LOGIN"งั้นเธอก็จำให้หมดแล้วกันว่าถูกฉันทำอะไรไว้บ้าง จะได้ไปฟ้องถูก" ศรัณย์ไม่ได้เกรงกลัว หน่ำซ้ำยังท้าทายอย่างไม่สะทกสะท้านเพราะความรัก ความเคารพ ความยำเกรง และความศรัทธาที่มีต่อคนเป็นพ่อมันหมดลงตั้งแต่ที่ท่านเปิดตัวเมียใหม่แล้ว
"อย่าลืมบอกนะว่าฉันจูบเธอด้วย"
สิ้นเสียงริมฝีปากหยักก็เคลื่อนเข้าประกบกลีบปากนุ่มแล้วบดขยี้หนัก ๆ
"อื้อ..."
ดาริกาแทบขาดอากาศหายใจทั้งดีดดิ้นทั้งใช้มือผลักไสทุบตีพัลวัน แต่เขายิ่งบดจูบรุนแรงใช้ฟันขบงับจนเจ็บแปลบ ก่อนจะผละปากออกมองหน้าเธอ
"และจูบไปกี่ครั้ง" กระซิบชิดกลีบปากอย่างคนเหนือกว่าแล้วกดจูบต่อโดยที่เธอไม่ทันตั้งตัวเลยเพราะไม่คิดว่าเขาจะทำอีก
และก็ไม่รู้ว่าตอนไหนที่เขาถอดกระโปรงเธอออกมารู้อีกทีก็ต้องที่ความเย็นตกกระทบบั้นท้ายตลอดไปจนถึงขาอ่อนพร้อมด้วยเสียงดุดัน
"ห้ามเธอใส่เศษผ้าแบบนี้ให้ฉันเห็นอีก ห้ามแต่งหน้า ห้ามเที่ยวกลางคืน และห้ามไปเถลไถลที่ไหนตราบใดที่ยังอยู่ในบ้านพิทักษ์ธรานนท์ ถ้าไม่เชื่อฟังจะได้เห็นดีกัน"
เธออายแต่ก็ทำได้แค่ดิ้นขลุกขลักอยู่ในวงแขนแกร่งราวกับเหล็กของคนใจร้าย อีกใจก็โกรธมากคิดไม่ถึงว่าเขาจะกลายเป็นคนแบบนี้ หรือบางทีที่ผ่านมาเธออาจจะไม่รู้ถึงตัวตนจริง ๆ ของเขาเลยสักนิด
"ที่คุณไม่พอใจกับการแต่งตัวของฉัน และห้ามทุกอย่างแบบนี้ จริง ๆ แล้วคุณหวงใช่ไหมคะ"
"ฉันกลัวเธอใจแตก และจะท้องก่อนเรียนจบมากกว่า ถ้าเป็นแบบนั้นชื่อเสียงของตระกูลพิทักษ์ธรานนท์ก็พลอยเสื่อมเสียไปด้วย"
คำตอบที่ได้รับกลับเจ็บจี๊ด..
ยิ่งโกรธมากกว่าเดิมรวบรวมแรงทั้งหมดที่มีผลักร่างสูงจนเขาเสียการทรงตัวเซถลาออกห่างเธอจึงใช้จังหวะนั้นรีบเดินไปหยิบผ้าห่มมาห่อตัวไว้ แล้วเอ่ยออกไปด้วยความเสียใจ
"งั้นถ้าฉันย้ายออกไปอยู่ข้างนอก และตัดขาดกับตระกูลพิทักษ์ธรานนท์ทุกอย่างก็ไม่มีปัญหาใช่ไหมคะไม่ว่าฉันจะใจแตก หรือท้องก่อนเรียนจบ"
"ดาริกา!" คำพูดของเธอเหมือนเป็นเชื้อเพลิงกระตุ้นอารมณ์โกรธศรัณย์ให้ลุกโชนมองว่าเธอท้าทายความอดทนของเขา ตวาดเสียงกร้าวจนร่างบอบบางสะดุ้งเล็กน้อย สองเท้าใหญ่พุ่งตรงเข้าหาเธออีกครั้ง
ครืด ครืด~
แต่ก่อนที่จะได้เข้าประชิดตัวเสียงโทรศัพท์ก็ดังขัดจังหวะเสียก่อนทำให้เขาชะงัก กวาดสายตามองหาต้นเสียงพบว่าดังมาจากกระเป๋าสะพายของหญิงสาวที่ตกอยู่บนพื้น
เขารีบก้าวไปหากระเป๋าเช่นเดียวกับดาริกาเพราะไม่อยากให้ชายหนุ่มยุ่งกับของส่วนตัว ทว่าเพราะนุ้งผ้าห่มผืนใหญ่ทำให้พะรุงพะรังการขยับตัวค่อนข้างลำบาก ทั้งอีกคนขายาวกว่า สุดท้ายก็เป็นเขาที่ได้กระเป๋าไปครอง หน่ำซ้ำยังหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋าอย่างถือวิสาสะ
"เอามือถือฉันมานะคุณศรัณย์ คุณจะยุ่งกับของส่วนตัวฉันมากไปแล้วนะ"
เธอรีบกระวีกระวาดเข้าไปหมายจะแย่งมือถือคืน แต่ด้วยส่วนสูงที่ต่างจากลิบลิ่วไหนจะแขนยาว ๆ นั่นอีกแค่เขาใช้มือยันศีรษะเธอไว้ไม่ให้เข้าใกล้ก็จบแล้ว
"เอามือถือฉันคืนมานะคุณศรัณย์"
"มือถือเธอ แต่ใช้เงินของพิทักษ์ธรานนท์ซื้อ ของทุกอย่างที่เธอมีล้วนมาจากเงินพิทักษ์ธรานนท์ทั้งนั้นเพราะฉะนั้นก็เท่ากับฉันมีสิทธิ์ในทุก ๆ อย่างของเธอ"
ศรัณย์ไม่แคร์เอ่ยจบก็กดรับสายทันทีรอฟังว่าใครโทรมา
(ดาอยู่ไหน เรากับมิ้นท์มารอหน้าบ้านตั้งนานแล้วไม่เห็นออกมาสักที) เสียงของแยมดังมาตามสาย
"ดาริกาไม่ไปแล้วไม่ต้องรอ พวกเธอไปกันได้เลย" พอจับใจความได้ก็ตอบกลับด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง สายตาจับจ้องดวงหน้าหวานราวกับจะกินหัว
(คุณเป็นใครคะ แล้วมารับโทรศัพท์ดาได้ยังไง)
"ฉันเป็นผู้ปกครองของดาริกา ฉันไม่อนุญาตให้ดาริกาออกไปเที่ยวค่ำ ๆ มืด ๆ"
(ตะ..)
ไม่รอให้อีกฝ่ายพูดอะไรอีกกดตัดสายทิ้งทันที จากนั้นก็โยนโทรศัพท์ลงบนที่นอนประจวบเหมาะกับที่มือถือในกระเป๋ากางเกงของเขาดังขึ้นพอดี
ครืดด~
ล้วงไปหยิบออกมาดูเห็นเป็นเบอร์ว่าที่คู่หมั้นสาวจึงกดรับสาย ขณะที่สายตาตวัดมองใบหน้าจิ้มลิ้มอย่างเอาเรื่อง
"ครับน้องแป้ง"
(พี่ศรัณย์อยู่ไหนคะ แป้งมารอที่รถตั้งนานแล้ว ให้คนไปตามที่ห้องก็ไม่เห็นเดี๋ยวไปงานประมูลไม่ทันนะคะ)
"อ๋อ" เพราะมัวแต่โกรธดาริกาจนเขาลืมเสียสนิทว่าต้องไปงานประมูล แต่เพราะไม่อยากให้ว่าที่คู่หมั้นสาวรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับดาริกาจึงตอบโกหกไป "พี่มาสั่งงานแม่บ้านที่หลังตึกใหญ่น่ะครับ กำลังจะกลับแล้ว รอพี่แป๊บนะครับ"
(ค่ะ)
"ครับ"
หลังจากวางสายคู่หมั้นสาวเขาจึงกดเสียงเอ่ยกับร่างบอบบางตรงหน้าต่อ "ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากฉันเธอก็ไม่มีสิทธิ์ออกไปอยู่ที่ไหนทั้งนั้น"
ว่าจบก็หันหลังเดินออกจากห้องไปพร้อมด้วยเศษเสื้อผ้าของเธอที่ตั้งใจจะเอาไปโยนทิ้งถังขยะทิ้งให้อีกคนยืนมองตามหลังด้วยความไม่เข้าใจ
ดาริกาไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ว่าตกลงแล้วชายหนุ่มจะเอายังไงกันแน่ วันนั้นยังไล่เธอกับแม่ออกจากบ้านอยู่เลย แต่พอมาวันนี้กลับไม่ยอมให้เธอออกไป
