เมื่อรู้ว่ามีภัยอันตรายเข้ามาใกล้ พวกเขารีบเก็บของ พากันคลำทางในความมืดไปจากตรงนี้ เพราะเป็นคืนเดือนมืดทุกคนจึงต้องจับมือเดินตามหลังกันไป
“ข้ามองไม่เห็นทางแล้วท่านพ่อท่านแม่ หากก้าวพลาดอาจได้รับบาดเจ็บได้” หวงจื้อเป็นคนนำทางเขาเกิดกลัวขึ้นมา
“เจ้าใหญ่เงียบ ๆ หน่อย ข้าได้ยินเสียงคนตามหลังพวกเรามาแล้ว พวกมันจุดคบเพลิงด้วย รีบไป ๆ” หวงจงเร่งบุตรชาย หลังจากเห็นแสงไฟอยู่ไม่ไกลเท่าใดนัก
ทว่าหวงจื้อกลับไม่กล้าเดินต่อ พวกเขาไม่มีคบเพลิงและข้างหน้าก็ล้วนแต่เป็นป่าเขา
“ท่านพ่อสามีข้ามองไม่เห็นทาง ให้คนอื่นมานำทางเถอะ” จ้าวซื่อรีบดึงแขนสามีมาหลบอยู่ด้านหลังนางเจียง
“เอ๊ะพวกเจ้านี่” นางเจียงไม่พอใจ แต่ไม่กล้าด่าทอบ้านใหญ่ออกมา
หลินลู่ฉีเห็นท่าไม่ดี พวกคนด้านหลังฝีเท้าดังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ นางกระซิบที่หูของหวงชาง “ท่านลุงข้ามองเห็นทาง”
“หือ ฉีฉีเจ้ามองเห็นรึ”
“อื้ม ข้ามองเห็นเจ้าค่ะ” นางมองเห็นจริง ๆ ไม่ได้โกหก และไม่เข้าใจว่าทำไมจึงมองเห็นทางในความมืดเช่นนี้ได้ ตอนอยู่ในยุคปัจจุบันนางไม่มีความสามารถนี้เลย หรือเพราะยุคปัจจุบันมีไฟฟ้าใช้งานแล้ว
หวงชางลูบศีรษะนางเบา ๆ “ฉีฉีเด็กดีเจ้านำทางได้ให้ทุกคนได้หรือไม่”
“ได้เจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นพวกเราไปอยู่ด้านหน้ากันเถอะ ไปกันทุกคนนี่แหละ” หวงชางรีบจูงมือภรรยากับลูกทั้งสองคน คลำทางไปหามารดาด้านหน้า บอกว่าหลินลู่ฉียังเด็กดวงตาดีมาก สามารถนำทางได้
ยามนี้แม้ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อ มีคนเสนอตัวรับเคราะห์ด้านหน้าแทน มีหรือพวกเขาจะไม่ยินยอม ลำดับแถวการเดินทางในความมืด จึงเปลี่ยนลำดับกันใหม่ บ้านสามนำหน้า ตามด้วยสองผู้อาวุโสของบ้าน บ้านใหญ่และบ้านรองเป็นลำดับสุดท้าย ทุกคนยังคงจับมือกันท่ามกลางความมืด
“ตรงโน้น ๆ ! พวกมันไปได้ไม่ไกลหรอก !”
เสียงของเหล่าคนแปลกหน้าดังอยู่ใกล้ ๆ ทำเอาทุกคนตัวสั่นพรั่นพรึงกันหมด
“ฉีฉีเด็กดี” หวงชางรีบตบตัวคนบนหลังเบา ๆ
“ท่านลุงเดินตรงไปเลยเจ้าค่ะ !” หลินลู่ฉีรีบบอกทางในทันที
“เลี้ยวซ้ายข้างหน้า”
“ตรงไป...เลี้ยวขวา...”
