หลังจากดูพลุไฟแล้วซ่งเหวินจิ้งและโม่ชิงเยว่ก็เดินไปส่งเด็กๆ กลับเรือนด้วยตนเอง แน่นอนว่าซ่งเหวินจิ้งย่อมจะต้องเดินตรวจตรารอบๆ เรือนด้วยตนเองอีกครั้งและยังกำชับให้คนของเขาคอยคุ้มกันจวนให้ดี อีกทั้งยังสั่งสาวใช้ภายในเรือนให้วันพรุ่งนี้ย้ายข้าวของเครื่องใช้ของซ่งจื่อเยว่และซ่งจื่อเหยาไปที่เรือนของโม่ชิงเยว่ เมื่อสั่งการทุกคนเสร็จเรียบร้อยดีแล้วเขาจึงได้เดินไปที่เรือนของโม่ชิงเยว่เพื่อตรวจตราความเรียบร้อยอีกครั้ง พอเห็นว่าการรักษาความปลอดภัยของเรือนนี้แน่นหนาดีแล้วเขาจึงได้เข้าไปหาโม่ชิงเยว่ที่กำลังนั่งจิบน้ำชาอยู่ภายในเรือน
“ในเมื่อลงนามสงบศึกแล้ว คนของแคว้นต้าเป่ยก็ไม่น่าจะสร้างความร้าวฉานด้วยการลอบโจมตีท่านและครอบครัวอย่างที่ท่านกำลังกังวลอยู่” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ซ่งเหวินจิ้งส่ายหน้า
“แคว้นต้าเป่ยแม้ว่าจะปกครองด้วยเชื้อพระวงศ์สกุลเซียว แต่สกุลที่กุมอำนาจทางกองทัพก็คือสกุลหม่า ข้าที่พึ่งจะฆ่าผู้นำสกุลและนักรบอีกหลายคนของสกุลหม่าย่อมจะต้องกลายเป็นเป้าแห่งความแค้นเคืองของพวกเขา แม้ว่าฮ่องเต้ของพวกเขาจะลงพระนามขอสงบศึกแล้ว แต่คนสกุลหม่าใช่ว่าจะก่อเรื่องไม่ได้ขอแค่เพียงสิ้นไร้หลักฐานก็ไม่มีทางกระทบกับเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างแคว้น” เมื่อซ่งเหวินจิ้งเอ่ยเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็นิ่วหน้า
“คนที่ข้าส่งไปสอดแนมสกุลเหยียนส่งข่าวมาบอกว่ายามนี้สกุลหม่ากำลังคิดจะกำจัดข้าอยู่ ตัวข้ากลายเป็นเป้าหมายของพวกเขาย่อมจะเป็นเรื่องธรรมดาแต่ในเมื่อครั้งนี้มีคนสกุลเหยียนมาเกี่ยวข้องด้วยข้าจึงได้กังวลถึงความปลอดภัยของเจ้าและลูกๆ” เมื่อซ่งเหวินจิ้งเอ่ยเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็พยักหน้า
“ยามนี้แม่ทัพทิศอุดรคือท่านพ่อของข้าก็สิ้นไปแล้ว กองทัพที่เคยแข็งแกร่งก็ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของท่านในฐานะที่เป็นเขยของท่านพ่อ ทัพทิศบูรพาของฉินอ๋องก็กำลังสับสนวุ่นวายด้วยผู้นำของพวกเขาถูกขังอยู่ในวังหลวง ทัพทิศประจิมของสกุลเยี่ยก็อยู่ในการควบคุมของเยี่ยหลินผู้เป็นสหายของท่านอีกทั้งคนของท่านยังไปร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับทัพทิศประจิมอยู่หลายครั้งจนแทบจะเป็นกองทัพเดียวกัน