“ข้าเข้าใจแล้ว เช่นนั้นให้ข้าไปส่งดีหรือไม่ อย่างไรก็ทางผ่าน” เว่ยหลิงเฮ่อเอ่ยถามเผยตั้นเยี่ยน
“ไม่เพคะ/ไม่ต้อง” จ้าวฉือลี่และเว่ยเหวินเซียนเอ่ยพร้อมกัน
เว่ยหลิงเฮ่อมองบุรุษและสตรีที่อยู่ตรงหน้าสลับกันไปมา แต่เมื่อไตร่ตรองดูแล้วก็พอเข้าใจ เพราะหากเขาเป็นเผยตั้นเยี่ยนก็ไม่คิดจะให้เขาไปส่งแน่นอน เพราะกลัวว่าจะถูกสังหาร
ส่วนที่เสด็จอาของเขาไม่อยากให้เขาเป็นคนส่งนางกลับ ก็คงเพราะอยากพานางกลับไปจัดการสอบสวนเรื่องตราพยัคฆ์ที่หายไปจึงไม่ยอมให้เขาไปส่งนาง แต่เพราะเหตุนี้แหละที่เว่ยหลิงเฮ่อกลัว เพราะหากเผยตั้นเยี่ยนปริปากบอกว่าขโมยตราพยัคฆ์ไปให้ใคร คราวนี้เสด็จอาของเขาคงไม่ยอมให้เขาขึ้นครองบัลลังก์ได้โดยง่ายอย่างแน่นอน
“พอดีว่าสารถีของหม่อมฉันถูกคนของท่านอ๋องช่วยเอาไว้ ตอนนี้อยู่ที่จวนท่านอ๋อง หม่อมฉันเลยจะไปรับเขากลับด้วยเพคะ”
จ้าวฉือลี่รู้ดีว่ามันฟังดูไม่ขึ้นเท่าใดนัก แต่ทว่ายามนี้นางนั้นก็หาทางออกไม่ได้แล้วจริง ๆ เพราะนางรู้ดีว่าหากไปกับเว่ยหลิงเฮ่อยามนี้ก็มีแต่ตายอย่างเดียว แต่หากไปกับเว่ยเหวินเซียนที่มีใจให้นาง หากเขาหาหลักฐานมัดตัวนางไม่ได้อย่างน้อยนางก็ยังพอใช้มารยาหญิงทำให้รอดตัวไปได้
“คุณหนูเผยช่างเป็นห่วงเป็นใยคนรอบข้างเสียจริง น่าอิจฉาคุณชายรองเผยที่มีพี่สาวเช่นเจ้า” เว่ยหลิงเฮ่อรู้ว่าไม่อาจพานางกลับไปพร้อมเขาได้ ไม่เช่นนั้นเสด็จอาของเขาอาจสงสัย จึงได้เอ่ยถึงน้องชายของนางเพื่อเป็นการขู่
อยู่ดี ๆ เว่ยหลิงเฮ่อพูดถึงเผยจือเหยียนน้องชายมารดาเดียวกันของเผยตั้นเยี่ยนขึ้นมา ก็ทำให้จ้าวฉือลี่รู้ว่าเขากำลังข่มขู่นาง เพราะเขารู้ดีว่าเผยตั้นเยี่ยนรักน้องชายมารดาเดียวกันผู้นี้มากเท่าใด
จ้าวฉือลี่เองก็รู้ว่าต่อให้ตายเผยตั้นเยี่ยนก็ไม่มีทางเอ่ยปากพูดเรื่องที่จะทำให้น้องชายต้องตกอยู่ในอันตราย เพราะตอนที่เผยตั้นเยี่ยนถูกทรมานก็มิยอมเอ่ยปากบอกว่าใครคือคนที่สั่งให้นางขโมยตราพยัคฆ์ เพราะไม่เช่นนั้นเว่ยหลิงเฮ่อจะต้องไม่ปล่อยตระกูลเผยไปอย่างแน่นอน
ส่วนเว่ยเหวินเซียนก็ไม่ยุ่งกับคนในตระกูลเผยอยู่แล้ว เพราะเขารู้ว่าเผยตั้นเยี่ยนนั้นมิถูกกันกับบิดา จึงไม่คิดว่าบิดาของนางเป็นผู้บงการ ส่วนน้องชายของเผยตั้นเยี่ยนก็ยิ่งไม่รู้เรื่องด้วยเข้าไปใหญ่เพราะเขานั้นอยู่ที่สำนักศึกษา