เสียงของนางดังบอกทางอยู่เป็นระยะ ในตอนแรกคนอื่น ๆ ก็กลัวว่านางจะไม่รู้เรื่อง อาจเอ่ยไปตามประสาเด็กน้อย ทว่าเดินตามที่นางชี้บอกทางนั้น กลับไม่พบอันตรายใด
“ตรงนี้มีก้อนหินเอามือคลำ ๆ แล้วอ้อมไปด้านขวาเล็กน้อย” กระทั่งจุดไหนมีสิ่งกีดขวาง นางก็ยังบอกพวกเขาให้หลบพ้นได้
หวงจงกับนางเจียงไม่กล้าหยุดเดินแม้แต่ก้าวเดียว พวกเขาต้องการให้หวงชางเดินนำหน้าไปจนกระทั่งเช้า ทว่าหลินลู่ฉียังเด็กน้อย นางบอกทางไปได้สักพักใหญ่ ๆ ก็หลับคาหลังของหวงชาง
“ท่านพ่อท่านแม่ข้าว่าพวกเราพักกันก่อนเถอะ ไม่ได้ยินเสียงของคนพวกนั้นแล้ว คงตามมาไม่ทันหรอก ฉีฉีก็เหนื่อยจนหลับไปแล้ว เกรงว่าเด็ก ๆ ของเราก็คงเหนื่อยเหมือนกัน” หวงชางเป็นห่วงลูก ๆ ของตัวเองด้วย
“นั่นสิท่านแม่หนิงเอ๋อร์เองก็เดินไม่ไหวแล้ว” หลินซื่อถูกบุตรสาวคนเล็กกระตุกข้อมืออยู่บ่อยครั้ง เมื่อได้โอกาสนางจึงรีบเอ่ยสนับสนุนคำพูดของน้องสามี
“เอาเถอะ ๆ พวกเราเดินกันมาเกือบสองชั่วยามแล้ว พักหน่อยก็ดี” นางเจียงเองก็อยากพักแล้ว นางจึงอนุญาตให้ทุกคนหามุมนั่งพักกันได้
“เจ้าสามเจ้าพาเด็กนั่นไปดูต้นทางให้พวกเราที หากได้ยินเสียงพวกมันรีบมาบอกล่ะ”
“ท่านแม่ฉีฉีหลับไปแล้ว”
“หลับก็ปลุกสิ อุตส่าห์ช่วยนางเอาไว้ทำคุณตอบแทนแค่นี้จะเป็นไรไป”
“ขอรับ” หวงชางหันไปเอ่ยกับภรรยาสองสามคำ แล้วเดินกลับไปทางเดิมที่เพิ่งผ่านมา เขารู้ว่าต้องปีนขึ้นต้นไม้เพื่อดูว่า มีคบเพลิงอยู่ในระยะใกล้หรือไม่ แต่เขามองไม่เห็น
“ฉีฉี” จำใจต้องปลุกเด็กน้อยบนหลัง
“ท่านลุง” หลินลู่ฉีหลับไปครู่หนึ่งก็ลืมตาตื่นขึ้นมา ร่างเด็กน้อยไม่ไหวแล้วจริง ๆ แต่พอได้หลับไปอึดใจหนึ่ง นางก็มีแรงลืมตาขึ้นได้
“เจ้าบอกลุงทีว่ามีต้นไม้ต้นไหน สามารถให้ลุงปีนขึ้นไปดูต้นทางได้ ตอนนี้บ้านเรานั่งพักเหนื่อยกันอยู่ตรงโน้น ลุงต้องมาดูต้นทางให้พวกเขา”
“อ้อ” หลินลู่ฉีเข้าใจแล้ว นางมองหาต้นไม้ที่ใหญ่และมีกิ่งก้านพอให้คนปีนขึ้นไปยืนได้ “ต้นทางขวามือเจ้าค่ะ เดินไปสามก้าวก็เจอ” นางอธิบายว่าตรงไหนสามารถจับกิ่งไม้ปีนขึ้นไปได้ ค่อย ๆ บอกเขาด้วยความระมัดระวัง
เมื่อหวงชางปีนขึ้นไปได้มั่นคงแล้ว เขาก็กวาดสายตามองหาคบเพลิงรอบ ๆ “ฉีฉีมองเห็นบ้างไหม”
