหยียนทั้งสกุลถูกฝ่าบาทหวาดระแวงและคิดว่าพวกเราสกุลเหยียนมีความทะเยอทะยานในราชบัลลังก์เช่นนั้นหรือ ท่านแม่อย่าได้ลืมสิว่าฮุ่ยเอ๋อต้องเสียสละอะไรไปบ้าง ยามนี้นางกำลังได้รับความโปรดปรานท่านอยากให้ฝ่าบาททรงตระหนักได้ว่าการกระทำของท่านพ่อล้วนเป็นเพราะความทะยานอยากที่จะยึดครองกองกำลังของจวนโหวแล้วทำให้ชีวิตของฮุ่ยเอ๋อและองค์ชายน้อยต้องตกอยู่ในอันตรายหรือ” คำพูดของเหยียนเซียวทำให้เหยียนฮูหยินส่ายหน้า“นางได้รับความโปรดปรานถึงเพียงนั้น แต่กลับไม่คิดจะทำเพื่อเจ้าแ
ฤดูกาลผันเปลี่ยนจากฤดูหนาวอันหนาวเหน็บเริ่มย่างเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิที่แสนจะงดงาม พออากาศเริ่มอุ่นขึ้นต้นทุนในการซื้อสมุนไพรก็ลดลงเมื่อต้นทุนลดลงผลกำไรก็มากขึ้น เมื่อได้ผลกำไรมากขึ้นก็ทำให้โม่ชิงเยว่เริ่มมีกำลังใจที่จะคิดค้นสินค้าชนิดใหม่ๆ เพื่อนำไปวางขายในร้านโม่เซียงของนาง“เหตุใดบรรดาถุงผ้าปักเหล่านี้จึงได้มีลวดลายแปลกตาเช่นนี้เล่า แล้วยังกล่องไม้สำหรับใส่ผงแป้งเหล่านี้อีกเจ้าไปเอาแนวทางในการคิดค้นรูปร่างและลวดลายพวกนี้มาจากไหน” คำถามของซ่งเหวินจิ้งทำให้โม่ชิงเยว่วางพู่กันที่ใช้วาดรูปลวดลายลงบนโต๊ะเขียนอักษรแล้วจึงได้สะบัดมือเพื่อคลายความเมื่อยล้า“หากข้าจะบอกว่าข้าได้รับแรงบันดาลใจมาจากความฝันอันยาวนานของข้าท่านจะเชื่อหรือไม่” เมื่อนางเอ่ยเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็พยักหน้า“เหตุใดจะไม่เชื่อกันเล่า ไม่ใช่ว่าข้าไม่เคยฝันเสียหน่อย เพียงแต่ความฝันของข้าไม่เคยนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์เช่นนี้” ซ่งเหวินจิ้งเอ่ยพลางเดินมานวดไหล่ให้โม่ชิงเยว่ด้วยความคุ้นชินส่วนโม่ชิงเยว่ก็เอนกายพิงพนักเก้าอี้แหงนหน้าขึ้นแล้วหลับตาเพื่อรับความสบายจากอุ้งมืออันอุ่นร้อนของเขาอย่างผ่อนคลาย“มันเป็นความฝันที่ยาวนานมาก ยาม
เมืองหลวงมีข่าวครึกโครมอีกครั้งเมื่อจวนนิ่งอันโหวถูกลอบโจมตี แม้ว่าจะสามารถจับตัวคนร้ายได้แต่นิ่งอันโหวกลับได้รับบาดเจ็บสาหัส ฝ่าบาททรงมีพระราชโองการให้เจ้ากรมอาญาตรวจสอบเรื่องนี้อย่างเข้มงวด อีกทั้งยังทรงส่งองค์ชายรองมาควบคุมการสอบสวนด้วยพระองค์เอง ทั้งนี้คนร้ายที่ถูกจับต่างก็ซัดทอดความผิดไปที่ไหวกั๋วกง ทำให้ไหวกั๋วกงต้องรีบเข้าวังเพื่อแก้ต่างให้กับตนเองและขอให้มีการตรวจสอบนักฆ่าเหล่านั้นอีกครั้งแต่แน่นอนว่าทางซ่งเหวินจิ้งได้เตรียมการเรื่องนี้เอาไว้แล้ว เขาไม่เพียงขอพระราชโองการคุ้มครองพยานให้กับเหล่านักฆ่า ยังส่งกองกำลังของตนเองคอยคุ้มครองครอบครัวและคนใกล้ชิดของเหล่านักฆ่าอย่างแน่นหนา เหล่านักฆ่าเองก็ไม่ใช่คนโง่พวกเขาเข้าออกจวนไหวกั๋วกงเป็นว่าเล่นย่อมมีลู่ทางสำรองเอาไว้บ้าง การที่พวกเขาลักลอบตีสนิทกับคนในจวนไหวกั๋วกงก็เพื่อให้พวกเขาเป็นคนมีตัวตนภายในจวน ไม่ใช่แค่เพียงนักฆ่าเงาที่ตายไปแล้วก็ไม่หลงเหลือร่องรอยให้ผู้คนตามหา ดังนั้นทางกรมอาญาย่อมสามารถที่จะหาคนมายืนยันฐานะของพวกเขาได้ว่าพวกเขาทำงานให้ไหวกั๋วกงจริงๆ ดังนั้นครั้งนี้ไหวกั๋วกงจึงไม่อาจจะปัดป้องความผิดของตนเองได้แล้ว“ท่านเ