นางสิ้นใจแล้วหรือ?
“อาจารย์ นางสิ้นใจไปแล้วหรือขอรับ”
“ยัง! ยังหรอก”
“ถ้าอย่างนั้นเราช่วยนางดีหรือไม่”
“สุดแล้วแต่ท่านประมุขน้อย”
บุรุษกลุ่มหนึ่งประกอบไปด้วย อี้เฉิน ที่ถูกเรียกว่าประมุขน้อยวัยสิบสี่หนาว หลีเหว่ย สหายร่วมสำนักวัยสิบสามหนาวและโม่โฉวผู้อาวุโสสุด ซึ่งทั้งสองนับถือเป็นอาจารย์ ร่วมด้วยผู้ติดตามเป็นชายฉกรรจ์ทั้งสิ้นอีกสี่นาย พวกเขาเหล่านี้ได้สัญจรผ่านเส้นทางที่เสวียนหนี่หมดสติและพบนางเข้าโดยบังเอิญ หลังจากที่สังเกตเห็นว่ามีคนนอนหมดสติอยู่ในป่าเขตเมืองหลวงแคว้นเถียน อี้เฉินจึงได้สั่งขบวนรถม้าให้หยุดแล้วรีบลงมาดูอาการ
เด็กตัวน้อยท่าทางอ่อนแรงนอนแน่นิ่ง ไม่ว่าจะปลุกเช่นไรนางก็ไร้ปฏิกิริยาตอบรับ เสียงลมหายใจของนางแผ่วเบาลงทุกที ใบหน้าเล็กจิ้มลิ้มซีดเซียวดุจกระดาษขาว แวบแรกที่อี้เฉินสะดุดตาเข้ากับร่างของคนที่นอนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่เขารู้สึกประหลาดใจอย่างมาก น่าแปลกตรงที่ในป่าเช่นนี้เหตุใดถึงได้มีเด็กผู้หญิงมานอนหมดสติอยู่เพียงลำพัง แต่พอคิดได้ว่าจากจุดที่เจอนางไปอีกไม่ไกลน่าจะมีบ้านคน อาจจะเป็นไปได้ว่านางหลงเข้ามาในเขตป่าแล้วหาทางกลับออกไปไม่ได้
“ท่านคิดเห็นอย่างไรประมุขน้อย เอ๊ะ ที่ตัวนางมีป้ายอักษรเขียนว่าฉู่”
โม่โฉวหันมาถามอี้เฉินหลังจากที่ตนและหลีเหว่ยศิษย์อีกคนหารือกันแล้วยังไม่ได้คำตอบที่ลงตัว ทว่าภายใต้ดวงตาดำขลับของอี้เฉินไม่แสดงถึงความรู้สึกอื่นใด มีเพียงประกายเย็นชาทอดมองร่างเล็กไร้สตินั้น โม่โฉวประคองเสวียนหนี่ขึ้นมาแล้วใช้มือคลำชีพจรที่ข้อมือของนางซ้ำอีกครั้งเพื่อประเมินอาการให้แน่ชัด ยามนี้ชีพจรของนางเต้นอ่อนเต็มที หากปล่อยไว้นานกว่านี้เกรงว่าอาการของนางจะทรุดลงเรื่อย ๆ
“นางเป็นอะไร”
“จากลักษณะภายนอกเล็บมือของนางเปลี่ยนเป็นสีดำ ริมฝีปากม่วงคล้ำ เหงื่อผุดทั่วกายจนชุ่มแต่อุณหภูมิร่างกายกลับเย็นเฉียบ... ข้าคิดว่านางน่าจะถูกแมงมุมพิษสือยี่เหยียนกัด”
“แมงมุมพิษสือยี่เหยียน?”