ดังนั้นขอเพียงกำจัดท่านได้แคว้นเหลียนแห่งนี้ก็ย่อมจะวุ่นวาย เพียงแต่ความทะเยอทะยานของสกุลเหยียนจะไปหยุดถึงที่ใดกันแน่ จะหยุดแค่เพียงผลักดันองค์ชายสิบแปดให้เป็นองค์รัชทายาท หรือว่าตั้งใจผลักดันให้ขึ้นสู่ราชบัลลังก์แล้วใช้ฐานะพระมาตุลาคอยควบคุมฮ่องเต้น้อยอีกทีกันแน่” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ซ่งเหวินจิ้งพยักหน้า
“การคาดเดาของเจ้าหากไม่ใช่ก็ถือว่าใกล้เคียง เหยียนเซียวผู้นี้ภายนอกอาจจะดูสูงส่งสะอาดบริสุทธิ์ไปทั้งตัว แต่เจ้าลองคิดดูก็แล้วกันว่าบุรุษที่ลงมือฆ่าภรรยาของตนเองได้อย่างเลือดเย็นแต่กลับทำตัวเป็นสามีผู้เต็มไปด้วยความเศร้าโศกเสียใจต่อหน้าผู้อื่นได้ แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นคนที่เสแสร้งเก่งมากเพียงใด ยังไม่นับเรื่องที่วันแจ้งข่าวการตายของสามีแต่เขากลับกล้าเกี้ยวพาภรรยาของผู้ตายในงานศพ คนธรรมดาที่ไหนจะกล้าทำ” ซ่งเหวินจิ้งเอ่ยอย่างแค้นเคืองเมื่อคิดถึงสถานการณ์ในวันนั้น แล้วจึงได้เอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยแรงอารมณ์
“เขาคิดแย่งเจ้ากับข้าตอนที่ฝ่าบาททรงมีพระประสงค์จะพระราชทานสมรสให้เจ้าก็ช่างเถิด แต่การพยายามเกี้ยวพาเจ้าต่อหน้าโลงศพของข้ามันออกจะดูเลือดเย็นเกินไปหรือไม่” เมื่อซ่งเหวินจิ้งเอ่ยเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็เอ่ยวาจาขัดคอเขาด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น
“แต่ท่านก็ไม่ได้ตายเสียหน่อย ในโลงใบนั้นไม่ได้บรรจุร่างของท่านเอาไว้เสียด้วยซ้ำ แล้วท่านจะมาทำน้ำเสียงโกรธแค้นถึงขั้นนี้ทำไมกัน”
“ข้าไม่ได้ตายจริงๆ มันก็ใช่ แต่ในยามนั้นเหยียนเซียวเขาเข้าใจว่าข้าตายไปแล้วจริงๆ มิใช่หรือ” เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็หัวเราะออกมาเบาๆ
“หากท่านอยากตายจริงก็แค่บอกกับข้ามาตรงๆ ข้าจะได้ช่วยสงเคราะห์ให้” เมื่อนางเอ่ยเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็ทำน้ำเสียงน้อยอกน้อยใจออกมาในทันที
“เจ้าขู่ฆ่าข้าอีกแล้วนะ” เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็ส่ายหน้าแล้วจ้องมองเขาด้วยดวงตาอันเปล่งประกาย