“ไม่เห็นเจ้าค่ะ คนพวกนั้นคงเลิกตามแล้ว คงนอนหลับกันหมดแล้วล่ะ” นางคิดตามความจริง หากตามไม่เจอหรือหาทางตามต่อไม่ได้ ก็คงหาที่หลับนอนเอาแรงไว้ก่อน
“จริงของเจ้า แต่อย่างไรก็ต้องป้องกันไว้ก่อน เจ้าหลับบนหลังลุงได้เลย”
“อืม” นางงัวเงียแล้วหลับไปจริง ๆ ดีที่ผ้าที่ผูกไว้กับหลังของหวงชางนั้น หนาแน่นพอสมควร ไม่ทำให้เกิดอันตรายแต่อย่างใด
กระนั้นหวงชางก็คอยจับปมอยู่ตลอดเวลา เกรงว่าหากปมผูกคลายตัวออก นางอาจหล่นลงพื้นได้รับอันตรายได้ การกระทำนี้หลินลู่ฉีรู้สึกได้ตลอดการเดินทาง นางรู้สึกขอบคุณชายผู้นี้เป็นอย่างมาก
แม้บอกว่าเป็นการนั่งพักระหว่างทาง แต่คนตระกูลหวงกลับหลับไปด้วยความเหนื่อยล้า มีเพียงหวงชางที่ไม่สามารถข่มตาหลับได้ กวาดสายตามองไปรอบ ๆ ป่าอยู่ตลอดเวลา กระทั่งแสงแรกของวันใหม่ข้ามขอบภูเขามา จึงได้ปีนลงจากต้นไม้เพื่อกลับไปหาครอบครัวของตัวเอง
เมื่อทุกคนตื่นกันหมดแล้ว ได้นำอาหารแห้งออกมาแบ่งปันกันกิน ยามนี้ถึงได้มองเห็นบริเวณรอบ ๆ ว่าเป็นเนินหินบนภูเขาลูกหนึ่ง ดูแล้วค่อนข้างห่างไกล จากถนนเส้นหลักที่อยู่ด้านล่างภูเขา
“พวกเราขึ้นมาตรงนี้ได้ โดยไม่ตกเหวไปได้อย่างไรกัน” หวงจื้อเห็นแล้วยังประหลาดใจ
“ดูสิตาเฒ่าตรงนั้นเป็นหุบเหวทั้งนั้น” นางเจียงรีบชี้จุดที่พวกเขาเดินผ่านมาเมื่อคืนนี้
“นังเด็กนอกคอกนั่น ไม่ใช่หลอกให้พวกเรา เดินมาตกเหวตายกันหมดหรอกนะ”
จ้าวซื่อมีท่าทางไม่พอใจขึ้นมา ไหนเลยจะนึกถึงบุญคุณ ที่หลินลู่ฉีนำทางมาตลอดทั้งคืน
“พี่สะใภ้ใหญ่ท่านเอ่ยอันใดออกมา ฉีฉีของพวกข้ามองเห็นในความมืดได้ นางนำทางพวกเราจนปลอดภัยมาทั้งคืน ท่านลืมไปแล้วรึ”
หวงชางไม่พอใจพี่สะใภ้ใหญ่ผู้นี้ เขารู้ว่าหลินลู่ฉีเหนื่อยเพียงใด ในการเพ่งมองทางในความมืด เด็กตัวน้อยเท่านั้นยังรู้ความ เหตุใดผู้ใหญ่อย่างจ้าวซื่อ ถึงกล้ามาว่าร้ายนางได้
จ้าวซื่อลอบเบ้ปากใส่ “ใครจะไปรู้ เด็กนั่นอาจจะพูดไปเรื่อยเปื่อย”
“นางชื่อฉีฉี” หวงจื่อถงเอ่ยแทรกเบา ๆ
“ดู ๆ ถงเอ๋อร์ได้น้องสาวคนใหม่ ไม่เห็นหัวป้าสะใภ้ใหญ่อย่างข้าแล้ว”
“พอเถอะพี่สะใภ้ใหญ่ ท่านไม่สู้เก็บแรงเอาไว้เดินทางต่อเถอะ จะมามัวทะเลาะกับเด็กทำไม” ฉินซื่อเหนื่อยจะฟังวาจาไร้สาระของนางแล้ว
“ฉินซื่อเจ้า !”
