สายตาคมยังคงจับจ้องใบหน้าหวานใส ที่ไร้ซึ่งการแต่งแต้มใด ๆ ทั้งสิ้นอย่างไม่วางตา ในตอนแรกเขาคิดว่าสตรีตรงหน้าอาจจะเป็นมือสังหาร แต่เมื่อเขาเข้ามาประชิดตัวนางกลับสัมผัสได้ว่านางไม่มีวรยุธเลยแม้แต่นน้อย
หากจะบอกว่านางคือคนที่เซียวเทียนเฟยส่งมาหล่ะก็ เขาเองก็ไม่มั่นใจสักเท่าไหร่ เพราะนางงดงามเกินกว่าที่จะเป็นเพียงสตรีในหอคณิกาทั่วไป ทั้งแววตาตื่นตระหนกเมื่อครั้งที่เขาเข้าใกล้นาง มือบางที่วางทาบอยู่บนหน้าอกแกร่งอันเปลือยเปล่าของเขาก็มีอาการสั่นเล็กน้อยแต่เขาก็ยังสัมผัสมันได้อย่างชัดเจน กลิ่นกายของนางก็หอมหวนชวนให้ลุ่มหลง ทั้งยังมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของสุราดอกไม้อีก สตรีที่ดื่มสุราก่อนที่จะมาพบบุรุษแปลกหน้าก็แปลได้สองอย่าง หนึ่งดื่มเพื่อทำใจเพราะโดนบังคับ สองดื่มเพื่อความสุนทรีย์ แต่เขาว่าสตรีตรงหน้าเขานี้คงจะเป็นแบบข้อแรกมากกว่า นางอาจจะเป็นคุณหนูในห้องหอของจวนใดสักจวน ที่ทางบ้านฐานะไม่ดีจึงได้ถูกนำมาขายให้กับหอคณิกาก็เป็นได้ เขาเองก็ไม่ใช่คนดีอะไร แต่ก็มิอาจที่จะฝืนใจและซ้ำเติมสตรีตัวเล็ก ๆ ตรงหน้าได้ ใบหน้าหวานเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงระรื่นขึ้นเรื่อย ๆ แววตาที่ตื่นตระหนกในตอนแรกแปลงเปลี่ยนเป็นความสงสัยแทน คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเหมือนนางจะสงสัยว่าเขาเป็นใคร มือเล็ก ๆ เริ่มผลักเขาออกด้วยแรงอันน้อยนิดที่มี เขาจัดใจคลายมือหนาที่เกี่ยวอยู่ที่เอวบางของนางออก ก่อนที่จะถอยห่างจากคนตัวเล็ก ซูหวินซี มองบุรุษร่างสูงตรงหน้าอย่างพิจารณา ใบหน้าหล่อเหลา สายตาคมดุจะเหนี่ยว คิ้วหนา จมูกโด่งสัน เขามองมาที่นางนิดหนึ่งก่อนที่จะถอดไปนั่งบนเก้าอี้ข้างเตียง " เซียวเทียนเฟย ส่งเข้ามาสินะ " นางมองเขาอย่างงง ๆ แต่ก็พยักหน้ารับ ทั้งที่ยังไม่รู้เลยว่าเขากำลังพูดเรื่องอะไรอยู่กันแน่ เขาเดินไปที่หัวเตียงแล้วหยิบเอาตั๋วเงินออกมาจำนวนหนึ่ง แล้วเอามันมายัดใส่มือของนาง " เจ้านำเงินนี่ไป แล้วไถ่ตัวเองซะ ส่วนเงินที่เหลือก็เก็บไว้ใช้ในยามจำเป็นเถอะ ข้าคงจะช่วยเจ้าได้เท่านี้ รีบไปสิ ก่อนที่ข้าจะเปลี่ยนใจ " เขาเอ่ยจบก็หันหลังเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าในทันที นางก้มลงมองเงินจำนวนมากในมือของตนเองก่อนที่จะยิ้มออกมา ' คนแบบนี้สิเหมาะที่จะเป็นพ่อของลูกข้ามากที่สุด ' " เอ่อ ท่านแม่ทัพข้า " " ข้าไม่ใช่คนดีซักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่อยากฝืนใจใคร หากเจ้ายังไม่รีบออกไปหล่ะก็ จะหาว่าข้าไม่เตือนไม่ได้นะ " เขาเอ่ยขึ้นในขณะที่หยิบเอาเสื้อคลุมออกมาจากตู้ ก่อนที่จะหันกลับมาหาสตรีนางนั้น แต่สิ่งที่เขาไม่คาดก็เกิดขึ้น เมื่อเขาหันกลับมานางก็ผลักเขาไปชิดกับตู้เสื้อผ้า มือเรียวกอดรอบคอของเขาเอาไว้ก่อนที่จะเป็นฝ่ายประกบจูบเขาก่อน ไป๋มู่จินยืนนิ่งไปชั่วขณะ เขามองใบห้าหวานที่หลับตานิ่งอยู่ตรงหน้า หากจะเรียกว่าจูบก็คงไม่ใช่ เพราะนางเพียงแค่เอาเรียวปากบางนุ่มนิ่มมาประกบปากของเขาเอาไว้เท่านั้น นั่นก็ชัดเจนแล้วว่านางยังไม่เคยทำเรื่องพวกนี้มาก่อน แต่สัมผัสบางเบาจากนางเพียงแค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่จะจุดไฟราคะที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของจิตใจเขาให้ลุกโชนขึ้นมา ที่ผ่านมาเขาไม่เคยคิดที่จะเล้าโลมสตรีใดมาก่อน กฎของเขาที่พวกนางต้องยอมรับคือห้ามสัมผัสร่างกายของเขา และเขาจะไม่เรียกใช้คนเดิมอีก กับพวกนางแค่ทำให้มันจบ ๆ ไป เท่านั้น จบแล้วจบเลยไม่ค้างคืนไม่มีรอบสอง แต่กลับสตรีตรงหน้านี้ นางผิวขาวเนียนนุ่มจนเขาอยากที่จะสัมผัสนางไปทั่วทั้งตัว ในเมื่อนางแสดงออกอย่างชัดเจนว่านางเต็มใจ เขาเองก็ไม่มีเหตุผลใดที่จะต้องปฏิเสธนางอีกต่อไป แม้ว่านี่อาจจะเป็นกับดักของใครสักคนก็ตามที ตอนนี้เขาก็ไม่สนอะไรทั้งนั้น เมื่อเห็นว่าเขานิ่งไปนางจึงถอนเรียวปากบางออกก่อนที่จะมองสบตากับดวงตาคู่คม ที่กำลังจ้องมองนางอยู่ " แบบนั้นไม่เรียกว่าจูบหรอกนะ จูบจริง ๆ ต้องแบบนี้ " ไป๋มู่จินเอ่ยขึ้นพร้อมกับหมุนตัวออกมาและดันคนตัวเล็กเข้าไปชิดกับตู้เสื้อผ้าแทน ก่อนที่จะเป็นฝ่ายเริ่มบทจูบที่เขาเองก็พึ่งจะเคยทำเป็นครั้งแรก แต่เขาก็มั่นใจว่ามันไม่ใช่แค่การเอาปากมาประกบกันเหมือนที่นางทำแน่นอน เรียวปากหนาดูดชิมเรียวปากบางเบา ๆ ก่อนที่จะ สอดลิ้นหนาเข้าไปหยอกเย้าลิ้นเล็ก ๆ ของนาง รสหวานของสุราดอกไม้ยังคงติดอยู่ที่เรียวลิ้นเล็กช่วยเพิ่มความหวานให้กับจูบในครั้งนี้ได้เป็นอย่างดี มือใหญ่เริ่มซุกซนไปเลื่อย คนตัวเล็กนางสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเขาเริ่มสอดมือเข้ามาในสาบเสื้อ เขาถอนจูบออกเมื่อรู้สึกว่านางเริ่มจะขาดอากาศหายใจ แต่เขาก็ไม่ปล่อยเวลาให้เสียเปล่า จมูกโด่งสันไล่ลงมาตามซอกคอขาว ที่หอมหวน กลิ่นกายของนางแตกต่างไปจากคนอื่นเป็นอย่างมาก เพราะว่านอกจากจะหอมแล้วยังชวนให้รู้สึกผ่อนคลายอีกด้วย มือเรียวเกาะไหล่กว้าเอาไว้เพื่อพยุงตัวเองไว้ นางรู้สึกว่าร่างกายอ่อนแรงไปหมด สัมผัสแปลกใหม่ที่ได้รับ ทำให้นางไม่อาจปฏิเสธได้ว่ารู้สึกดีเพียงใด นางไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตนเองมานอนบนเตียงตั้งแต่เมื่อไหร่ และเสื้อผ้าหลุดหายไปตอนไหน