"ถูกต้อง แมงมุมพิษสือยี่เหยียนเป็นแมงมุมที่มีพิษร้ายแรง ผู้ถูกแมงมุมพิษสือยี่เหยียนกัดจะไม่ได้สิ้นใจในทันทีหลังจากถูกพิษ แต่จะเป็นอัมพาตไปทั้งตัวแล้วค่อย ๆ ตายอย่างทรมาน หากเราทำการรักษานางตอนนี้... ถึงจะรักษาหายนางก็คงอายุไม่ยืนเพราะพิษส่งผลให้ร่างกายของนางต่อจากนี้ไม่เหมือนเดิม... ผลข้างเคียงข้าไม่อาจตอบได้"
“หากรักษานางจะอยู่ได้นานเท่าใด”
“อย่างน้อยเก้าปี อย่างมากสิบสองปี”
หลีเหว่ยเห็นสภาพของเด็กคนนี้แล้วก็นึกเวทนาอยู่ไม่น้อย นางยังเด็กอยู่แท้ ๆ กลับต้องมาเจอเรื่องราวเช่นนี้ จากที่ยืนฟังอาจารย์กับท่านประมุขน้อยพูดคุยกันสักพัก เด็กหนุ่มจึงเข้าไปประคองร่างของนางแทนโม่โฉวแล้วรอคอยคำสั่งของผู้เป็นนาย
หลีเหว่ยแม้นจะรู้จักและสนิทสนมกับอีกฝ่ายมากแค่ไหน ทว่าเขาก็มิอาจอ่านใจของอี้เฉินผู้เป็นประมุขน้อยได้เลยว่าจะอนุญาตให้ช่วยเหลือเด็กคนนี้หรือไม่ ด้วยลักษณะนิสัยเย็นชาและคาดเดาอารมณ์ได้ยากยิ่ง ซึ่งการตัดสินใจของอี้เฉินบางครั้งก็เหนือความคาดหมาย ส่วนสาเหตุที่เป็นเช่นนั้นอาจเพราะอีกฝ่ายถูกผู้เป็นบิดาที่ดำรงตำแหน่งประมุขคนก่อนเลี้ยงดูมาโดยปราศจากความรักและความเมตตาด้วยกระมัง อี้เฉินจึงกลายเป็นคนเย็นชาไร้ซึ่งความรู้สึกเห็นใจผู้อื่น โชคยังดีที่อี้เจ๋อผู้นั้นอายุสั้นไปเสียก่อน ไม่เช่นนั้นคงได้ถ่ายทอดความชั่วร้ายของตนเอง จนทำให้ท่านประมุขน้อยกลายเป็นคนใจคอโหดเหี้ยมเทียบเทียมเขาเป็นแน่
ครั้นพอนึกถึงหงอี้เจ๋อที่ตายไปเมื่อห้าปีก่อน ชายผู้นี้มีลักษณะรูปร่างสูงใหญ่น่ากลัว ใบหน้าดุดันดุจพญามัจจุราช นัยน์ตาเรียบเฉยไร้ความเมตตาต่อทุกสรรพสิ่ง หว่างคิ้วเป็นเส้นตลอดเวลาไม่เคยแย้มยิ้มให้ผู้ใดเลยสักครั้ง อุปนิสัยโหดเหี้ยมฆ่าคนไม่กะพริบตา ตระกูลหงเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งผู้ดูแลหุบเขา
อูยามารุ่นต่อรุ่น จนมาถึงรุ่นของหงอี้เฉินซึ่งสืบทอดมาจากสายเลือดโดยตรง แต่เพราะในเวลานั้นหงอี้เจ๋อตายจากไปก่อน อี้เฉิงที่ยังเด็กมากนักเลยไม่สามารถรับช่วงต่อได้ดังนั้นห่าวอู๋ผู้เป็นอา จึงต้องทำหน้าที่รักษาการแทนมาเกือบห้าปีแล้ว การหวนคืนสู่หุบเขาอูยาของท่านประมุขน้อยในครั้งนี้ก็เพื่อสืบทอดตำแหน่งประมุขคนต่อไป
หลีเหว่ยนึกสะท้อนในอกพลางก้มมองหน้าเด็กหญิงด้วยความสงสารระคนเห็นใจไม่น้อย ทว่ายามเมื่อท่านประมุขน้อยเอ่ยบางสิ่งบางอย่างออกมา เด็กหนุ่มจึงค่อยระบายยิ้มอย่าง