“ข้าไม่ได้ขู่เสียหน่อย คนเช่นข้าพูดจริงทำจริงนะ” เมื่อนางเอ่ยเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็พยักหน้าแล้วเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
“ข้าเองก็เป็นคนพูดจริงทำจริงเช่นกัน แต่ดูเหมือนว่าเจ้าจะยังไม่เข้าใจข้าอย่างลึกซึ้งสักเท่าไหร่ดังนั้นคืนนี้พวกเรามาทำความเข้าใจกันอย่างลึกซึ้งกันดีกว่า” เมื่อเอ่ยจบซ่งเหวินจิ้งก็เดินมาอุ้มโม่ชิงเยว่ขึ้นแล้วพานางไปที่ห้องนอนของนาง
“ซ่งเหวินจิ้ง ท่านคิดจะทำสิ่งใด” นางเอ่ยถามพลางส่งสายตาดุดันไปให้แต่คราวนี้ซ่งเหวินจิ้งกลับไม่ได้รู้สึกสะทกสะท้านต่อสายตาของนางสักนิด
“ข้าเฝ้าปรนนิบัติเจ้ามาตั้งหลายวันแล้วแต่ก็ยังรู้สึกว่าข้าปรนนิบัติเจ้าได้ไม่ดี วันนี้ก็เลยคิดว่าควรจะต้องใส่ใจเจ้าให้มากสักหน่อยเพื่อที่จะได้ชดเชยเรื่องที่ข้าละเลยเจ้าในช่วงหลายปีที่ผ่านมาก” เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็ส่ายหน้า
“ชดเชยเรื่องอื่นก็ได้กระมัง” เมื่อนางเอ่ยเช่นนี้เขาก็วางตัวนางลงบนเตียงแล้วก็ทอดร่างลงมาแนบชิดร่างกายของนางอย่างอุกอาจ
“ข้าไม่มีสิ่งใดจะมอบให้เจ้าแล้ว ทั้งตำแหน่งฮูหยินท่านโหว ทั้งจวนแห่งนี้ เงินทองที่มีทั้งหมดยามนี้ก็ล้วนอยู่ในมือของเจ้าแล้ว แต่ข้ากลับรู้สึกว่ายังไม่พอ ดังนั้นคืนนี้ข้าขอมอบร่างกายของข้าให้เจ้าก็แล้วกัน” เมื่อเอ่ยจบเขาก็แนบริมฝีปากอันอุ่นร้อนของเขาลงมาแนบชิดกับริมฝีปากของนาง การรุกล้ำของเขายังคงอบอุ่นและอ่อนโยนอย่างเช่นที่เคยทำ แต่ครั้งนี้กับมีความลึกล้ำมากกว่าครั้งที่ผ่านมา โม่ชิงเยว่รู้ดีว่าคราวนี้เขาจะไม่ยอมหยุดจนกว่าจะถึงจุดหมายปลายทาง เดิมทีนางคิดจะต่อต้านแต่เมื่อคิดถึงคำพูดของเขาแล้วนางก็ได้แต่ทอดถอนใจออกมาแล้วยินยอมโอนอ่อนผ่อนตามเขาแต่โดยดี
ส่วนทางด้านซ่งเหวินจิ้งแม้ว่าประสบการณ์ในเรื่องเช่นนี้ของเขาจะมีอยู่อย่างจำกัด แต่ถึงอย่างไรก็เคยทำจนได้ลูกมาแล้วถึงสองคนดังนั้นเรื่องความเงอะงะย่อมจะไม่มี แม้ว่าครั้งนี้จะไม่ใช่เพราะฤทธิ์ยาปลุกกำหนัด แต่ร่างกายของเขากับมีปฏิกิริยารุนแรงไม่ต่างกับตอนที่โดนพิษยาปลุกกำหนัดในครั้งนั้นเลย อันที่จริงแล้วในใจของซ่งเหวินจิ้งอยากจะอ่อนโยนให้มากสักหน่อย แต่ความน่าลุ่มหลงของร่างกายของนางก็ทำให้เขายากจะควบคุมตนเองได้ การปล่อยตัวปล่อยใจให้ดำดิ่งในห้วงปรารถนากับนางเป็นสิ่งที่เขาโหยหามาโดยตลอดยามนี้เมื่อมีโอกาสแล้วเขาจึงไม่คิดจะมีความยับยั้งชั่งใจใดๆ อีก
