มื้อเย็นครั้งแรกกับครอบครัวจบลงไปอย่างเรียบง่ายคนที่ยึดครองบทสนทนามากที่สุดเห็นจะเป็นซ่งจื่อเยว่ โดยมีซ่งจื่อเหยาคอยปรามเขาเป็นระยะ เรื่องที่เขาพูดคุยส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นเรื่องที่เขาทำอะไรมาบ้างในหนึ่งวันนี้ เสียงเล็กๆ ของซ่งจื่อเยว่ทำให้ความเจริญอาหารของซ่งเหวินจิ้งดีขึ้นมาก แม้ว่าจะได้รับการอบรมว่ายามกินห้ามพูด แต่ซ่งเหวินจิ้งที่คุ้นชินกับการนอนกลางดินกินกลางทรายมาก่อนกลับคิดว่าต่อให้อาหารจะย่ำแย่มากเพียงใดแต่ก็กลายเป็นอาหารเลิศรสได้เพราะบทสนทนาระหว่างอาหาร เขาและลูกน้องที่มักจะพูดจาเล่นหัวกันระหว่างกินอาหารด้วยกันเป็นประจำจึงไม่ได้รู้สึกรังเกียจการพูดคุยระหว่างกินสักเท่าไหร่ ดังนั้นยามนี้เขาจึงได้คิดว่าการที่เด็กน้อยอย่างซ่งจื่อเยว่มานั่งพูดคุยบนโต๊ะอาหารเช่นนี้เป็นเรื่องที่ไม่ควรจะห้ามปราม
“พวกเจ้าอยากจะไปดูดาวกับข้าหรือไม่” ซ่งเหวินจิ้งเอ่ยถามลูกและภรรยาของเขาหลังจากจบมื้ออาหารไปแล้วด้วยน้ำเสียงเอาอกเอาใจ
“ดาวบนฟ้า พวกข้าก็เห็นอยู่ทุกวัน มีอะไรน่าดูกัน” ซ่งจื่อเยว่เอ่ยออกมาด้วยสีหน้าบึ้งตึงแต่ซ่งเหวินจิ้งกลับไม่ได้ถือสา
“แต่ดาวที่ข้าจะพาพวกเจ้าไปดูนั้นต้องไปดูในสถานที่ที่มีความพิเศษเป็นอย่างมากดวงดาวจึงจะงดงามมากยิ่งขึ้น ข้าขอรับรองว่าจุดดูดาวที่ข้าจะพาพวกเจ้าไปนั้นจะทำให้ดวงดาวบนท้องฟ้าดูงดงามมากกว่าเดิมอย่างแน่นอน” เมื่อซ่งเหวินจิ้งเอ่ยเช่นนี้เด็กน้อยทั้งสองก็มองหน้ากันแล้วจึงได้หันไปมองท่านแม่ของพวกเขา
“พวกเจ้าไปดูดาวกันเถิดแม่จะไปสะสางงานที่ห้องบัญชี” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็ส่ายหน้า
“เจ้าผ่อนคลายบ้างก็ได้ ใช้เวลาอยู่กับลูกบ้างอย่าเอาแต่ฟังว่าพวกเขาทำอะไรบ้างในแต่ละวันอีกเลย” เมื่อซ่งเหวินจิ้งเอ่ยเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็พลันนิ่งงันไป เมื่อคิดได้ว่านางใช้เวลากับลูกๆ น้อยไปจริงๆ อย่างที่ซ่งเหวินจิ้งพูดนางจึงได้พยักหน้า
“เช่นนั้นท่านก็นำทางเถิด” เมื่อโม่ชิงเยว่ตอบตกลงเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็พาซ่งจื่อเยว่ ซ่งจื่อเหยาและโม่ชิงเยว่เดินไปที่หอดูดาวที่ตั้งอยู่ทางด้านหลังจวน เพียงแต่เมื่อขึ้นไปถึงด้านบนแล้วเขากลับไม่ได้หยุดอยู่แค่บนหอดูดาวแต่กลับใช้แขนทั้งสองข้างโอบกอดเด็กน้อยทั้งสองเอาไว้แล้วพากระโดดขึ้นไปด้านบนอย่างช่ำชอง เขาวางเด็กทั้งสองเอาไว้ด้านบนของหลังคาแล้วจึงส่งเสียงถามโม่ชิงเยว่ด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า
