บางอย่างคล้ายสัญชาตญาณ...คล้ายลางสังหรณ์บอกนางว่า พระองค์จะไม่กลับมา ตั้งแต่พระองค์ตรัสว่า จะออกไปร่ำสุราเพียงลำพังในคืนวันคล้ายวันประสูติ แต่นางก็เลือกที่จะไม่เชื่อมัน และเมื่อพระองค์ตื่นมาไม่เหมือนเดิมในสายวันถัดมา แม้พระองค์จะลืมพระเนตรขึ้นมาอย่างตื่นตระหนก นางก็ยังเลือกที่จะไม่เชื่อสิ่งที่ตาเห็นและหัวใจรับรู้อยู่ดี
เฉินฝู่หมิง คือหญิงรับใช้เพียงหนึ่งเดียวที่กล้าปรนนิบัติรับใช้ดูแลองค์ชายเจ็ด
หากกล่าวกันตามจริง นางอาจเป็นสิ่งที่ใกล้เคียงกับมารดาที่สุดสำหรับหยางซิงอีแล้วก็เป็นได้ และสำหรับนาง หยางซิงอีเองก็เปรียบได้กับลูกในไส้คนหนึ่งเช่นกัน
ไม่ว่าหยางซิงอีจะแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวและร้ายกาจเพียงไร จะคว้างปาสิ่งของหรือโมโหร้ายแค่ไหน นางก็ไม่เคยทอดทิ้งยุวกษัตริย์พระองค์นี้ไปที่ใดเลยสักครั้ง เพราะนางรู้ดีว่า ใต้เปลือกนอกอันแข็งกระด้างของเขา หยางซิงอีน่าสงสารและโดดเดี่ยวเพียงไร
นางเห็นมาตลอด เห็นหยางซิงอีมาตั้งแต่เขายังเป็นทารกน้อย และอยู่กับเขามาตั้งแต่เขายังอยู่ในพระครรภ์ของพระมเหสีหลี่
พระมเหสีหลี่เป็นสตรีผู้อ่อนหวาน และเป็นรักสุดท้ายของจักรพรรดิหยางองค์ก่อน แต่ก็เพราะรักมากเหลือเกิน ยามหยางซิงอีเกิดมาพร้อมพรากลมหายใจของพระมเหสีไป องค์จักรพรรดิจึงเกลียดชังองค์ชายพระองค์นี้นัก และยิ่งเติบใหญ่ก็ยิ่งเกลียดจนไม่อาจสบพักตร์ เหตุเพราะหยางซิงอีมีใบหน้าละม้ายคล้ายพระนาง
หยางซิงอีถูกสั่งห้ามมิให้แย้มยิ้มและแสดงสีหน้าแต่เล็ก จะหัวเราะก็ไม่ได้ จะขมวดคิ้วก็ไม่ได้ เวลาผ่านไปชายหนุ่มจึงกลายเป็นคนไม่มีสีหน้า จะสุขหรือทุกข์ใบหน้าก็เรียบนิ่ง แต่ก็ใช่ว่าหยางซิงอีจะไม่มีความรู้สึกต่อสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัวออกมาเลย
ภายใต้พระพักตร์เรียบนิ่งและพระสุรเสียงราบเรียบ พระองค์แสดงความทุกข์ด้วยการขว้างปาสิ่งของ ยามสุขก็รับสั่งขอของหวานที่โปรดปราน มีเพียงการกระทำเท่านั้นที่บอกได้ว่า หยางซิงอีในเวลานั้น ๆ มีอารมณ์เช่นไร
ในวัยเยาว์ เฉินฝู่หมิงจำได้ดี หากหยางซิงอีรู้สึกหนาวจนทนไม่ไหว พระองค์จะตรัสขอมือนางมาจับไว้คลายหนาว และหากร้อนก็จะขอให้นางช่วยเตรียมน้ำสำหรับลงสรง พระองค์จะคอยทอดพระเนตรทุกการกระทำของนางด้วยพระเนตรทองคำสุกใส