“ท่าน! ยังคิดจะทำต่ออีกหรือ” โม่ชิงเยว่เอ่ยกับเขาด้วยน้ำเสียงแหบพร่า แม้ว่านางจะไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นเวลากี่โมงยามแล้วแต่นางก็คิดว่าน่าล่วงเข้าสู้วันใหม่แล้ว คนตรงหน้าของนางกลับไม่คิดจะหยุดมือเลยสักนิด
“อืม” เสียงพึมพำตอบของเขาทำให้นางพ่นลมหายใจออกมาอย่างไม่พอใจ
“หากท่านยังไม่ยอมหยุดอีก ข้าจะวางยาท่านให้ใช้การไม่ได้ไปตลอดชีวิต” เมื่อนางเอ่ยเช่นนี้เขาก็หยุดชะงักไปในทันที
“เจ้ามียาประเภทนั้นด้วยหรือ” เมื่อเขาถามเช่นนี้นางก็ส่งเสียงเย้ยหยันออกมา
“ยามนี้ข้าเป็นถึงฮูหยินของท่านโหว จวนแห่งนี้ก็เป็นของข้า เงินทองของท่านก็อยู่ที่ข้าทั้งหมดแล้วข้าจะไม่มีเงินไปซื้อสมุนไพรเหล่านั้นมาเก็บเอาไว้ได้อย่างไร” โม่ชิงเยว่นำคำพูดของเขามาปรับเปลี่ยนอีกเล็กน้อยแล้วใช้โจมตีเขาอย่างตรงจุดทำให้ซ่งเหวินจิ้งต้องยอมพ่ายแพ้
“ได้ข้าหยุดมือก็ได้ แต่ว่าข้าขอนอนกอดเจ้าได้ไหม ข้าอยากจะนอนกอดเจ้าทั้งคืนแล้วก็ตื่นขึ้นมาพร้อมกันตั้งนานแล้ว” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงออดอ้อนส่วนอ้อมแขนของเขาก็ดึงร่างของนางไปโอบกอดเรียบร้อยแล้ว
“ท่านคิดว่าข้าปฏิเสธท่านได้ด้วยหรือ” เมื่อนางเอ่ยเช่นนี้เขาก็พลันยิ้มออกมาแล้วซุกใบหน้าเข้าไปสูดดมเรือนผมของนางอีกครั้งพลางปลอบใจตนเองว่าคืนต่อไปยังมี เมื่อคิดได้เช่นนั้นแล้วเขาก็พลันรู้สึกสบายใจจนเผลอหลับใหลไปภายใต้กลิ่นอายอันหอมกรุ่นของนางที่ช่วยปลอบประโลมจิตใจของเขาให้รู้สึกผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น
ยามที่ซ่งเหวินจิ้งตื่นขึ้นมาสิ่งแรกที่เขาเห็นก็คือม่านมุ้งในห้องนอนของโม่ชิงเยว่ที่ปรากฏเข้าสู่สายตา เขากะพริบตาอีกครั้งแล้วจึงได้พยายามทบทวนว่าเรื่องเมื่อคืนนี้เป็นความฝันหรือว่าเป็นความจริงกันแน่ กลิ่นกายอันหอมกรุ่นของนางแผ่กำจายไปทั่วม่านมุ้งอีกทั้งยังดูเหมือนว่าจะหอมกรุ่นติดตามร่างกายของเขาไปด้วย อีกทั้งปฏิกิริยาทางร่างกายที่ไม่เหมือนเดิมของเขาทำให้เขารู้ว่าสัมผัสอันน่าหลงใหลเมื่อคืนนี้ไม่ใช่แค่เพียงความฝัน