“ฮูหยิน เจ้าต้องให้ข้าลงไปรับหรือไม่”
“ไม่ต้อง!” เมื่อเอยจบโม่ชิงเยว่ก็ใช้วิชาตัวเบาที่ไม่ค่อยได้ใช้มานานกระโดดขึ้นมาด้านบนหลังคาของหอดูดาวอย่างทุลักทุเล นางจ้องมองเด็กน้อยทั้งสองที่ในยามนี้มีสีหน้าตื่นเต้นจนถึงขีดสุดแล้วเอ่ยถามซ่งเหวินจิ้งด้วยสีหน้ากังวล
“ไม่อันตรายเกินไปหรือ” คำถามของนางทำให้ซ่งเหวินจิ้งหัวเราะเบาๆ
“มีข้าอยู่ ข้าไม่ปล่อยให้พวกเขาตกลงไปหรอก” เมื่อซ่งเหวินจิ้งเอ่ยเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็ทอดถอนใจแล้วขยับนั่งด้านข้างซ่งจื่อเยว่ด้วยรู้ดีว่าบุตรชายซุกซนกว่าบุตรสาว นางกังวลว่าความซุกซนของซ่งจื่อเยว่อาจจะทำให้เขาได้รับเองบาดเจ็บ
“จื่อเหยา จื่อเยว่พวกเจ้าดูสิดาวบนท้องฟ้าวันนี้สวยกว่าทุกวันใช่หรือไม่” คำพูดของซ่งเหวินจิ้งทำให้เด็กๆ แหงนหน้าขึ้นไปมองบนฟ้า แม้ว่าจะไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมาแต่ประกายพร่างพราวที่ออกมาจากดวงตาของพวกเขาก็ทำให้รู้ว่าพวกเขาพึงพอใจกับความงดงามบนท้องฟ้าเป็นอย่างมาก เมื่อเห็นสีหน้าของเด็กๆ แล้วซ่งเหวินจิ้งก็หันไปมองโม่ชิงเยว่ที่กำลังแหงนหน้าขึ้นไปมองบนท้องฟ้า
“ท่านไม่ดูดาวหรือ เอาแต่มองท่านแม่อยู่ได้” คำถามของซ่งจื่อเยว่ทำให้ซ่งเหวินจิ้งกระแอมออกมาแล้วเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความขัดเขิน
“ดวงดาวบนท้องฟ้างดงามมากก็จริง แต่ท่านแม่ของพวกเจ้างดงามกว่า” คำพูดของซ่งเหวินจิ้งทำให้สามแม่ลูกต่างก็จ้องมองเขาราวกับว่าบนศีรษะของเขามีบางสิ่งงอกออกมาทำให้เขาหัวเราะออกมาในทันที
“ข้าคงไม่ถนัดที่จะเฝ้าติดตามเกี้ยวพาราสีสตรี ดังนั้นขอฮูหยินได้โปรดปรานีข้าด้วย” คำพูดของเขาทำให้โม่ชิงเยว่ตวัดสายตาส่งค้อนให้เขาในทันที
“ท่านถ่อมตัวเกินไปแล้ว พูดออกมาได้ถึงขนาดนี้ยังจะบอกว่าไม่ถนัดอีกหรือ” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็พยักหน้า