เว่ยเหวินเซียนถึงจะโหดเหี้ยมอำมหิต ทว่าเขาก็ไม่เคยเอาครอบครัวของคนร้ายหรือคนผิดมาลงโทษด้วย เพราะอย่างไรคนเหล่านั้นก็คือผู้บริสุทธิ์ ยกเว้นคนในครอบครัวเหล่านั้นจะมีส่วนรู้เห็นเขาจึงจะจับมาลงทัณฑ์ด้วย นี่ถือเป็นข้อดีของเว่ยเหวินเซียนอย่างหนึ่งที่จ้าวฉือลี่ชอบตอนที่อ่านนิยาย เพราะหากเป็นไปได้นางก็ไม่อยากให้เจ้าหนี้นอกระบบมาทวงเงินจากนางเพราะพ่อของนางไปค้ำประกันให้กับเพื่อนเหมือนกัน
“องค์รัชทายาทกล่าวเกินไปแล้วเพคะ เพราะหม่อมฉันไม่มีอันใดที่จะสามารถทำให้คนรอบข้างได้ มีแต่ความรักความห่วงใยให้เท่านั้น มีอันใดให้น่าอิจฉากันเพคะ” จ้าวฉือลี่เอ่ยพร้อมยิ้มให้องค์รัชทายาทหลิงเฮ่อราวกับจะบอกเขาว่านางนั้นเข้าใจแล้ว
เว่ยหลิงเฮ่อพยักหน้ารับรู้ก่อนหันมาหาเว่ยเหวินเซียน “เสด็จอาเช่นนั้นข้าไม่อยู่รบกวนพวกท่านแล้ว ข้าขอตัวกลับวังก่อน” เมื่อเขาเอ่ยเสร็จก็ผสานมือโค้งกายคารวะผู้เป็นอาทันที
จ้าวฉือลี่มองดูเว่ยหลิงเฮ่อที่ขี่ม้าผ่านไป ‘นักเขียนท่านนี้ช่างแต่งให้บุรุษหน้าตาดีชวนมองต่างจากนิสัยเสียจริง’ นางคิดในใจเพราะเมื่อครู่หากนางไม่มัวแต่พะวงว่าจะรับมือบุรุษทั้งสองอย่างไร ป่านี้นางก็คงมัวแต่หลงรูปโฉมของเว่ยหลิงเฮ่ออยู่เป็นแน่
เว่ยเหวินเซียนมองเผยตั้นเยี่ยนที่กำลังมองตามเว่ยหลิงเฮ่อด้วยท่าทางแบบเดียวกับที่มองเขาก่อนหน้านี้ ‘บังอาจนัก นี่เจ้ามองบุรุษทุกคนด้วยสายตาเช่นนี้หรือ’ ถึงเขาจะรู้สึกว่าวันนี้เผยตั้นเยี่ยนแปลกไปจากเผยตั้นเยี่ยนที่เขารู้จักมากจนเขาไม่อยากเชื่อสายตา แต่เมื่อเห็นนางมองบุรุษอื่นทั้งที่อยู่ต่อหน้าเขาก็อดที่จะเดือดดาลไม่ได้
เขาคว้าตัวนางพร้อมกับจับอุ้มขึ้นนั่งบนหลังม้าก่อนที่เขาจะกระโดดไปนั่งอยู่ด้านหลังของนาง หานสิงเวยองครักษ์คนสนิทชินอ๋องเหวินเซียนเห็นผู้เป็นนายควบม้าออกไปก็รีบกระโดดขึ้นม้าก่อนจะยื่นมือมาดึงมือของฉุยฉุยให้ขึ้นมานั่งที่ข้างหลังของเขา
จวนชินอ๋องเหวินเซียน
เมื่อมาถึงจวนเว่ยเหวินเซียนก็สั่งให้สาวใช้นำทางเผยตั้นเยี่ยนกับฉุยฉุยไปยังเรือนรับรองและทำการตรวจค้นตัวสตรีทั้งสอง ขณเดินไปนั้นก็ให้หานสิงเวยเดินตามหลังไปด้วย เพราะกลัวว่าสตรีทั้งสองอาจจะเล่นตุกติกระหว่างทาง
ส่วนจิ่งหลินสารถีขับรถม้าที่เว่ยเหวินเซียนนั้นช่วยมาได้ระหว่างที่หลบหนีผู้ร้ายก็ถูกเจ้าของจวนสั่งให้ทหารค้นตัวเช่นกันแต่ก็ไม่พบตราพยัคฆ์ เขาจึงสั่งให้คนไปเติมน้ำใส่อ่างพร้อมกับให้ใส่เกลือลงไปในน้ำแล้วให้จิ่งหลินลงไปแช่