เมื่อคิดได้เช่นนั้นก็ทำให้มีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าของเขาในทันที“นอนตาลอยแล้วยิ้มราวกับคนเสียสติเช่นนั้นท่านทำให้ข้าชักจะรู้สึกหวาดกลัวท่านแล้วนะ” เสียงทักของโม่ชิงเยว่ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของซ่งเหวินจิ้งพลันหายไปในทันที“มีสิ่งใดให้น่ากลัวกัน” เขาเอ่ยพลางพลิกตัวแล้วดึงผ้าห่มอันหมิ่นเหม่ขึ้นมาคลุมร่างกายของตนเองเอาไว้ ด้วยไม่รู้ว่าคนที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงหน้าเตียงนั่งจ้องมองเขานานเท่าไหร่แล้ว“แล้วเจ้ายกเก้าอี้มานั่งจ้องมองข้าเช่นนี้ทำไมกัน” เมื่อเขาถามเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็ยิ้มออกมา“เมื่อคืนนี้มีคนบอกกับข้าว่าอยากจะตื่นขึ้นมาพร้อมกันกับข้ามิใช่หรือ ข้าก็เลยมานั่งรอให้ท่า
หลังจากดูพลุไฟแล้วซ่งเหวินจิ้งและโม่ชิงเยว่ก็เดินไปส่งเด็กๆ กลับเรือนด้วยตนเอง แน่นอนว่าซ่งเหวินจิ้งย่อมจะต้องเดินตรวจตรารอบๆ เรือนด้วยตนเองอีกครั้งและยังกำชับให้คนของเขาคอยคุ้มกันจวนให้ดี อีกทั้งยังสั่งสาวใช้ภายในเรือนให้วันพรุ่งนี้ย้ายข้าวของเครื่องใช้ของซ่งจื่อเยว่และซ่งจื่อเหยาไปที่เรือนของโม่ชิงเยว่ เมื่อสั่งการทุกคนเสร็จเรียบร้อยดีแล้วเขาจึงได้เดินไปที่เรือนของโม่ชิงเยว่เพื่อตรวจตราความเรียบร้อยอีกครั้ง พอเห็นว่าการรักษาความปลอดภัยของเรือนนี้แน่นหนาดีแล้วเขาจึงได้เข้าไปหาโม่ชิงเยว่ที่กำลังนั่งจิบน้ำชาอยู่ภายในเรือน“ในเมื่อลงนามสงบศึกแล้ว คนของแคว้นต้าเป่ยก็ไม่น่าจะสร้างความร้าวฉานด้วยการลอบโจมตีท่านและครอบครัวอย่างที่ท่านกำลังกังวลอยู่” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ซ่งเหวินจิ้งส่ายหน้า“แคว้นต้าเป่ยแม้ว่าจะปกครองด้วยเชื้อพระวงศ์สกุลเซียว แต่สกุลที่กุมอำนาจทางกองทัพก็คือสกุลหม่า ข้าที่พึ่งจะฆ่าผู้นำสกุลและนักรบอีกหลายคนของสกุลหม่าย่อมจะต้องกลายเป็นเป้าแห่งความแค้นเคืองของพวกเขา แม้ว่าฮ่องเต้ของพวกเขาจะลงพระนามขอสงบศึกแล้ว แต่คนสกุลหม่าใช่ว่าจะก่อเรื่องไม่ได้ขอแค่เพียงสิ้นไร้หลักฐานก็ไ
ฮ่องเต้แคว้นต้าเป่ยส่งราชสาส์นมาขอเจรจาสงบศึก อีกทั้งยังยินดีที่จะส่งเครื่องราชบรรณาการมาถวายแด่ฮ่องเต้แคว้นเหลียนทุกปี เมื่อทางฝั่งแคว้นต้าเป่ยยินยอมอ่อนข้อให้จนถึงขั้นนี้มีหรือที่หลี่เฟยหลงฮ่องเต้จะปฏิเสธหลังจากนั้นจึงได้ส่งราชสาส์นตอบกลับไปด้วยความยินดี เมื่อมีสัญญาณว่าการศึกจะสงบอย่างถาวรเช่นนี้ ประชาชนในแคว้นต่างก็รู้สึกยินดีกันทั่วหน้า