“เช่นนั้นก็หมายความว่าการเกี้ยวพาของข้าเริ่มเป็นผลแล้ว” เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็ตวัดสายตาส่งค้อนให้เขา ส่วนทั้งซ่งจื่อเหยาและซ่งจื่อเยว่ต่างก็ยกนิ้วขึ้นมาแต่ริมฝีปากแล้วส่งสัญญาณให้เขาหยุดส่งเสียง ซึ่งเขาก็ยอมเก็บงำถ้อยคำของตนเองเอาไว้แล้วเงยหน้าขึ้นไปมองดวงดาวที่กำลังพร่างพรายอยู่บนท้องฟ้าด้วยความสุขใจ
“อากาศเย็นเช่นนี้ไม่เหมาะที่จะอยู่บนนี้นาน อีกสักครู่พวกเราก็ควรจะกลับได้แล้ว” โม่ชิงเยว่เอ่ยกับเด็กน้อยทั้งสองด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้มประดับอยู่แต่เด็กน้อยทั้งสองกลับส่ายหน้าพร้อมกัน
“ขอดูต่ออีกสักครู่เถิดเจ้าค่ะ ข้ารู้สึกว่าดวงดาวบนนี้งดงามกว่าตอนที่ดูอยู่ข้างล่าง” ซ่งจื่อเหยาเอ่ยพลางส่งสายตาออดอ้อนมาให้มารดา
“ใช่แล้วขอรับ ข้าขออยู่ดูดาวบนนี้อีกสักหน่อยนะขอรับท่านแม่” ซ่งจื่อเยว่เอยออกมาพลางเงยหน้าขึ้นมาส่งสายตาอ้อนวอนมาให้ทำให้โม่ชิงเยว่ได้แต่ทอดถอนใจออกมา
“ได้! เช่นนั้นก็อยู่ต่ออีกสักหน่อยเถิด” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยเช่นนี้เด็กน้อยทั้งสองก็พากันส่งมอบรอยยิ้มให้นางแล้วเอ่ยขอบคุณนางพร้อมกัน
“ขอบคุณเจ้าค่ะ/ขอบคุณขอรับ” เสียงขอบคุณของเด็กน้อยทั้งสองทำให้ซ่งเหวินจิ้งรีบเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงน้อยอกน้อยใจ
“ใจคอพวกเจ้าจะขอบคุณแต่ท่านแม่ของพวกเจ้าหรือ แล้วข้าที่เป็นคนพาพวกเจ้าขึ้นมาเล่า”
“ขอบคุณเจ้าค่ะ/ขอบคุณขอรับ” ถ้อยคำขอบคุณของเด็กน้อยทั้งสองทำให้ซ่งเหวินจิ้งพลันยิ้มออกมาด้วยความยินดีแล้วจึงได้ละสายตาไปสบตากับโม่ชิงเยว่ที่ในยามนี้กำลังจ้องมองเด็กน้อยทั้งสองด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มเช่นกัน
สายลมหนาวพัดพาไอความเย็นเข้ามา โม่ชิงเยว่กอดซ่งจื่อเยว่เอาไว้ส่วนซ่งเหวินจิ้งโอบกอดร่างของซ่งจื่อเหยาเอาไว้เพื่อมอบความอบอุ่นให้แก่เด็กน้อยทั้งสอง ความตื่นเต้นที่ได้ปีนขึ้นมาอยู่บนที่สูงอีกทั้งยังมีดวงดาวที่พร่างพราวจนเต็มไปท้องฟ้าทำให้เด็กน้อยทั้งสองไม่ยินยอมลงจากหลังคาของหอดูดาวเสียทีจนผลสุดท้ายโม่ชิงเยว่จึงได้เอ่ยกับพวกเขาด้วยน้ำเสียงดุดันพวกเขาจึงได้ยินยอม
“หากพวกเจ้าไม่ยอมลง แล้ววันพรุ่งนี้ต้องเจ็บป่วยและมีไข้แม่รับรองได้เลยว่ายาที่พวกเจ้าจะได้ดื่มแม่จะเป็นคนเคี่ยวยาให้พวกเจ้าด้วยตนเอง” เมื่อได้ยินคำขู่นี้เด็กน้อยทั้งสองก็รีบหันไปมองซ่งเหวินจิ้งแล้วเอ่ยกับเขาอย่างพร้อมเพรียงกันในทันที
