แชร์

บทที่ 40 ปิดล้อมจวนสกุลสุ่ย

ผู้เขียน: BigM00N
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-05-23 21:48:26

ยามที่ขบวนแห่โลงศพของสุ่ยอี้หรงเคลื่อนผ่านไปแล้ว โม่ชิงเยว่จึงได้หันมาทางบุตรชายและบุตรสาวของตนเอง นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้พบเจอกับขบวนแห่เช่นนี้พวกเขาจึงได้จ้องมองด้วยความสนใจ

“อย่าได้มองอีกเลย เกิดแก่เจ็บตายล้วนเป็นเรื่องธรรมดา” โม่ชิงเยว่เอ่ยกับลูกๆ ของนางด้วยน้ำเสียอ่อนโยน ซึ่งเด็กๆ ก็พยักหน้าแล้วหันไปให้ความสนใจกับของเล่นในร้านค้าอีกครั้ง

“เขาคือคนที่สังหารสุ่ยอี้หรงเองกับมือ ข้าขอเตือนเจ้าว่าเหยียนเซียวไม่ใช่คนที่เจ้าควรจะข้องแวะด้วย” เสียงกระซิบของคนที่มายืนข้างหลังทำให้โม่ชิงเยว่กะพริบตาแล้วจึงได้ยิ้มออกมา

“เหตุใดวันนี้ใต้เท้าจึงได้ออกมาเดินเที่ยวเล่นได้” คำถามของนางทำให้สายตาทุกคู่จ้องมองไปที่เขา ชายหนุ่มที่มีหน้ากากโลหะบนใบหน้าย่อมจะดูแปลกตาในสายตาของผู้อื่น

“ข้ามาทำงานแต่บังเอิญเห็นฮูหยินเข้าก็เลยแวะเข้ามาทักทาย” ซ่งเหวินจิ้งเอ่ยแล้วจ้องมองบุตรสาวและบุตรชายที่กำลังจ้องมองเขาด้วยแววตาที่ฉายความสนใจ เขาจึงได้ย่อตัวลงให้อยู่ในระดับเดียวกับสายตาของเด็กๆ แล้วเอ่ยกับพวกเขาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยน

“คุณหนูและคุณชายอยากได้ของชิ้นไหนบอกข้าได้เลยนะ อืม หุ่นไม้ตัวนั้นดีไหมแกะสลักได้งดงามน่าซื้อเอาไปเก็บไว้ แล้วยังมีกลเก้าห่วงนั่นก็น่าสนใจ ตัวต่อเหล่านั้นฝึกเล่นเอาไว้ก็ดี” ซ่งเหวินจิ้งเอ่ยพลางชี้ของในร้านให้เด็กทั้งสองแล้วจึงได้เอ่ยกับเถ้าแก่ในร้านด้วยน้ำเสียงเอาแต่ใจ

“เถ้าแก่ส่งของทั้งหมดนั่นไปที่จวนนิ่งอันโหว ต้องจ่ายเท่าไหร่ก็บอกกับคนของข้าได้เลย” เมื่อซ่งเหวินจิ้งเอ่ยเช่นนี้ดวงตาของเด็กน้อยทั้งสองก็เปล่งประกาย โม่ชิงเยว่จ้องมองเขาด้วยสายตาเย็นชาจนเขาหัวเราะแหะๆ ออกมาแล้วเอ่ยกับนางเพื่อให้ผู้อื่นได้ยิน

“ข้ารู้ว่าท่านอยากจะอบรมสั่งสอนไม่ให้คุณหนูและคุณชายเป็นคนฟุ้งเฟ้อจับจ่ายใช้สอยอย่างไม่รู้ค่าของเงิน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้พบกับคุณหนูและคุณชายก็เลยอยากจะมอบของขวัญแรกพบหน้า ขอนิ่งอันโหวฮูหยินอย่าได้ปฏิเสธไมตรีของข้าเลย” คำพูดของซ่งเหวินจิ้งทำให้โม่ชิงเยว่เม้มปากแน่น เขาจึงได้ขยับกายลุกขึ้นแล้วเอ่ยกับนางเสียงเบา