ร่างสูงในชุดเปียกปอนเดินกอดตัวเองเข้ามายืนหน้าบ้านด้วยเนื้อตัวสั่นเทา ปากสีแดงกลายเป็นสีม่วงคล้ำเพราะความเย็นจัด ผิวขาวซีดเหมือนคนขาดเลือดเธอแสร้งทำเป็นไม่สนใจเดินไปนั่งบนเก้าอี้ตัวเอง แล้วก้มหน้าทานข้าวต่อ แอบชำเลืองมองด้วยหางตาเป็นระยะ หูคอยฟังว่าสองคนพ่อลูกพูดอะไรกันบ้าง"เดี๋ยวหนูเอาผ้าเช็ดตัวมาให้นะคะ คุณพ่อยืนรอตรงนี้ก่อน" ได้ยินเสียงบุตรสาวบอกกล่าวกับคนเป็นพ่อ และนาทีต่อมาก็เดินมาหาเธอ"คุณแม่คะขอผ้าเช็ดตัวให้คุณพ่อหน่อยค่ะ""เดี๋ยวแม่ไปหยิบมาให้ค่ะ" ความจริงเธอไม่อยากจะหยิบยื่นอะไรให้เขาเลย แต่มันติดตรงที่บุตรสาวนี่แหละเธอเดินขึ้นไปยังห้องนอนบนชั้นสองของบ้านหยิบผ้าเช็ดตัวผืนใหม่ที่อยู่ในตู้มาให้บุตรสาว"นี่ค่ะ""ขอบคุณค่ะ" บุตรสาวยิ้มหวานให้เธอ แล้วรีบเอาผ้าเช็ดตัวจากมือเธอไปให้ผู้เป็นพ่อ"คุณพ่อเช็ดตัวก่อนนะคะ""ขอบคุณค่ะ" ศรัณย์ระบายยิ้มอ่อนโยนให้บุตรสาวพลางรับผ้าเช็ดตัวมาซับตามร่างกายสั่นเทาที่เปียกปอนไปด้วยน้ำ เสร็จแล้วก็เช็ดผมต่อจนหมาด ๆ "คุณพ่อเข้ามาในบ้านสิคะ จะได้กินข้าวกัน" เด็กน้อยคาริสายื่นมือไปจับมือผู้เป็นพ่อหมายจะพาเข้าบ้านหลังจากเห็นว่าเช็ดผมเสร็จแล้ว"ไม่ได
เหมือนดาริกาจะดูถูกชายหนุ่มเกินไปเพราะผ่านไปสี่ชั่วโมงแล้วเขายังนั่งคุกเข่าอยู่ที่เดิมทั้งที่ตะวันเริ่มลับขอบฟ้า เมฆฝนตั้งเค้า ลมพัดกระโชกเหมือนพายุจะเข้า"หนูสงสารคุณพ่อจังเลยค่ะ คุณแม่หายโกรธคุณพ่อ แล้วให้คุณพ่อเข้ามาในบ้านนะคะ" เด็กน้อยคาริสาที่ยืนมองพ่อจากหน้าต่างเงยหน้าขึ้นเอ่ยกับผู้เป็นแม่ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เสียงเศร้าดาริกาละสายตาจากคนที่นั่งคุกเข่าอยู่กลางสนามหญ้า หันกลับมามองหน้าบุตรสาวพร้อมกับย่อตัวลงนั่งย่อง ๆ ตรงหน้าพลางคว้ามือเล็กมากอบกุมไว้"ดูลูกรักและเป็นห่วงคุณพ่อมากเลยนะคะทั้งที่เพิ่งเจอกันไม่นานเอง" เอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล"ใช่ค่ะ หนูรู้สึกอบอุ่นและมีความสุขมากเลยค่ะเวลาได้อยู่กับคุณพ่อ คุณพ่อใจดีที่สุดเลยค่ะคุณพ่อมาหาหนูที่โรงเรียนทุกวัน ซื้อไอศกรีมกับขนมที่หนูชอบมาฝากด้วยนะคะ พอหนูบอกว่าอยากไปดูหมูหวานคุณพ่อก็จะพาไป หนูอยากทำอะไรคุณพ่อก็ตามใจค่ะ""...""รู้ไหมคะคุณแม่เพื่อน ๆ ที่โรงเรียนต่างอิจฉาหนูที่มีคุณพ่อหล่อและใจดีมาก"เสียงและสีหน้าบุตรสาวเวลาพูดถึงผู้เป็นพ่อเต็มไปด้วยความสุข แววตาทอประกายสดใสแบบที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน บุตรสาวคงรักและภูมิใจในตัวผู้เป็นพ
