“คนพิการเช่นข้าสามารถทำให้เจ้ามีความสุขได้จริงหรือ” น้ำเสียงราบเรียบไร้ซึ่งอารมณ์ของหานลั่วอี้ ไม่ได้ทำให้ความสุขบนใบหน้านางลดลง บุรุษผู้นี้ยังคงกังวลว่าเพราะขาทั้งสองข้างจะทำให้นางลำบาก นางจึงเดินเข้าไปใกล้อีกก้าววางมือลงบนหลังมือแกร่ง
เยว่ฉียังไม่พร้อมจะพูดเรื่องมิติให้สามีฟังตอนนี้ นางต้องการเวลามากกว่านี้ รอให้เขาคุ้นเคยกับนางทั้งยังเชื่อใจกันมากกว่านี้อีกสักนิด ให้ความรู้สึกมากมายก่อเกิดเป็นความยึดมั่นและไว้ใจ เมื่อถึงตอนนั้นนางจะไม่ปิดบังและพูดทุกอย่างออกไป
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เยว่ฉีต้องการจะรู้ว่าหากเขาสัมผัสถึงความผิดปกติบางอย่างจะยังปฏิบัติต่อนางเช่นเดิมหรือไม่
ไม่ใช่ว่าเยว่ฉีขี้ระแวง แต่กลับคนที่พึ่งเจอกันแม้จะรู้สึกว่า คนคนนี้ไว้ใจได้ เขาไม่ใช่คนเลวร้าย อีกทั้งนางยังโชคดีจริง ๆ ที่ได้แต่งงานกับเขา หากแต่งงานกับคนอื่นเยว่ฉีก็ไม่มั่นใจว่าจะพบโชควาสนาและมีชีวิตจากที่เป็นอยู่หรือไม่ แต่ถึงจะโชคดีแต่ก็ใช่ว่าจะวางใจได้ทั้งหมด เรื่องความเชื่อใจ น้ำใสใจจริงต้องใช้เวลาดูกันอีกยาว
“ข้าพูดความจริง”
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว” ในเมื่อนางยืนยันเช่นนั้นเขาก็ไม่เอ่ยย้ำ ทั้งยังไม่ถามว่านางหายไปที่ใด ความไว้ใจจะเกิดขึ้นได้ต้องใช้เวลาและเขาก็หวังว่าพอเวลาผ่านไปนานกว่านี้นางจะยอมบอกถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นในวันนี้
เยว่ฉีเดินอ้อมไปด้านหลังรถเข็นต้องการพาหานลั่วอี้เข้าไปในบ้าน ทว่ายังไม่ทันจะได้หันรถกลับไปทางประตูก็ได้ยินเสียงเรียกขานจากหน้าบ้านเสียก่อน
ทั้งสองคนมองหน้ากันนึกสงสัยอยู่ไม่น้อย ก่อนจะตัดสินใจออกไปหน้าบ้านด้วยกันทั้งคู่
หลังบานประตูเปิดออกตรงหน้าทั้งสองคนมีหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรียืนอยู่ ใบหน้าคนแปลกหน้าประดับรอยยิ้ม ดวงตาใสซื่อไร้พิษภัย
“มีอันใดหรือ?” เยว่ฉีเอ่ยถามออกไป ในมือคนทั้งสองมีไข่ไก่และเนื้อสัตว์บรรจุอยู่ในตะกร้าใบเล็ก
“สวัสดีเมื่อวานไม่ได้มาทักทาย ข้ากับภรรยาอาศัยอยู่บ้านหลังข้าง ๆ เห็นว่าบ้านหลังนี้มีคนย้ายมาอยู่ใหม่จึงได้นำของมาเยี่ยมต้อนรับ” บุรุษร่างกายกำยำท่าทางซื่อ ๆ กล่าวพร้อมกับชี้มือบอกว่าบ้านตั้งอยู่ที่ใด คำพูดและสายตาของบุรุษตรงหน้ายามเอ่ยประโยคนี้เต็มไปด้วยความจริงใจไร้การเสแสร้ง พลันทำให้ทั้งสองคนรู้สึกดีต่อคู่สามีภรรยาไม่น้อย