“พวกเขายังเด็กเจ้าก็อย่าได้เข้มงวดนักเลย”

“เรื่องบางอย่างควรจะปลูกฝังตั้งแต่เด็ก” โม่ชิงเยว่เอ่ยพึมพำเสียงเบาแต่ก็เพียงพอให้ซ่งเหวินจิ้งได้ยินเขาจึงได้ยิ้มออกมา

“ได้ๆ ข้าไม่เถียงฮูหยินแล้ว เพียงแต่ข้าวของเหล่านี้ข้าสั่งซื้อไปแล้วก็ให้แล้วไปเถิดนะ ต่อไปคราวหน้าข้าจะไม่ทำเรื่องที่ตรงกันข้ามกับความต้องการของฮูหยินอีก” ซ่งเหวินจิ้งเอ่ยพลางพยักพเยิดให้นางดูสีหน้าที่เต็มไปด้วยความดีอกดีใจของเด็กทั้งสอง โม่ชิงเยว่จึงได้แต่ทอดถอนใจออกมาแล้วคิดได้ว่านางคงจะเข้มงวดกับบุตรชายและบุตรสาวจนเกินไป

“อย่าได้มีครั้งหน้าอีก” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็รีบพยักหน้าพลางตอบรับถ้อยคำของนางในทันที

“ได้ๆ ต่อไปเจ้าว่าอย่างไรข้าก็จะว่าอย่างนั้น” คำพูดของซ่งเหวินจิ้งนั้นโม่ชิงเยว่ไม่ค่อยอยากจะเชื่อถือเท่าใดนัก แต่เพราะไม่อยากจะโต้เถียงเขาต่อหน้าผู้อื่นนางจึงไม่ได้เอ่ยอันใดออกมาอีก หลังจากนั้นซ่งเหวินจิ้งก็ติดตามนางและลูกๆ เดินไปเลือกซื้อของอีกครู่หนึ่งแล้วจึงได้มาเอ่ยลากับนาง

“ข้าต้องไปทำงานให้องค์ชายรองแล้ว ช่วงนี้ในเมืองหลวงไม่ค่อยจะสงบเท่าใดนักขอนิ่งอันโหวฮูหยินได้โปรดระวังตัวด้วย” เมื่อเขาเอ่ยจบก็พาคนของเขาจากไปในทันที โม่ชิงเยว่จึงได้พาลูกๆ ของนางกลับจวน

เมื่อกลับถึงจวนนางจึงได้พบว่านอกจากของเล่นที่ซ่งเหวินจิ้งสั่งให้เถ้าแก่ร้านนำมาส่งแล้วยังมีเสื้อผ้าและของกินของใช้จากร้านที่นางและลูกๆ เข้าไปเดินเล่นในร้าน การที่เขาส่งข้าวของเหล่านี้มาให้แสดงให้เห็นว่าเขาได้ส่งคนติดตามนางและลูกๆ

“ทำอย่างไรกับข้าวของเหล่านี้ดีเจ้าคะ” ชุ่ยเหมยเอ่ยถามเจ้านายอย่างทำอันใดไม่ถูก

“ช่างเถิด! ที่ควรนำไปเก็บก็นำไปเก็บเถิด ส่วนของที่กินได้ก็แจกจ่ายออกไปเถิด” โม่ชิงเยว่เอ่ยพลางเดินไปที่ห้องทำบัญชีส่วนตัวของตนเอง

“ฮูหยินเจ้าคะ ยังมีสิ่งนี้ด้วยเจ้าค่ะ” ชุ่ยเอ่ยเอ่ยพลางยื่นโฉนดร้านค้าสามร้านให้โม่ชิงเยว่

“โฉนดร้านค้าบนถนนซางจื้อ” โม่ชิงเยว่เอ่ยพึมพำออกมาเมื่อได้อ่านโฉนดที่ได้มาอย่างชัดเจน