บ้านหลังไม่ใหญ่มากนักสไตล์มินิมอลสองชั้น มีรั้วไม้ความสูงประมาณจมูกของเขาล้อมรอบ เดินมาหยุดหน้าประตูรั้วพร้อมทอดสายตามองเข้าไปภายในบ้านรอยยิ้มพลันผุดขึ้นประดับใบหน้าคมเข้มในตอนที่ผ้าม่านตรงหน้าต่างปลิวไปตามลมจนทำให้เห็นคนที่อยู่ด้านใน สองคนแม่ลูกอยู่ที่นี่จริง ๆ เขาไม่รอช้ารีบยื่นมือไปเปิดประตูรั้วอย่างถือวิสาสะ แต่ก็ต้องผิดหวังเพราะมันถูกล็อคจากด้านใน จึงตะโกนเรียกแทน"น้องดาครับ น้องดาได้ยินพี่ไหมครับ" เสียงอันแสนคุ้นเคยที่ดังเข้าหูทำดาริกาที่กำลังนั่งเล่นกับลูกอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่นขมวดคิ้วมุ่น ยังแอบนึกว่าตัวเองหูแว่วเพราะไม่มีทางที่ชายหนุ่มจะรู้ว่าเธอกับลูกอยู่ที่นี่"หนูได้ยินเสียงคุณพ่อคะคุณแม่" จนบุตรสาวเอ่ยขึ้นอีกคนเธอจึงมั่นใจว่าตัวเองไม่ได้หูฝาด เมื่อกี้เสียงเหมือนดังมาจากหน้าบ้าน รีบใช้มือแหวกผ้าม่านตรงหน้าต่างแล้วชะเง้อคอมองดวงตากลมเบิกกว้างเมื่อเห็นร่างสูงโปร่งที่ยืนเกาะรั้วอยู่ สองคิ้วขมวดมุ่นด้วยความสงสัย เขามาที่นี่ได้ยังไง แล้วเขารู้ได้ยังไงว่าเธอกับลูกอยู่ที่นี่เพราะนอกจากพ่อแม่และพี่ชายไม่มีใครรู้ว่าเธออยู่ที่นี่มั่นใจมากว่าครอบครัวไม่มีทางบอกกับชายหนุ่มว่า
ต่อให้เมื่อวานจะปะทะกับแม่ของลูกวันนี้ศรัณย์ยังคงมาที่โรงเรียนแม้ไม่รู้ว่าจะได้พบกับบุตรสาวไหม หรือต้องเจอกับอะไร เขาตัดสินใจแล้วว่าจะเดินหน้าง้อแม่ของลูกไม่ทำตัวเป็นคนขี้ขลาดอีกต่อไปมาถึงห้องเรียนของบุตรสาวไม่ทันที่เขาจะพูดอะไรครูประจำชั้นก็เดินออกมาบอกกล่าว "น้องริสาไม่ได้มาเรียนค่ะ""อ๋อ..ขอบคุณครับ" เขาพยักหน้ารับ แล้วเดินกลับไปขึ้นรถขับตรงไปยังบ้านเกียรติกมล ขับมาจอดรถแอบริมรั้วเหมือนเช่นเคย เฝ้ามองว่าสองคนแม่ลูกจะออกไปไหนบ้างเขาจะได้หาโอกาสเข้าไปคุยกับเธอทว่าผ่านไปชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่าจนตะวันเริ่มคล้อยก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ สรุปวันนี้เขากลับมาบ้านโดยที่ไม่ได้เห็นหน้าลูกเมียเลย ทว่าวันนี้ไม่เจอพรุ่งนี้อาจจะเจอก็ได้เขาไม่ยอมแพ้วันต่อมาก็ไปหาบุตรสาวที่โรงเรียนอีกครั้ง และได้รับคำตอบจากครูประจำชั้นแบบเดิม ความรู้สึกบอกเขาว่ามันไม่ปกติแล้ว ถ้าไม่มีอะไรบุตรสาวคงไม่ขาดเรียนติดต่อกันในช่วงที่กำลังใกล้ปิดเทอมเขาขับรถไปยังบ้านเกียรติกมล แต่ครั้งนี้ไม่ได้จอดแอบนอกรั้วเหมือนที่ผ่านมา เขาขับรถมาจอดหน้าประตูรั้วแล้วลงจากรถเดินไปกดกริ่งยืนรอราวห้านาทีก็มีหญิงวัยยี่สิบปลายเดินกึ