ผู้ถูกเยี่ยมเยียนหลังรู้สึกแปลกใจก็ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น ด้วยเมื่อวานชาวบ้านส่วนมากต่างไม่อยากจะต้อนรับคนทั้งสาม คงจะเห็นว่าครอบครัวนางมีทั้งคนป่วยและคนพิการ ชาวบ้านที่หาเช้ากินค่ำเหล่านี้จึงไม่ต้องการยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยว หรือไม่ก็กลัวว่าพวกเขาจะไปสร้างความลำบากให้ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ส่วนใหญ่ ด้วยเหตุนี้การกระทำของทั้งสองคนจึงทำให้สองสามีภรรยาอดที่จะรู้สึกประหลาดใจและเป็นมิตรอยู่หลายส่วน
ในยามที่คุณลำบากมักจะเห็นน้ำใสใจจริงได้ชัดเจนที่สุดคำพูดนี้ไม่เกินจริง และสองคนนี้ทั้งที่ฐานะทางบ้านก็ไม่ได้ดีมากอันใดแต่กลับยื่นความช่วยเหลือเล็ก ๆ น้อยมาให้
เยว่ฉีจำได้ว่าไข่ไก่สำหรับโลกนี้ราคาไม่ถูกเลยแต่มองดูของในตะกร้าแล้วกลับมีถึงหกฟอง
“ของพวกนี้อาจจะเป็นเพียงของเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ข้ากับภรรยาตั้งใจนำมาให้”
“รู้จักกันแล้วไม่จำเป็นต้องมากพิธี ข้าชื่อเยว่ฉี ส่วนบุรุษผู้นี้ชื่อหานลั่วอี้ สามีข้า” เยว่ฉียื่นมือไปรับตะกร้าของ กล่าวยิ้ม ๆ อีกฝ่ายคล้ายพึ่งรู้ตัวจึงยิ้มแห้งมาให้
“เสียมารยาทแล้ว ข้าชื่อเฟิงซิ่ว ส่วนสตรีข้างกายชื่อหลัวหรูภรรยาข้า เรียกข้าว่าพี่เฟิงแล้วกันดูแล้วเจ้าและสามีน่าจะอายุน้อยกว่า ส่วนภรรยาข้าพึ่งอายุสิบแปด”
“ยินดีที่ได้รู้จัก งั้นข้าไม่ถือมารยาทขอเรียกท่านว่าพี่เฟิง พี่หลัวแล้ว ข้าอายุสิบหก ส่วนสามีข้าอายุยี่สิบปี”
“เช่นนั้นข้าขอเรียกน้องเยว่ กับน้องหานแล้ว” การพูดคุยแสนสนิทสนมของคนทั้งสี่สร้างประกายความสับสนมึนงงให้คนผ่านไปผ่านมาไม่น้อย มีชาวบ้านหลายคนแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่พอใจที่สองสามีภรรยามาทำความรู้จักกับครอบครัวหาน ถึงกับมีหลายคนหันมาทางพวกเขาแล้วหันไปกระซิบกระซาบกัน
เยว่ฉีไม่พูดก็ไม่ได้จึงเอ่ยถามออกไป
“พี่เฟิง พี่หลัว อย่าได้เข้าใจผิดว่าข้าคิดเป็นอื่นข้าล้วนดีใจที่พวกท่านเข้ามาทักทายครอบครัวข้า เพียงแต่ข้าสงสัยพวกท่านไม่กลัวว่าชาวบ้านจะมองท่านไม่ดีหรือ?” คำพูดตรงไปตรงมาของนางสร้างรอยยิ้มบนดวงตาคนทั้งคู่ ทั้งสองคนหันไปมองหน้ากันก่อนที่หลัวหรูจะหันมามองเด็กสาวตรงหน้า เอ่ยเสียงอ่อนโยน
“น้องเยว่ ในเมื่อเจ้าสงสัยเช่นนั้นก่อนจะตอบคำถามข้าขอถามเจ้าสองสามประโยค”
“เชิญพี่หลัวกล่าว”
“เจ้าและสามีเคยฆ่าคนโดยไม่สนดีชั่วหรือไม่?”