โล่งอก คิดในใจว่าเด็กคนนี้รอดตายแล้ว“ในย่ามของอาจารย์มียารักษาหรือไม่”
“พอจะมีบ้าง แต่ถึงอย่างไรเราก็ควรพานางไปหาหมอในเมืองก่อน” โม่โฉวผู้เป็นอาจารย์ตอบกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“แต่การเข้าไปในเขตชุนชนอยู่นอกเหนือเส้นทางเดินม้าของพวกเรา หากไม่รีบกลับหุบเขาอูยาให้ทันในเวลาที่ท่านอากำหนด หาไม่แล้วเจ้าคนเจ้าเล่ห์นั้นอาจเล่นแง่กับข้าได้” อี้เฉินเอ่ยด้วยสีหน้าตึงเครียด เนื่องจากรู้จักนิสัยของท่านอาเป็นอย่างดี
หุบเขาอูยาได้ชื่อว่าเป็นดินแดนที่ห่างไกลจากแคว้น
เถียนคนละฟากฟ้าเหนือสุดใต้สุด สาเหตุที่ทำให้เขาต้องเดินทางผ่านเส้นทางนี้ เนื่องจากห่าวอู๋ผู้มีศักดิ์เป็นอาแท้ ๆ ได้ส่งตัวเขาให้มาเล่าเรียนทางตอนใต้ของแคว้นเถียนตั้งแต่อายุเก้าขวบ ซึ่งเป็นช่วงเวลาหลังจากที่หงอี้เจ๋อเสียชีวิตไปแล้ว สำนักศึกษาตี้ฉิวเป็นสำนักศึกษาอันดับหนึ่งที่ถ่ายทอดวิชาความรู้ให้แก่บรรดาบุตรหลานของผู้มีอันจะกิน แม้กระทั่งลูกขุนนางของแคว้นเถียนก็มีหลายคนที่ถูกส่งตัวเข้าไปศึกษาเล่าเรียนที่นั่น สำหรับหงอี้เฉินที่อยู่ไกลถึงหุบเขาอูยาต่อให้ต้องเดินทางไกลหลายพันลี้ย่อมถือว่าเป็นเรื่องที่คุ้มค่าตลอดเวลาที่ศึกษาอยู่อี้เฉินต้องปลอมแปลงประวัติเพื่อปิดบังตัวตน นั่นก็เพราะป้องกันภัยอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้น
หงอี้เฉินเยาว์วัยกว่าศิษย์รุ่นเดียวกันหลายเท่านัก แต่เขาสามารถสำเร็จการศึกษาได้ตั้งแต่อายุยังน้อย ในขณะที่เพื่อนร่วมสำนักคนอื่น ๆ ยังไม่ได้เลื่อนขั้น อี้เฉินสามารถเล่าเรียนและสำเร็จการศึกษาทุกหลักสูตรด้วยวัยเพียงสิบสี่ปี เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วเขาจึงได้บอกลาผู้ดูแลสำนักศึกษาเพื่อหวนคืนสู่หุบเขาอูยา
หุบเขาอูยาเป็นดินแดนที่อยู่นอกเหนือการปกครองของฮ่องเต้แต่ก็นับว่าเป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์ เสียแต่ภูมิศาสตร์มีลักษณะเป็นทุบเขามากกว่าพื้นที่ราบ การจะเข้าโจมตีเพื่อแย่งชิงดินแดนนั้นจึงเป็นเรื่องยากสำหรับกองทหารที่ไม่คุ้นชินเส้นทาง ดีไม่ดีหากยกทัพเข้าไปอาจถูกลอบสังหารยกกองจึงไม่มีแคว้นใดกล้าเสี่ยง อีกอย่างทั่วทั้งใต้หล้าต่างทราบกันดีว่าผู้คนที่อาศัยอยู่ในหุบเขาอูยานั้นล้วนป่าเถื่อนทั้งสิ้น ไม่ใช่ว่าจะเอาเท้าเข้าไปเหยียบแล้วกลับออกมาได้อย่างสบาย เพราะดินแดนแห่งนั้นเต็มไปด้วยคนดิบเถื่อนแต่ไหนแต่ไรมา...