วันต่อมาก็มาหาบุตรสาวที่โรงเรียนตั้งแต่เก้าโมงเช้าเพื่อจะพาบุตรสาวไปดูหมูหวานตามที่ได้รับปากไว้เมื่อวานเขาขออนุญาตคุณครูประจำชั้นเรียบร้อย ก่อนจูงมือบุตรสาวเดินไปที่รถ"หนูจะได้ไปดูหมูหวานแล้ว ตื่นเต้นจังเลยค่ะคุณพ่อ" เด็กน้อยแหงนหน้าขึ้นเอ่ยกับคนเป็นพ่อด้วยท่าทางตื่นเต้นเป็นพิเศษศรัณย์เห็นแล้วเอ็นดูยิ่งนัก เดินมาถึงรถเขาก็คลายพันธนาการจากมือเล็กล้วงไปหยิบกล่องบางอย่างออกจากกระเป๋ากางเกง แล้วย่อตัวลงนั่งย่อง ๆ ตรงหน้าบุตรสาว"ก่อนไปลูกต้องใส่นาฬิกาเรือนนี้ก่อนนะคะ นาฬิกาเรือนนี้มีทั้งแอปติดตาม ยังสามารถโทรออกได้ด้วย เผื่อไปถึงสวนสัตว์แล้วเราเกิดผลัดหลงกันพ่อจะได้รู้พิกัดลูก และถ้ามีอะไรก็ให้ลูกกดตรงนี้มันจะโทรหาพ่อ"เขาอธิบายแล้วหยิบนาฬิกาสุดหรูออกจากกล่องสวมลงบนข้อมือเล็ก"ค่ะคุณพ่อ" เด็กน้อยพยักหน้ารับหงึกงัก"ดีมากค่ะ" ศรัณย์กดจูบบนหน้าผากมนด้วยความรักใคร่ ก่อนจะหยัดกายลุกขึ้นยืน ยื่นมือไปเปิดประตู ผายมือเชิญบุตรสาวขึ้นรถ "เชิญค่ะเจ้าหญิงน้อย""น้องริสามาหาคุณแม่ค่ะ" ไม่ทันที่เด็กน้อยจะได้ก้าวขึ้นรถน้ำเสียงดุดันก็ดังขึ้นทำให้สองคนพ่อลูกชะงักมองหน้ากันอย่างเลิ่กลั่ก'ความฉิบหายมา
หนึ่งเดือนต่อมา"คุณพ่อคะหนูอยากไปเที่ยวสวนสัตว์ค่ะ หนูอยากไปดูหมูหวาน" เสียงบุตรสาวดังขึ้นทำให้ศรัณย์ที่นั่งเช็คข้อความในไลน์ละสายตาจากหน้าจอมือถือ เงยขึ้นมองบุตรสาวที่นั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามหมูหวานที่บุตรสาวหมายถึงคือฮิปโปโปเตมัสแคระที่กำลังโด่งดังอยู่ตอนนี้ แน่นอนว่าบุตรสาวร้องขอเขาไม่ปฏิเสธ"ได้สิคะ งั้นพรุ่งนี้พ่อพาไปดู แต่เราต้องไปกันแต่เช้าจะได้กลับมาทันก่อนโรงเรียนเลิก ไม่อย่างนั้นโดนคุณแม่จับได้แน่""โอเคค่ะ" เด็กน้อยคาริสายกมือทำท่าโอเคให้พ่อในนาม ก่อนจะกระโดดลงจากเก้าอี้เดินเข้าไปสวมกอดเอวสอบ ตั้งคางบนหน้าขา เงยหน้าขึ้นมองหน้าพ่อในนามตาปริบ ๆ "หนูรักคุณพ่อนะคะ คุณพ่ออย่าทิ้งหนูนะคะ""ไม่ต้องกลัวนะ พ่อไม่มีวันทิ้งลูกแน่นอน"เขาระบายยิ้มอ่อนโยนให้บุตรสาวพร้อมกับสวมกอดแนบแน่นตอนนี้ดูเหมือนบุตรสาวจะรัก และมีความผูกพันกับเขาบ้างแล้วตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาเขาแอบมาหาบุตรสาวที่โรงเรียนทุกวันต้องการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเขากับบุตรสาวให้แน่นแฟ้น เพราะบุตรสาวเป็นกำลังสำคัญที่จะทำให้เข้ามีโอกาสเข้าหาคนเป็นแม่โดยที่ไม่ต้องถูกไล่ออกมายิ่งบุตรสาวรัก และผูกพันกับเขามากเท่าไรก็ยิ่ง