“ไม่เคย”
“เจ้าและสามีเคยทำเรื่องผิดศีลธรรม ฉุดเด็กและสตรีหรือไม่”
“ล้วนไม่เคย”
“ในเมื่อพวกเจ้าไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำแล้วเหตุใดข้ากับสามีจะเข้ามาทำความคุ้นเคยไม่ได้เลา เป็นเพื่อนบ้านกันสนิทสนมกันไว้ไม่ดีกว่าหรือ? ข้ากับสามีเพียงต้องการทำความรู้จัก อยากจะรู้ว่าคนที่มาอาศัยอยู่บ้านข้าง ๆ เป็นคนเช่นไร มีนิสัยเช่นไร ฟังจากที่พูดคุยกันไม่กี่ประโยคข้าก็พอจะรู้ว่าพวกเจ้าหาใช่คนชั่วช้า ทั้งยังเปิดเผยไม่น้อย” ประโยคคำพูดของนางสร้างความอบอุ่นใจและความประทับใจให้คนทั้งคู่ไม่น้อย คำพูดของหลัวหรูออกมาจากใจจริง น้ำเสียงหนักแน่นและสายตาซื่อสัตย์ช่วยให้ทั้งสองรู้สึกว่าการย้ายมาอยู่บ้านชวีซานก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิด อย่างน้อยก็ได้พบพานเพื่อนบ้านที่จริงใจเช่นนี้
ได้พบกับผู้คนที่ไม่รังเกียจความเป็นอยู่เช่นนี้ของพวกเขา ซึ่งในโลกนี้หาได้ยากยิ่งนัก
“พี่หลัวข้าเข้าใจแล้ว ขอบคุณสำหรับน้ำใจที่พวกท่านหยิบยื่นให้ ในวันหน้าหากมีวาสนาได้ดี ข้าล้วนไม่คิดลืมบุญคุณ”
“บุญคุณอันใดกัน ข้านำของมาให้พวกเจ้า ใช่ต้องการการตอบแทน แค่จริงใจต่อกันเป็นพอ” เฟิงซิ่วเอ่ยขัดคำพูดระรื่นหูของเยว่ฉี ในดวงตาของเขามีความเอ็นดูอยู่หลายส่วน เป็นความเอ็นดูแสนบริสุทธิ์ไร้ความรู้สึกอื่นใด
“ใช่แล้วน้องเยว่ อย่างที่สามีข้ากล่าว อย่าได้คิดเป็นบุญคุณ”
“ขอบคุณพี่ทั้งสองอีกครั้ง เช่นนั้นไม่กล่าวเรื่องนี้แล้ว พวกท่านอุตส่าห์มาหาแต่ข้าตอนนี้ไม่มีสิ่งใดจะมอบให้ ข้าละอายใจแล้ว” เยว่ฉีพูดยิ้ม ๆ ทั้งสองเข้าใจว่านางเพียงหยอกเย้าจึงไม่คิดสิ่งใด หัวเราะเบา ๆ ไปกับคำพูดนั้น
หลังจากนั้นทั้งสี่คนก็พูดคุยกันอีกหลายประโยค หานลั่วอี้เข้าร่วมการพูดคุยบ้างบางครั้ง แต่ส่วนมากจะมีเพียงครอบครัวตระกูลเฟิงและเยว่ฉีที่พูดคุยมากกว่า จวบจนมาถึงช่วงหนึ่งเยว่ฉีเอ่ยถามว่าพอจะมีงานใดให้นางทำได้บ้าง ทั้งสองจึงมองหน้ากันแล้วเอ่ย
“น้องเยว่ ทุกเช้าข้ากับสามีจะขึ้นเขาไปเก็บพืชวิญญาณมาขาย เช่นนั้นเจ้าก็ไปกับพวกข้า ข้าจะสอนดูพืชวิญญาณให้เจ้า แม้รายได้จะไม่ถึงกับทำให้ร่ำรวยแต่ก็เพียงพอใช้จ่ายในครัวเรือน แต่หากว่าเจ้าโชคดีพบเจอพืชวิญญาณระดับสูง เช่นนั้นก็ถือว่าเป็นโชควาสนา เพราะพืชวิญญาณระดับสูงมักได้ราคางาม”