“ถนนซางจื้อหรือเจ้าคะ ร้านค้าบนถนนสายนั้นมีราคาแพงมากไม่ใช่หรือเจ้าคะ ฮูหยินให้บ่าวไปสอบถามตั้งหลายครั้งแต่เพราะราคาสูงจนเกินไปพวกเราก็เลยพักเรื่องซื้อร้านค้าบนถนนสายนั้นไปก่อน คิดไม่ถึงว่ายามนี้เมื่อได้มากลับได้มาถึงสามร้าน” ชุ่ยเหมยเอ่ยพลางทอดถอนใจออกมา

“น่าเสียดายว่าสาเหตุที่ได้มาไม่ค่อยจะเป็นอย่างที่ใจของข้าต้องการมากนัก” โม่ชิงเยว่เอ่ยพลางวางโฉนดลงไปบนโต๊ะ

“แล้วฮูหยินจะทำอย่างไรกับโฉนดร้านค้าเหล่านี้เล่าเจ้าคะ” คำถามของชุ่ยเหมยทำให้โม่ชิงเยว่ยิ้มออกมา

“ในเมื่อได้มาแล้วก็นำมาใช้เสียเถิด เอาไว้วันหน้าเมื่อข้าหาเงินได้ค่อยมอบเงินคืนให้เขาก็แล้วกัน ถึงอย่างไรยามนี้ข้าก็หลีกหนีการพึ่งพาจวนโหวแห่งนี้ไม่ได้ดังนั้นก็ใช้การพึ่งพานี้ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดก็แล้วกัน” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยเช่นนี้ชุ่ยเหมยก็พยักหน้าแล้วหลังจากนั้นสองนายบ่าวก็หารือร่วมกันว่าจะทำอย่างไรกับโฉนดร้านค้าที่ได้มา

ส่วนทางด้านซ่งเหวินจิ้งหลังจากที่แยกกับโม่ชิงเยว่มาแล้วเขาก็รีบย้อนกลับไปสมทบกับองค์ชายรองที่รอเขาอยู่ ยามที่องค์ชายรองได้ทอดพระเนตรเห็นซ่งเหวินจิ้งองค์ชายรองก็ทรงตรัสกับเขาด้วยพระสุรเสียงหยอกล้อในทันที

“ระมัดระวังแทบตาย แต่พอเดินผ่านมาเห็นว่าฮูหยินของเจ้าสบตากับเหยียนเซียวเนิ่นนานเกินไปหน่อยถึงกับละทิ้งหน้าที่รีบตามไปเฝ้านางด้วยตนเองเชียวหรือ”

“องค์ชายรองอย่าได้ทรงล้อกระหม่อมด้วยเรื่องนี้ หากอยากให้กระหม่อมทำงานให้ห้ามตรัสอะไรที่อาจจะกระทบกับชื่อเสียงของฮูหยินของกระหม่อมโดยเด็ดขาด” เมื่อซ่งเหวินจิ้งเอ่ยเช่นนี้องค์ชายรองก็ทรงส่ายพระพักตร์

“ตอนที่เสด็จพ่อทรงตรัสถามว่าผู้ใดยินดีที่จะแต่งกับบุตรสาวของแม่ทัพโม่ ข้าจำได้ว่านอกจากเจ้าแล้วก็ยังมีเหยียนเซียวผู้นี้ด้วยมิใช่หรือ ฮ่า ฮ่า เหวินจิ้งเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่อย่าคิดว่าข้าไม่รู้นะ” เมื่อองค์ชายรองทรงตรัสเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“ทรงอยากจะให้กระหม่อมสะสางจวนสกุลสุ่ยให้อีกหรือไม่” เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้องค์ชายรองก็รีบตรัสตอบในทันที