หยางซิงอีแม้จะโหดร้ายแต่ก็มีมุมที่น่ารักเอ็นดูสำหรับนางไม่น้อย
นั่นละ หยางซิงอีของนาง
แต่ก็เพราะเป็นหยางซิงอีอีกเช่นกัน ยามพระองค์ตรัสแก่นางว่า จำอะไรไม่ได้ นางจึงไม่อาจทำใจเชื่อพระองค์ได้
เพราะหยางซิงอี...จะโกหกหรือพูดความจริงสีหน้าก็ไม่เคยเปลี่ยน
นางไม่เชื่อพระองค์แม้ในยามที่พระองค์สติแตก จนไม่ยอมให้ผู้ใดเข้าใกล้ ไม่เชื่อพระองค์แม้จะเห็นพระองค์บรรทมกันแสงทั้งวันทั้งคืนราวกับหัวใจแหลกสลาย ไม่เชื่อพระองค์แม้พระองค์จะเอาแต่เหม่อทอดพระเนตรออกไปนอกหน้าต่าง จนลืมสนพระทัยสำรับอาหารที่นางยกมาถวาย ไม่เชื่อแม้พระองค์จะถามถึงเรื่องราวต่าง ๆ รอบตัวราวกับไม่เคยรู้จักสิ่งใดมาก่อน และไม่เชื่อแม้ในยามที่ทุกคนในตำหนักเชื่อกันหมด
นางไม่เชื่อพระองค์ ไม่เชื่อจนกระทั่งพลบค่ำวันนั้น วันที่นางนำสำรับอาหารมาถวายถึงห้องบรรทม แล้วพระองค์แย้มพระสรวลอ่อนหวานมาให้ รอยแย้มพระสรวลที่แทบจะทำให้นางเห็นภาพซ้อนทับของพระมเหสีผู้ลาไกล
แค่หนึ่งยิ้มแล้วนางก็เชื่อพระองค์ เพราะนี่คือสิ่งที่หยางซิงอีไม่มีวันกระทำ
นับตั้งแต่นางเฝ้าดูแลองค์ชายเจ็ดมา 17 ปี นี่เป็นรอยแย้มพระสรวลแรกที่นางได้รับจากพระองค์ แม้ผู้ที่ส่งยิ้มให้นาง จะมิใช่องค์ชายหยางซิงอีพระองค์เดิมอีกแล้วก็ตาม
บางที...นี่อาจเป็นสวรรค์เมตตาให้องค์ชายน้อยของนางหลงลืมทุกสิ่งอย่างในวังหลวง หญิงสูงวัยคิด ขณะแผ่นหลังเล็กของนางแนบประตูไม้ด้านนอกของห้องบรรทมที่จงใจอิงไว้เพื่อให้มีแรงยืน
มือเหี่ยวย่นหยาบกระด้างยกขึ้นปิดปากกลั้นเสียงสะอื้น ไม่มีอีกแล้วองค์ชายเจ็ดผู้โหดร้ายเย็นชา ไม่มีอีกแล้ว หยางซิงอีที่นางเลี้ยงดูมากับมือ ไม่ว่าจะพระหัตถ์เล็กที่เคยขอให้นางจับเพื่อคลายหนาว พระเนตรสุกใสที่เคยเห็นยามนางตักน้ำให้สรง หรือพระพักตร์เย็นชาล้วนหายไปหมดสิ้น จะเหลือก็แต่หยางซิงอีคนนี้ หยางซิงอีผู้ไม่รู้สิ่งใด หยางซิงอีผู้สะอาดบริสุทธิ์จากมลทินของวังหลวง...หยางซิงอีผู้มีรอยแย้มพระสรวลของพระมเหสี