รู้แค่เพียงว่านางปล่อยตัวปล่อยใจให้กับเขาคนนี้เป็นผู้นำทาง มารู้ตัวอีกทีเมื่อความเจ็บปวดตรงกลางกายสาว ที่เจ็บจนเกินบรรยาย มือเรียวจิกเล็บลงบนไหล่กว้างเพื่อระบายความเจ็บปวด นางกลั้นหายใจ แล้วหลับตาแน่น ทำให้ใครอีกคนถูกรัดจนหายใจแทบไม่ออก เขาคิดว่าเขาอ่อนโยนกับนางที่สุดแล้วนะ แต่นางก็ยังคงเจ็บอยู่ดี เขามองใบหน้าหวานที่มีเหงื่อเม็ดเล็ก ๆ ผุดขึ้นมาบนหน้าผากนูน หยาดน้ำใส่ไหลรินจากหางตาแต่ไร้ซึ่งเสียงร้องใด ๆ มีเพียงเล็บที่จิกลงบนไหล่ของเขาเท่านั้นที่บ่งบอกให้รู้ว่านางเจ็บมากเพียงใด " มู่จิน อย่าพึ่ง " เสียงหวานพึมพำเบา ๆ คล้ายกับคนกำลังละเมอ เมื่อเขาเริ่มขยับตัวช้า ๆ ร้อยยิ้มปรากฏที่ใบหน้าคม เมื่อได้ยินนางเอ่ยเรียกชื่อเขาตรง ๆ อย่างที่ไม่เคยมีใครกล้าเรียกมาก่อน แต่เมื่อเอ่ยออกจากเรียวปากบางของสตรีนางนี้กลับหวานล้ำยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ " เดี๋ยวก็ดีขึ้น " เขากระซิบเสียงเบาที่ข้างใบหูเล็ก แม้ปากจะบอกว่าไม่อยากผูกมัดกับใคร เมื่อเขาแน่ใจแล้วว่าเขาเป็นคนแรกของสตรีตัวเล็กคนนี้แล้ว กลับรู้สึกดีจนบอกไม่ถูก และต่อจากนี้ไปนางจะเป็นของเขาคนเดียวเท่านั้น เมื่อความเจ็บจางหายไป เหลือแต่ความเสียวซ่านเข้ามาแทนที่ เมื่อเขาปรนเปรอความสุขให้นางอย่างไม่ขาดสาย นางตอบสนองความต้องการของเขาทุกอย่างจวบจนเขาจะพอใจ เพราะนี่อาจจะเป็นครั้งเดียวในชีวิตที่นางจะทำอะไรบ้า ๆ แบบนี้อีกจวนสกุลฉู่ แห่งจงหนาน ภายในจวนทุกคนดูเหมือนจะกำลังวุ่นวายอยู่กับการจัดเตรียมอาหาร และของว่าง อย่างกับจะมีคนใหญ่คนโตมาร่วมโต๊ะด้วยอย่างนั้นแหล่ะ แม่ทัพสาวเดินเข้ามาในจวนด้วยท่าทางเร่งรีบ นางมองไปรอบ ๆ ด้วยความเป็นกังวล นี่ท่านแม่ของนางคิดจะทำอะไรอีกกันแน่ ไม่ดูเอิกเกริกเกินไปหรือ อินหยวนหันกลับไปมองหน้าบุรุษหนุ่มต่างแคว้นที่เดินตามหลังมาอย่างจนใจ " ท่านแม่ข้าบอกท่านว่ายังไงนะ " " ก็แค่ เชิญมาทานมื้อค่ำ " " ออ " นางส่งยิ้มแห้ง ๆ ให้เขานิดนึงแล้วอยากจะยกมือขึ้นกุมขมับตนเองเสียจริง เพราะยังไม่รู้ว่าจะรับมือกับท่านแม่ของนางยังไงดี หากให้นางเดากลยุทธ์ของศัตรูยังจะง่ายกว่านี้อีกนะ " มีอะไรหรือเปล่า หรือเจ้าไม่สะดวก " เขาเลิกคิ้วสูงพรางมองมาที่นางด้วยสายตาประหลาด ก่อนที่จะยกยิ้มมุมปากเหมือนจะรู้ว่านางกังวลเรื่องอะไรอยู่ เหตุใดนางถึงได้รู้สึกว่าเขาดูเจ้าเล่ห์มากกว่าปกติ " ข้าเปล่า " " เช