“พาข้าลงไปทีเจ้าค่ะ/ขอรับ”
“เช่นนั้นก็เกาะข้าเอาไว้” เมื่อเขาเอ่ยจบซ่งจื่อเยว่ก็ผละออกจากอ้อมอกของโม่ชิงเยว่แล้วยื่นแขนไปกอดเอวของซ่งเหวินจิ้งเอาไว้ ส่วนซ่งจื่อเหยาขยับกายปรับเปลี่ยนท่าทางเพียงเล็กน้อยเพื่อให้ซ่งเหวินจิ้งเคลื่อนไหวได้สะดวกแล้วเขาจึงได้โอบประคองพาลูกน้อยทั้งสองลงจากหลังคาอย่างปลอดภัย
“พวกเจ้ารอพ่ออยู่ที่นี่นะ” เมื่อเอ่ยจบเขาก็ทะยานร่างขึ้นไปด้านบนอีกครั้ง ดึงเอวบางของโม่ชิงเยว่มาโอบกอดเอาไว้แล้วพานางลงจากหลังคาของหอชมดาวได้อย่างปลอดภัย
“เห็นทีว่าคงจะต้องเพิ่มความสูงของหอดูดาวใหม่ คราวหน้าพวกเราจะได้ไม่ต้องขึ้นไปบนหลังคาอย่างทุลักทุเลเช่นนี้” คำว่าทุลักทุเลของซ่งเหวินจิ้งทำให้เขาได้รับสายตาขุ่นค้อนจากโม่ชิงเยว่อีกครั้ง เขากระโดดขึ้นลงอย่างสง่าผ่าเผยแม้ว่าจะต้องโอบประคองเด็กน้องทั้งสองเอาไว้ทั้งสองข้างก็ตามที ส่วนคนที่ทุลักทุเลนั้นเขาน่าจะหมายถึงนางอย่างแน่นอน
“พวกเราไปส่งลูกๆ ที่เรือนนอนของพวกเขาด้วยกันเถิด” เมื่อซ่งเหวินจิ้งเอ่ยชักชวนเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ ด้วยช่วงนี้นางไม่ค่อยจะได้ใช้เวลาอยู่กับลูกๆ อย่างที่ซ่งเหวินจิ้งเอ่ยมาก่อนหน้านี้จริงๆ ทำให้นางไม่ได้ปฏิเสธและเดินไปส่งลูกๆ ที่เรือนพักของเด็กน้อยทั้งสองตามคำชักชวนของเขา
ยามที่ซ่งเหวินจิ้งตื่นขึ้นมาสิ่งแรกที่เขาเห็นก็คือม่านมุ้งในห้องนอนของโม่ชิงเยว่ที่ปรากฏเข้าสู่สายตา เขากะพริบตาอีกครั้งแล้วจึงได้พยายามทบทวนว่าเรื่องเมื่อคืนนี้เป็นความฝันหรือว่าเป็นความจริงกันแน่ กลิ่นกายอันหอมกรุ่นของนางแผ่กำจายไปทั่วม่านมุ้งอีกทั้งยังดูเหมือนว่าจะหอมกรุ่นติดตามร่างกายของเขาไปด้วย อีกทั้งปฏิกิริยาทางร่างกายที่ไม่เหมือนเดิมของเขาทำให้เขารู้ว่าสัมผัสอันน่าหลงใหลเมื่อคืนนี้ไม่ใช่แค่เพียงความฝัน เมื่อคิดได้เช่นนั้นก็ทำให้มีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าของเขาในทันที“นอนตาลอยแล้วยิ้มราวกับคนเสียสติเช่นนั้นท่านทำให้ข้าชักจะรู้สึกหวาดกลัวท่านแล้วนะ” เสียงทักของโม่ชิงเยว่ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของซ่งเหวินจิ้งพลันหายไปในทันที“มีสิ่งใดให้น่ากลัวกัน” เขาเอ่ยพลางพลิกตัวแล้วดึงผ้าห่มอันหมิ่นเหม่ขึ้นมาคลุมร่างกายของตนเองเอาไว้ ด้วยไม่รู้ว่าคนที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงหน้าเตียงนั่งจ้องมองเขานานเท่าไหร่แล้ว“แล้วเจ้ายกเก้าอี้มานั่งจ้องมองข้าเช่นนี้ทำไมกัน” เมื่อเขาถามเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็ยิ้มออกมา“เมื่อคืนนี้มีคนบอกกับข้าว่าอยากจะตื่นขึ้นมาพร้อมกันกับข้ามิใช่หรือ ข้าก็เลยมานั่งรอให้ท่า
หลังจากดูพลุไฟแล้วซ่งเหวินจิ้งและโม่ชิงเยว่ก็เดินไปส่งเด็กๆ กลับเรือนด้วยตนเอง แน่นอนว่าซ่งเหวินจิ้งย่อมจะต้องเดินตรวจตรารอบๆ เรือนด้วยตนเองอีกครั้งและยังกำชับให้คนของเขาคอยคุ้มกันจวนให้ดี อีกทั้งยังสั่งสาวใช้ภายในเรือนให้วันพรุ่งนี้ย้ายข้าวของเครื่องใช้ของซ่งจื่อเยว่และซ่งจื่อเหยาไปที่เรือนของโม่ชิงเยว่ เมื่อสั่งการทุกคนเสร็จเรียบร้อยดีแล้วเขาจึงได้เดินไปที่เรือนของโม่ชิงเยว่เพื่อตรวจตราความเรียบร้อยอีกครั้ง พอเห็นว่าการรักษาความปลอดภัยของเรือนนี้แน่นหนาดีแล้วเขาจึงได้เข้าไปหาโม่ชิงเยว่ที่กำลังนั่งจิบน้ำชาอยู่ภายในเรือน“ในเมื่อลงนามสงบศึกแล้ว คนของแคว้นต้าเป่ยก็ไม่น่าจะสร้างความร้าวฉานด้วยการลอบโจมตีท่านและครอบครัวอย่างที่ท่านกำลังกังวลอยู่” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ซ่งเหวินจิ้งส่ายหน้า“แคว้นต้าเป่ยแม้ว่าจะปกครองด้วยเชื้อพระวงศ์สกุลเซียว แต่สกุลที่กุมอำนาจทางกองทัพก็คือสกุลหม่า ข้าที่พึ่งจะฆ่าผู้นำสกุลและนักรบอีกหลายคนของสกุลหม่าย่อมจะต้องกลายเป็นเป้าแห่งความแค้นเคืองของพวกเขา แม้ว่าฮ่องเต้ของพวกเขาจะลงพระนามขอสงบศึกแล้ว แต่คนสกุลหม่าใช่ว่าจะก่อเรื่องไม่ได้ขอแค่เพียงสิ้นไร้หลักฐานก็ไ
ฮ่องเต้แคว้นต้าเป่ยส่งราชสาส์นมาขอเจรจาสงบศึก อีกทั้งยังยินดีที่จะส่งเครื่องราชบรรณาการมาถวายแด่ฮ่องเต้แคว้นเหลียนทุกปี เมื่อทางฝั่งแคว้นต้าเป่ยยินยอมอ่อนข้อให้จนถึงขั้นนี้มีหรือที่หลี่เฟยหลงฮ่องเต้จะปฏิเสธหลังจากนั้นจึงได้ส่งราชสาส์นตอบกลับไปด้วยความยินดี เมื่อมีสัญญาณว่าการศึกจะสงบอย่างถาวรเช่นนี้ ประชาชนในแคว้นต่างก็รู้สึกยินดีกันทั่วหน้า สงครามจบสิ้นแล้วก็หมายความว่าต่อไปพวกเขาจะได้อยู่อย่างสงบสุขไปอีกหลายปี