ทั้ง ๆ ที่คืนนั้น นางจะรั้งพระองค์ไว้ในวังก็ยังได้ ทั้ง ๆ ที่ในสมองคล้ายได้ยินเสียงเตือนบางอย่าง แต่นางก็ยังเลือกที่จะปล่อยพระองค์ไป หรือลึกลงไปแล้วเป็นนางเองที่อยากให้พระองค์จากไป จากไปจากสถานที่แห่งนี้ จากไปจากบาปกรรมที่พระองค์ได้ก่อไว้ ให้พระองค์ได้เป็นอิสระจากวังหลวงและราชสำนักที่ก่อร่างสร้างมาจากหยาดเลือดมากมายราวกับท้องทะเล นางก็ไม่อาจบอกได้
หยางซิงอีของนาง องค์ชายน้อยที่นางเฝ้าภาวนาต่อเทพเซียนและพุทธองค์ ขอให้พระองค์มีความสุข
หากพระองค์จากไปแล้วมีความสุข เช่นนั้น นางก็จะยินดีกับพระองค์ แต่หากพระองค์เพียงอยากลืมเลือนทุกสิ่งอย่างเพื่อเริ่มต้นใหม่ เช่นนั้น นางก็พร้อมที่จะเริ่มต้นใหม่ไปกับพระองค์
เหมือนวันแรกที่พระองค์หัดเดิน...นางจะอยู่กับพระองค์เอง
จะดูแลให้ดีไม่ขาดตกบกพร่อง จะดูแลให้ดียิ่งกว่าเดิมจนลมหายใจสุดท้ายอย่างที่มารดาคนหนึ่งจะกระทำให้บุตรได้
ฉะนั้น เมื่อพระองค์เรียกหานาง นางย่อมขานรับพระองค์อย่างที่เคยทำทุกคืนวัน
ไม่ชิน อันวาร์ วราหะรู้สึกไม่ชินกับตู้เสื้อผ้าของหยางซิงอีอย่างแรง
เมื่อจิตใจเข้มแข็งขึ้น อันวาร์ก็เริ่มใส่ใจรายละเอียดรอบตัวตั้งแต่เตียงในห้องไปจนถึงฝ้าเพดาน
ห้องของหยางซิงอีเป็นสีขาวจะมีสีสันอื่นก็เพียงเครื่องเรือนจากไม้ขัดมันสีดำ และดอกไม้สีแดงสดในแจกันกระเบื้องเคลือบ ดอกไม้ที่เขาไม่รู้จักชื่อ ดอกไม้ที่ดูเหมือนเปลวไฟ ห้องนี้มีหน้าต่างกลมอยู่บานหนึ่งขนาดใหญ่มาก เส้นผ่านศูนย์กลางยาวกว่าความสูงของหยางซิงอีราวครึ่งคนเห็นจะได้ ที่ริมหน้าต่างมีเก้าอี้ไม้ตัวยาวสีดำสนิทซ้อนเบาะนิ่มสีขาวประดับหมอนอิง คาดว่าใช้สำหรับนั่งชมต้นบ๊วยด้านนอก แต่ถึงจะมีข้าวของภายในห้องพร้อมสรรพจัดเก็บเป็นระเบียบมากมายเพียงไร ในสายตาอันวาร์ ห้องนี้กลับดูว่างเปล่าอย่างน่าประหลาดจนทำให้เขารู้สึกหดหู่
ต้องเป็นเพราะสีแน่ ๆ ชายหนุ่มคิด ก่อนจะเริ่มรื้อดูตู้เสื้อผ้าและหีบสมบัติของหยางซิงอี ผ่านไปครึ่งชั่วยามกับห้องรก ๆ อีกหนึ่งห้อง อันวาร์ วราหะก็พบว่า ข้าวของของหยางซิงอี ไม่ว่าจะเครื่องประดับหรือเพชรนิลจินดาล้วนเป็นแนวเดียวกันหมด สีขาวและดำ
