“อาเต๋อ เราขึ้นเขากันเถิด เตรียมของไปมากหน่อย พ่อจะขึ้นไปหลายวัน” เมื่อกลับมาจากเรือนสกุลเหมา ชุนไห่ก็ชักชวนชุนเต๋อขึ้นเขาอย่างอารมณ์ดี ผิดกับบุตรสาว ภรรยาและมารดาที่บัดนี้เดินหน้าตึงกลับเข้าไปในเรือน
“ขอรับท่านพ่อ” ชุนเต๋อยิ้มรับ ก่อนหน้านี้พวกเขากังวลเรื่องของลี่มี่และลี่หมิงจึงมิยอมขึ้นเขาไปล่าสัตว์ แต่บัดนี้คงมิมีสิ่งใดให้เป็นห่วงอีกแล้ว
ด้านลี่มี่ หลังจากที่ดูตรวจดูชะตาของชายชรา นางก็หมดความมั่นใจไปมากทีเดียว เพราะคำพูดและเสียงหัวเราะอย่างขบขันของชายชรา ทำให้นางรู้สึกว่าความตั้งใจและความพยายามของนางนั้นสูญเปล่า คิดว่าคงมิมีผู้ใดอยากให้นางดูชะตาชีวิตให้แล้ว จนนางเกือบถอดใจ แต่หลังจากที่ชายชราผู้นั้นออกไปได้ไม่นาน ชาวบ้านก็เรียกร้องให้ท่านยายรีบออกมาเรียก ผู้ที่จะได้เข้าไปดูชะตาชีวิตกับแม่หมอคนถัดไป
ลี่มี่นั่งดูภาพนิมิตของชาวบ้านคนแล้วคนเล่า บ้างก็เห็น บ้างก็มิเห็น กว่าจะดูครบทุกคน ลี่มี่ก็เหนื่อยล้าจนล้มตัวลงนอนอยู่กลางเรือน
“พี่มี่เอ๋อร์ ดื่มน้ำก่อนขอยับ” ลี่หมิงถือกระบวยน้ำมาป้อนให้กับพี่สาวถึงปาก เหมาไป่เองก็รีบนำพุทราเชื่อมมาป้อนเข้ามากให้กับหลานสาว
“ขอบพระคุณเจ้าค่ะ ขอบใจเจ้าด้วยนะอาหมิง”
“รู้สึกอย่างไรบ้างมี่เอ๋อร์ เจ็บปวดหรือรู้สึกแปลกๆ หรือไม่” เหมาไป่เอ่ยถามหลานสาวด้วยความเป็นห่วง หลานสาวของนางใช้พละกำลัง เพื่อดูภาพนิมิตของผู้อื่นมากมาย กลัวว่าการทำเช่นนี้จะเกิดผลเสียตามมาภายหลัง
“แค่เหนื่อยล้าเท่านั้นเจ้าค่ะ เราเอาเงินมานับดูก่อนเถิด หากว่ามิคุ้มกับค่าเหนื่อย ข้าจะได้คิดหาวิธีใหม่” เหมาไป่ได้ยินหลายสาวเอ่ยดังนั้น ก็นำเงินที่ได้จากแรงศรัทธาของชาวบ้านออกมา เหรียญอีแปะหลายสิบเหรียญถูกนำมากองตรงหน้าทั้งสามคน
“หนึ่ง สอง …” เสียงหวานเอ่ยนับจำนวนเหรียญไปเรื่อยๆ จนมาหยุดอยู่ที่ห้าสิบสองอีแปะ เงินจำนวนนี้ใช้ซื้อข้าวสารได้เกือบสามจิน ซึ่งครอบครัวของนางใช้กินอยู่ได้สองวัน แต่แม้จะเป็นอย่างนั้น ลี่มี่ก็ยังรู้สึกว่ามิคุ้มค่ากับความเหนื่อยล้า
“เหตุใดจึงทำหน้าเช่นนั้นเล่าหลานยาย ใช้เวลาเพียงสองสามชั่วยาม เจ้าก็หาเงินมาได้ตั้งห้าสิบกว่าอีแปะ ทั้งเงินที่ได้ยังมาจากแรงศรัทธาจากชาวบ้าน”