“ขอบคุณพี่หลัวสำหรับคำแนะนำ เช่นนั้นข้าไม่เกรงใจแล้ว พรุ่งนี้ขอขึ้นเขาไปเก็บพืชวิญญาณพร้อมกับพวกท่าน”
พูดคุยกันไม่นานก็รู้สึกสนิทสนมราวกับรู้จักกันมาหลายปี หลังพูดคุยจนเวลาล่วงเลยไปหลายเค่อ ทั้งสองก็ขอตัวกลับบ้านไปทำงานส่วนอื่นต่อ เยว่ฉีก็ไม่มีเหตุผลอะไรจะรั้งคนให้อยู่ต่อจึงกล่าวลากันสองสามประโยคก่อนจะแยกย้าย
คืนนี้เยว่ฉีตั้งใจจะศึกษาหนังสือเล่มน้อยที่นำออกมาด้วย ผู้อาวุโสหมิงบอกกับนางว่าเป็นหนังสือเกี่ยวกับพืชวิญญาณในสวน
ใช่แล้ว สวนหญ้าที่นางเข้าใจในตอนแรกคือสวนพืชวิญญาณซึ่งตอนนี้เยว่ฉียังไม่มีคุณสมบัติในการนำออกมาใช้ ผู้อาวุโสบอกว่ารอให้ร่างกายนางแข็งแรงมากกว่านี้ก่อนค่อยมาตรวจสอบดูว่านางมีคุณสมบัติในการฝึกปราณหรือไม่ หากไม่มีก็ยากที่จะใช้งานมิติได้ดี ต้องมีคุณสมบัติตามเกณฑ์ที่เหมาะสมถึงจะสามารถใช้พลังพิเศษได้อย่างเต็มที่
ส่วนน้ำวิเศษที่ได้มาจากบ่อ เรียกว่า น้ำแห่งชีวิต ซึ่งออกมาจากต้นไม้แห่งชีวิตที่ยืนตระหง่านอยู่กลางบ่อน้ำ เยว่ฉีคิดทบทวนว่าจะเริ่มรักษาหานลั่วอี้อย่างไรดี เพราะผู้อาวุโสบอกว่าต้องค่อย ๆ ให้ดื่ม ในเมื่อยังไม่พร้อมจะบอกความลับที่เก็บงำเอาไว้ นางจึงตัดสินใจจะหยดลงไปในอาหารที่ทำ
“พรุ่งนี้จะเริ่มหาเงินแล้วขอให้เก็บพืชวิญญาณได้เยอะ ๆ” เยว่ฉีพึมพำกับตัวเองก่อนจะก้าวขึ้นเตียงมานอนเคียงข้างหานลั่วอี้
หานลั่วอี้ได้ยินคำพูดเบาหวิวของนาง ในนัยน์ตาซึ่งซุกซ่อนอยู่ในความมืดปรากฏคลื่นอารมณ์เล็ก ๆ
ทันทีที่ก้าวเข้ามาในบ้าน เยว่ฉีก็เห็นเฟิงซิ่วกำลังนั่งแกะสลักอยู่ไม่ไกลจากประตูเรือน อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นผงกหัวทักทายนางเล็กน้อย หลัวหรูจึงใช้โอกาสนี้เรียกสามีให้มานั่งด้วยกันทั้งสามคนนั่งล้อมโต๊ะอาหารบนลานเล็ก ๆ หน้าบ้าน เยว่ฉีมองหลัวหรูทีมองเฟิงซิ่วทีพร้อมยิ้มกรุ้มกริ่ม จากนั้นจึงหยิบอาหารออกมาวางบนโต๊ะ กลิ่นหอมนำมาก่อนใครเพื่อน ก่อนจะตามมาด้วยหน้าตาอาหารดูน่ารับประทาน สีสันสวยงามตัดกันได้อย่างลงตัวเรียกความต้องการอยากของกระเพาะได้เป็นอย่างดีกลิ่นหอมนี้ส่งผลให้ทั้งสองคนถึงกับกลืนน้ำลายลงคอ“พี่หลัว พี่เฟิงพวกท่านลองชิมดู” ทั้งสองคนพยักหน้าขึ้นลง