หมอนี่มันไม่มีเสื้อสีอื่นใส่เลยหรือไงวะ ห้องก็มีแค่ 2 สี เสื้อผ้าก็มีแค่ 2 สี คือชีวิตจะมีแต่ขาวกับดำเหรอ โอเค ถ้ามันเป็นความชอบเขาก็เข้าใจ แต่หยางซิงอีนี่มันจะเกินจริงไปแล้วนะ คือนายเป็นองค์ชายไง จะไม่มีเสื้อสำหรับออกงานหรือเสื้อผ้าตามธีมงานพิธีต่าง ๆ เลยจริง ๆ เหรอ
แปลกนี่มันแปลกมาก แต่ในเมื่ออีกคนไม่อยู่ให้เขาถามแล้วว่า ทำไมสภาพความเป็นอยู่ทางสีสันถึงมาได้ไกลจนเหลือแค่ 2 สีขนาดนี้ เขาก็ได้แต่ปลงตก
หมายถึงปลงที่ถามไม่ได้ ไม่ได้ปลงที่จะไม่เปลี่ยนสีนะ! เพราะของจังซี่มันต้องถอน มันต้องถอน เขาจะบอกลาความพิการทางสีสันนี้ให้ดู ความหดหู่เหรอ เฮอะ! มาเจอสีเสื้อมงคลเหมือนรุ้งเจ็ดสีมณีเจ็ดแสงของเขาหน่อยเป็นไง
“บอกเลย หายแน่! พลังแห่งสีสันจะเยียวยาทุกสิ่ง
และเพราะเป็นเช่นนี้เขาจึงเรียกหาหญิงรับใช้ที่คล้ายจะมีเพียงหนึ่งเดียวที่เขาได้เห็นหน้ามาเข้าพบ
...เฉินฝู่หมิง
“องค์ชายเจ็ดเรียกหาหม่อมฉัน ไม่ทราบว่าพระองค์มีสิ่งใดให้เฉินฝู่หมิงผู้นี้รับใช้หรือเพคะ” แล้วนางก็ขานรับเขาเช่นทุกวันที่ได้เจอ
“คุณป้าครั- เอ๊ย ท่านป้าเฉิน” เฉินฝู่หมิงฟังองค์ชายตรงหน้าเรียกนาง เห็นนัยน์ตาทองคำฉายแววลังเล และเมื่อนางไม่ขานรับ พระองค์ก็คล้ายจะนึกอะไรได้
นางเห็นพระองค์แย้มพระโอษฐ์แหยครั้งหนึ่ง ก่อนพระองค์จะช้อนพระเนตรทองคำขึ้นมองใบหน้านางจากหน้าโต๊ะหนังสือ
“เอ่อ...เฉินฝู่หมิง” พระองค์ตรัสออกมาเสียงแผ่วคล้ายจะขอโทษไปในที
“เพคะองค์ชาย” และเมื่อนางขานรับ พระองค์ก็แย้มพระสรวลยินดี
“ที่นี่...ข้ามีเสื้อผ้าสีอื่นไหมเฉินฝู่หมิง”
“ไม่มีเพคะองค์ชาย”
“เป็นเช่นนั้น...”
“เป็นเช่นนั้นเพคะ”
“เยี่ยงนั้น ข้าหาซื้อเสื้อผ้าได้ที่ใดบ้างหรือเฉินฝู่หมิง ข้าว่าเสื้อผ้าของข้ามันออกจะดูน่าหดหู่ไปเสียหน่อยน่ะ”
สดใสราวกับดอกไม้แรกแย้มในฤดูใบไม้ผลิหลังฤดูหนาวอันยาวนาน
วันใหม่...หยางซิงอีคนใหม่
เหมือนวันแรกที่พระองค์หัดเดิน...นางจะอยู่กับพระองค์เอง
เคยไปขอเนื้อคู่ แต่เหมือนเทพเจ้าเข้าใจสารที่ส่งไปผิดรึเปล่ารจนา คือ กรณีตัวอย่างของสถานการณ์นั้น แล้วหล่อนก็มั่นใจว่า ตัวเองน่าจะเป็นกรณีที่เลวร้ายที่สุดด้วย เลวร้ายมาก ๆ!