ไป๋มู่จินเดินนำเหล่าทหารออกไปเผชิญหน้ากับคนสกุลหลิงอย่างซึ่ง ๆ หน้าเขาพยายามข่มอารมณ์ของตนเอาไว้ เพราะนางยังอยู่ในมือของพวกมัน ใบหน้าสวยหวานของนาง ดูหม่นแสงลงไปมากและนางยังส่งสายตาสำนึกผิดมาให้เขาอยู่ตลอดเวลาอีก ทั้ง ๆ ที่นางไม่ได้ทำผิดอะไร แต่เป็นเขาที่ดูแลนางได้ไม่ดีเอง " มาเร็วดีนี่ ท่านแม่ทัพ " เขาละสายตาจากสตรีตรงหน้าแล้วหันไปสนใจคุณชายหลิงแท่น ถึงแม่หยวนอิงส่งข่าวมาบอกแล้วว่าพวกเขาไม่สนใจเข้าร่วมกับการก่อกบฏในครั้งนี้ แต่ถูกตาเฒ่านั้นบีบบังคับ โดยการจับภรรยาและลูก ๆ ของเขาไป พวกเขาถึงต้องเข้าร่วมการก่อกบฏในครั้งนี้ แต่เรื่องที่ไม่น่าให้อภัยคือ กล้าดียังไงมายุ่งกับลูกเมียของเขากัน " ข้ามารับคน ถ้ายังอยากตายแบบไม่ต้องทรมาน ก็ส่งตัวนางมา " " ข้าต้องขออภัยที่ทำให้ฮูหยินของท่านต้องลำบาก แต่พวกเราไม่มีทางเลือกแล้วจริง ๆ คนของท่าน จ้องจะจับพวกข้าส่งกลับไปอย่างเดียว ไม่ยอมฟังอะไรเลย ท่านก็น่าจะรู้ว่าคนที่รักถูกนำมาเป็นเครื่องต่อรองนั้นเจ็บปวดใจเพียงใด " " เฮอะ คิด
ใบหน้าคม เคร่งขรึมขึ้นไปหลายส่วน แตกต่างจากเมื่อครู่ไปอย่างลิบลับ ไอสังหารแผ่กระจายไปรอบ ๆ ตัวของเขา จนเหล่าองครักษ์ที่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้ารับรู้ได้ แล้วรู้สึกร้อน ๆ หนาว ไปตาม ๆไปกัน เพราะต่างก็รู้ถึงความผิดของตนดี ภายใต้ใบหน้าที่เคร่งขรึมนี้ ใครจะรู้ได้ว่าเค้าหวาดหวั่นเพียงใด เมื่อก่อนเค้าไม่เคยหวาดกลัวสิ่งใด แต่เมื่อได้พบกับนาง เค้าถึงได้รู้ว่าความกลัวเป็นเช่นไร ใครก็ตามที่กล้าแตะต้องภรรยากับลูกของเค้า มันไม่ได้ตายดีแน่ " ท่านแม่ทัพ " เสี่ยวฮัวที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เอ่ยเรียกเค้าเบา ๆ เมื่อเห็นว่าผู้เป็นนายเงียบไป " ถ่ายทอดคำสั่ง ปิดอำเภอ ปูพรมค้นหาฮูหยิน และผู้ร้ายหลบหนีข้ามแดน หากผู้ใดขัดขืนการจับกุม ฆ่าได้ทันที " " ขอรับ " เมื่อได้รับคำสั่งจากผู้บัญชาการ เหล่าทหารทุกนายก็แยกย้ายกันไปปฏิบัติหน้าที่ในทันที รองแม่ทัพหนุ่ม นำคนจำนวนหนึ่ง ซุ่มดูสถานการณ์ที่กระท่อมร้างบนเชิงเขา ปกติแล้วที่แห่งนี้พรานป่าสร้างขึ้
หลังจากเรื่องทุกอย่างจบลง พวกเขาคงต้องขอตัวเพียงเท่านี้ ต่อจากนี้ก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ขององค์รัชทายาทและพระชายาเป็นคนจัดการเอง จะตัดสินยังไง ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเขาอีกแล้ว ไป๋มู่จิน ยอมรับว่าความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในจงหนานครั้งนี้ เขาเองก็ได้รับบทเรียนไม่น้อย บางครั้งคนที่เราคิดว่ารู้จักดีแล้ว แต่ความเป็นจริงเราอาจจะไม่รู้จักเขาเลยก็ได้ ทั้งความคิดและการกระทำนี้แปลเปลี่ยนไปทั้งหมด เฉดเช่นเดียวกันกับอำนาจ หากอยู่ในมือคนที่มีคุณธรรมอยู่ก็ถือว่าเป็นความโชคดีของชาวเมือง