ไม่ต้องกังวลว่าคนในครอบครัวจะต้องไปพลีชีพเพื่อปกป้องแคว้นที่ชายแดนอีกจวบจนเมื่อมีการลงนามสงบศึกอย่างเป็นทางการชาวบ้านร้านตลาดก็ต่างพร้อมใจกันจัดงานรื่นเริงเพื่อเฉลิมฉลอง พลุไฟนับหมื่นพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อโอ้อวดความงดงามท่ามกลางความมืดมิดในยามราตรี ซ่งเหวินจิ้งยืนนิ่งจ้องมองพลุไฟเหล่านั้นด้วยสีหน้ากังวลใจเมื่อคิดได้ว่าท่ามกลางงานเลี้ยงเฉลิมฉลองกำลังมีคนของแคว้นต้าเป่ยเข้ามาแทรกซึมอยู่ในเมืองหลวง ยามนี้เขาทำหอดูดาวให้สูงขึ้นแล้วรื้อหลังคาของหอดูดาวออก ทำให้เขาและครอบครัวสามารถชื่นชมความงามของพลุไฟได้อย่างเต็มที่“ท่านแม่! ท่านดูสิราวกับมีดอกไม้นับหมื่นกำลังแข่งกันเบ่งบานอย
ในขณะที่ทางจวนโหวมีคนกำลังพยายามเร่งสานความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา ทางจวนตระกูลเหยียนหรืออดีตจวนไหวกั๋วกงก็กำลังตกอยู่ในช่วงเวลาแห่งความตึงเครียด เหยียนฮูหยินผู้เคยได้ดำรงตำแหน่งฮูหยินของท่านกั๋วกงก็กำลังนั่งร้องไห้อ้อนวอนขอให้บุตรชายหาหนทางช่วยสามีที่ในยามนี้ถูกขังอยู่ในคุกของกรมอาญา“เจ้าไม่คิดจะช่วยท่านพ่อของเจ้าจริงๆ หรือ เสียแรงที่พ่อของเจ้าทำทุกอย่างก็เพื่อเจ้า” เหยียนฮูหยินเอ่ยพลางใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาด้วยท่วงท่าที่ดูอ่อนแอและบอบบางราวกับว่าจะแตกหักได้ทุกเมื่อ“จะให้ข้าช่วยอย่างไร ให้ข้าไปคุกเข่าขอพระเมตตาแล้วทำให้ข้าและสกุลเหยียนทั้งสกุลถูกฝ่าบาทหวาดระแวงและคิดว่าพวกเราสกุลเหยียนมีความทะเยอทะยานในราชบัลลังก์เช่นนั้นหรือ ท่านแม่อย่าได้ลืมสิว่าฮุ่ยเอ๋อต้องเสียสละอะไรไปบ้าง ยามนี้นางกำลังได้รับความโปรดปรานท่านอยากให้ฝ่าบาททรงตระหนักได้ว่าการกระทำของท่านพ่อล้วนเป็นเพราะความทะยานอยากที่จะยึดครองกองกำลังของจวนโหวแล้วทำให้ชีวิตของฮุ่ยเอ๋อและองค์ชายน้อยต้องตกอยู่ในอันตรายหรือ” คำพูดของเหยียนเซียวทำให้เหยียนฮูหยินส่ายหน้า“นางได้รับความโปรดปรานถึงเพียงนั้น แต่กลับไม่คิดจะทำเพื่อเจ้าแ