รจนา มัลลเวศน์ (มัน-ละ-เวด) เป็นสาวไทยเชื้อสายจีนผู้ไปขอเนื้อคู่กับศาลเจ้าชื่อดังในฮ่องกง แต่ดันพลัดตกทะเล ขณะไปปาร์ตี้งานแต่งเพื่อนบนเรือสำราญ แต่เหมือนคำขอจะเป็นจริง เพราะตื่นมาก็เจอหนุ่มหล่อเบ้าหน้าตามที่ขอเลยอุ๊ยว้าย! รจนาตกใจหน้าขึ้นสี แต่เดี๋ยวก่อนนะ ทำไมชายหนุ่มตรงหน้าจึงหน้าขึ้นสีด้วยล่ะหล่อนยกมือขึ้นป้องปาก แล้วเขาก็ทำท่าทางตามหล่อน แล้วครู่หนึ่งรจนาก็คล้ายจะเข้าใจอะไรบางอย่าง ด้วยใบหน้าซีดเผือด หล่อนลองเอื้อมมือออกไปหาเขา และแน่นอนว่า เขาเองก็เอื้อมมือมาหาหล่อนแต่สัมผัสที่ควรเป็นผิวคนกลับกลายเป็นสัมผัสเย็นเฉียบของกระจกเงาเรียบลื่นจากหนังรักกลายเป็นหนังสยองขวัญในทันตา หล่อนคือเขาและเขาคือหล่อน!แล้วบ่ายนั้นในวังหลวงก็มีข่าวใหญ่ว่า องค์จักรพรรดิหยางประชวร ทรงวิงเวียนพระเศียรหมดสติในห้องพระสำอางใช้เวลาเป็นวันกว่ารจนาจะปะติดปะต่อเรื่องราวได้ว่า หล่อนตกทะเลตายแล้วมาตื่นใหม่ในร่างขององค์จักรพรรดิหยางตัวประ
ราชสำนักและยุทธภพอาจแยกกัน แต่ไม่เคยแยกจากกันโดยสิ้นเชิง อันที่จริงออกจะพึ่งพาอาศัยกันเสียด้วยซ้ำ เพราะยามใดที่ประเทศชาติต้องการยอดฝีมือหรือราชสำนักขาดกำลังคน ชาวยุทธ์ก็มักจะเป็นคนกลุ่มแรกที่พวกเขาเรียกหา กลับกัน ชาวยุทธ์เองก็ได้ประโยชน์มากมายจากราชสำนัก ทั้งการสนับสนุนด้านเงินทอง โอกาสทางอาชีพการงาน และชื่อเสียงความน่าเชื่อถือ พวกเขาตั้งตัวได้เพราะมีราชสำนักหยางลู่จื้อค่อนข้างประทับพระทัยในระบบการบริหารผู้คนแบบนี้ ด้วยตำแหน่งของโอรสสวรรค์ ว่ากันตามจริงหากไม่ต้องการยุทธภพแล้วเพียงดำรัสไม่กี่คำทุกสำนักก็สูญสิ้น แต่การยุบยุทธภพให้ผลประโยชน์อะไรแก่ราชสำนัก ในเมื่อทอดพระเนตรอย่างไรมีแต่จะเสียประโยชน์หนึ่ง คือเสียแรงใจของคนหนุ่มสาว ยุทธภพเหมือนแดนฝัน เรื่องราวจากยุทธภพไม่ต่างจากหนังสือที่อ่านสนุกเยียวยาจิตใจผู้คน ซ้ำหากมีแวว มีความสามารถ ยุทธภพก็ให้โอกาสผู้คนได้มีหน้ามีตาในสังคม และหลายคนถึงขั้นได้ชุบตัวเริ่มต้นชีวิตใหม่เลยก็มีสอง คือเสียกำลังคนคุณภาพที่คอยช่วยเหลือสังคม ยุทธภพคือโรงเรียนชั้นเลิศ คนของยุทธภพแม้ไม่ใช่ยอดฝีมือไปเสียทุกคน แต่แค่เข้าไปได้ก็จัดว่ามีฝีม