ช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้เขานั้นออกศึกบ่อยครั้งจึงมักไม่ค่อยอยู่จวน ของมีค่าทั่วไปนั้นหากหายเขานั้นก็ไม่เสียดายอันใด เขาเพียงกลัวว่าของต่างหน้าที่เสด็จพ่อและเสด็จแม่เคยมอบให้นั้นจะหายไป จึงติดนิสัยป้ายยาแย้มสัตย์ไว้ตามของมีค่า เพราะหากผู้ใดมาแตะต้องหรือหยิบจับของชิ้นนั้น เพียงแค่แช่ด้วยน้ำเกลือส่วนใดก็ตามที่โดนของที่ป้ายด้วยยาแย้มสัตย์ไว้ก็จะกลายเป็นสีส้มทันตา
เว่ยเหวินเซียนทดสอบกับจิ่งหลินแล้วทว่าตัวของจิ่งหลินกลับไม่มีส่วนใดเปลี่ยนเป็นสีส้มเลย เขาจึงยกสุรากระดกเข้าปากไปหลายจอก เพราะหากเขาหาตราพยัคฆ์ไม่เจอ พรุ่งนี้เขาคงต้องเข้าวังไปรับโทษกับเหวินหลิงฮ่องเต้พระเชษฐาของเขาก่อนที่จะเข้าประชุมเช้าที่ท้องพระโรงเป็นแน่
ขณะนี้ไม่รู้ว่าเพราะฤทธิ์สุราหรือเพราะไฟที่สุมอยู่ในอก จึงทำให้เขานั้นร้อนรนจนอยู่ไม่สุข เขามองไปทางเรือนรับรองที่เผยตั้นเยี่ยนกับฉุยฉุยกำลังโดนค้นตัว ถึงในใจเขานั้นไม่ต้องการให้เจอตราพยัคฆ์หรือสีส้มจากยาแย้มสัตย์ตามตัวของเผยตั้นเยี่ยนกับฉุยฉุย แต่หากไม่เจอดูแล้วคนในจวนรวมถึงทหารใต้บัญชาการของเขาทั้งหมดคงต้องถอดเกราะกลับไปอยู่บ้าน หรือไม่ก็ต้องไปเข้ากับทัพของค่ายอื่นแล้ว
เมื่อเว่ยเหวินเซียนเห็นสาวรับใช้เดินออกมาจากห้องพร้อมกับเอ่ยบางอย่างกับหานสิงเวยเขาก็ลุกขึ้นทันที พร้อมกับจ้องมององครักษ์คนสนิทอย่างรอคอยคำตอบ
เมื่อหานสิงเวยเห็นผู้เป็นนายมองมาก็ส่ายหัวไปมาให้ผู้เป็นนายได้เห็น เพียงเว่ยเหวินเซียนเห็นองครักษ์คนสนิทส่ายหัวก็รู้ทันทีว่าไม่พบตราพยัคฆ์ที่ตัวของสตรีทั้งสองคน เขาจึงเอ่ยเสียงดังบอกทหารให้เตรียมน้ำอุ่นผสมเกลือที่เรือนนอนของเขาก่อนที่เขาจะก้าวเท้ายาวไปยังเรือนรับรอง
เมื่อเจ้าของจวนมาถึงเรือนรับรองเผยตั้นเยี่ยนกับฉุยฉุยก็ใส่เสื้อผ้าแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว เว่ยเหวินเซียนเปิดประตูเข้าไปด้านในด้วยความร้อนใจ เมื่อเจอเผยตั้นเยี่ยนเขาก็จับมือของนางพร้อมออกแรงดึงเพื่อให้นางเดินตามเขาไป
ด้วยความตกใจจ้าวฉือลี่จึงสะบัดข้อมือสุดแรง พร้อมเอ่ยเสียงดัง “ท่านอ๋องเพคะ พระองค์จะทำอันใดเพคะ”
“ข้าป้ายยาแย้มสัตย์ไว้ที่ตราพยัคฆ์ ถึงยามนี้ตราพยัคฆ์จะไม่อยู่ที่ตัวของเจ้าก็ไม่ได้หมายความว่าเจ้าไม่ได้เอาไป” เพียงพูดจบเขาก็กระชากมือนางให้เดินตามเขาไป