“สะใภ้ใหญ่เจ้าพอได้แล้ว”
นางเจียงรีบปราม แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยคำใด ก็มีเสียงร้องโอดครวญของผู้คน วิ่งมาทางพวกเขา
ทั้งหมดรีบเข้าไปรวมกลุ่มกันอยู่ พวกเขาอยู่ที่สูงหลบอยู่หลังโขดหิน ส่วนผู้ที่วิ่งมานั้นอยู่ด้านล่าง หวงชางส่งสัญญาณให้ทุกคนหลบอยู่เงียบ ๆ
เขาชวนพี่ชายทั้งสองคนไปแอบดูคนเหล่านั้น พบว่าเป็นผู้ลี้ภัยที่สภาพเนื้อตัวเต็มไปด้วยคราบเลือด บ่นพร่ำว่าเสบียงที่เอามาถูกปล้นไปหมดแล้วเมื่อคืนนี้ แต่ละคนมีสภาพน่าเวทนายิ่งนัก
“ว่าอย่างไรเจ้าใหญ่”
หวงจงที่อยู่กับเหล่าสตรีและเด็กรีบถาม เมื่อเห็นพวกเขาเดินกลับมาแล้ว
หวงจื้อ “ท่านพ่อพวกเขาถูกปล้นเสบียงเมื่อคืนนี้ เกรงว่าหากพวกเราหนีไม่ทัน ก็คงมีสภาพเหมือนพวกเขาเหมือนกัน”
ทันใดนั้นเสียงสูดลมหายใจของทุกคนก็ดังขึ้น หากหนีไม่ทันก็ไม่รู้ว่าจะมีชะตากรรมเช่นไร เสบียงอันน้อยนิดหากถูกแย่งชิงไปอีก คงต้องอดตายอยู่กลางทางเป็นแน่
“เมื่อคืนนี้หากฉีฉีไม่บอกว่าได้ยินเสียงคน ข้าเองก็คงไม่รู้เหมือนกัน ว่ามีคนกำลังมาตรงที่พวกเรานอนอยู่” ฉินซื่อเอ่ยเบา ๆ กับสามี
“เจ้าใหญ่เมื่อคืนนี้ เจ้าเฝ้ายามไม่ใช่รึ” นางเจียงหันไปทางบุตรชายคนโต
“ท่านแม่ข้าไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย เด็กนั่นอายุยังน้อยหูอาจจะดีกว่าผู้ใหญ่ก็เป็นได้”
หวงจื้อไม่กล้าบอกว่าตัวเองหลับแน่นอน และคิดว่าน้องชายสามของเขา ก็คงไม่เปิดโปงเรื่องนี้เหมือนกัน แต่ระหว่างเอ่ยนั้น เขาไม่กล้าสู้สายตาคนอื่นในครอบครัว เพียงเท่านี้ทุกคนก็รู้แล้วว่า เขาคงไม่ได้เฝ้ายามตลอดเวลาจริง ๆ
บทที่ 252 : ฮูหยินลูกแย่งที่นอนข้า หวงชางพยักหน้าลงเล็กน้อย “ได้ต่อไปข้ากับอาอี้จะเรียกเจ้าว่าอี้หาน เจ้ากลับบ้านเดิมภรรยาทั้งที เหตุใดต้องหอบของขวัญมามากมายถึงเพียงนี้” “แค่ของขวัญเล็กน้อยเท่านั้น” หลินลู่ฉีรีบฟ้อง “ดีที่ข้าห้ามเอาไว้ก่อน ไม่อย่างนั้นสามีข้าคงขนมาทั้งคลังเป็นแน่” “เจ้าเด็กนี่เรียกสามีข้าเต็มปากเต็มคำ หน้าไม่อายจริง ๆ” ฉินซื่ออดเย้านางไม่ได้ “ท่านป้าท่านล้อข้า” “แต่งงานกันแล้วย่อมเป็นเรื่องธรรมดา อี้หานต่อไปก็รักและดูแลฉีฉีของพวกข้าให้ดี ๆ อย่าทำให้นางต้องเสียใจรู้ไหม” “ขอรับท่านป้าข้ารับปากท่าน ข้าซุนอี้หาน
