เมืองหลวงมีข่าวครึกโครมอีกครั้งเมื่อจวนนิ่งอันโหวถูกลอบโจมตี แม้ว่าจะสามารถจับตัวคนร้ายได้แต่นิ่งอันโหวกลับได้รับบาดเจ็บสาหัส ฝ่าบาททรงมีพระราชโองการให้เจ้ากรมอาญาตรวจสอบเรื่องนี้อย่างเข้มงวด อีกทั้งยังทรงส่งองค์ชายรองมาควบคุมการสอบสวนด้วยพระองค์เอง ทั้งนี้คนร้ายที่ถูกจับต่างก็ซัดทอดความผิดไปที่ไหวกั๋วกง ทำให้ไหวกั๋วกงต้องรีบเข้าวังเพื่อแก้ต่างให้กับตนเองและขอให้มีการตรวจสอบนักฆ่าเหล่านั้นอีกครั้ง
แต่แน่นอนว่าทางซ่งเหวินจิ้งได้เตรียมการเรื่องนี้เอาไว้แล้ว เขาไม่เพียงขอพระราชโองการคุ้มครองพยานให้กับเหล่านักฆ่า ยังส่งกองกำลังของตนเองคอยคุ้มครองครอบครัวและคนใกล้ชิดของเหล่านักฆ่าอย่างแน่นหนา เหล่านักฆ่าเองก็ไม่ใช่คนโง่พวกเขาเข้าออกจวนไหวกั๋วกงเป็นว่าเล่นย่อมมีลู่ทางสำรองเอาไว้บ้าง การที่พวกเขาลักลอบตีสนิทกับคนในจวนไหวกั๋วกงก็เพื่อให้พวกเขาเป็นคนมีตัวตนภายในจวน ไม่ใช่แค่เพียงนักฆ่าเงาที่ตายไปแล้วก็ไม่หลงเหลือร่องรอยให้ผู้คนตามหา ดังนั้นทางกรมอาญาย่อมสามารถที่จะหาคนมายืนยันฐานะของพวกเขาได้ว่าพวกเขาทำงานให้ไหวกั๋วกงจริงๆ ดังนั้นครั้งนี้ไหวกั๋วกงจึงไม่อาจจะปัดป้องความผิดของตนเองได้แล้ว
“ท่านเป็นอย่างไรบ้าง” โม่ชิงเยว่เดินเข้ามาในห้องนอนส่วนตัวของซ่งเหวินจิ้ง เขาที่กำลังนอนพักผ่อนอยู่บนเตียงรีบขยับตัวลุกขึ้นมานั่งในทันทีเมื่อเห็นว่านางเดินเข้ามาในห้อง
“ไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสอันใด เพียงแต่เพราะออกแรงฆ่าคนมากไปหน่อยทำให้บาดแผลเก่าที่ยังไม่สมานดีเกิดการปริแตกอีกครั้ง เมิ่งเส้าชิงมาดูบาดแผลให้ข้าแล้วอีกไม่นานก็คงจะดีขึ้น” เมื่อเห็นว่าโม่ชิงเยว่ทำสีหน้าราวกับว่าไม่เชื่อคำพูดของเขา เขาจึงได้เอ่ยกับนางด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ข้าไม่ได้เป็นอะไรมากจริงๆ ก็แค่อยากจะแสดงให้คนนอกได้เห็นว่าข้าถูกไหวกั๋วกงลอบทำร้ายถึงสองครั้งและแต่ละครั้งล้วนเป็นอันตรายถึงชีวิตแทบจะทุกครั้ง หากไม่ทำท่าล้มหมอนนอนเสื่อเสียบ้างเวลาคนนอกมาเยี่ยมเยียนคำกล่าวอ้างของข้าจะได้ฟังดูน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น” คำพูดของซ่งเหวินจิ้งทำให้โม่ชิงเยว่ส่ายหน้า