“ซื้อถังหูลู่ได้หลายไม้ ใช่หยือไม่ขอยับ ท่านยาย”
“อืม ได้หลายไม้ทีเดียว” ทั้งสามยายหลานหัวเราะเบาๆ ให้กับคำพูดของลี่หมิง เด็กน้อยผู้นี้นับวันจะยิ่งอ้วนท้วมสมบูรณ์
“อย่างที่ท่านยายว่าก็มิผิดเจ้าค่ะ อีกอย่างวันนี้พึ่งจะเป็นวันแรก ข้าได้รับแรงศรัทธามากถึงเพียงนี้ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีเลยทีเดียว”
“ใช่แล้ว การจะทำสิ่งใดให้สำเร็จ ย่อมต้องใช้เวลา ชาวนาที่ปลูกข้าวยังต้องลงทุนลงแรงไปก่อน กว่าจะได้เก็บเกี่ยวผลผลิตก็ใช้เวลานานหลายเดือน เจ้าทำได้เท่านี้ถือว่าเก่งมากแล้ว อีกอย่างเงินกว่าห้าสิบอีแปะ เราก็ใช้จ่ายได้หลายวัน” เหมาไป่ดึงลี่มี่เข้ามากอดปลอบ นางเข้าใจดีว่าหลานสาวคงกำลังรู้สึกผิดหวัง แต่ผู้ที่สำเร็จย่อมต้องเคยผิดหวังมาก่อน ถือว่าเรื่องครานี้เป็นเกราะเสริมกำลังให้หลานสาวของนางแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
“พี่มี่เอ๋อร์ของน้องเก่งที่สุด”
“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ แต่ข้ายังคิดว่างานเช่นนี้มิเหมาะกับหมู่บ้านเล็กๆ ของเราสักเท่าไหร่นัก”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไรหรือ”
“หมู่บ้านของเรามีผู้คนน้อยเกินไปเจ้าค่ะ ข้าคิดว่าคนที่มาดูชะตาชีวิตแล้วคราหนึ่งจะกลับมาดูอีกก็ต้องเว้นห่างไปหลายวัน หรืออาจจะเป็นเดือน ไม่แน่ว่าอาจมีคนที่คิดจะดูเพียงครั้งเดียว หากเรายังตั้งสำนักที่หมู่บ้านนี้ที่เดียว นานวันเข้า คงมิมีผู้มาดูชะตาชีวิตกับเราอีก” ลี่มี่คิดเรื่องนี้อยู่นาน นางคิดว่าเมื่อใดที่นางพ้นวัยปักปิ่น และสำนักแม่หมอแห่งซูโจวเป็นที่เล่าขานขึ้นมาบ้าง ยามนั้นนางจะขยับขยายไปที่อื่น
“เช่นนั้นเจ้าคิดเห็นอย่างไรเล่า จะร่อนเร่ไปตามที่ต่างๆ หรือ”
“มิได้เจ้าค่ะ ข้าเพียงคิดว่าหากไปตั้งสำนักในตัวเมืองซูโจว คงจะดีไม่น้อย เพราะในตัวเมืองเป็นทางผ่านของเหล่าพ่อค้าและนักเดินทาง ข้าจึงคิดว่าจะมีผู้ศรัทธาเข้ามาที่สำนักเรามิขาดสาย”