บทที่ 251 : ข้าอายุสิบแปดปีเองนะ จะรีบร้อนมีลูกไปทำไม หลังจากกินมื้อกลางวันอิ่มกันแล้ว พ่อบ้านได้นำกล่องของขวัญ กับจดหมายมามอบให้หลินลู่ฉี บอกว่าเป็นของท่านอาจารย์ของนางมอบให้ในวันแต่งงาน “อาจารย์ปู่อย่างนั้นรึ” หลินลู่ฉีรีบเปิดซองจดหมายอ่านก่อนเป็นอันดับแรก เนื้อหาในนั้นเป็นการขอโทษ ที่ไม่สามารถเดินทางมาร่วมงานแต่งของนางได้ เพราะระยะทางอยู่ไกลนับพันลี้ แม้เดินทางด้วยม้าเร็วก็คงมาไม่ทันอยู่ดี จึงได้ส่งของขวัญกับจดหมายมาให้แทน นอกจากคำอวยพรแล้ว อาจารย์ปู่ยังมอบป้ายไม้แกะสลักให้นางอีกด้วย ซุนอี้หาน “นี่ป้ายอะไรกัน” “อาจารย์ปู่เขียนบอกว่า เป็นป้ายประจำตัวเจ้าของตำหนักยา” “ตำหนักยา ? นั่นไม่ใช
บทที่ 250 : เมื่อกี้ไม่ใช่ว่าทำกันไปแล้วหรือ ภายในห้องหอซุนอี้หานกำลังเงี่ยหูฟังเสียงจากนอกประตู เมื่อรู้ว่าคนเหล่านั้นไม่อยู่แล้ว จึงได้หันไปทางเจ้าสาวที่นั่งตัวแข็งทื่ออยู่บนเตียงนอน เจ้าไปนั่งบนเตียงตั้งเมื่อไหร่ ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านั่งอยู่บนเก้าอี้รึ ซุนอี้หานทั้งขำทั้งเอ็นดูนาง หลินลู่ฉีกำลังนั่งด้วยความรู้สึกประหม่าแกมตื่นเต้น นางมองผ่านชายผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวสีแดง เห็นเพียงหัวรองเท้าเจ้าบ่าวที่เดินมาหยุดอยู่ เขาเอื้อมจับชายผ้าคลุมหน้าเจ้าสาว ค่อย ๆ ยกขึ้นตลบไปไว้ด้านหลัง เจ้าสาวผู้มีใบหน้าอันงดงาม ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างเขินอาย ริมฝีปากจิ้มลิ้มเม้มเข้าออก คล้ายคนไม่รู้จะเอ่ยคำพูดใดออกมา “ฉีฉีเจ้างามมาก” ดวงตาปรือเยิ้มมองเจ้าสาวอย่างลุ่มหลง