เพียงแค่เอ่ยชื่อหงอี้เจ๋อ ผู้คนก็ต่างขนลุกขนพอง สิ้นกายตายจากเหลือเพียงชื่อให้กล่าวขาน แต่ความร้ายกาจโหดเหี้ยมของเขานั้นยังหลงเหลือในเศษซากความทรงจำของผู้คนไม่จางหายไป
ข่าวการตายของอี้เจ๋อไม่ใช่เรื่องที่หุบเขาอูยาปกปิด แต่เรื่องทายาทของอี้เจ๋อนั้นยังคงถูกปกปิดเป็นความลับมานานถึงห้าปี จนกว่าจะถึงวันที่หงอี้เฉินอายุครบยี่สิบปีบริบูรณ์ เมื่อนั้นเขาคงจะได้ถูกกล่าวขานว่าเป็นผู้สืบทอดความชั่วร้ายของบิดาสืบไป
“ช่วยนางเถิด... เรื่องเข้าไปในเขตชุมชนค่อยว่ากันในภายหลัง”
ได้ยินเช่นนั้นหลีเหว่ยยิ้มออก เขาจึงจับเด็กหญิงตัวเล็กให้นอนราบกับพื้น ส่วนโม่โฉวได้ทำการรักษาโดยฝังเข็มสกัดพิษและใช้ตัวยาร่วมด้วยโดยมีหลีเหว่ยและอี้เฉินคอยยืนมองอยู่ไม่ห่าง จนกระทั่งผ่านไปหนึ่งก้านธูปอุณหภูมิร่างกายของนางค่อย ๆ อุ่นขึ้นทีละน้อยจนเกือบจะคล้ายอุณหภูมิของคนปกติ ปลายเล็บมือที่แต่เดิมเป็นสีดำก็ค่อย ๆ กลับมามีสีเนื้อเข้ามาแทรก ริมฝีปากม่วงคล้ำกลับกลายเป็นปกติในเวลาต่อมา
“นางปลอดภัยแล้ว” ผู้อาวุโสพูดขึ้น
"อืม" ท่านประมุขน้อยพยักหน้าตอบรับ
ช่วงดึกสงัดหงอี้เฉินรู้สึกตัวตื่นขึ้นเมื่อประสาทสัมผัสทางการได้ยิน รับรู้ได้ถึงเสียงฝีเท้าของม้าที่กำลังมุ่งตรงมาทางนี้ หากคาดการณ์ไม่ผิดเขาคิดว่าน่าจะมากกว่าห้า เด็กหนุ่มได้คว้าเอากระบี่คู่ใจลุกเดินมุ่งตรงไปยังร่างของสหายที่กำลังนอนหลับสนิทพร้อมสะกิดเรียกเบา ๆ พลอยทำให้โม่โฉวรู้สึกตัวตื่นตามไปด้วย
“ท่านประมุขน้อย” หลีเหว่ยมีสีหน้างัวเงีย
“ชู่ว์ มีคนกำลังมา” ประมุขน้อยอี้เฉินกระซิบบอกเสียงแผ่ว
หลีเหว่ยทำหน้าตื่นรีบคว้ากระบี่ชักออกจากฝักเพื่อป้องกันภัยให้ผู้เป็นนายกับอาจารย์ เหล่าผู้ติดตามอีกสี่นายที่รู้ตัวแล้วว่ากำลังมีผู้มาเยือนต่างเข้ามาห้อมล้อมเจ้านายไว้ระวังภัยรอบทิศ ทว่าเมื่อคนเหล่านั้นมาถึงกลับไม่ได้มีเจตนาจะโจมตีหรือชักอาวุธออกมาประมือ
“ช้าก่อน! ข้ามาดี” มู่เฉินตะโกนบอกพลางดึงบังเหียนให้ม้าวิ่งช้าลงก่อนจะหยุดม้าในระยะห่างพอสมควรแล้วตะโกนบอกกล่าวกลุ่มคน
“ข้ามาตามหาคน ไม่ทราบว่าพวกท่านเป็นพ่อค้าหรือ เหตุใดถึงได้มานอนกลางป่าเช่นนี้”
"..."