“หากเจ้าคิดดีแล้ว ยายย่อมตามใจเจ้า แต่วันนี้เจ้าไปพักผ่อนก่อนเถิด หากถึงเวลาอาหารเย็น ยายจะเรียก” เหมาไป่ไล่ให้หลานสาวเข้าไปนอนพักในห้องนอน ส่วนตนเองนั้นจะไปเก็บพืชผักมาทำอาหารเย็น
“ท่านยาย น้องไปด้วยขอยับ” ลี่หมิงเมื่อเห็นว่าท่านยายจะออกไปหลังเรือนก็รีบตามไปด้วย เพราะมิอยากรบกวนเวลาพักของพี่สาว
ลี่มี่ที่เข้ามานอนพักในห้องเพียงผู้เดียว ก็นึกย้อนไปตอนที่นำกำลังมองภาพนิมิตของชาวบ้าน มีสตรีอยู่ผู้หนึ่งเข้ามาหานาง และโพล่งถามออกมาว่าปิ่นที่สามีของนางมอบให้หาย นางจะมีทางได้กลับคืนมาหรือไม่ ในตอนนั้นลี่มี่กล่าวกับสตรีผู้นั้นว่า ตนเองมิสามารถระบุภาพนิมิตที่จะเห็นได้ ใช่ว่าอยากเห็นภาพนิมิตเกี่ยวกับเรื่องปิ่นแล้วจะเห็นเรื่องปิ่น เมื่อนางเอ่ยไปเช่นนั้นสตรีตรงหน้าก็เข้าใจดี ลี่มี่จึงได้ดูภาพนิมิตให้นางต่อ ทว่าภาพนิมิตที่ลี่มี่เห็นกลับเป็นเรื่องเกี่ยวกับปิ่นที่หายไปจริงๆ
“จะเป็นเรื่องบังเอิญหรือไม่นะ พรุ่งนี้คงต้องลองให้ชาวบ้านถามสิ่งที่อยากรู้ดู” นอนเล่นคิดเรื่อยเปื่อยไม่นาน ร่างเล็กก็เข้าสู่ห้วงนิทรา
คำเตือน เนื้อหาในตอนพิเศษนี้จะเกี่ยวข้องกับความรักแบบชายรักชายแต่เล็กจนโตหวังเยี่ยนและลี่หมิง มิเคยทำให้ลี่มี่หนักใจได้เท่าวันนี้ คำพูดของเด็กหนุ่มทั้งสองยังคงวนอยู่ในศีรษะครั้งแล้วครั้งเล่า“เจ้าว่าอย่างไรนะ”“ข้ารักอาหมิงขอรับ รักแบบคู่รัก มิใช่พี่น้องหรือเพื่อนพ้อง” หวังเยี่ยนเอ่ยอย่างหนักแน่น ต่างจากลี่หมิงที่บัดนี้ก้มหน้ามิกล้าสู้หน้าพี่สาว“…แล้วเจ้าเล่าอาหมิง” ลี่มี่สูดหายใจเข้าเต็มอก ต้องยอมรับว่านางตกใจอยู่บ้าง ด้วยคิดว่าเด็กหนุ่มทั้งสองสนิทสนมกันเพราะถูกเลี้ยงดูมาด้วยกัน มิคิดว่าจะเป็นเช่นนี้ไปได้“ขอรับ น้องเองก็คิดเช่นเดียว อึก! กับคุณชาย” รู้อยู่เต็มอกว่าผิด และรู้ดีว่าไม่มีบิดามารดาคนใดอยากให้บุตรหลานเป็นเช่นนี้ แต่เขาและคุณชายก็ยังหวังว่าพวกเขาจะเข้าใจและยอมรับในตัวตนของพวกเราได้“เห้อ”“คราแรก ข้ามิคิดจะเอ่ยบอกเรื่องนี้กับผู้ใด แต่ไม่กี่วันมานี้ ท่านพ่อเอ่ยกับข้าและอาหมิงเรื่องแต่สตรีเข้าสกุล แม้อยากจะทดแทนบุญคุณที่พวกท่านเลี้ยงดูข้ามา แต่ข้าก็มิอาจฝืนใจตนเองได้” หวังเยี่ยนและลี่หมิงทิ้งตัวลงคุกเข่าต่อหน้าลี่มี่“ฮึก”“ขอท่านแม่ช่วยพูดกับท่านพ่อให้พวกเราทีเถิดขอรับ”“