บทที่ 249 : ใครจะหย่ากับข้า ! บรรดาญาติสหายและคนรู้จัก ที่พากันมาส่งตัวเจ้าสาว ต่างยืนดูพิธีการตรงหน้าด้วยสีหน้ายิ้มแย้มกันทุกคน “ตอนแรกข้าอยากเสนอตัวแบกเจ้าสาวด้วยตัวเอง แต่ว่าคิดไปคิดมาข้าเทียบหวงจื่อถงไม่ได้จริง ๆ เขามีความเป็นพี่ชายมากกว่าข้าเสียอีก” เซี่ยเฉินจิ่นเอ่ยเบา ๆ เซี่ยเฉินฟู่กอดอกมองภาพตรงหน้า แล้วพยักหน้าลงเบา ๆ “ท่านแบกพี่สาวไม่ไหวหรอก เกิดทำเจ้าสาวหกล้มขึ้นมา ทำฤกษ์มงคลเสียหายหมด ให้พี่จื่อถงแบกนั่นแหละดีแล้ว” เซี่ยเฉินจิ่น “...” เจ้ายังใช่น้องชายข้าอยู่ไหม ฉวีฮูหยิน “ต่อไปนางก็มีครอบครัวของตัวเอง มีสามีลูกมีหลานเต็มบ้าน ไม่เดือดร้อนพวกเจ้าให้เป็นห่วงนางหรอก” ครอบครัวตระกูลเซี่ยยืนมองเกี้ยวเจ้าสา
บทที่ 248 : ข้าซุนอี้หานขอสาบานด้วยชีวิต ข้าจะไม่มีวันทำให้นางเสียใจเด็ดขาด “ฉีฉี” ฉินซื่อลูบศีรษะของนางอย่างอ่อนโยน น้ำตาพลันเอ่อคลอเบ้าตามนางไปด้วย ทั้งลูบทั้งกอดปลอบโยนนาง “เด็กน้อยในวันนั้น ได้นำพาครอบครัวของพวกเรา เดินทางผ่านร้อนผ่านหนาวมาไกลถึงเพียงนี้ รู้ไหมว่าป้าภูมิใจในตัวของเจ้ามากแค่ไหน” “ท่านป้า ฮะฮรึก...ฮือ ๆ ๆ” เป็นครั้งแรกที่ฉินซื่อได้เห็นหลินลู่ฉี ปล่อยเสียงร้องไห้โฮออกมาเช่นนี้ เหมือนกำแพงความเข้มแข็งในใจของนาง ได้พังทลายลงแล้ว “เด็กดีไม่ร้อง ๆ เจ้าสาวจะตาบวมหมดงามเอาได้” “ขะข้า...ฮะฮรึก จะไม่ร้องแล้ว ฮะฮรึก !” คนพูดสะอื้นเป็นจังหวะ “เจ้
บทที่ 247 : หวีครั้งแรกขอให้ชีวิตคู่ยืนยาว หลินลู่ฉีไปหาฉินซื่อที่เรือน พบว่านางกำลังปักชุดเจ้าสาวให้ตัวเองอยู่ หวงจื่อเหยาที่ได้เวลาใกล้คลอดแล้ว นางมาหามารดาเพื่อดูว่ามีอะไรให้ช่วยบ้าง “ท้องโตขนาดนี้ยังขึ้นรถม้าไปโน่นมานี่อีก ชุดเจ้าสาวของฉีฉีข้าทำเองได้เจ้าไม่ต้องช่วย” เสียงของฉินซื่อเอ่ยบ่นบุตรสาว ดังออกมาจากเรือนของนาง “ท่านแม่ฉีฉีของพวกเราจะออกเรือนทั้งที นางไม่ยอมรับสินเดิมจากพวกเรา มีเพียงชุดแต่งงานนี่แหละ ที่พวกเราพอจะทำให้นางได้” หลินลู่ฉีกระแอมเบา ๆ สองแม่ลูกก็หันมามองนางในทันที “เจ้ามาแอบฟังข้ากับท่านแม่พูดคุยกันใช่ไหม” “พี่จื่อเหยาท่านใส่ร้ายข้า” นางออดอ้อนเป็นเด็กน้อยทันที &ld