“นอกจากองค์ชายรองแล้วผู้ใดจะมาเยี่ยมเยียนท่านที่จวนกันเล่า ดูสิ! ท่านลำบากปกปิดเรื่องที่ตนเองถูกเรียกตัวกลับมาเมืองหลวงอย่างลับๆ แทบตายสุดท้ายก็ต้องเปิดเผยเรื่องนี้เพื่อต้องการเล่นงานไหวกั๋วกง” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ซ่งเหวินจิ้งยิ้มออกมาในทันทีเมื่อคิดได้ว่าในยามนี้ไหวกั๋วกงถูกหลี่เฟยหลงฮ่องเต้ถอดยศไหวกั๋วกงแล้วและส่งเขาเข้ากรมอาญา ส่วนเหยียนเซียวขอลาออกจากตำแหน่งราชเลขาธิการเพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อการกระทำผิดของบิดา
“น่าเสียดายก็ตรงที่ความผิดของคนสกุลเหยียนในครั้งนี้เป็นแค่เพียงโทษจากการวางแผนทำร้ายขุนนางในราชสำนักไม่ใช่โทษกบฏ ไม่เช่นนั้นยามนี้ข้าก็คงไม่ต้องกังวลเรื่องอำนาจที่สกุลเหยียนลักลอบซุกซ่อนเอาไว้หรอก” คำพูดของซ่งเหวินจิ้งทำให้โม่ชิงเยว่ทอดถอนใจออกมา
“แต่อย่างน้อยก็สามารถลดความไว้วางพระทัยที่ฝ่าบาทมีต่อเหยียนเซียวได้แล้วมิใช่หรือ ยังมีเหยียนกุ้ยเหรินที่อยู่ในวังผู้นั้นอีก แม้ว่ายามนี้พระโอรสที่กุ้ยเหรินให้กำเนิดจะเป็นแค่เพียงองค์ชายน้อยที่ไม่รู้ประสา แต่พวกเราก็ต่างรู้ดีว่าในยามนี้องค์ชายทุกพระองค์ต่างก็ยังมีสิทธิ์ที่จะได้ครอบครองราชบัลลังก์ในอนาคต การที่อดีตท่านกั๋วกงสกุลเหยียนก่อเรื่องเช่นนี้ย่อมจะทำให้ฝ่าบาททรงหวาดระแวงความทะเยอทะยานของเหยียนกุ้ยเหรินได้แล้ว” คำพูดประโยคนี้ของซ่งเหวินจิ้งทำให้โม่ชิงเยว่ทอดถอนใจออกมา
“คงอีกนานสินะกว่าที่เมืองหลวงจะสงบ” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ซ่งเหวินจิ้งนิ่งงันไปแล้วจึงได้เอ่ยกับนางด้วยน้ำเสียงปลอบโยน
“เจ้าวางใจได้ ต่อให้ฟ้าจะถล่มดินจะทลายข้าจะคอยปกป้องเจ้าและลูกๆ ให้ดี จะไม่ยอมให้พวกเจ้าได้รับอันตรายอย่างแน่นอน” เมื่อซ่งเหวินจิ้งเอ่ยเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็ตวัดสายตาส่งค้อนให้เขา
“ขนาดตนเองยังเอาตัวรอดแทบจะไม่ได้ แล้วยังคิดจะดูแลพวกข้าอีกหรือ” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ซ่งเหวินจิ้งรีบส่ายหน้าในทันที
“ข้าเอาตัวรอดไม่ได้ที่ไหนกัน หากข้าเอาตัวรอดไม่ได้ยามนี่คงจะไม่นั่งอยู่ตรงหน้าเจ้าเช่นนี้หรอก” เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็นั่งลงเคียงข้างเขาบนเตียงแล้วยื่นมือไปจิ้มที่แผ่นหลังของเขาใกล้เคียงกับบริเวณที่มีผ้าพันแผลพันเอาไว้แล้วเอ่ยออกมาเสียงเบา