“แน่นอนว่าย่อมจะต้องสะสาง เหวินจิ้ง! จวนสกุลสุ่ยติดค้างเจ้าอยู่นะ หากไม่เพราะพวกเขาลักลอบไปตกลงเรื่องการแต่งสุ่ยอี้โหรวเข้าจวนลับหลังเจ้า คืนเข้าหอของเจ้าก็คงจะไม่จบลงด้วยการที่เจ้าต้องไปคุกเข่าอยู่ที่หน้าตำหนักเจี้ยนคังของเสด็จพ่อเกือบทั้งคืนหรอก ดังนั้นเรื่องสะสางจวนสกุลสุ่ยหากข้าไม่ไหว้วานเจ้าก็คงจะสะสางด้วยตนเองอยู่แล้ว” เมื่อองค์ชายรองทรงตรัสเช่นนี้นี้ซ่งเหวินจิ้งก็แค่นหัวเราะออกมาแล้วหันไปออกคำสั่งกับคนของตนในทันที

“สั่งการลงไป จวนสกุลสุ่ยกำเริบเสิบสานคิดวางยาทำร้ายท่านหญิงและฮูหยินของขุนนางในราชสำนัก พวกเจ้าจงไปปิดล้อมจวนสกุลสุ่ยค้นหาหลักฐานทั้งหมดแล้วนำมาให้ข้า ข้าจะได้นำหลักฐานทั้งหมดเข้าวังไปกราบทูลฝ่าบาท” เมื่อซ่งเหวินจิ้งเอ่ยเช่นนี้คนของเขาก็แยกย้ายกันไปรวบรวมหลักฐานในทันทีก่อนหน้านี้พวกเขาส่งคนไปแทรกซึมอยู่ในจวนสกุลสุ่ยเอาไว้แล้วดังนั้นเรื่องการรวบรวมหลักฐานจึงเป็นเรื่องที่ง่ายดายสำหรับพวกเขา

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • ฮูหยินผู้ถูกลืมเลือน ณ. เรือนเหมันต์   บทที่ 66 ความเบิกบานของท่านโหว

    ยามที่ซ่งเหวินจิ้งตื่นขึ้นมาสิ่งแรกที่เขาเห็นก็คือม่านมุ้งในห้องนอนของโม่ชิงเยว่ที่ปรากฏเข้าสู่สายตา เขากะพริบตาอีกครั้งแล้วจึงได้พยายามทบทวนว่าเรื่องเมื่อคืนนี้เป็นความฝันหรือว่าเป็นความจริงกันแน่ กลิ่นกายอันหอมกรุ่นของนางแผ่กำจายไปทั่วม่านมุ้งอีกทั้งยังดูเหมือนว่าจะหอมกรุ่นติดตามร่างกายของเขาไปด้วย อีกทั้งปฏิกิริยาทางร่างกายที่ไม่เหมือนเดิมของเขาทำให้เขารู้ว่าสัมผัสอันน่าหลงใหลเมื่อคืนนี้ไม่ใช่แค่เพียงความฝัน เมื่อคิดได้เช่นนั้นก็ทำให้มีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าของเขาในทันที“นอนตาลอยแล้วยิ้มราวกับคนเสียสติเช่นนั้นท่านทำให้ข้าชักจะรู้สึกหวาดกลัวท่านแล้วนะ” เสียงทักของโม่ชิงเยว่ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของซ่งเหวินจิ้งพลันหายไปในทันที“มีสิ่งใดให้น่ากลัวกัน” เขาเอ่ยพลางพลิกตัวแล้วดึงผ้าห่มอันหมิ่นเหม่ขึ้นมาคลุมร่างกายของตนเองเอาไว้ ด้วยไม่รู้ว่าคนที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงหน้าเตียงนั่งจ้องมองเขานานเท่าไหร่แล้ว“แล้วเจ้ายกเก้าอี้มานั่งจ้องมองข้าเช่นนี้ทำไมกัน” เมื่อเขาถามเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็ยิ้มออกมา“เมื่อคืนนี้มีคนบอกกับข้าว่าอยากจะตื่นขึ้นมาพร้อมกันกับข้ามิใช่หรือ ข้าก็เลยมานั่งรอให้ท่า