แต่หากอยู่ในมือของคนชั่วช้า นั่นก็คงแล้วแต่โชคชะตา ขบวนเดินทางเตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้ว มีเพียงแค่เขาและองครักษ์ของสนิท ที่ยังอยู่ในเมืองส่วนคนของหน่วยพยัคฆ์เหินนั้นตั้งขบวนเตรียมอยู่ที่นอกประตู และยังมีราชทูตที่ยังไม่กลับ เขาขอตัวอยู่ดูแลกิจการของสกุลลู่ต่อ " ต้องขอขอบคุณทุกท่านทุกคนที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ ไม่เช่นนั้นชาวบ้านคงได้รับความเดือดร้อนเป็นทวีคูณ ส่วนพวกที่หนีข้ามแดนไป ก็คงต้องรบกวนท่านแม่ทัพเสียแล้ว "
เสียงสนทนาดังออกมาถึงนอกท้องพระโรง สตรีชุดดำนางหยุดชะงักไปเล็กน้อยที่ได้ยินว่าคนด้านในกำลังพูดถึงนางอยู่ แต่เสียงที่คุ้นเคยทำให้นางสลัดความคิดฟุ้งซ่านออกไปจนหมด ไป๋มู่จิน เจ้าแม่ทัพบ้านั่น ไหนว่ากลับแคว้นเหลียงไปแล้วอย่างไรเล่า เหตุถึงใดได้มาพูดจายั่วยวนกวนประสาทอยู่ที่นี่ได้ เมื่อเท้าเรียวก้าวเดินเข้าไปในท้องพระโรง ก็เรียกความสนใจของทุกคนได้เป็นอย่างดี สตรีชุดดำถือกระบี่ที่เปื้อนเลือดเข้ามาในท้องพระโรง ทุกคนดูจะตกตะลึงไปชั่วขณะ ที่เห็นพระชายาในสภาพแบบนี้ ใบหน้าสวยไร้การแต่งแต้มใด ๆ ที่ข้างแก้มนวลยังมีหยดเลือดที่ยังไม่แห้งติดอยู่ หาญจงอี้เดินตรงเข้ามาหาสตรีตรงหน้าด้วยความกังวลใจและห่วงใยในคราเดียวกัน เขามองสำรวจนางตั้งแต่หัวจรดเท้า เพื่อดูว่านางได้รับบาดเจ็บหรือไม่ มือหนายกขึ้นมาเช็ดคราบเลือดที่เปื้อนแก้มนวลออกอย่างเบามือ " เจ้าบาดเจ็บ " " ออ ไม่ใช่เลือดข้าหรอกเพคะ...... " นางมองหน้าบุรุษตรงหน้า เหมือนจงใจค้นหาอะไรบางอย่าง " พระชายา เจ้ามาอยู่ที่น
เสนาบดีหลิงเดินเข้ามาหาหลานชายของตนที่กำลังเกลี้ยกล่อมฝ่าบาทอยู่ด้วยความใจเย็น แต่พอมองสบตากับบุคคลตรงหน้าแล้วเขาแทบจะหน้าถอดสี " เป็นไปไม่ได้ " " อะไรเป็นไปไม่ได้หรือท่านตา " " ฝ่าบาทยังไม่ถูกพิษ " เสนาบดีเฒ่าชี้ไม้ชี้มือไปที่องค์ฮ่องเต้ด้วยความตื่นตระหนก ทำให้อี้หลางต้องหันกลับมามองเสด็จพ่อของตนด้วยเช่นกัน " เป็นไปไม่ได้ ข้าน้อยปรุงยานี้กับมือ คนที่มียาถอนพิษก็มีแค่ข้าคนเดียวเท่านั้น " เติ้งฮุย ลูกน้องคนสนิทของเสนาบดีเอ่ยขึ้นอย่างร้อนรน และยิ่งตกใจมากกว่าเดิมเมื่อองค์ฮ่องเต้ยืนขึ้นแล้วเดินตรงมาหาเขา " เสด็จพ่อ อย่าบังคับข้าเลย " " อี้หลางอย่ามัวชักช้า รีบจับเขาไว้และเอาตราประทับมาให้ตา มิเช่นนั้นเราไม่มีทางรอดหรอก " " ลูกเอ๋ย กลับตัวกลับใจเสียเถิด " " อี้หลางอย่าไปฟังเค้า.....ฝ่าบาทส่งตราประทับมาเสียดีกว่า " เป็นเสนาบดีเฒ่าเอ่ยขัดขึ้นเพราะกลัวว่าหลานชายของตนจะใจอ่อน เขาสาวเท้าถือดาบเล่มยาวเดินตรงเข