‘ยาแย้มสัตย์คืออะไรอีก สวรรค์ท่านจะให้ข้าตายให้ได้เลยใช่หรือไม่’ นางบ่นในใจ
“แล้วฝ่าบาทต้องการให้เหวินเซียนทำอันใดอีกเล่าเพคะ หรือท่านอยากเล่นเป็นบทคนดีแล้วให้เขาเป็นคนเลวอย่างนั้นหรือ ฝ่าบาทบอกว่าเขาติดอิสตรีจนไม่เอาการเอางาน เช่นนั้นใยฝ่าบาทไม่ย้อนคิดหน่อยหรือเพคะ ว่าตอนที่ฝ่าบาทหลงใหลสนมอวี๋มีสภาพเช่นไร” สตรีเจ้าของวังหลังที่เพิ่งเดินเข้ามาตรัสด้วยน้ำเสียงกระแทกแดกดันเจือโทสะเสิ่นฮองเฮาวางถ้วยโอสถลงบนโต๊ะเล็กที่วางอยู่บนตั่ง ถ้วยยากระทบกับโต๊ะจนเกิดเสียงดัง แรงกระแทกทำให้ยากระฉอกออกมาจากถ้วย เหล่านางกำนัลขันทีก้มหน้าก้มตาเป็นพัลวัน ก่อนจะรีบออกไปจากห้องทรงอักษรเมื่อเห็นไป๋กงกงสะบัดมือไล่ท่าทางและน้ำเสียงของเสิ่นฮองเฮาทำให้บุตรชายถึงกับตกตะลึง เพราะปกติมารดาของเขาจะไม่ยุ่งเรื่องของวังหน้าอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ และมิว่าจะโกรธเพียงใดก็จะเก็บอารมณ์เอาไว้เสมอ แต่ครานี้กลับต่างจากที่เขาเคยเห็นอย่างลิบลับ ทำให้เจ้าของตำหนักบูรพานึกขยาดกลัว จึงได้แต่นิ่งเงียบไม่เอ่ยอันใด ไม่เพียงเท่านั้นเว่ยหลิงเฮ่อยังก้มหน้าเพื่อหลบสายตาเจ้าของบัลลังก์ เพราะกลัวว่าเสด็จพ่อจะส่งสายตามาขอความช่วยเหลือไม่เพียงแต่บุตรชายที่แปลกใจ แม้แต่เจ้าของบัลลั
หลังจากเว่ยเหวินเซียนกับเผยตั้นเยี่ยนทานอาหารเสร็จแล้ว ก็ให้ฉุยฉุยไปตามคุณหนูอีกสองคนมาพบ พร้อมกับให้เรียกองครักษ์สาวใช้ทั้งสองคนมาด้วย เพื่อบอกองครักษ์หญิงทั้งสองให้รู้ว่าพรุ่งนี้จะต้องคุ้มกันคุณหนูสามเผิงกับคุณหนูรองเผยกลับเมืองหลวง และหากใครถามถึงเผยตั้นเยี่ยนก็ให้บอกไปว่านางยังไม่หายป่วยครั้นบอกรายละเอียดทุกอย่างแล้วเว่ยชินอ๋องก็ไล่ให้พวกนางออกจากห้องไป แต่ทว่าก่อนที่สตรีทั้งห้าจะออกไป เว่ยเหวินเซียนก็ไม่ลืมเอ่ยคาดโทษพวกนางทั้งห้าที่ลงไปแช่ตัวในบ่อน้ำพุร้อน ด้วยสีหน้าและน้ำเสียงขึงขัง“เรื่องที่พวกเจ้าลงไปในบ่อน้ำพุของข้า ข้าจะยังมิลงโทษ แต่มิใช่ว่าข้าให้อภัยพวกเจ้าหรอกนะ เพียงแต่เมื่อวานนี้ข้าลงทัณฑ์คนมามากแล้ว เหนื่อยแล้ว เอาไว้ข้าจะลงโทษพวกเจ้าทีหลังแล้วกัน” เขามิได้จะลงโทษพวกนางจริง ๆ เพียงแค่อยากให้พวกนางทั้งห้าติดค้างเขาเอาไว้เท่านั้น“ขอบพระทัยเพคะ” สตรีทั้งห้ารีบตอบพร้อมกัน ก่อนจะรีบยอบกายแล้วถอยหลังออกจากห้องไปเช้าวันต่อมาเผยตั้นเยี่ยนได้เดินมาส่งสตรีทั้งสี่ที่หน้าจวนด้วยใบหน้าเบิกบาน ต่างจากเว่ยเหวินเซียนที่ใบหน้าหม