“แล้วสิ่งนี้คืออะไร หากท่านไม่ออกแรงมากป่านนี้บาดแผลนี้น่าจะหายไปตั้งนานแล้ว หรือว่าจะให้ข้าทำแผลให้ท่านอีกดีหรือไม่ ท่านจะได้ไม่มีแรงออกไปทำให้บาดแผลปริแตกเพิ่มอีก ลูกน้องฝีมือดีมีตั้งหลายคนกลับไม่ใช่พวกเขา ออกไปเองเช่นนี้คงอยากจะให้ข้าเป็นหญิงหม้ายสามีตายจริงๆ กระมัง” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ซ่งเหวินจิ้งยิ้มออกมา
“หากไม่เจ้าเคยแสดงออกอย่างชัดเจนว่าอยากจะเป็นหญิงหม้าย ยามนี้ข้าคงจะหลงคิดไปแล้วว่าเจ้ากำลังเป็นห่วงข้าอยู่”
“หึหึ บาดแผลของท่านไม่หายดีเสียทีเช่นนี้ให้ข้าทำแผลให้อีกดีหรือไม่ ข้าจะได้พิสูจน์ให้ท่านได้เห็นว่ายาของข้ามีสรรพคุณไม่ด้อยไปกว่ายาของท่านหมอเมิ่งเลย” โม่ชิงเยว่เอ่ยพลางยื่นมือไปที่ผ้าคาดเอวของเขาซึ่งเขารีบรั้งสายคาดเอวของตนเองเอาไว้ในทันที
“ไม่ต้อง! ไม่ต้องหรอกข้าไม่กล้ารบกวนฮูหยินแล้ว เจ้าเก็บยาของเจ้าเอาไว้เถิด” ซ่งเหวินจิ้งเอ่ยปฏิเสธอย่างจริงจังเขาจำได้ดีว่ายาของนางมีอานุภาพรุนแรงมากเพียงใดแม้อยากจะได้ความเอาใจใส่จากนางแต่เขาทนรับความเจ็บปวดไม่ไหวอีกแล้ว
“เช่นนั้นก็ตามใจท่านเถอะ” โม่ชิงเยว่เอ่ยพลางดึงมือของตนเองกลับคืนมาแม้ว่าบนใบหน้าของนางจะมีความเรียบเฉยแต่ในใจกลับลอบหัวเราะกับท่าทีของเขา ในใจก็ได้แต่คิดว่าก่อนหน้านี้เคยเสียดายที่ต้องใช้ยาที่มีส่วนผสมราคาแพงในการรักษาแผลให้เขา แต่เมื่อได้เห็นท่าทีเข็ดขยาดของเขาเช่นนี้ทำให้น่างรู้สึกว่ายาที่ให้เขาไปถือว่าคุ้มค่าแล้ว
“เอ๋ เจ้ากำลังแอบยิ้มอยู่หรือ” คำถามของเขาทำให้โม่ชิงเยว่เบิกตากว้างใส่เขาในทันที
“ท่านมองให้ดี ข้ากำลังยิ้มอยู่ที่ไหนกัน” โม่ชิงเยว่เอ่ยปฏิเสธแต่ซ่งเหวินจิ้งกลับส่ายหน้าแล้วก้มใบหน้าของเขาเข้ามาใกล้ชิดกับใบหน้าของนางทำให้โม่ชิงเยว่ต้องรีบเอนกายเพื่อหลบหนีใบหน้าที่แนบชิดเข้ามาของเขาในทันที
“ท่านจะทำอะไร” โม่ชิงเยว่เอ่ยถามแต่ซ่งเหวินจิ้งกับไม่หยุดอยู่แค่นั้นคราวนี้เขาใช้มือดึงร่างของนางเข้าไปหาเขาจนทำให้นางต้องรีบยกมือดันหน้าอกของเขาเอาไว้
“ข้ากำลังจะดูว่าเมื่อครู่นี้ใช่มีคนกำลังหัวเราะเยาะข้าที่สามารถเล่นงานข้าได้ใช่หรือไม่” ซ่งเหวินจิ้งเอ่ยพลางแนบใบหน้าลงมาจนปลายจมูกของเขาแนบชิดกับปลายจมูกของนาง