ก่อนจะใช้ตะเกียบที่เยว่ฉีนำมาด้วยคีบอาหารเข้าปากสิ่งแรกที่สัมผัสได้คือความอร่อยล้ำไม่ต่างจากอาหารในร้านชื่อดังในเมือง พอเคี้ยวไปเรื่อย ๆ ความอร่อยล้ำก็เปลี่ยนเป็นความประหลาดใจ และเมื่ออาหารถูกกลืนลงท้องสิ่งที่ตามมายิ่งทำให้ทั้งสองคนต้องตกตะลึงเบิกตากว้างมองเด็กสาวซึ่งกำลังยิ้มกว้างมาให้“พี่หลัว พี่เฟิงเป็นเช่นไรบ้าง”“เจ้าทำได้เช่นไร !!!” สองเสียงประสานกันเสียงดังทำเยว่ฉีตกใจสะดุ้งโหยงก่อนจะหัวเราะออกมา นางเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะ“พี่ทั้งสอง
ผ่านมาครึ่งเดือนนับจากวันที่แยกออกมาจากจวนตระกูลหาน ทุก ๆ วันของพวกเขาเรียกได้ว่าราบรื่น นอกจากการปะทะกันเล็ก ๆ น้อย ๆ กับหานลั่วเหมยวันนั้นทางตระกูลหานก็ไม่มีการเคลื่อนไหวใดอีกเลยครึ่งเดือนมานี้เยว่ฉียังไม่ได้เริ่มกิจการหาเงินอย่างจริงจัง ด้วยตัวนางต้องการบำรุงร่างกายซูบผอมนี้ให้กลับมามีน้ำมีนวลและแข็งแรงมากกว่านี้ ทุกวันเยว่ฉีจะตื่นแต่เช้าตรู่ หุงหาอาหาร ต้มยำสำหรับหานลั่วซานและผสมน้ำแห่งชีวิตให้สามีดื่มร่างกายที่บำรุงอย่างดีตลอดครึ่งเดือนเรียกได้ว่าสมความตั้งใจ ร่างกายผอมแห้ง ใบหน้าซูบผอมมีน้ำมีนวลขึ้นไม่น้อย รอยคล้ำแดดเองก็ลดลงไปมาก ทำให้สามารถเห็นโครงหน้าและเรือนกายขาวเนียนกระจ่างดุจหยกเนื้อดีของร่างนี้ได้ชัดเจนขึ้นเยว่ฉีกระพริบตาปริบ ๆ มองเครื่องหน้างดงามซึ่งสะท้อนอยู่บนผืนน้ำ สตรีผู้นี้ช่างงดงามจนนางเองยังอดใจสั่นไม่ได้ถึงแม้ตอนนี้จะยังไม่ใช่ใบหน้างดงามหมดจด ทว่ากลับเผยความงดงามมีเสน่ห์ดึงดูดน่าทะนุถนอมเยว่ฉียกมือจับแก้มนวลที่เมื่อก่อนไร้ซึ่งไขมัน มาตอนนี้กลับให้สัมผัสนุ่มมือไม่ต่างจากผิวเด็กทารก“งามนัก” เสียงพึมพำแผ่วเบาพร้อมรอยยิ้มกว้างสะท้อนบนผืนน้ำ ไม่คิดว่าหลังบำรุงต
“นั่งกลุ้มอันใดกัน” เยว่ฉีเงยหน้าขึ้นมองผู้มาใหม่ นางกำลังนั่งคิดอะไรคนเดียวข้างบ้านจุดเดิมกับที่ทำปังตอปักเอาไว้ หานลั่วอี้ที่ออกมาทีหลังเข็นรถมาจอดข้าง ๆพอเยว่ฉีกลับมาถึงบ้านก็ได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองให้หานลั่วอี้ฟัง อีกฝ่ายจึงเล่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหานลั่วเหมย เด็กสาวท่าทางอวดดีผู้นั้นปีนี้อายุสิบสี่ เป็นผู้ฝึกปราณขั้นสอง ลูกสาวคนเล็กของหานฉิงอี้กับภรรยาเอก ส่วนหานลั่วอี้คือบุตรชายคนโตซึ่งเกิดจากภรรยารองหานลั่วเหมยมีนิสัยเอาแต่ใจมาตั้งแต่เด็กด้วยบิดามารดาตามใจและเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของทั้งสองคน รวมไปถึงเกิดในตระกูลใหญ่ ด้วยการเลี้ยงดูเช่นนี้ทำให้นางไม่สนหัวใครหานลั่วเหมยไม่ชอบหานลั่วอี้ด้วยเพราะเก่งกาจมากกว่าพี่ชายของนาง ทุกครั้งที่เจอกันก็มักจะแสดงสีหน้าไม่ยินดีที่ได้พบกัน เขาเองก็ใช่ว่าจะไม่รู้ บุรุษหนุ่มจึงไม่คิดจะเอาตนเข้าไปยุ่งเกี่ยวเช่นเดียวกันความสัมพันธ์ของทั้งสองคนเป็นเช่นนั้นเสมอมา ไม่แปลกที่เด็กสาวจะเข้ามาหาเรื่องเยว่ฉีเพราะมีความเกี่ยวข้องกับเขานางไม่ชอบใครก็ตามที่เกี่ยวข้องกับหานลั่วอี้“ข้ากำลังคิดว่าจะหาเงินได้จากทางใดบ้าง วันนี้ก่อนจะกลับข้าได้ไ
“เจ้า!!เจ้า !!” เด็กสาวกล่าวพร้อมยกมือชี้หน้าด่า กระทืบเท้าลงพื้นอย่างขัดใจ ไม่คิดว่าสตรีผู้นี้จะบังอาจไม่รู้จักนาง “ข้าหานลั่วเหมย คงมิได้จะพูดว่าไม่รู้จักตระกูลหานใช่ไหม”อ๋อ คนตระกูลหาน มิน่าถึงได้มีกิริยาน่ารังเกียจ คนตระกูลนี้นิสัยเสียกันหมดตระกูลหรือไง? ไม่สิยกเว้นสามีนางไว้คนหนึ่งเยว่ฉีตอบรับออกมาอย่างไม่ใส่ใจ “อ๋อ ตระกูลหาน” ก่อนจะก้าวแยกตัวออกไป คนตระกูลนี้อยู่ให้ห่างหน่อยเป็นดี เดี๋ยวจะถูกเชื้อนิสัยเสียลามมาเปื้อนตัว“เจ้าจะไปไหน ข้ายังไม่อนุญาตให้เจ้าไป” หานลั่วเหมยเดินตามยื่นมือมากระชากแขนเยว่ฉีเต็มแรง เด็กเล็กมักมีแรงมาก นับประสาอะไรกับหานลั่วเหมยที่เป็นผู้ฝึกปราณขั้นสอง ส่วนเยว่ฉีเป็นเพียงคนธรรมดาที่ร่างกายยังบำรุงได้ไม่เต็มที่เด็กสาวเพียงกระตุกมือเยว่ฉีก็แทบหงายหลังต้องรีบก้าวถอยหลังเร็ว ๆ กลับไปความฉุนเฉียวพลันผุดขึ้นในใจ เยว่ฉีใช้แรงที่มีกระชากมือกลับคืนมา“เสียมารยาท!!ข้าไม่ใช่ขี้ข้าของเจ้าที่คิดจะกระชากลากถูหรือขึ้นเสียงอย่างไรก็ได้ ในจวนตระกูลหานเจ้าอาจจะทำกิริยาหยิ่งยโส ยกตนใหญ่โตเพราะผู้อื่นเขาหวาดกลัว แต่ไม่ใช่กับข้า ข้าไม่ใช่คนของตระกูลเจ้าที่คิดอยากจะขึ้นเส