เว่ยชินอ๋องพยายามลุกออกจากเตียงด้วยความระมัดระวัง เพราะไม่อยากให้สตรีที่หลับอยู่ตื่นขึ้นมา แต่ดูท่าจะไม่ทันเสียแล้วเมื่อหญิงสาวลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างงัวเงีย ครั้นบุรุษสายเลือดมังกรเห็นภรรยาตัวน้อยตื่นก็รู้สึกอารมณ์เสียขึ้นมาทันที“ปล่อยนางเข้ามา” น้ำเสียงกระโชกโฮกฮากจนหญิงสาวที่เพิ่งตื่นนอนสะดุ้งกลัวกระแสเสียงของอ๋องหนุ่มทำเอาหญิงสาวลืมตาตื่นขึ้นเต็มตา หญิงสาวรีบลุกขึ้นนั่งพร้อมจัดแจงอาภรณ์ของตน เพียงครู่เดียวสตรีที่ทำให้เจ้าของเรือนอารมณ์เสียก็เดินเข้ามา เผยตั้นเยี่ยนเบิกตาโตเมื่อรู้ว่าคนของตนเองทำให้บุรุษตรงหน้ามีโทสะ“หม่อมฉันขออภัยเพคะที่เข้ามารบกวน เพียงแต่ใกล้ถึงเวลาที่คุณหนูต้องดื่มยาแล้ว หม่อมฉันจึงได้ทำอาหารมาให้คุณหนูรับประทานก่อนดื่มยาเพคะ อาการของคุณหนูเกี่ยวกับภายในของสตรีมีผลถึงการสืบสายเลือดของท่านอ๋อง หม่อมฉันจึงมิอาจปล่อยผ่านไปได้เพคะ หวังว่าท่านอ๋องจะให้อภัยหม่อมฉันนะเพคะ” ฉุยฉุยพยายามควบคุมความกลัวของตนเองเอาไว้ เพราะรู้ว่าตนเองเป็นสาเหตุให้เว่ยชินอ๋องหงุดหงิดความโกรธก่อนหน้าหายไปในช่ว
ตั้งแต่ก้าวเท้าเดินเข้ามาในเรือนเขาก็รู้แล้วว่าสตรีทั้งหกอยู่ที่บ่อน้ำพุ ถึงยามแรกจะไม่คิดว่าสตรีทั้งหมดจะลงไปแช่ตัว แต่เมื่อเห็นองครักษ์ตะโกนเสียงดัง อีกทั้งเผยตั้นเยี่ยนเดินมาหาเขาเพียงลำพัง จึงทำให้มั่นใจว่าสตรีที่เหลือลงแช่บ่อน้ำพุร้อน ไม่เช่นนั้นคนใช้ทั้งสามจะปล่อยให้เผยตั้นเยี่ยนไปไหนมาไหนโดยไม่เดินตามได้เช่นไรเผยตั้นเยี่ยนรู้ดีว่าไม่อาจขัดขืนบุรุษตัวสูงได้จึงไม่เอ่ยอันใด เพราะนี่คงเป็นวิธีการทรมานนางอย่างหนึ่งที่เขาใช้ ด้วยเหตุนี้นางจึงไม่กล้าที่จะขัดขืนเพราะกลัวว่าจะเป็นเหมือนครั้งก่อนที่ถูกเขากระทำอย่างรุนแรง“ถอยออกไป หากข้าไม่ได้เรียกอย่าคิดเข้ามาใกล้ และอย่าให้ผู้ใดมารบกวนข้ากับพระชายาเข้าใจหรือไม่” เว่ยชินอ๋องหันมาเอ่ยกับองครักษ์ที่เดินตามมาก่อนจะเดินต่อไปยังห้องนอนของตนเองเมื่อมาถึงห้องบุรุษหนุ่มวัยกำหนัดก็มิรอช้าวางหญิงสาวในอ้อมแขนลงบนเตียงอย่างนิ่มนวล ทว่าภาพอุ่นเตียงคราก่อนยังฝังลึกอยู่ในหัวของสตรีร่างบาง ร่างกายจึงสั่นระริกขึ้นมาอย่างไม่อาจหักห้ามได้“กลัวข้าสินะ ต่อไปข้าจะไม่รุนแรงกับเจ้าเช่นนั้นอีก ดีหรือไม่”