ข่าวการสละราชบัลลังก์ขององค์ฮ่องเต้ฉางหลงและการขึ้นครองราชย์ขององค์รัชทายาทฉางเฟิง แพร่ไปทั่วแคว้น เหล่าประชาราษฎร์ต่างแห่สรรเสริญ และเฉลิมฉลองกันถ้วนหน้า มิเว้นแม้แต่ครอบครัวของอี้หานและฟ่งอู๋ ที่พากันมาร่วมพิธีราชาภิเษกถึงเมืองหลวง“พวกเจ้าจัดสำรับเย็นไว้มากหน่อย วันนี้ฝ่าบาทจะพาฮองเฮาและองค์ชายทั้งสองพระองค์มาทานมื้อเย็นที่จวน” ลี่มี่และผิงผิงต่างวุ่นอยู่กับการจัดการเรื่องในครัวมี่เอ๋อร์ ผิงผิง ไปให้นมบุตรเถิด ทางนี้ยายกับฮูหยินรองจะดูแลให้เอง” มาครานี้ท่านยายเหมาไป่และมารดาของอี้หานก็พากันมาเที่ยวชมเมืองหลวงด้วย เพราะบัดนี้ลี่มี่คลอดบุตรชายเพิ่มมาอีกสองคน จื้อเจาวัยสองหนาว และจ้านฉือวัยห้าเดือน ผิงผิงเองหลังจากคลอดอาไฉบุตรชายคนแรก ก็มีอินเอ๋อร์บุตรสาววัยแปดเดือน ทั้งเหมาไป่และเจียอีจึงอาสามาช่วยดูแล“เช่นนั้นข้าฝากท่านแม่กับท่านยายด้วยนะเจ้าคะ”“ไปเถิดลูก ป่านนี้หลานแม่คงหิวแย่แล้ว” ฮูหยินรองเจียงอีว่าเช่นนั้น ก็หันกลับไปสั่งการบ่าวไพร่ให้เตรียมขนมของว่างไว้ด้วยลี่มี่กับผิงผิงจึงแยกกันไปให้นมบุตร ยังดีที่ตอนนี้หวังเยี่ยนและลี่หมิงโตเป็นหนุ่มกันแล้วจึงพอจะช่วยดูแลเฟินเยว่และอาไฉไ
ชีวิตของมารดาที่มีบุตรถึงสองคน และมีน้องชายอีกหนึ่ง มิได้ง่ายดายอย่างที่คิด ตลอดสองเดือนที่ผ่านมา ลี่มี่มิได้ทำหน้าที่ใดขาดตกบกพร่อง คงจะมีแต่การเปิดสำนัก ที่นางมิได้เข้าไปช่วยเหลือผู้ศรัทธาเลยแม้แต่น้อย เพราะวันๆ ได้แต่วุ่นอยู่กับการเลี้ยงดูบุตรและน้องชาย“เยว่เอ๋อร์~ พี่อาเยี่ยนมาหาน้องแล้ว”“พี่อาหมิงก็มาหาเยว่เอ๋อร์เช่นกัน” และนี่คือเสียงที่อี้หานกับลี่มี่ได้ยินในทุกๆ เช้า ตั้งแต่บุตรสาวของนางคลอด พี่ชายทั้งสองก็เห่อน้องสาว เสียจนงอแงมิอยากไปสำนักศึกษา จนอี้หานต้องออกอุบายว่า พี่ชายที่ดีต้องเป็นแบบอย่างให้น้อง ทั้งสองจึงยอมไปเล่าเรียนที่สำนักศึกษาเช่นเดิม“เข้ามาเถิด น้องพึ่งดื่มนมเสร็จ กำลังอารมณ์ดีเชียวล่ะ” อี้หานลุกจากเตียงไปเปิดประตูให้เด็กชายทั้งสอง“โอ้โห! เยว่เอ๋อร์ดื่มนมเก่งเช่นนี้ วันหน้าคงโตไวเหมือนพี่อาหมิงแน่” เดิมทีลี่หมิงเอ่ยแทนตนเองว่าท่านอา แต่ฟังดูแล้วก็แปลกชอบกล ลี่มี่จึงให้ลี่หมิงแทนตนเองว่าพี่ไปก่อน วันหน้าค่อยเอ่ยบอกกับเฟินเยว่ ว่าแท้จริงแล้วลี่หมิงมีศักดิ์เป็นท่านอาของนาง“แอ้ๆ บู้ คิก” เยว่เอ๋อร์ตัวน้อยดิ้นดุกดิก อย่างชอบใจ“ห้ามเหมือนๆ ข้ากลัวว่าเยว่เอ๋อร์จ
เจ้าเมืองซูโจวเดินวนไปมาไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ จนฟ่งอู๋ที่กำลังตรวจอาการของลี่มี่นึกรำคาญ“เจ้าหยุดเดินได้หรือไม่อี้หาน ข้ามิมีสมาธิในการตรวจ”“ขออภัย ข้าเพียงกังวล” อี้หานถอยกลับไปนั่งเก้าอี้ ทั้งที่ในใจนึกกลัวไปต่างๆ นานา หวาดกลัวว่าภรรยาจะป่วยหนักเมื่อสหายหยุดเดิน ฟ่งอู๋ก็รีบทำการตรวจต่อ มือของหมอหนุ่มคลำหาชีพจรบนข้อมือเล็ก ครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนที่ใบหน้านิ่งเฉยจะเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงอย่างเห็นได้ชัด“เฮ้อ!”“เกิดอันใดขึ้นฟ่งอู๋ เจ้าบอกข้าว่าลี่มี่เป็นอันใด ร้ายแรงหรือ” อี้หานเห็นสีหน้าบูดบึ้งของสหายก็ตีความไปแล้ว ว่าฮูหยินของเขาอาจเป็นโรคร้าย ในตาดำขลับสั่นระริกไปด้วยความกลัว“ฮูหยินเจ้าตั้งครรภ์”“ห๊ะ!!?”“ฟังไม่ผิด ลี่มี่ตั้งครรภ์ได้เกือบสองเดือนแล้ว ที่เป็นลมล้มพับไป คงเพราะเหนื่อยล้าร่วมกับอาการแพ้”“เจ้าว่าลี่มี่ตั้งครรภ์” ดวงหน้าคมคายชะงักค้าง สติที่มีอยู่น้อยนิดหลุดลอยไปจนหมด“ใช่!”“ละ แล้วเจ้าจะทำหน้าเช่นนั้นด้วยเหตุใด! ข้าหรือก็นึกว่าเกิดเรื่องร้าย ทั้งที่เป็นเรื่องน่ายินดีเช่นนี้” อี้หานดันกายฟ่งอู๋ให้ออกห่างจากเตียง แล้วทรุดตัวนั่งลงแทนที่ บัดนี้ฮูหยินของเขายังมิได้สติ คง
ขบวนเดินทางกลับเมืองซูโจว เต็มไปด้วยผู้คนคละคล่ำ เพราะการเดินทางโปรดนี้มีองค์รัชทายาทและพระชายาร่วมเดินทางมาด้วย เป็นอย่างที่ทุกคนคิด หลังจากที่คุณหนูซินเหม่ยตอบตกลงเรื่องการอภิเษก องค์รัชทายาทก็หาฤกษ์ที่เร็วที่สุด โดยอ้างว่าจะได้เร่งมีโอรสธิดาเพื่อความมั่นคงของราชวงศ์ และแน่นอนว่าองค์ฮ่องเต้ก็เห็นดีเห็นงามด้วย