เยว่ฉีออกมาจากร้านค้าหยกก็เดินหามุมลับสายตาคนถอดผ้าคลุมออกจากตัว ก่อนจะทำทีว่าไม่มีเรื่องอันใด แล้วเดินปะปนเข้าไปในฝูงคน ในมือมีเงินเยว่ฉีก็หายใจได้สะดวกขึ้น ใบหน้าติดกังวลก็คลายลงมีเงินก็ต้องใช้เงิน แม้ว่านางมีความคิดจะสร้างบ้านให้ดีขึ้นแต่ตอนนี้สิ่งที่สำคัญกว่าคือ สิ่งของอำนวยความสะดวกภายในบ้านชุดครัวมีน้อยเกินไป นอกจากกระทะใบใหญ่บนเตาอาหารกับหม้อใบเล็กแล้ว สิ่งของอื่น ๆ ล้วนใกล้จะพังจนใช้งานไม่ได้ ขนาดตะเกียบที่ใช้อยู่ตอนนี้ยังเป็นนางที่เหลาจากไม้ไผ่มาใช้ชั่วคราวส่วนถ้วยชามก็มีอย่างจำกัดและสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือ ข้าว!!ข้าวในบ้านเหลือไม่มากแล้วเยว่ฉีจึงต้องการซื้อตุนเอาไว้มากหน่อยหญิงสาวเดินไปตามถนนที่ผู้คนพลุกพล่านไม่นานก็เจอร้านขายข้าว นอกจากข้าวแล้วยังมีของใช้ในครัวอื่น ๆ เช่น ถ้วย ชาม ตะเกียบ ไปจนถึงพวกแป้งเยว่ฉีคำนวณในใจ ของที่ต้องการซื้อมีมากมายเหลือเกิน ไม่สามารถขนไปด้วยตัวคนเดียวไหว จึงเอ่ยถามกับลูกจ้างร้านว่าสามารถขนของไปส่งยังจุดจอดรถเทียมลาได้ไหม ลูกจ้างร้านมองหน้ากันไปมาก่อนเอ่ยว่า หากของที่ซื้อมีราคาถึงหนึ่งตำลึงพวกเขาจะนำไปส่งให้เยว่ฉีพยักหน้าเข้าใจจากนั้นเอ่ยถา
“เถ้าแก่ ปกติแล้วดอกแต้มสีชาดคู่มักให้ราคาสูงที่สี่ตำลึงมิใช่หรือ เหตุใดถึงมากกว่าราคาตลอดถึงสองตำลึง” เถ้าแก่ร้านไม่ปิดบังเอ่ยสีหน้าเบิกบาน“คุณภาพพืชวิญญาณต้นนี้สูงมาก ทั้งยังบริสุทธิ์มาก พวกเจ้าไม่ได้กลิ่นหอมอ่อน ๆ ที่แพร่กระจายออกมาจากพืชตรงหน้าหรือ” ทั้งสามคนก้มหน้ามองพอลองสูดดมดี ๆ ก็ได้กลิ่นหอมอ่อน ๆ โชยออกมาอย่างที่เถ้าแก่ว่า“ในเมื่อคุณภาพสูง ข้าเองก็ชอบทำการค้าขายแบบยุติธรรมจึงให้ราคาสูงกับพวกเจ้าสองคน” พูดไปก็เอาแต่จ้องพืชวิญญาณในมือไปด้วยคล้ายกลัวว่าหากละสายตา ดอกไม้สีขาวสองดอกนี้จะหายไป“ไปนำกล่องมาใส่พืชวิญญาณสองต้นนี้”“ขอรับ” ลูกจ้างรับคำไม่นานก็กลับมาพร้อมกล่องสำหรับเก็บพืชวิญญาณโดยเฉพาะสองกล่อง ทั้งสองแลกเปลี่ยนสินค้าเป็นเงิน เถ้าแก่ร้านกอดกล่องใส่พืชวิญญาณเอาไว้แน่น มองทั้งสามคนยิ้ม ๆแค่คิดว่าหลังหลอมเป็นโอสถแล้วจะทำเงินได้มากกว่าที่จ่ายไปก็เบิกบานแล้ว ในเมืองโม่ฉีมีไม่กี่ร้านที่สามารถขายโอสถทะลวงขึ้นระดับสาม และตอนนี้ร้านของเขาก็กำลังจะเป็นหนึ่งนั้น“หากพวกเจ้าพบพืชวิญญาณก็นำมาขายให้ร้านได้ ข้าย่อมให้ราคาเป็นธรรม” เถ้าแก่เอ่ยย้ำเป็นมั่นเป็นเหมาะกอดกล่องแล้วเดินกลั