สงครามจบสิ้นแล้วก็หมายความว่าต่อไปพวกเขาจะได้อยู่อย่างสงบสุขไปอีกหลายปี ไม่ต้องกังวลว่าคนในครอบครัวจะต้องไปพลีชีพเพื่อปกป้องแคว้นที่ชายแดนอีกจวบจนเมื่อมีการลงนามสงบศึกอย่างเป็นทางการชาวบ้านร้านตลาดก็ต่างพร้อมใจกันจัดงานรื่นเริงเพื่อเฉลิมฉลอง พลุไฟนับหมื่นพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อโอ้อวดความงดงามท่ามกลางความมืดมิดในยามราตรี ซ่งเหวินจิ้งยืนนิ่งจ้องมองพลุไฟเหล่านั้นด้วยสีหน้ากังวลใจเมื่อคิดได้ว่าท่ามกลางงานเลี้ยงเฉลิมฉลองกำลังมีคนของแคว้นต้าเป่ยเข้ามาแทรกซึมอยู่ในเมืองหลวง ยามนี้เขาทำหอดูดาวให้สูงขึ้นแล้วรื้อหลังคาของหอดูดาวออก ทำให้เขาและครอบครัวสามารถชื่นชมความงามของพลุไฟได้อย่างเต็มที่“ท่านแม่! ท่านดูสิราวกับมีดอกไม้นับหมื่นกำลังแข่งกันเบ่งบานอย
ในขณะที่ทางจวนโหวมีคนกำลังพยายามเร่งสานความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา ทางจวนตระกูลเหยียนหรืออดีตจวนไหวกั๋วกงก็กำลังตกอยู่ในช่วงเวลาแห่งความตึงเครียด เหยียนฮูหยินผู้เคยได้ดำรงตำแหน่งฮูหยินของท่านกั๋วกงก็กำลังนั่งร้องไห้อ้อนวอนขอให้บุตรชายหาหนทางช่วยสามีที่ในยามนี้ถูกขังอยู่ในคุกของกรมอาญา“เจ้าไม่คิดจะช่วยท่านพ่อของเจ้าจริงๆ หรือ เสียแรงที่พ่อของเจ้าทำทุกอย่างก็เพื่อเจ้า” เหยียนฮูหยินเอ่ยพลางใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาด้วยท่วงท่าที่ดูอ่อนแอและบอบบางราวกับว่าจะแตกหักได้ทุกเมื่อ“จะให้ข้าช่วยอย่างไร ให้ข้าไปคุกเข่าขอพระเมตตาแล้วทำให้ข้าและสกุลเหยียนทั้งสกุลถูกฝ่าบาทหวาดระแวงและคิดว่าพวกเราสกุลเหยียนมีความทะเยอทะยานในราชบัลลังก์เช่นนั้นหรือ ท่านแม่อย่าได้ลืมสิว่าฮุ่ยเอ๋อต้องเสียสละอะไรไปบ้าง ยามนี้นางกำลังได้รับความโปรดปรานท่านอยากให้ฝ่าบาททรงตระหนักได้ว่าการกระทำของท่านพ่อล้วนเป็นเพราะความทะยานอยากที่จะยึดครองกองกำลังของจวนโหวแล้วทำให้ชีวิตของฮุ่ยเอ๋อและองค์ชายน้อยต้องตกอยู่ในอันตรายหรือ” คำพูดของเหยียนเซียวทำให้เหยียนฮูหยินส่ายหน้า“นางได้รับความโปรดปรานถึงเพียงนั้น แต่กลับไม่คิดจะทำเพื่อเจ้าแ