ความเปลี่ยนแปลงขององค์ชายเจ็ดเริ่มต้นจากสิ่งเล็ก ๆ อย่างสีฉลองพระองค์ ที่ก่อนเคยมีให้ผู้คนเห็นเพียง 2 สี แต่หลังจากตื่นมาความจำเสื่อมก็กลายเป็น 7 สีที่เปลี่ยนไปทุกวันและใส่วนซ้ำทุก 7 วันจนคนในวังหลวงต่างก็เห็นตรงกันว่า องค์ชายเจ็ดวิปลาสไปเสียแล้วนาย อันวาร์ วราหะ (อายุ 26 ปี) ในชีวิตจริงจังเพียง 2 เรื่อง หนึ่งคือหนังสือที่เขาจะอ่าน และอีกหนึ่งคือ...สีเสื้อตามปกติหากไม่ได้ออกนอกบ้านไปไหน ทั้งตัวเขาก็จะมีเพียงที่คาดผมพลาสติกสีน้ำตาลเรียบ ๆ อันหนึ่งที่แอบหยิบของแม่มาใส่ โทรศัพท์มือถือ เสื้อยืดสีดำสกรีนลายเฟท/สเตย์ ไ*ท์ [1] ขนาดโอเวอร์ไซซ์และกางเกงบ็อกเซอร์ย้วย ๆ ลายดาวตัวหนึ่ง ที่ย้วยมากเสียจนต้องใช้หนังยางมามัดขอบกางเกงไว้เหมือนถุงแกง แต่วันไหนที่เขาต้องก้าวขาออกจากบ้าน วันนั้นเขาจะเลือกสีเสื้อผ้าเป็นพิเศษคล้ายการลองใส่เสื้อยืดตามสีมงคลรายวันไปสอบปลายภาคสมัยอยู่ม.6 แล้วได้คะแนนดีจะทำให้เขาเลื่อมใสศรัทธาในศาสตร์แห่งสีเสื้อนี้ขึ้นมา และหลังเหตุการณ์นั้น เขาก็เปิดโทรศัพท์ดูสีเสื้อมงคลมันทุกเช้า
ก่อนวันคล้ายวันประสูติครบ 17 ชันษาไม่กี่วัน หยางซิงอีตรัสถามเขาในเช้ามืดวันหนึ่ง ขณะเขาเข้ามาเปลี่ยนดอกไม้ในแจกันแทนเฉินฝู่หมิง“ซานหลิน หากข้ามิได้เกิดมาเป็นข้า...”“พ่ะย่ะค่ะองค์ชาย”“ไม่มีอะไร เจ้าไม่ได้ยินสิ่งใดทั้งสิ้นซานหลิน”“...หากนั่นเป็นประสงค์ของพระองค์ เช่นนั้นกระหม่อมก็ไม่ได้ยินสิ่งใดทั้งสิ้นพ่ะย่ะค่ะ”“ขอบใจเจ้ามาก”เช้านั้นซานหลินจำได้ พระองค์ประทับอยู่ข้างหน้าต่างกลมบานใหญ่ ในพระหัตถ์ยังถือจอกสุรา และเพราะพระพักตร์ผินออกไปนอกหน้าต่าง เขาจึงได้เห็นเพียงพระขนองโปร่งขององค์ชายมีเพียงยอดฝีมือเท่านั้นที่จะได้รับใช้องค์ชายเจ็ด...มีเพียงผู้ที่ได้รับการยอมรับจากราชองครักษ์ซูมู่ถงเท่านั้น และหนึ่งในคนเหล่านั้นก็คือ ซานหลินซานหลินแรกเริ่มเป็นเพียงเด็กกำพร้าจากชายแดนระหว่างแคว้นหยางและแคว้นหลิน เขาเติบโตมาท่ามกลางซากสมรภูมิและขุดคุ้ยหากินกับซากศพเพื่อเอาตัวรอดมาตั้งแต่จำความได้ เมื