ไร้เสียงตอบรับเพราะต่างกำลังพิจารณาอยู่ว่าผู้มาเยือนนั้นมีเจตนาอื่นแอบแฝงหรือไม่ ทุกคนจึงนิ่งเงียบดูท่าทีไปก่อน เห็นเช่นนั้นมู่เฉินจึงได้ตะโกนบอกออกไปอีก
“ข้ามาตามหาลูกสาวที่พลัดหลงเข้ามาในป่า เป็นเด็กผู้หญิงอายุแปดขวบ สวมใส่อาภรณ์สีฟ้า ที่ตัวของนางมีป้ายตระกูลฉู่ห้อยอยู่ที่เอว ไม่ทราบว่าพวกท่านเห็นนางบ้างหรือไม่"
ทุกคนต่างมองหน้ากันไปมาราวกับรอคอยคำตอบจากผู้เป็นนายว่าควรทำเช่นไรต่อไป หลังจากเห็นอี้เฉินพยักหน้าให้โม่โฉวจึงได้ตะโกนตอบกลับไปบ้าง
“เมื่อช่วงเย็นพวกข้าได้ช่วยเด็กไว้หนึ่งคน หากท่านมีเจตนาดีก็จงเข้ามาเพียงลำพัง ให้ผู้ติดตามของท่านรอตรงนั้นก่อน”
สิ้นเสียงขานรับมู่เฉินได้ควบม้ามาเพียงลำพังตามที่อีกฝ่ายร้องขอ แล้วสั่งให้ผู้ติดตามรออยู่ให้ห่างออกไป เขาเกรงว่าคนกลุ่มนี้จะตื่นกลัวแล้วคิดทำร้ายเสวียนหนี่ แสงจากกองเพลิงที่ส่องสว่างทำให้ทั้งสองฝ่ายเห็นหน้ากันชัดขึ้น เมื่อมู่เฉินเห็นว่าในกลุ่มคนมีเด็กหนุ่มร่วมขบวนมาด้วยถึงสองคนจึงแน่ใจแล้วว่าคนเหล่านี้ไม่ใช่กลุ่มโจรป่าแต่อย่างใด
“นางใช่ลูกสาวท่านหรือไม่”
จับกดย่างเข้าสู่ชุนเทียนกลีบบุปผาร่วงหล่นอำลาต้นสู่พื้นดินเผยให้เห็นยอดอ่อนใบใหม่ที่กำลังจะแตกออก สีของยอดอ่อนนั้นแลดูเขียวขจีน่าชื่นชมไม้บางชนิดได้ทิ้งใบแต่คงไว้ซึ่งดอกที่กำลังบานสะพรั่งทิวทัศน์งามแต่งแต้มด้วยสีสันสรรสร้างโดยธรรมชาติบรรยากาศบริเวณนี้น่าชื่นชมไม่ยิ่งหย่อนไปจากสวรรค์เก้าชั้นฟ้าตามจินตนาการของผู้คน กลิ่นอายลมหวนพัดโชยมาคละคลุ้งกลิ่นหอมของมวลดอกไม้ทำให้เพียนเพียนสูดหายใจไปเต็มปอดเสวียนหนี่มองเด็กหญิงตัวน้อยแล้วอดที่จะแย้มยิ้มตามไม่ได้ ตอนที่นางอายุเท่าเพียนเพียนนั้น ถึงแม้จะเติบโตในชนบทแต่ทว่าทิวทัศน์รอบกายไม่ได้สวยงามมากมายเพียงนี้ ในยุคโบราณผืนป่ายังคงความอุดมสมบูรณ์ในขณะที่บ้านเกิดของเสวียนหนี่ในยุคปัจจุบันเริ่มมีการตัดต้นไม้มาสร้างตึกรามบ้านช่องจนเขาบางลูกกลายเป็นเขาหัวโล้นไปแล้ว“เพียนเพียน”“เจ้าคะ”“อีกเพียงร้อยลี้ก็จะถึงจุดหมายปลายทางของพวกเราผ่านเขาลูกนั้นไปก็เข้าเขตหุบเขาอูยาแล้ว”