  • ฮูหยินผู้ถูกลืมเลือน ณ. เรือนเหมันต์   บทที่ 65 ปรนนิบัติ

    หลังจากดูพลุไฟแล้วซ่งเหวินจิ้งและโม่ชิงเยว่ก็เดินไปส่งเด็กๆ กลับเรือนด้วยตนเอง แน่นอนว่าซ่งเหวินจิ้งย่อมจะต้องเดินตรวจตรารอบๆ เรือนด้วยตนเองอีกครั้งและยังกำชับให้คนของเขาคอยคุ้มกันจวนให้ดี อีกทั้งยังสั่งสาวใช้ภายในเรือนให้วันพรุ่งนี้ย้ายข้าวของเครื่องใช้ของซ่งจื่อเยว่และซ่งจื่อเหยาไปที่เรือนของโม่ชิงเยว่ เมื่อสั่งการทุกคนเสร็จเรียบร้อยดีแล้วเขาจึงได้เดินไปที่เรือนของโม่ชิงเยว่เพื่อตรวจตราความเรียบร้อยอีกครั้ง พอเห็นว่าการรักษาความปลอดภัยของเรือนนี้แน่นหนาดีแล้วเขาจึงได้เข้าไปหาโม่ชิงเยว่ที่กำลังนั่งจิบน้ำชาอยู่ภายในเรือน“ในเมื่อลงนามสงบศึกแล้ว คนของแคว้นต้าเป่ยก็ไม่น่าจะสร้างความร้าวฉานด้วยการลอบโจมตีท่านและครอบครัวอย่างที่ท่านกำลังกังวลอยู่” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ซ่งเหวินจิ้งส่ายหน้า“แคว้นต้าเป่ยแม้ว่าจะปกครองด้วยเชื้อพระวงศ์สกุลเซียว แต่สกุลที่กุมอำนาจทางกองทัพก็คือสกุลหม่า ข้าที่พึ่งจะฆ่าผู้นำสกุลและนักรบอีกหลายคนของสกุลหม่าย่อมจะต้องกลายเป็นเป้าแห่งความแค้นเคืองของพวกเขา แม้ว่าฮ่องเต้ของพวกเขาจะลงพระนามขอสงบศึกแล้ว แต่คนสกุลหม่าใช่ว่าจะก่อเรื่องไม่ได้ขอแค่เพียงสิ้นไร้หลักฐานก็ไ

  • ฮูหยินผู้ถูกลืมเลือน ณ. เรือนเหมันต์   บทที่ 64 สงบศึก

    ฮ่องเต้แคว้นต้าเป่ยส่งราชสาส์นมาขอเจรจาสงบศึก อีกทั้งยังยินดีที่จะส่งเครื่องราชบรรณาการมาถวายแด่ฮ่องเต้แคว้นเหลียนทุกปี เมื่อทางฝั่งแคว้นต้าเป่ยยินยอมอ่อนข้อให้จนถึงขั้นนี้มีหรือที่หลี่เฟยหลงฮ่องเต้จะปฏิเสธหลังจากนั้นจึงได้ส่งราชสาส์นตอบกลับไปด้วยความยินดี เมื่อมีสัญญาณว่าการศึกจะสงบอย่างถาวรเช่นนี้ ประชาชนในแคว้นต่างก็รู้สึกยินดีกันทั่วหน้า สงครามจบสิ้นแล้วก็หมายความว่าต่อไปพวกเขาจะได้อยู่อย่างสงบสุขไปอีกหลายปี ไม่ต้องกังวลว่าคนในครอบครัวจะต้องไปพลีชีพเพื่อปกป้องแคว้นที่ชายแดนอีกจวบจนเมื่อมีการลงนามสงบศึกอย่างเป็นทางการชาวบ้านร้านตลาดก็ต่างพร้อมใจกันจัดงานรื่นเริงเพื่อเฉลิมฉลอง พลุไฟนับหมื่นพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อโอ้อวดความงดงามท่ามกลางความมืดมิดในยามราตรี ซ่งเหวินจิ้งยืนนิ่งจ้องมองพลุไฟเหล่านั้นด้วยสีหน้ากังวลใจเมื่อคิดได้ว่าท่ามกลางงานเลี้ยงเฉลิมฉลองกำลังมีคนของแคว้นต้าเป่ยเข้ามาแทรกซึมอยู่ในเมืองหลวง ยามนี้เขาทำหอดูดาวให้สูงขึ้นแล้วรื้อหลังคาของหอดูดาวออก ทำให้เขาและครอบครัวสามารถชื่นชมความงามของพลุไฟได้อย่างเต็มที่“ท่านแม่! ท่านดูสิราวกับมีดอกไม้นับหมื่นกำลังแข่งกันเบ่งบานอย