“ข้าไม่ได้หัวเราะออกมาสักหน่อย” โม่ชิงเยว่เอ่ยปฏิเสธเสียงเบา ส่วนซ่งเหวินจิ้งในยามนี้เขาไม่ได้สนใจคำตอบของนางเลยสักนิด ความหอมและความอ่อนนุ่มของนางทำให้จิตใจของเขาคิดเรื่องอื่นไม่ออกนอกจากอยากจะลิ้มรสความหอมหวานจากร่างกายของนางเพียงเท่านั้น
“ท่านแม่!” ซื่อจื่อเยว่เปิดประตูเข้ามาแล้วเห็นภาพที่บิดากำลังโอบกอดมารดาอยู่พอดี ซ่งจื่อเหยาที่ติดตามเข้ามาทางด้านหลังเบิกตามองภาพตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ แต่เมื่อคิดได้ว่าตนกับน้องชายอาจจะเข้ามาขัดจังหวะช่วงเวลาที่ต้องการความเป็นส่วนตัวของบิดาและมารดาเข้านางก็รีบเอ่ยตำหนิน้องชายในทันที
“จื่อเยว่ข้าบอกเจ้าแล้วว่าเวลาจะเข้าห้องของผู้อื่นต้องเคาะประตูก่อน” นางตำหนิน้องชายประดุจผู้ใหญ่ที่โตมากแล้วคนหนึ่ง แล้วจึงได้หันไปเอ่ยกับคนในห้องด้วยน้ำเสียงที่พยายามจะแสดงความเป็นผู้ใหญ่อย่างเต็มที่
“ต้องขอโทษพวกท่านด้วยที่ข้ากับน้องชายมารบกวนพวกท่าน... เชิญพวกท่านตามสบายนะเจ้าคะข้ากับน้องชายคงต้องขอตัวก่อน” ซ่งจื่อเหยาเอ่ยพลางจูงน้องชายออกจากห้องไป ชุ่ยเหมยที่ติดตามเด็กน้อยมาด้วยรีบปิดประตูห้องให้อีกครั้งแล้วคนทั้งหมดก็เดินจากไปทิ้งให้ซ่งเหวินจิ้งกับโม่ชิงเยว่จ้องมองกันอย่างไม่รู้จะทำเช่นไรกับสถานการณ์เช่นนี้ดี
ยามที่ซ่งเหวินจิ้งตื่นขึ้นมาสิ่งแรกที่เขาเห็นก็คือม่านมุ้งในห้องนอนของโม่ชิงเยว่ที่ปรากฏเข้าสู่สายตา เขากะพริบตาอีกครั้งแล้วจึงได้พยายามทบทวนว่าเรื่องเมื่อคืนนี้เป็นความฝันหรือว่าเป็นความจริงกันแน่ กลิ่นกายอันหอมกรุ่นของนางแผ่กำจายไปทั่วม่านมุ้งอีกทั้งยังดูเหมือนว่าจะหอมกรุ่นติดตามร่างกายของเขาไปด้วย อีกทั้งปฏิกิริยาทางร่างกายที่ไม่เหมือนเดิมของเขาทำให้เขารู้ว่าสัมผัสอันน่าหลงใหลเมื่อคืนนี้ไม่ใช่แค่เพียงความฝัน เมื่อคิดได้เช่นนั้นก็ทำให้มีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าของเขาในทันที“นอนตาลอยแล้วยิ้มราวกับคนเสียสติเช่นนั้นท่านทำให้ข้าชักจะรู้สึกหวาดกลัวท่านแล้วนะ” เสียงทักของโม่ชิงเยว่ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของซ่งเหวินจิ้งพลันหายไปในทันที“มีสิ่งใดให้น่ากลัวกัน” เขาเอ่ยพลางพลิกตัวแล้วดึงผ้าห่มอันหมิ่นเหม่ขึ้นมาคลุมร่างกายของตนเองเอาไว้ ด้วยไม่รู้ว่าคนที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงหน้าเตียงนั่งจ้องมองเขานานเท่าไหร่แล้ว“แล้วเจ้ายกเก้าอี้มานั่งจ้องมองข้าเช่นนี้ทำไมกัน” เมื่อเขาถามเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็ยิ้มออกมา“เมื่อคืนนี้มีคนบอกกับข้าว่าอยากจะตื่นขึ้นมาพร้อมกันกับข้ามิใช่หรือ ข้าก็เลยมานั่งรอให้ท่า
หลังจากดูพลุไฟแล้วซ่งเหวินจิ้งและโม่ชิงเยว่ก็เดินไปส่งเด็กๆ กลับเรือนด้วยตนเอง แน่นอนว่าซ่งเหวินจิ้งย่อมจะต้องเดินตรวจตรารอบๆ เรือนด้วยตนเองอีกครั้งและยังกำชับให้คนของเขาคอยคุ้มกันจวนให้ดี อีกทั้งยังสั่งสาวใช้ภายในเรือนให้วันพรุ่งนี้ย้ายข้าวของเครื่องใช้ของซ่งจื่อเยว่และซ่งจื่อเหยาไปที่เรือนของโม่ชิงเยว่ เมื่อสั่งการทุกคนเสร็จเรียบร้อยดีแล้วเขาจึงได้เดินไปที่เรือนของโม่ชิงเยว่เพื่อตรวจตราความเรียบร้อยอีกครั้ง พอเห็นว่าการรักษาความปลอดภัยของเรือนนี้แน่นหนาดีแล้วเขาจึงได้เข้าไปหาโม่ชิงเยว่ที่กำลังนั่งจิบน้ำชาอยู่ภายในเรือน“ในเมื่อลงนามสงบศึกแล้ว คนของแคว้นต้าเป่ยก็ไม่น่าจะสร้างความร้าวฉานด้วยการลอบโจมตีท่านและครอบครัวอย่างที่ท่านกำลังกังวลอยู่” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ซ่งเหวินจิ้งส่ายหน้า“แคว้นต้าเป่ยแม้ว่าจะปกครองด้วยเชื้อพระวงศ์สกุลเซียว แต่สกุลที่กุมอำนาจทางกองทัพก็คือสกุลหม่า ข้าที่พึ่งจะฆ่าผู้นำสกุลและนักรบอีกหลายคนของสกุลหม่าย่อมจะต้องกลายเป็นเป้าแห่งความแค้นเคืองของพวกเขา แม้ว่าฮ่องเต้ของพวกเขาจะลงพระนามขอสงบศึกแล้ว แต่คนสกุลหม่าใช่ว่าจะก่อเรื่องไม่ได้ขอแค่เพียงสิ้นไร้หลักฐานก็ไ
ฮ่องเต้แคว้นต้าเป่ยส่งราชสาส์นมาขอเจรจาสงบศึก อีกทั้งยังยินดีที่จะส่งเครื่องราชบรรณาการมาถวายแด่ฮ่องเต้แคว้นเหลียนทุกปี เมื่อทางฝั่งแคว้นต้าเป่ยยินยอมอ่อนข้อให้จนถึงขั้นนี้มีหรือที่หลี่เฟยหลงฮ่องเต้จะปฏิเสธหลังจากนั้นจึงได้ส่งราชสาส์นตอบกลับไปด้วยความยินดี เมื่อมีสัญญาณว่าการศึกจะสงบอย่างถาวรเช่นนี้ ประชาชนในแคว้นต่างก็รู้สึกยินดีกันทั่วหน้า สงครามจบสิ้นแล้วก็หมายความว่าต่อไปพวกเขาจะได้อยู่อย่างสงบสุขไปอีกหลายปี