เหล่าขุนนางกรมพิธีการจึงเร่งจัดงานกันจนหัวหมุนหลังจากเสร็จสิ้นพิธีอภิเษก อี้หานจึงพาครอบครัวกลับเมืองซูโจวทันที เพราะทนต่อเสียงรบเร้าของฟ่งอู๋ไม่ไหว“สหายท่านจ้องจะหลอกกินเต้าหู้ ผิงผิงของข้าอยู่เรื่อย”“ฮ่าๆ สงสารเขาเถิด เกี้ยวผิงผิงตั้งแต่ยังมิพ้นวัยปักปิ่น แต่กลับแพ้องค์รัชทายาทที่ได้แต่งชายาก่อน เจ้าคงมิรู้ว่าที่องค์รัชทายาทไปเข้าห้องหอช้า ก็เพราะถูกฟ่งอู๋กลั่นแกล้ง” ลี่มี่หัวเราะร่า จะว่าไปก็น่าสงสารจริงๆ นั่นแหละ“ว่าแต่เราใกล้จะถึงเรือนหรือยังเจ้าคะ ข้ารู้สึกเพลียๆ อยากกลับไปนอนพักแล้ว” ลี่มี่ว่าพลางซบลงไปบนไหล่กว้าง พวกเขาเดินทางมาแรมเดือน ได้พักเต็มอิ่มบ้าง ไม่เต็มอิ่มบ้าง ทั้งการอยู่ในรถม้าทั้งวันก็เมื่อยขบยิ่งนัก ดีที่นางไม่รบเร้าให้ท่านยายมาด้วย มิเช่นนั้นคงทำให้ท่
หลังจากที่ตัดสินใจว่าจะเกี้ยวซินเหม่ยให้สำเร็จโดยเร็ว ฉางเฟิงก็เทียวเข้าเทียวออกเรือนเสนาบดีซินเป็นว่าเล่น บ้างก็นำสุรามาดื่มกินกับว่าที่พ่อตา บ้างก็นำตำราที่ซินเหม่ยสนใจมาให้ แต่ที่หนักสุดคงจะเป็นครานี้ เพราะองค์รัชทายาทหนุ่ม ถึงขั้นยกนางในประจำห้องเครื่อง มาสอนคุณหนูสกุลซินทำสำรับเย็นถึงในเรือน เพียงเพราะนางเอ่ยว่าอยากลองทำอาหารมื้อเย็นฉบับชาววังบ้าง“คารวะองค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ” / “คารวะองค์รัชทายาทเพคะ”“ท่านพ่อตา ท่านแม่ยายตามสบายเถิด เจ้าก็ด้วย” แม้ปากจะพูดคุยอยู่กับบิดาและมารดาของซินเหม่ย แต่ตายังคงติดอยู่กับหญิงสาวตั้งแต่มาถึง“อะแฮ่ม! วันนี้เรียกพ่อตาเลยหรือพ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีซินเอ่ยเย้า ทีเล่นทีจริงกับชายหนุ่ม“ข้าเรียกเผื่อไว้ จะได้ชินปาก วันนี้ข้าพานางในประจำห้องเครื่องมาสอนเจ้าทำสำรับ แล้ว…อยากขออยู่รับสำรับเย็นด้วย” แววตาออดอ้อนทำเอาซินเหม่ยยิ้มขำ นางรู้ดีว่าองค์รัชทายาทขี้เล่นมิต่างจากฟ่งอู๋ แต่ก็มิคิดว่าจะมีมุมน่าเอ็นดูถึงเพียงนี้“กระหม่อมยินดีพ่ะย่ะค่ะ”“ข้าอยู่ได้หรือไม่” เมื่อได้รับคำตอบจากว่าที่พ่อตาแม่ยายแล้ว ร่างสูงจึงหันไปถามสตรีที่รัก“แต่อาหารที่ข้าพึ่งหัดทำ อา