  • ฮูหยินผู้ถูกลืมเลือน ณ. เรือนเหมันต์   บทที่ 63 ความทะเยอทะยานของเหยียนเซียว

    ในขณะที่ทางจวนโหวมีคนกำลังพยายามเร่งสานความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา ทางจวนตระกูลเหยียนหรืออดีตจวนไหวกั๋วกงก็กำลังตกอยู่ในช่วงเวลาแห่งความตึงเครียด เหยียนฮูหยินผู้เคยได้ดำรงตำแหน่งฮูหยินของท่านกั๋วกงก็กำลังนั่งร้องไห้อ้อนวอนขอให้บุตรชายหาหนทางช่วยสามีที่ในยามนี้ถูกขังอยู่ในคุกของกรมอาญา“เจ้าไม่คิดจะช่วยท่านพ่อของเจ้าจริงๆ หรือ เสียแรงที่พ่อของเจ้าทำทุกอย่างก็เพื่อเจ้า” เหยียนฮูหยินเอ่ยพลางใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาด้วยท่วงท่าที่ดูอ่อนแอและบอบบางราวกับว่าจะแตกหักได้ทุกเมื่อ“จะให้ข้าช่วยอย่างไร ให้ข้าไปคุกเข่าขอพระเมตตาแล้วทำให้ข้าและสกุลเหยียนทั้งสกุลถูกฝ่าบาทหวาดระแวงและคิดว่าพวกเราสกุลเหยียนมีความทะเยอทะยานในราชบัลลังก์เช่นนั้นหรือ ท่านแม่อย่าได้ลืมสิว่าฮุ่ยเอ๋อต้องเสียสละอะไรไปบ้าง ยามนี้นางกำลังได้รับความโปรดปรานท่านอยากให้ฝ่าบาททรงตระหนักได้ว่าการกระทำของท่านพ่อล้วนเป็นเพราะความทะยานอยากที่จะยึดครองกองกำลังของจวนโหวแล้วทำให้ชีวิตของฮุ่ยเอ๋อและองค์ชายน้อยต้องตกอยู่ในอันตรายหรือ” คำพูดของเหยียนเซียวทำให้เหยียนฮูหยินส่ายหน้า“นางได้รับความโปรดปรานถึงเพียงนั้น แต่กลับไม่คิดจะทำเพื่อเจ้าแ