ไม่ต้องกังวลว่าคนในครอบครัวจะต้องไปพลีชีพเพื่อปกป้องแคว้นที่ชายแดนอีกจวบจนเมื่อมีการลงนามสงบศึกอย่างเป็นทางการชาวบ้านร้านตลาดก็ต่างพร้อมใจกันจัดงานรื่นเริงเพื่อเฉลิมฉลอง พลุไฟนับหมื่นพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อโอ้อวดความงดงามท่ามกลางความมืดมิดในยามราตรี ซ่งเหวินจิ้งยืนนิ่งจ้องมองพลุไฟเหล่านั้นด้วยสีหน้ากังวลใจเมื่อคิดได้ว่าท่ามกลางงานเลี้ยงเฉลิมฉลองกำลังมีคนของแคว้นต้าเป่ยเข้ามาแทรกซึมอยู่ในเมืองหลวง ยามนี้เขาทำหอดูดาวให้สูงขึ้นแล้วรื้อหลังคาของหอดูดาวออก ทำให้เขาและครอบครัวสามารถชื่นชมความงามของพลุไฟได้อย่างเต็มที่“ท่านแม่! ท่านดูสิราวกับมีดอกไม้นับหมื่นกำลังแข่งกันเบ่งบานอย
ในขณะที่ทางจวนโหวมีคนกำลังพยายามเร่งสานความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา ทางจวนตระกูลเหยียนหรืออดีตจวนไหวกั๋วกงก็กำลังตกอยู่ในช่วงเวลาแห่งความตึงเครียด เหยียนฮูหยินผู้เคยได้ดำรงตำแหน่งฮูหยินของท่านกั๋วกงก็กำลังนั่งร้องไห้อ้อนวอนขอให้บุตรชายหาหนทางช่วยสามีที่ในยามนี้ถูกขังอยู่ในคุกของกรมอาญา“เจ้าไม่คิดจะช่วยท่านพ่อของเจ้าจริงๆ หรือ เสียแรงที่พ่อของเจ้าทำทุกอย่างก็เพื่อเจ้า” เหยียนฮูหยินเอ่ยพลางใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาด้วยท่วงท่าที่ดูอ่อนแอและบอบบางราวกับว่าจะแตกหักได้ทุกเมื่อ“จะให้ข้าช่วยอย่างไร ให้ข้าไปคุกเข่าขอพระเมตตาแล้วทำให้ข้าและสกุลเหยียนทั้งสกุลถูกฝ่าบาทหวาดระแวงและคิดว่าพวกเราสกุลเหยียนมีความทะเยอทะยานในราชบัลลังก์เช่นนั้นหรือ ท่านแม่อย่าได้ลืมสิว่าฮุ่ยเอ๋อต้องเสียสละอะไรไปบ้าง ยามนี้นางกำลังได้รับความโปรดปรานท่านอยากให้ฝ่าบาททรงตระหนักได้ว่าการกระทำของท่านพ่อล้วนเป็นเพราะความทะยานอยากที่จะยึดครองกองกำลังของจวนโหวแล้วทำให้ชีวิตของฮุ่ยเอ๋อและองค์ชายน้อยต้องตกอยู่ในอันตรายหรือ” คำพูดของเหยียนเซียวทำให้เหยียนฮูหยินส่ายหน้า“นางได้รับความโปรดปรานถึงเพียงนั้น แต่กลับไม่คิดจะทำเพื่อเจ้าแ