ฤดูกาลผันเปลี่ยนจากฤดูหนาวอันหนาวเหน็บเริ่มย่างเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิที่แสนจะงดงาม พออากาศเริ่มอุ่นขึ้นต้นทุนในการซื้อสมุนไพรก็ลดลงเมื่อต้นทุนลดลงผลกำไรก็มากขึ้น เมื่อได้ผลกำไรมากขึ้นก็ทำให้โม่ชิงเยว่เริ่มมีกำลังใจที่จะคิดค้นสินค้าชนิดใหม่ๆ เพื่อนำไปวางขายในร้านโม่เซียงของนาง“เหตุใดบรรดาถุงผ้าปักเหล่านี้จึงได้มีลวดลายแปลกตาเช่นนี้เล่า แล้วยังกล่องไม้สำหรับใส่ผงแป้งเหล่านี้อีกเจ้าไปเอาแนวทางในการคิดค้นรูปร่างและลวดลายพวกนี้มาจากไหน” คำถามของซ่งเหวินจิ้งทำให้โม่ชิงเยว่วางพู่กันที่ใช้วาดรูปลวดลายลงบนโต๊ะเขียนอักษรแล้วจึงได้สะบัดมือเพื่อคลายความเมื่อยล้า“หากข้าจะบอกว่าข้าได้รับแรงบันดาลใจมาจากความฝันอันยาวนานของข้าท่านจะเชื่อหรือไม่” เมื่อนางเอ่ยเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็พยักหน้า“เหตุใดจะไม่เชื่อกันเล่า ไม่ใช่ว่าข้าไม่เคยฝันเสียหน่อย เพียงแต่ความฝันของข้าไม่เคยนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์เช่นนี้” ซ่งเหวินจิ้งเอ่ยพลางเดินมานวดไหล่ให้โม่ชิงเยว่ด้วยความคุ้นชินส่วนโม่ชิงเยว่ก็เอนกายพิงพนักเก้าอี้แหงนหน้าขึ้นแล้วหลับตาเพื่อรับความสบายจากอุ้งมืออันอุ่นร้อนของเขาอย่างผ่อนคลาย“มันเป็นความฝันที่ยาวนานมาก ยาม
เมืองหลวงมีข่าวครึกโครมอีกครั้งเมื่อจวนนิ่งอันโหวถูกลอบโจมตี แม้ว่าจะสามารถจับตัวคนร้ายได้แต่นิ่งอันโหวกลับได้รับบาดเจ็บสาหัส ฝ่าบาททรงมีพระราชโองการให้เจ้ากรมอาญาตรวจสอบเรื่องนี้อย่างเข้มงวด อีกทั้งยังทรงส่งองค์ชายรองมาควบคุมการสอบสวนด้วยพระองค์เอง ทั้งนี้คนร้ายที่ถูกจับต่างก็ซัดทอดความผิดไปที่ไหวกั๋วกง ทำให้ไหวกั๋วกงต้องรีบเข้าวังเพื่อแก้ต่างให้กับตนเองและขอให้มีการตรวจสอบนักฆ่าเหล่านั้นอีกครั้งแต่แน่นอนว่าทางซ่งเหวินจิ้งได้เตรียมการเรื่องนี้เอาไว้แล้ว เขาไม่เพียงขอพระราชโองการคุ้มครองพยานให้กับเหล่านักฆ่า ยังส่งกองกำลังของตนเองคอยคุ้มครองครอบครัวและคนใกล้ชิดของเหล่านักฆ่าอย่างแน่นหนา เหล่านักฆ่าเองก็ไม่ใช่คนโง่พวกเขาเข้าออกจวนไหวกั๋วกงเป็นว่าเล่นย่อมมีลู่ทางสำรองเอาไว้บ้าง การที่พวกเขาลักลอบตีสนิทกับคนในจวนไหวกั๋วกงก็เพื่อให้พวกเขาเป็นคนมีตัวตนภายในจวน ไม่ใช่แค่เพียงนักฆ่าเงาที่ตายไปแล้วก็ไม่หลงเหลือร่องรอยให้ผู้คนตามหา ดังนั้นทางกรมอาญาย่อมสามารถที่จะหาคนมายืนยันฐานะของพวกเขาได้ว่าพวกเขาทำงานให้ไหวกั๋วกงจริงๆ ดังนั้นครั้งนี้ไหวกั๋วกงจึงไม่อาจจะปัดป้องความผิดของตนเองได้แล้ว“ท่านเ