  • ฮูหยินผู้ถูกลืมเลือน ณ. เรือนเหมันต์   บทที่ 62 ความสุขของท่านโหว

    ฤดูกาลผันเปลี่ยนจากฤดูหนาวอันหนาวเหน็บเริ่มย่างเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิที่แสนจะงดงาม พออากาศเริ่มอุ่นขึ้นต้นทุนในการซื้อสมุนไพรก็ลดลงเมื่อต้นทุนลดลงผลกำไรก็มากขึ้น เมื่อได้ผลกำไรมากขึ้นก็ทำให้โม่ชิงเยว่เริ่มมีกำลังใจที่จะคิดค้นสินค้าชนิดใหม่ๆ เพื่อนำไปวางขายในร้านโม่เซียงของนาง“เหตุใดบรรดาถุงผ้าปักเหล่านี้จึงได้มีลวดลายแปลกตาเช่นนี้เล่า แล้วยังกล่องไม้สำหรับใส่ผงแป้งเหล่านี้อีกเจ้าไปเอาแนวทางในการคิดค้นรูปร่างและลวดลายพวกนี้มาจากไหน” คำถามของซ่งเหวินจิ้งทำให้โม่ชิงเยว่วางพู่กันที่ใช้วาดรูปลวดลายลงบนโต๊ะเขียนอักษรแล้วจึงได้สะบัดมือเพื่อคลายความเมื่อยล้า“หากข้าจะบอกว่าข้าได้รับแรงบันดาลใจมาจากความฝันอันยาวนานของข้าท่านจะเชื่อหรือไม่” เมื่อนางเอ่ยเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็พยักหน้า“เหตุใดจะไม่เชื่อกันเล่า ไม่ใช่ว่าข้าไม่เคยฝันเสียหน่อย เพียงแต่ความฝันของข้าไม่เคยนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์เช่นนี้” ซ่งเหวินจิ้งเอ่ยพลางเดินมานวดไหล่ให้โม่ชิงเยว่ด้วยความคุ้นชินส่วนโม่ชิงเยว่ก็เอนกายพิงพนักเก้าอี้แหงนหน้าขึ้นแล้วหลับตาเพื่อรับความสบายจากอุ้งมืออันอุ่นร้อนของเขาอย่างผ่อนคลาย“มันเป็นความฝันที่ยาวนานมาก ยาม

  • ฮูหยินผู้ถูกลืมเลือน ณ. เรือนเหมันต์   บทที่ 61 ความเป็นส่วนตัว

    เมืองหลวงมีข่าวครึกโครมอีกครั้งเมื่อจวนนิ่งอันโหวถูกลอบโจมตี แม้ว่าจะสามารถจับตัวคนร้ายได้แต่นิ่งอันโหวกลับได้รับบาดเจ็บสาหัส ฝ่าบาททรงมีพระราชโองการให้เจ้ากรมอาญาตรวจสอบเรื่องนี้อย่างเข้มงวด อีกทั้งยังทรงส่งองค์ชายรองมาควบคุมการสอบสวนด้วยพระองค์เอง ทั้งนี้คนร้ายที่ถูกจับต่างก็ซัดทอดความผิดไปที่ไหวกั๋วกง ทำให้ไหวกั๋วกงต้องรีบเข้าวังเพื่อแก้ต่างให้กับตนเองและขอให้มีการตรวจสอบนักฆ่าเหล่านั้นอีกครั้งแต่แน่นอนว่าทางซ่งเหวินจิ้งได้เตรียมการเรื่องนี้เอาไว้แล้ว เขาไม่เพียงขอพระราชโองการคุ้มครองพยานให้กับเหล่านักฆ่า ยังส่งกองกำลังของตนเองคอยคุ้มครองครอบครัวและคนใกล้ชิดของเหล่านักฆ่าอย่างแน่นหนา เหล่านักฆ่าเองก็ไม่ใช่คนโง่พวกเขาเข้าออกจวนไหวกั๋วกงเป็นว่าเล่นย่อมมีลู่ทางสำรองเอาไว้บ้าง การที่พวกเขาลักลอบตีสนิทกับคนในจวนไหวกั๋วกงก็เพื่อให้พวกเขาเป็นคนมีตัวตนภายในจวน ไม่ใช่แค่เพียงนักฆ่าเงาที่ตายไปแล้วก็ไม่หลงเหลือร่องรอยให้ผู้คนตามหา ดังนั้นทางกรมอาญาย่อมสามารถที่จะหาคนมายืนยันฐานะของพวกเขาได้ว่าพวกเขาทำงานให้ไหวกั๋วกงจริงๆ ดังนั้นครั้งนี้ไหวกั๋วกงจึงไม่อาจจะปัดป้องความผิดของตนเองได้แล้ว“ท่านเ

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status