คนเก่าคนแก่ในวังหลวงต่างก็รู้ดีว่า บัลลังก์ราชวงศ์หยางเป็นบัลลังก์เลือดราวกับต้องคำสาป อาจเพราะสถานที่แห่งนี้ก่อร่างสร้างมาจากหยาดเลือดและความเกลียดแค้นชิงชัง คนในราชวงศ์หยางจึงไม่อาจส่งมอบบัลลังก์ให้แก่กันได้โดยสงบ ไม่ว่าจะเป็นรุ่นไหนต่อรุ่นไหนก็มีแต่การนองเลือดกันเองภายในครอบครัว จนเหลือแต่ผู้ที่เลือดเย็น...ที่เหลือเป็นคนสุดท้ายของราชวงศ์เท่านั้นที่ได้ขึ้นครองบัลลังก์บัลลังก์เลือดที่โดดเดี่ยว บัลลังก์เลือดที่เหมือนต้องเริ่มต้นทุกอย่างใหม่ไปเสียหมดทุกครั้งที่เปลี่ยนองค์จักรพรรดิ และมีจุดจบที่การนองเลือดเช่นเดิมซ้ำ ๆกรณีของอดีตจักรพรรดิ หยางไท่ซาน บิดาบังเกิดเกล้าของหยางซิงอีเองก็เช่นกัน เพราะเลือดเย็นที่สุดในบรรดาพี่น้อง สุดท้ายจึงเหลือเพียงหนึ่งเดียว และเพียงขึ้นบัลลังก์ ทั้งวังหลวงก็คล้ายจะเย็นยะเยือกราวกับไม่เคยต้องแสงตะวัน เป็นเช่นนั้นอยู่นาน จนกระทั่งวันที่พระมเหสีหลี่เหยียบเข้ามาในวังหลวงนั่นแล ที่ทุกอย่างเปลี่ยนไปราวกับมีดวงตะวันอบอุ่นผุดกำเนิดขึ้นกลางพระราชวังน้ำแข็ง...ทั้งรอยยิ้มอ่อนหวาน และเสียงสรวลสดใสไม่ดังไม่เบาคู่ไปกับพระสุรเสียงทุ้มต่ำขององค์จักรพรรดิ บังเกิดเป็นโม
บางอย่างคล้ายสัญชาตญาณ...คล้ายลางสังหรณ์บอกนางว่า พระองค์จะไม่กลับมา ตั้งแต่พระองค์ตรัสว่า จะออกไปร่ำสุราเพียงลำพังในคืนวันคล้ายวันประสูติ แต่นางก็เลือกที่จะไม่เชื่อมัน และเมื่อพระองค์ตื่นมาไม่เหมือนเดิมในสายวันถัดมา แม้พระองค์จะลืมพระเนตรขึ้นมาอย่างตื่นตระหนก นางก็ยังเลือกที่จะไม่เชื่อสิ่งที่ตาเห็นและหัวใจรับรู้อยู่ดีเฉินฝู่หมิง คือหญิงรับใช้เพียงหนึ่งเดียวที่กล้าปรนนิบัติรับใช้ดูแลองค์ชายเจ็ด หากกล่าวกันตามจริง นางอาจเป็นสิ่งที่ใกล้เคียงกับมารดาที่สุดสำหรับหยางซิงอีแล้วก็เป็นได้ และสำหรับนาง หยางซิงอีเองก็เปรียบได้กับลูกในไส้คนหนึ่งเช่นกัน ไม่ว่าหยางซิงอีจะแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวและร้ายกาจเพียงไร จะคว้างปาสิ่งของหรือโมโหร้ายแค่ไหน นางก็ไม่เคยทอดทิ้งยุวกษัตริย์พระองค์นี้ไปที่ใดเลยสักครั้ง เพราะนางรู้ดีว่า ใต้เปลือกนอกอันแข็งกระด้างของเขา หยางซิงอีน่าสงสารและโดดเดี่ยวเพียงไรนางเห็นมาตลอด เห็นหยางซิงอีมาตั้งแต่เขายังเป็นทารกน้อย และอยู่กับเขามาตั้งแต่เขายังอยู่ในพระครรภ์ของพระมเหสีหลี่พระมเหสีหลี่เป็นสตรีผู้อ่อนหวาน และเป็นรักสุดท้ายของจักรพรรดิหยางองค์ก่อน แต่ก็เพราะรักมากเหลือเกิน