ทิ้งเด็กไว้แล้วไปต่อถึงแม้มารดาของเด็กจะยังไม่มาตามนัด แต่ถานถานและเสวียนหนี่ไม่อาจทนรอจนฟ้าสางได้ถานถานควบเกวียนเข้ามาในตลาด พอถึงแหล่งชุมชนเขาอุ้มเด็กลงจากเกวียนแล้วปล่อยให้นางยืนโดดเดี่ยวทำหน้าเหมือนจะร้องไห้อยู่ตรงนั้นด้วยความสงสารเสวียนหนี่พยายามขอร้องเขาแต่ถานถานก็ไม่คิดจะใจอ่อน“พื้นฐานจิตใจของท่านข้าคิดว่าไม่ใช่คนใจร้าย”“เจ้าจะไปรู้ดีกว่าข้าได้อย่างไร”“ท่านไม่สงสารนางหรือเจ้าคะ”“ไม่ ออกเดินทางได้แล้ว เราเสียเวลามามากพอแล้ว”“...”เขาบอกให้นางขึ้นเกวียนแล้วตนเองก็เข้าไปนั่งประจำที่ของตน ก่อนจากไปเสวียนหนี่ไม่ยอมละสายตาจากเด็กน้อยที่กำลังยืนร่ำไห้ชีวิตต่อจากนี้ไปจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่อาจทราบได้ ที่เสวียนหนี่ทำได้คือช่วยให้นางมีลมหายใจต่อ แต่เสียใจที่ไม่อาจช่วยได้ตลอดรอดฝั่งเกวียนของทั้งสองออกจากจุดนั้นไม่นานก็มาหยุดอยู่ที่โรงพนัน เสวียนหนี่ชะเง้อมองเข้าไปข้างในเห็นผู้คนม
รับบทคนขุดสุสาน“โมโหขนาดนี้อย่าบอกนะว่าเจ้าจะช่วยนาง”ถานถานดึงแขนเสวียนหนี่เข้ามากระซิบกระซาบถามเป็นครั้งที่สอง“ตาแก่ถาน ท่านพอจะช่วยลูกของนางได้หรือไม่เจ้าคะ”“เหอะ อย่าฝัน”หลังอาทิตย์อัสดงที่สุสานบรรพชนตระกูลผิง“เจ้าบ้าไปแล้วรึ ตัวเองยังเอาตัวไม่รอดยังจะแส่หาเรื่องอีก”เขาตำหนินางด้วยน้ำเสียงที่เบาพอสมควร บรรยากาศรอบตัวเงียบสงัดวังเวง ท้องฟ้ายามนี้สิ้นแสงไปได้ระยะหนึ่ง เสียงสัตว์ที่ออกหากินตอนกลางคืนดังหวีดหวิวน่าหวาดกลัวในขณะที่ทั้งสองเดินตามทางรกร้างแคบ ๆ เสวียนหนี่เกาะชายผ้าชายแก่ไว้เพราะรู้สึกกลัวจนขนหัวลุก ทุกย่างก้าวของนางสั่นเครือเกือบจะก้าวต่อไปไม่ไหวสำหรับถานถานไม่ใช่เรื่องที่น่าตื่นกลัวอะไรเลยเพราะในบางวันที่เขาเข้าป่าไปหาตัดไม้ก็มักจะนอนกลางป่ากลางเขาเป็นเรื่องปกติไม่ว่าจะในสุสานหรือพงไพรล้วนบรรยากาศอึมครึมไม่แพ้กัน สัตว์ป่าที่ส่งเสียงน่ากลัวใ
เจ้าสาวผีเข้าสู่วันที่สิบของการออกเดินทาง เสบียงที่นำติดตัวมานั้นเริ่มร่อยหรอเต็มที เสวียนหนี่ก้มลงมองถุงผ้าที่นางห่อเสบียงแล้วมองไปรอบ ๆ ข้างทางที่ผ่านมานั้นไม่มีลำธารหรือบ่อน้ำให้เห็น เป็นเพราะเส้นทางที่เขาพามาไม่ได้สะดวกอย่างเช่นที่เขาได้บอกไว้ก่อนหน้าฉะนั้นการหาเสบียงเพิ่มจึงเป็นปัญหาหลักของการเดินทางครั้งนี้“ตาแก่ถาน ข้ากระหายน้ำ”“แถวนี้ไม่มีน้ำหรอก อดทนอีกหน่อย พ้นจากตรงนี้ไปราวยี่สิบลี้น่าจะมีน้ำตกถ้าข้าจำไม่ผิด”“ยี่สิบลี้เลยหรือเจ้าคะ”ในขณะที่เสวียนหนี่กำลังหดหู่สิ้นหวังสายตาของนางเหลือบไปเห็นป่าไผ่ข้างทาง