ฤดูกาลผันเปลี่ยนจากฤดูหนาวอันหนาวเหน็บเริ่มย่างเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิที่แสนจะงดงาม พออากาศเริ่มอุ่นขึ้นต้นทุนในการซื้อสมุนไพรก็ลดลงเมื่อต้นทุนลดลงผลกำไรก็มากขึ้น เมื่อได้ผลกำไรมากขึ้นก็ทำให้โม่ชิงเยว่เริ่มมีกำลังใจที่จะคิดค้นสินค้าชนิดใหม่ๆ เพื่อนำไปวางขายในร้านโม่เซียงของนาง“เหตุใดบรรดาถุงผ้าปักเหล่านี้จึงได้มีลวดลายแปลกตาเช่นนี้เล่า แล้วยังกล่องไม้สำหรับใส่ผงแป้งเหล่านี้อีกเจ้าไปเอาแนวทางในการคิดค้นรูปร่างและลวดลายพวกนี้มาจากไหน” คำถามของซ่งเหวินจิ้งทำให้โม่ชิงเยว่วางพู่กันที่ใช้วาดรูปลวดลายลงบนโต๊ะเขียนอักษรแล้วจึงได้สะบัดมือเพื่อคลายความเมื่อยล้า“หากข้าจะบอกว่าข้าได้รับแรงบันดาลใจมาจากความฝันอันยาวนานของข้าท่านจะเชื่อหรือไม่” เมื่อนางเอ่ยเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็พยักหน้า“เหตุใดจะไม่เชื่อกันเล่า ไม่ใช่ว่าข้าไม่เคยฝันเสียหน่อย เพียงแต่ความฝันของข้าไม่เคยนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์เช่นนี้” ซ่งเหวินจิ้งเอ่ยพลางเดินมานวดไหล่ให้โม่ชิงเยว่ด้วยความคุ้นชินส่วนโม่ชิงเยว่ก็เอนกายพิงพนักเก้าอี้แหงนหน้าขึ้นแล้วหลับตาเพื่อรับความสบายจากอุ้งมืออันอุ่นร้อนของเขาอย่างผ่อนคลาย“มันเป็นความฝันที่ยาวนานมาก ยาม
เมืองหลวงมีข่าวครึกโครมอีกครั้งเมื่อจวนนิ่งอันโหวถูกลอบโจมตี แม้ว่าจะสามารถจับตัวคนร้ายได้แต่นิ่งอันโหวกลับได้รับบาดเจ็บสาหัส ฝ่าบาททรงมีพระราชโองการให้เจ้ากรมอาญาตรวจสอบเรื่องนี้อย่างเข้มงวด อีกทั้งยังทรงส่งองค์ชายรองมาควบคุมการสอบสวนด้วยพระองค์เอง ทั้งนี้คนร้ายที่ถูกจับต่างก็ซัดทอดความผิดไปที่ไหวกั๋วกง ทำให้ไหวกั๋วกงต้องรีบเข้าวังเพื่อแก้ต่างให้กับตนเองและขอให้มีการตรวจสอบนักฆ่าเหล่านั้นอีกครั้งแต่แน่นอนว่าทางซ่งเหวินจิ้งได้เตรียมการเรื่องนี้เอาไว้แล้ว เขาไม่เพียงขอพระราชโองการคุ้มครองพยานให้กับเหล่านักฆ่า ยังส่งกองกำลังของตนเองคอยคุ้มครองครอบครัวและคนใกล้ชิดของเหล่านักฆ่าอย่างแน่นหนา เหล่านักฆ่าเองก็ไม่ใช่คนโง่พวกเขาเข้าออกจวนไหวกั๋วกงเป็นว่าเล่นย่อมมีลู่ทางสำรองเอาไว้บ้าง การที่พวกเขาลักลอบตีสนิทกับคนในจวนไหวกั๋วกงก็เพื่อให้พวกเขาเป็นคนมีตัวตนภายในจวน ไม่ใช่แค่เพียงนักฆ่าเงาที่ตายไปแล้วก็ไม่หลงเหลือร่องรอยให้ผู้คนตามหา ดังนั้นทางกรมอาญาย่อมสามารถที่จะหาคนมายืนยันฐานะของพวกเขาได้ว่าพวกเขาทำงานให้ไหวกั๋วกงจริงๆ ดังนั้นครั้งนี้ไหวกั๋วกงจึงไม่อาจจะปัดป้องความผิดของตนเองได้แล้ว“ท่านเ