ฤดูกาลผันเปลี่ยนจากฤดูหนาวอันหนาวเหน็บเริ่มย่างเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิที่แสนจะงดงาม พออากาศเริ่มอุ่นขึ้นต้นทุนในการซื้อสมุนไพรก็ลดลงเมื่อต้นทุนลดลงผลกำไรก็มากขึ้น เมื่อได้ผลกำไรมากขึ้นก็ทำให้โม่ชิงเยว่เริ่มมีกำลังใจที่จะคิดค้นสินค้าชนิดใหม่ๆ เพื่อนำไปวางขายในร้านโม่เซียงของนาง“เหตุใดบรรดาถุงผ้าปักเหล่านี้จึงได้มีลวดลายแปลกตาเช่นนี้เล่า แล้วยังกล่องไม้สำหรับใส่ผงแป้งเหล่านี้อีกเจ้าไปเอาแนวทางในการคิดค้นรูปร่างและลวดลายพวกนี้มาจากไหน” คำถามของซ่งเหวินจิ้งทำให้โม่ชิงเยว่วางพู่กันที่ใช้วาดรูปลวดลายลงบนโต๊ะเขียนอักษรแล้วจึงได้สะบัดมือเพื่อคลายความเมื่อยล้า“หากข้าจะบอกว่าข้าได้รับแรงบันดาลใจมาจากความฝันอันยาวนานของข้าท่านจะเชื่อหรือไม่” เมื่อนางเอ่ยเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็พยักหน้า“เหตุใดจะไม่เชื่อกันเล่า ไม่ใช่ว่าข้าไม่เคยฝันเสียหน่อย เพียงแต่ความฝันของข้าไม่เคยนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์เช่นนี้” ซ่งเหวินจิ้งเอ่ยพลางเดินมานวดไหล่ให้โม่ชิงเยว่ด้วยความคุ้นชินส่วนโม่ชิงเยว่ก็เอนกายพิงพนักเก้าอี้แหงนหน้าขึ้นแล้วหลับตาเพื่อรับความสบายจากอุ้งมืออันอุ่นร้อนของเขาอย่างผ่อนคลาย“มันเป็นความฝันที่ยาวนานมาก ยาม
เมืองหลวงมีข่าวครึกโครมอีกครั้งเมื่อจวนนิ่งอันโหวถูกลอบโจมตี แม้ว่าจะสามารถจับตัวคนร้ายได้แต่นิ่งอันโหวกลับได้รับบาดเจ็บสาหัส ฝ่าบาททรงมีพระราชโองการให้เจ้ากรมอาญาตรวจสอบเรื่องนี้อย่างเข้มงวด อีกทั้งยังทรงส่งองค์ชายรองมาควบคุมการสอบสวนด้วยพระองค์เอง ทั้งนี้คนร้ายที่ถูกจับต่างก็ซัดทอดความผิดไปที่ไหวกั๋วกง ทำให้ไหวกั๋วกงต้องรีบเข้าวังเพื่อแก้ต่างให้กับตนเองและขอให้มีการตรวจสอบนักฆ่าเหล่านั้นอีกครั้งแต่แน่นอนว่าทางซ่งเหวินจิ้งได้เตรียมการเรื่องนี้เอาไว้แล้ว เขาไม่เพียงขอพระราชโองการคุ้มครองพยานให้กับเหล่านักฆ่า ยังส่งกองกำลังของตนเองคอยคุ้มครองครอบครัวและคนใกล้ชิดของเหล่านักฆ่าอย่างแน่นหนา เหล่านักฆ่าเองก็ไม่ใช่คนโง่พวกเขาเข้าออกจวนไหวกั๋วกงเป็นว่าเล่นย่อมมีลู่ทางสำรองเอาไว้บ้าง การที่พวกเขาลักลอบตีสนิทกับคนในจวนไหวกั๋วกงก็เพื่อให้พวกเขาเป็นคนมีตัวตนภายในจวน ไม่ใช่แค่เพียงนักฆ่าเงาที่ตายไปแล้วก็ไม่หลงเหลือร่องรอยให้ผู้คนตามหา ดังนั้นทางกรมอาญาย่อมสามารถที่จะหาคนมายืนยันฐานะของพวกเขาได้ว่าพวกเขาทำงานให้ไหวกั๋วกงจริงๆ ดังนั้นครั้งนี้ไหวกั๋วกงจึงไม่อาจจะปัดป้องความผิดของตนเองได้แล้ว“ท่านเ