นางชี้มือไปที่ป่าไผ่พร้อมบอกเขาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นดีใจ“ตาแก่ถาน นั่นป่าไผ่เจ้าค่ะ”“ป่าไผ่แล้วอย่างไร”“ข้าหิวน้ำ ในต้นไผ่มีวุ้นสามารถกินแก้กระหายได้”“เจ้าก็ว่าไปเรื่อยคุณหนูอย่างเจ้าจะไปรู้เรื่องของป่าได้อย่างไร”เขาหัวเราะนางอย่างขำขัน แต่ก็ยังดึงบังเหียนบังคับล่อให้หยุดเมื่อจอดสนิทแล้วเสวียนหนี่กระโดดลงมาจากเกวียน&nb
ผ่านด่านเมืองหลวงเช้าวันรุ่งขึ้น เสวียนหนี่ตื่นขึ้นมาพร้อมเสียงร้องของสัตว์บางชนิดนางลุกขึ้นจากเตียงไม้ไผ่ผุพังในกระท่อมของถานถานแล้วเดินออกมาขยี้ตาดูที่หน้ากระท่อมนั้นถานถานกำลังจูงล่อมาหนึ่งตัว ล่อตัวนี้ลักษณะดี แข็งแรงเหมาะแก่การใช้เป็นพาหนะในการแบกขน เจี่ยนถานถานมัดมันไว้กับเสาหน้าบ้านแล้วเดินมาดื่มน้ำดื่มท่าให้หายเหนื่อย“ท่านเอามันมาจากที่ใดเจ้าคะ”“ซื้อมา”“เอาเงินจากไหนไปซื้อมา”“ก็ปิ่นปักผมกับต่างหูนั่นอย่างไรอ้อมีแหวนด้วย”“ปิ่นและต่างหูของข้าท่านเอาไปตอนไหน”“ตอนเจ้าหลับ”คราวนี้เป็นเสวียนหนี่บ้างที่เป็นฝ่ายกัดฟันกรอดอย่างเหลืออดนางอยากจะกรีดร้องออกมาดัง ๆ แต่ก็ระงับสติได้ทันกลัวว่าถานถานจะไม่พานางไปหุบเขาอูยาเขายังดื่มน้ำในถุงหนังสัตว์อย่างไม่เป็นเดือดเป็นร้อนในขณะที่เสวียนหนี่ตอนนี้โมโหสุดขีดเพราะได้กลายเป็นคนสิ้นเนื้อประดาตัวโดยสมบูรณ์ความต
วัดใจกันไปเลย!“เห็นทีว่าท่านคงไม่อยากใช้ชีวิตอิสระอีกต่อไปแล้ว ก็ดี...เรียกทหารมาเลย”“เจ้าพูดอะไรของเจ้ากัน”“ทาสสินะ ทาสที่หลบหนีเสียด้วย”ถานถานหน้าถอดสี ความลับที่เขาเก็บซ่อนมานานนับสิบปี แม่นางผู้นี้รู้ได้อย่างไรกัน มาถึงตอนนี้เสวียนหนี่ไม่ได้เป็นรองเขาอีกต่อไป นางละสายตาไปยังกลุ่มทหารที่กำลังตรงมาหา เห็นท่าทีตื่นกลัวของถานถานนางยิ่งมั่นใจว่าตนเป็นฝ่ายเหนือกว่าบอกเขาต่ออย่างไม่เกรงกลัว“ทหารมานู่นแล้ว ข้าจะไม่หนี แต่ท่านกล้าวัดใจกับข้าหรือไม่เจ้าคะ”“เจ้าขู่ข้างั้นรึ”“ตัวข้านั้นรอดจากความตายมาหลายครั้ง ความตายหาใช่สิ่งน่ากลัวสำหรับข้าไม่ ตายแล้วก็หลุดพ้นแล้ว ๆ กันไป แต่ท่านนี่สิข้าดูก็รู้ว่าท่านโหยหาชีวิตอิสระเพียงใดหากถูกจับกลับไปเป็นทาสรองมือรองเท้าพวกขุนนางชั่วช้าอายุก็ไม่ใช่น้อย ๆ แล้วถูกทรมานโขกสับทั้งเช้าเย็นจะตายก็ไม่ได้ตายท่านว่าชีวิตที่เหลือของข้ากับท่านใครจะน่าเวทนาก