หลังจากทรมานบุรุษตระกูลหยางเสร็จอ๋องหนุ่มก็ไม่รอช้าควบม้ากลับไปยังจวนข้างค่ายทหารของตนทันที แล้วปล่อยให้ลูกน้องที่ตนเองไว้ใจสองคนตรวจสอบจวนขุนนางร่วมกับแม่ทัพใหญ่เหยียน เพราะอย่างไรขุนนางจวนต่อไปก็เขียนหนังสือสำนึกผิดแล้วในเมื่อแค่ต้องเข้าไปในจวนเพื่อตรวจสอบขุนนางว่าเขียนสารภาพผิดตามความจริงหรือไม่ ไยจะต้องให้อ๋องหนุ่มเช่นเขาลงมือทำด้วย เพราะอย่างไรเรื่องลงทัณฑ์เสด็จพี่ของเขาก็เป็นผู้ตัดสินอยู่แล้ว เว่ยชินอ๋องจึงไม่อยากเสียเวลาที่จะได้อยู่กับสตรีที่ตนรักไปกับเหล่าขุนนางพวกนี้จวนนอกเมืองของชินอ๋องขณะที่เมืองหลวงกำลังวุ่นวาย คุณหนูทั้งสามคนที่อยู่ในจวนข้างค่ายทหารของเว่ยชินอ๋องกลับกำลังพักผ่อนอย่างสบายใจ เพราะจวนของอ๋องหนุ่มแห่งนี้มีบ่อน้ำพุร้อนจากธรรมชาติอยู่ในจวน ถึงการตกแต่งจวนจะไม่หรูหราแต่มองแล้วสบายตายิ่งนักจวนแห่งนี้มีรั้วกั้นสูงมองไม่เห็นภายใน คราแรกที่คุณหนูทั้งสามเห็นก็รู้สึกหวั่นวิตกอยู่มาก แต่เพียงเดินเข้ามายังด้านในกลับเสมือนมีคนนำเรือนหลังหนึ่งมาวางเอาไว้ท่ามกลางน้ำตก ที่โดยรอบมีดอกไม้และต้นไม้สูงต่ำสลับกันไป
เช้าวันต่อมา ณ ท้องพระโรงเหวินหลิงฮ่องเต้สาดสายตามองเหล่าขุนนางที่ยืนอยู่ตรงหน้า นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่ที่เขาขึ้นครองราชย์ที่ได้เห็นสีหน้าท่าทางของเหล่าขุนนางที่เป็นไปในทิศทางเดียวกันมากถึงเพียงนี้เก้าในสิบส่วนของขุนนางในท้องพระโรงมีสีหน้าหม่นหมองดุจเมฆฝน ใบหน้าเคร่งเครียดส่อความรู้สึกราวกับกำลังแบกโลกเอาไว้ทั้งใบ หัวคิ้วของแต่ละคนย่นชนกันอย่างไม่รู้ตัว ทำเอาเจ้าของบัลลังก์รู้สึกดีใจเป็นอย่างมากที่เห็นขุนนางของตนเป็นเช่นนี้“ข้าคิดว่าเมื่อคืนพวกท่านจะนอนหลับอย่างสบายใจเสียอีก ที่มีทหารรักษาเมืองหลวงคอยคุ้มกันจวนไม่ให้มือสังหารเข้าไปในจวนของพวกเจ้า ทว่าดูจากขอบตาของพวกเจ้าแล้วข้าคงคาดเดาผิดไปสินะ หากเรื่องของชาวบ้านพวกเจ้าวิตกกังวลกันจนเป็นสภาพเช่นนี้ ต้าเว่ยของข้าคงจะดีมากขึ้นไม่น้อย” ถึงสุรเสียงของฮ่องเต้แห่งต้าเว่ยจะเรียบเฉย ทว่ากลับกดดันให้สีหน้าของเหล่าขุนนางหม่นหมองลงไปอีก“ฝ่าบาททรงเข้าใจพวกกระหม่อมผิดไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ เมืองหลวงวุ่นวายไปทั่วเช่นนี้ จะให้พวกกระหม่อมข่มตาหลับลงได้เช่นใดกันพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” เสนาบ